20 เมษายน 2552 10:37 น.

หวังใดเล่า......เจ้าขุนทอง...???

คนกุลา

.

..........................
.

ฟ้าทั้งฟ้ายังคงหม่นบนฟากฟ้า

เราจากมาไกลมากจากไหนนี่

และจะไปหนใดในปฐพี

อาจบางทีรู้บ้างเพียงลางเลือน

.

บนหนทางที่ผ่านม่านวิโยค

บทโศลกบทไหนร่ายไม่เหมือน

ท่ามฝันเอยเคยเคว้งคว้างกลางแสงเดือน

และเลือดเพื่อนเปื้อนสาดรินราดดิน



ผู้ปกครองคนไหนเล่าเจ้าใฝ่หา

ระบอบใดในโลกาเจ้าถวิล

หรือเพียงฟังหลายหนจนเคยชิน

ทั่วธานินทร์เจ้าจึงกล้ามาไม่เกรง

.

หรือเจ้าสุดทนทานการกดขี่

หรืออยากหนีห่างไปใครข่มเหง

ไม่อยากให้เกิดกรรมมายำเยง

กับบทเพลงบทจบการรบรา

.

จึงเลือกเดินหนทางกลางเหตุผล

เดินร่วมคนจังจริงอหิงสา

แม้อาจถูกคุกคามตามบีฑา

จากมาราสมุนถ่อยคอยรอนราน

.

หวังสิ่งใดตอบได้ไหมเล่ามนุษย์

ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ดิรัจฉาน

เรียนรู้การพัฒนามานมนาน

หรือเพียงพล่านพล่ามใจไปวันวัน

.

หรือยังทำทุกอย่างกว่าบางสัตว์

เพื่อครองรัฐจึงเหยียบย่ำย้ำหฤหรรษ์

หรือเพียงกลบเกลื่อนหน้าสารพัน

หากฆ่ากันยิ่งกว่าสัตว์อนาถใจ

.

.................				
20 เมษายน 2552 00:09 น.

"พรายโลกีย์"....!!!

คนกุลา

.


โพทะเลเซกิ่งทิ้งดอกย้อย

จากเรียวรอยเขียวจัดสบัดไสว

ริมถิ่นร่องท่องมาชลาลัย

หล่อเลี้ยงในลุ่มน้ำตำนานเมือง

.

ลานท้องทุ่งคุ้งน้ำต่ำลาดโล่ง

สะพานโค้งยาวทอดลอดฟ้าเหลือง

พร่างแสงไฟราวสะพรั่งมลังเมลือง

สืบเป็นเรื่องเล่าขานต่อกันมา

.

ไม่เคยเยือนยามคราได้มาพบ

เป็นคำรบแรกก็รักเสียหนักหนา

ย่านสำโรงโค้งเว้าเจ้าพระยา

หรือเพราะว่าสมิงพรายคอยร่ายมนต์

.

ในอดีตแห่งกาลโบราณล่วง

ยามผ่านห้วงน้ำแก่งทุกแห่งหน

มักดูดฝืนกลืนกินชีวินคน

ดังผีดลใจโฉดโหดโหงพราย

.

มาบัดนี้ผีพรายหายไปไหน

มีแต่ไฟสาดระยิบกะพริบสาย

กับอนงค์องค์เอวอวดเรียงราย

แทนโหงพรายยุคใหม่ในเมืองกรุง

.

ผีพรายเฮี้ยนยังมีที่พำนัก

ผีพรายรักไม่มีที่เห็นทียุ่ง

ผีพรายกามลามกระจายร้ายนังนุง

ราตรีคลุ้งคาวโลกีย์...หยามผีพราย......!!!

.



.....................				
19 เมษายน 2552 07:35 น.

งามบ้านนา..ท่ามทุกข์แผ่นดิน..!!!

คนกุลา

.
............


ระลอกคลื่นเขียวริ้วทิวใบข้าว

ลมฝนราวทั่วฟ้าทาสีหม่น

บางทุ่งทองรองเรืองเหลืองปะปน

ระลอกชลริ้วริ้วทิวฝนปรอย

.

พุ่มทิวไม้ใบหนาชายคาบ้าน

คันชลธารล่องเลียบเทียบทางน้อย

ต้นตาลตั้งยืนต้นเหมือนคนคอย

ควันไฟลอยอ้อยอิ่งทิ้งกรุ่นควัน

.

เมื่อบ้านนาวันใหม่เปลี่ยนไปมาก

เหมือนเราจากมานานเพื่อสานฝัน

ไร้กองฟางนางคอยชมลอยจันทร์

ไร้รอยควั่นคมเคียวเกี่ยวคอรวง

.

แต่ที่ยังเตือนย้ำซ้ำซ้ำซาก

คือความยากจนจริงยิ่งใหญ่หลวง

หวานคำปลอบนานล้ำถ้อยคำลวง

ยกว่าปวงชาวนาดังสันหลังไทย

.

เป็นสันหลังที่อ่อนแอและผุกร่อน

จึงแรมรอนร้อนเร่าเข้าเมืองใหญ่

จะมีใครรู้ทุกสิ่งพร้อมจริงใจ

กล้าแก้ไขในเชิงรุกทุกข์แผ่นดิน

.

..................				
18 เมษายน 2552 22:39 น.

"ยามค่ำ"...!!!

คนกุลา

.

ฟ้าสีฟ้า หม่นไป เหมือนในฝัน

ดวงตะวัน ทาบลง ตรงเหลี่ยมเขา

เมื่อหมอกควัน เหมือนฉากจาง ดูบางเบา

ไม้ทอดเงา รายร่าง อย่างอ่อนใจ

.

แสงยามบ่าย คล้ายฟ้า ตากผ้าอ้อม

แดงแดดย้อม สาดทับ กับยอดไผ่

แพรผืนดำ กำลัง คลุมบังไพร

ถักทอใย ขึ้นห่มฟ้า คราไร้จันทร์

.

ได้แต่รอ ให้ดาว พร่างพราวฟ้า

เพื่อนำพา สองดวงใจ เฝ้าใฝ่ฝัน

ส่งคำตอบ ข้ามขอบฟ้า มาหากัน

ชี้ชมนั่น ดาวสวย ด้วยอยู่ไกล

.

ดาวคันไถ อยู่ที่โน่น กลางโพ้นฟ้า

เคียงคู่อยู่ ด้านขวา ดาวลูกไก่

ดาวคันชั่ง ลอยคว้าง ห่างไกลไกล

เหมือนดวงใจ  เหงาเหงา  เราคนคอย

.

ฟ้าสีฟ้า หม่นไป ไม่เหมือนฝัน

ดวงตะวัน ทาบเงา ดูเหงาหงอย

เมื่อไฟควัน หมอกเคลื่อน ดูเลื่อนลอย

ใจคนคอย จึงฝันคว้าง เหมือนอย่างเคย


...........




บ้านแม่แลบ  แม่ลาน้อย  แม่ฮ่องสอน				
17 เมษายน 2552 21:30 น.

โศกาดูร.....!!!

คนกุลา

.
เหงาเศร้าสุดห่วงดวงใจเอ๋ย
คำใดเอ่ยเล่าจะอ้างอย่างถวิล
แต่วันนั้นตราบวันนี้ชั่วชีวิน
ดุจแผ่นดินเยียบว่างกลางแสงจันทร์
.
บนหนทางพร่างดาวบนราวฟ้า
หลงเพ้อว่ายอดกมลอยู่บนนั้น
หวังและฝันปลอบใจไปวันวัน
ทำได้เพียงเท่านั้นฤาขวัญเอย
.
หากทำได้หมายใจเอาไว้ว่า
อยากสลักนภาแผ่นแทนคำเผย
จารึกในคืนวันผันผ่านเลย
เพื่อทรามเชยงามชื่นได้ตื่นชม
.
ขวัญเจ้าใยจากไปแสนไวนัก
ยังทอถักใยฝันไม่ทันสม
ปล่อยใจดวงหนึ่งคว้างกลางสายลม
หนาวเหน็บพรมพร่างพร่างน้ำค้างพราย
.
จงรอพี่ที่นั่นนะขวัญจ๋า
รอเวลาแห่งนิรันดร์เคยมั่นหมาย
ที่ที่ความผูกพันมั่นไม่คลาย
แม้ความตายมิอาจพราก...เราจากกัน
.
...................................
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกุลา
Lovings  คนกุลา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกุลา
Lovings  คนกุลา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกุลา
Lovings  คนกุลา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกุลา