ดาลใจไม่เคยจาง - 2

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


อ่านแล้วอิ่มเอมในหทัยเหลือ
บ่รู้เบื่อยิ่งมากยิ่งอยากอ่าน
กระหายรับปัญญามานับนาน
ได้เสพสาส์นทิพย์ซึ้งจึงยินดี
เกิดเป็นคนยังกายอยู่ในโลก
ขอดับโศกด้วยวิชชากับหน้าที่
ขอเลี้ยงชีพด้วยปัญญาบรรดามี
ขอยินดีในธรรมสำราญใจ
อย่าอับจนจนไม่ได้เขียนอ่าน
หรือดักดานคร้านตรองครองนิสัย
แม้นได้เกิดใต้ฟ้าสุราลัย
ขอเป็นไทซึ้งธรรมชำนาญเชาวน์
	ให้ได้เสพถ้อยทิพยลักษณ์
อันกวีจำหลักสลักเสลา
ให้ได้จรดจารธรรมในลำเนา
ให้ได้เข้าถึงทิพย์ ถึงนิพพาน
	อย่าให้หลงติดในอบายภูมิ-
เป็นบัวตูมจมมายามหาศาล
ให้โผล่พ้นน้ำเร่งขึ้นเบ่งบาน
อธิษฐานจิตตรงลงกับกลอน
	หากเรียงถ้อยถักกานท์ผสานศิลป์
ให้สมจินต์มีมิตรหมายสโมสร
ร่วมทางไทสัมฤทธิ์ธรรมดังคำพร
บ่ร้าวรอนโศกแสนขาดแคลนธรรม				
comments powered by Disqus
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    29 พฤษภาคม 2547 20:49 น. - comment id 276495

    อ้าว ๆ ผมลืมตั้งชื่อหรือนี่
    
    ขออภัยครับ
  • magic

    29 พฤษภาคม 2547 21:14 น. - comment id 276504

    อ่านแล้วอิ่มยิ้มเปรมฤทัยนัก
    บทกลอนจักหาได้ใครมาเหมือน
    เป็นภาษาสวยสมนิยมเยือน
    มาเอ่ยเอื้อน..ทักทายกันฉันท์คนกลอน
    ..........................................................
    ภาษาสวยจังค่ะ
    ..........................................................
  • ก่อพงษ์

    29 พฤษภาคม 2547 21:47 น. - comment id 276513

    สวัสดีครับมิตรรักนักกลอนคุณmagic
  • ผู้หญิงไร้เงา

    29 พฤษภาคม 2547 21:59 น. - comment id 276523

    สุขสดใสยามฉันนั้นได้อ่าน
    กับกลอนกานท์ถ้อยทักและอักษร
    ที่คุณร้อยเรียงมาพาอาวรณ์
    ด้วยความหมายแน่นอนและสวยงาม
    
    *-*กลอนไพเราะมากๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ  ชื่นชมในผลงานนะค่ะ*-*
  • ก่อพงษ์

    29 พฤษภาคม 2547 22:00 น. - comment id 276524

    ยินดีครับมิตร
  • อาภาภัส (ไม่ได้ล็อคอิน)

    29 พฤษภาคม 2547 23:33 น. - comment id 276578

    เรียงร้อยคำนำทำธรรมไร้ทุกช์
    พร้อมเคล้าคลุกปัญญาสถาผล
    รู้วิชาพาให้ไม่อับจน
    เกิดกี่หนยังวนเวียนกานท์กลอน
    
    มาร่วมอ่านค่ะ เพระมากค่ะ
  • ก่อพงษ์

    30 พฤษภาคม 2547 00:06 น. - comment id 276599

    สวัสดีตอน 23.32 น.ครับคุณอาภาภัส
    
    ผมเอาบทแรกมาต่อบทสองนะครับ
    
    
    
    (ดาลใจไม่จาง-1)
    
    
    
    
    นาน ๆ ผมจึงได้เข้าไปร้านหนังสือในตัวจังหวัด
    
    ผมตรงไปที่หมวดหมู่หนังสือที่ชอบ
    
    มองหาเล่มใหม่ ๆ ของนักเขียนเก่าที่ชื่นชม
    
    มองหางานของนักเขียนใหม่ด้วย
    
    ซึ่งก็มีให้เลือกพอดู ทั้งคนเก่าและคนใหม่
    
    ผมหยิบขึ้นมาทีละเล่ม
    
    เปิดดูเนื้อในคร่าว ๆ อ่านบางบทเผิน ๆ
    
    หยิบเล่มที่ว่าด้วยการเขียนมา 1
    
    หยิบงานใหม่ของนักเขียนเก่ามา 1
    
    หยิบงานของนักเขียนใหม่มาอีก 1
    
    ฉวยเอานิตยสารรายเดือนต่างหัวอีก 3
    
    ซื้อสมุดบันทึกมาด้วย เพื่อเขียน
    
    
    
    ทุกครั้งที่แวะไปร้านหนังสือ
    
    ผมรู้สึกอิ่มใจ เหมือนไปในที่คุ้นเคย และได้พบคนที่สนิทสนมเข้าใจกันอย่างที่สุด
    
    อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกอิ่มเอมหัวใจนั้นก็ไม่ไดถึง้หนึ่งในสิบของเมื่อตอนอ่านหนังสือแต่ละเล่มเหล่านั้นจบลง
    
    
    ผมสังเกตและเห็นสิ่งที่พอกพูนขึ้นในหัวใจ วันแล้ววันเล่า
    
    
    สิ่งนั้นคือ ความรู้สึกอยากเขียน
    
    เขียนให้ได้อย่างน้อยก็เสี้ยวหนึ่งของงานเหล่านั้น
    
    ซึ่งอ่านแล้วมีความสุขเหลือเกิน
    
    
    
    ผมสารภาพ
    
    ว่าผมติดโลกของการอ่านและการเขียนเสียแล้ว
    
    
    
  • poet_p

    30 พฤษภาคม 2547 00:52 น. - comment id 276648

    กลอนคุณแต่งได้ดีน่ะค่ะ
    ชอบน่ะ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    30 พฤษภาคม 2547 01:01 น. - comment id 276656

    คุณpoet_pนอนดึกนะครับ
  • ลำน้ำน่าน

    30 พฤษภาคม 2547 02:49 น. - comment id 276705

    เทียนจุดขึ้นสว่างกลางยากไร้
    ลมหายใจรินรินยินเสียงอยู่
    ห้องสงบพบชีวิตคิดย้อนดู
    ทุกสิ่งรู้ชัดแจ้งในแหล่งรอย
    
    พระพุทธนิ่งดวงหน้าคราแสงส่อง
    ตามครรลองแมลงล้อก็ร่วงผล็อย
    ล้มตัวลงห้องเก่านานเนาคอย
    จนเทียนน้อยมอดสั้นเห็นทันตา
    
    บนเส้นทางกอปรตอนยังเยาว์
    ทั้งหนักเบาผ่านได้ในปัญหา
    กี่ลมฝนแดดร้อนบั่นทอนมา
    เผชิญกล้าอยู่ได้ด้วยภายใน
    
    หวังผลน้อยค่านิดคิดเพื่อแม่
    บุญคุณแท้กัดฟันไม่หวั่นไหว
    เกี่ยวเก็บแรงถมรอยร้อยปัจจัย
    บ้านยากไร้รอนานผ่านหลายปี
    
    จากวสันต์พลันเปลี่ยนเวียนเป็นร้อน
    ลมหนาวจรเยือนถิ่นนกบินหนี
    หลงหลับใหลลอยคว้างกลางนที
    ตื่นอีกทีจุดหมายไร้วี่แวว
    
    ทุกทุกอย่างรอบกายคล้ายลิ่วลับ
    ยิ่งไล่จับยิ่งเลือนเหมือนไร้แถว
    เพียงเงาเคลื่อนเลื่อนทับจับเส้นแนว
    หมดแสงแล้วเงาหายกลายเป็นลม
    
    กระแสโลกก้าวทันแค่นั้นหนอ
    ไม่เพียงพอแค่ไหนใจตามถม
    ยิ่งลึกลงเท่าใดใจยิ่งจม
    วัตถุตมชมแล้วก็เท่านั้น
    
    ทุกนาทีโศกสุขทุกเช้าเค้า
    มีจิตนำหนุนอยู่มิรู้ผัน
    ขาดปัญญาบ้าใบ้ไล่ตามกัน
    วิ่งไม่ทันพลาดล้มจมในโลกย์
    
    เห็นเนื้อเทียนแหลกหลอมยอมไฟเผา
    สะท้อนเงาวูบไหวอาบใจโศก
    ไส้เป็นเชื้อลมเป่าเงาไฟโยก
    ลมย้อนโกรกดับได้ให้ดับเป็น
    
    มืดลงแล้วเส้นทางมินานช้า
    เดินเดี่ยวมาร้างไร้ใครพบเห็น
    เทียนเล่มน้อยเปล่งแสงแข่งจันทร์เพ็ญ
    ลมพัดเย็นวูบหนึ่งจึงหลบลม
    
    ขอสว่างโชติช่วงก่อนดวงดับ
    ส่องทางลับลิบโลกร้อยโศกสม
    เปลวแสงแดงริ้วไฟตั้งใจชม
    ไร้โสมมมองทางอย่างงมงาย
    
    ดวงเทียนเล็กค่อยหรี่ลงตรงเชิงพาน
    อีกไม่นานจักถึงซึ่งจุดหมาย
    อนัจจังจักพร่างสว่างพราย
    อาบลูบไล้ชีวิตนิดหนึ่งนี้
    
    ลมหายใจรินรินยินเสียงอยู่
    ย้อนตามดูเปลวฝันอันริบหรี่
    ถอนใจรับดับเทียนในทันที
    ชดใช้หนี้เปลวกรรมที่ทำมา
    
    
  • tiki

    30 พฤษภาคม 2547 03:26 น. - comment id 276714

    น่าชื่นชมกลอนเรื่องนี้คุณกอพอ
    และ น่าชื่นใจในชุดยาวคุณลำน้ำน่าน
    ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านดีดีในคืนนี้ค่ะ
    
    
    ทิกิ_tiki
  • ก่อพงษ์

    30 พฤษภาคม 2547 07:47 น. - comment id 276754

    สวัสดีคุณลำน้ำน่าน
    เข้าไปแวะsiampoetry.com
    ของคุณเวทย์และทีมงานหรือยังครับ
    ผมอยากให้แวะไปครับ
    มีภูมิรู้น่าอ่านมากๆที่นั่น
    
    ขอบคุณที่ร่วมแจม
    คุณเขียนงานได้ยาว
    
    ตรง
    หลงหลับใหลลอยคว้างกลางนที
    อาจเป็น
    หลงหลับใหลลอยคว้างกลางวารี
    เพื่อหลีกเสียง ที  ซึ่งมาซ้ำอีก
    
    แต่นั่นก็เป็นความเห็นของผมซึ่งเขียนงานไม่มากนักครับ
    ผมยังไม่ชำนาญหรอก
    
    ส่วนอีกท
    ี่
    ตรงที่ลงว่า
    โลกย์           นี่
    ผมนึกไม่ชอบเสียงนั้นเอาเลย
    ถ้าคุณลำน้ำน่านจะปรับงานนี้อีก
    ผมว่าเอาเสียงสามัญตรงท้ายวรรคส่งอาจฟังดีกว่า
    
    แต่อย่างที่บอกครับ
    ผมเองก็ไม่ชำนาญ จึงยังนึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาแทน
    ถ้าเอางานนี้ไปลงที่
    siampoetry.com  บางทีคุณเวทย์ คุณวฤก และอีกหลายท่านอาจแนะนำดีๆได้
    
    ผมชอบที่คุณลำน้ำน่านเขียนนะครับ
    
    ผมนิยมคนเขียนร้อยกรองเสมอ
    
    
    
    
    
  • rain..

    30 พฤษภาคม 2547 08:25 น. - comment id 276762

    ..เรน..อรุณสวัสดิ์ ..คุณก่อพงษ์นะคะ..
     เข้ามาอ่านงาน..วันนี้ ..
         ได้รัยดี ..มากมายเลยคะ..
      ก็..ถ้า เรนมีเวลา ..
          เรน. ชอบที่จะเข้า..ไปอ่าน ..
       และชอบ..ที่จะเขียน..บันทึก ..
          บางครั้ง ..เรน..เขียนได้
        แค่ ครึ่งหน้า.. เองคะ..
              ...
    
  • ก่อพงษ์

    30 พฤษภาคม 2547 08:52 น. - comment id 276766

    สวัสดีคุณเรน
    เช้านี้แจ่มใสไหมครับ
  • ชัยชนะ

    30 พฤษภาคม 2547 15:19 น. - comment id 276932

    ประเภทผม นิยม ชมชอบอ่าน
    แต่เกียจคร้าน การเขียน เพียรไม่ได้
    จึงไม่มี ผลงาน มามากมาย
    ค่อยค่อยเป็นค่อยค่อยไป อาจไหลเอง
    
  • ก่อพงษ์

    30 พฤษภาคม 2547 16:25 น. - comment id 276958

    จริงหรือครับ
  • ก่อพ.ษ์

    30 พฤษภาคม 2547 18:11 น. - comment id 277025

    เร็วและมากอาจได้งานห่วยๆแบบงานผม
    ช้าๆคมชัด เจนจัด  ต่างหากน่านิยม
    
    
  • ลำน้ำน่าน

    31 พฤษภาคม 2547 01:22 น. - comment id 277306

    ขอบคุณคุณก่อพงษ์ที่ให้เกียรติ ติและชมมากนะครับในวินาทีนี้  ต้องบอกว่าเป็นความบกพร่องของผมเองที่เขียนออกมาแล้วคุณนึกไม่ชอบเอาเสียเลยในบางคำ  คุณแนะนำได้ดีและถูกต้องนักแล้วครับในฐานะผู้จรรโลงกฎดึกดำบรรพ์
    
    ผมรู้จักลุงเวทย์และคุณหมอวฤกเป็นอย่างดีครับ ติดตามอ่านงานของทั้งสองมาตลอดครับลุงเวทย์และนำเรื่องเสียงกลอนหลายครั้งมาก แต่นั่นหล่ะ ผมไม่ยอมจำเสียทีครับ จนลุงเค้าหน่ายที่จะบอกแล้วมั้งครับ  ถ้ามีใครติงบ่อยๆ ผมคงจะจำได้ในวันหนึ่งแน่ๆ เลยครับ 
    
    ผมกำลังคิดว่าในอนาคตจะมีนักกลอนฝีมือเชี่ยวชาญทั้งด้านฉันทลักษณ์แบะรสความอย่างคุณก่อพงษ์เป็นแน่เชียวครับ  ผมเชื่อเช่นนั้น เพราะคิดว่าคุณขยันศึกษาและเข้มงวดกับเรื่องนี้อย่างน่าชมเชยครับ 
    
    ผมมาเปิดบทกวีซีไรท์ของคุณไพรวรินทร์ ขาวงาม ในงานม้าก้านกล้วยและอ่านทุกๆ บทอย่างจดจ่อ วันนี้พบว่า เสียงกลอนท้ายวรรคมิได้จำกัดทุกๆ ครั้งไปตามกฎฉันทลักษณ์  พร้อมคำคำซ้ำรับสัมผัสก็มีให้เห็นเช่นกัน   ก็น่าสนไม่เบาเหมือนกันนะครับ   ผมไม่รู้ว่า คณะกรรมการพิจารณาในแง่นี้อย่างไร ระหว่างอารมณ์และฉันทลักษณ์ และความพอใจของคนเขียนเอง
    
    ผมยกย่องและนิยมคนในถนนร้อยกรองเช่นเดียวกันครับ 
    
    
  • sun strom

    31 พฤษภาคม 2547 07:20 น. - comment id 277344

    สวัสดีค่ะพี่พงษ์ 
    มัทหายไปสองวัน 
    กลับมาแล้วค่ะ
    เริ่มงานวันใหม่
    แต่ใจยังเหมือนเดิม
    แน่วแน่ มั่นคง ตรงเวลา
    เดินหน้าเรื่อง ประกันคุณภาพตลอดเวลาอะ
    งานเยอะมากขึ้นนะพี่พงษ์
  • ก่อพงษ์

    31 พฤษภาคม 2547 08:16 น. - comment id 277350

    สวัสดีครับคุณลำน้ำน่าน
    จริงๆแล้วผมไม่ต่างจากคุณในแง่คิด
    งานที่ผมเขียนหลายชิ้นผมตามใจตัวเอง
    แล้วนึกกระหยิ่มไปต่างๆ
    แต่เมื่อไปศึกษางานของบรรพชนแล้วพัฒนาตัวเอง
    ผมยิ่งสำนึกในภูมิปัญญาของผู้เกิดก่อน
    เอาแบบนี้ไหมครับ
    เราลองมาสร้างฉันทลักษณ์ของเราเอง
    คุณนำเสนอสัก 1
    ผมนำเสนอสัก 1
    เราลองวิวัฒน์ร้อยกรองแบบของเราดูไหม
    
    แต่ให้คุณเริ่มก่อน
    
    ha
    
    
    ผมยังเพลินที่จะเขียนนะครับ
    ในรูปแบบบบของผมเอง
    
    ที่ศึกษามาน้อย
    
    
    
  • ก่อพงษ์

    31 พฤษภาคม 2547 08:18 น. - comment id 277351

    ลืมสวัสดีคุณมัทครับ
    สบายดีเช่นเคยนะครับ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    31 พฤษภาคม 2547 08:28 น. - comment id 277355

    อีกนิดนะครับคุณลำน้ำน่าน
    ผมเอางานที่ผมเขียนตามใจมาให้ดูเพื่อให้เห็นว่า
    แบบที่ผมไม่เคร่งฉันทลักษณ์เพราะมันบีบใจเกินไป
    จนหาคำสื่อใจได้ยาก         มีหลาย
    
    คือถ้าผมชำนาญฉันทลักษณ์และมีคำในคลังมากพอ
    ผมก็คิดอีกแบบหนึ่ง
    
    มีน้อยผมก็ใชไป้ตามน้อยไปแหละครับผม
    
    งานที่ว่าเป็นดังนี้ครับ
    
    ผมไม่เน้นสัมผัสในเลยครับในบทนี้
    
    มีตัวอย่างงานที่ผมไม่เล่นสัมผัสในเลย เช่น
    
    ดอกหญ้าสีขาว ดังนี้ครับ
    
    คงเคยเห็นเขาป่าและนากว้าง
    และคงเคยเดินทางอย่างฝันใฝ่
    จากทุ่งนามาสู่ความวิไล
    ที่เขาและใครใครก็รู้สึกเช่นนั้น
    
    คงเคยเห็นดอกหญ้าอ่อน
    ที่เติบโตกับดินดอนยามหวานพรั่น
    และอาจเห็นแดดแรงโรมรัน
    ดอกหญ้ายับไปกับวันเวลา
    
    ปวดร้าวกับวันอันปวดร้าว
    ความขมขื่นนั้นโหมราวกับว่า
    ใครจงใจบีบคั้นชีวา
    ให้แหลกยับย่อยลงอย่างธุลี
    
    โธ่เอ๋ยเขาป่าและนากว้าง
    แม้ธัญญาสล้างแลสดสี
    ก็เหมือนกับรกร้างเรื้อนานปี
    เหนื่อยยากหากไม่มีดีอะไร
    
    
    แล้วดอกหญ้าอ่อน
    ก็จากดินดอนหวังวันใหม่
    มีความบริสุทธิ์เต็มหัวใจ
    ก้าวเท้าเดินไปอย่างไม่เหนื่อยล้า
    
    วันใหม่วันแดดร้าว
    คล้ายกับจะอารีให้คลายหนาวคราวฟันฝ่า
    แต่ความจริงแดดเมืองที่ทาบทา
    หาได้บริสุทธิ์อย่างนั้น
    
    หมอกเมือกหม่นควันพิษ
    แสงแรงรอนริดความใฝ่ฝัน
    ทุ่งธัญญาคุณค่าอนันต์
    ซาบซึ้งหัวใจฉันแล้ววันนี้
    
    อยากคืนกลับท้องทุ่ง
    แต่เหมือนความมืดมุงหมดทางหนี
    แดดเมืองแท้แล้วมิได้อารี
    มีแต่แผดเผาเราหม่นไหม้
    
    นึกถึงแสงทองรองเรือง
    นึกถึงรวงข้าวสีเหลืองไสว
    แดดเมืองจะบีบคั้นนานเท่าใด
    หรือฉันต้องขาดใจในแดดร้าว
    
    ในเมืองใครแร้นแค้นแน่นหัวใจ
    ไม่มีใครมีเยื่อใยสนใจกัน .
    
    ---------------
    ป้าของผมอ่านบท ดอกหญ้าสีขาว แล้ว แกว่า
    มึงเขียนกลอนยังไม่เป็น
    ผมก็ยิ้มๆ
    เพราะบรรณาธิการปาจารยสาร(ช่วงนั้นคุณไพวรินทร์  ขาวงามเป็นบรรณาธิการ)
    พิจารณาลงเรื่องนี้ไปแล้ว
    
    แต่ผมก็ปรับนะครับ
    เขียนโดยเคร่งฉันทลักษณ์ขึ้น
    สัมผัสมากขึ้น
    ก็อ่านรื่นไหลไพเราะล่ะในงานอื่นๆ
    
    แต่ผมก็กลับไปเขียนอย่างนั้นอีกบ่อยๆ
    บางทีทุกท้ายวรรคทุกบทลงเสียงเดียวกันจนต้องพึ่งพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ
    ผมเพลินมากๆเมื่อได้ทำด้วยตัวเองอย่างนั้น
    พื้นฐานไม่ได้มาจากไหนหรอกครับ
    มาจากบรรพชนทั้งนั้น
    ผมไม่ได้หลู่บรรพชนโดยทำงานเหลาะแหละ
    แต่งานหลายชิ้นก็ไม่ได้เรื่องจริง
    นั่นเพราะความเขลา
    ซึ่งก็ต้องอาศัยหลายท่านช่วยแนะ
    
    
    ผมมีแรงใจและเห็นช่องทางในการทำงานร้อยกรองเยอะขึ้นมากๆ
    
    คุณลำน้ำน่าก็เช่นกันไม่ต้องเกรงใจผม
    ติเลย แรงๆผมก็รับ    รับได้
    เพราะผมอยากทำงานดีขึ้น
    ก้าวหน้าขึ้น
    ทั้งการใช้คำและความคิด
    
    
    
    สวัสดีครับ
  • max

    7 กุมภาพันธ์ 2548 22:53 น. - comment id 283566

    โลกย์คืออะไรใครรู้บ้าง

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน