13 กันยายน 2550 19:50 น.

แด่..เธอผู้ผ่านเข้ามาในชีวิต และได้เดินจากไป...สุดสายตา

ทิพย์โนราห์ พันดาว

" เอาความฝันไฝ่ของสองเราไว้ที่ปลายฟ้า เดินทางผ่านสายธารเวลาขอให้ศรัธา
อย่าลืมลางเลือน รอแสงสว่างอรุณรุ่งลางมาเยือน ฝากใจไว้ กับแสงดาวเดือนขอ 
ให้มาเยือนเธอในนิทรา "เสียงเพลงเพื่อชีวิตแว่วมาเบา ๆ ในเพลาที่ฉันกำลังเบื่อหน่ายชีวิตอย่างมากมาย...ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในใจตลอดมา กลับมาอีกครั้ง
แน่นอนที่สุด มันเป็นความทรงจำที่ลืมไม่ได้เลยตลอดชีวิต.....ภาพผู้ชายคนหนึ่ง
สูงโปร่ง คิ้วเข้ม ตาคม กลับมาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง...หลังจากที่หายไปนาน
แสนนาน  เขาผู้มากับความฝันของฉัน เขามีมทุกอย่างเหมือนที่ ฉันฝันอยากจะได้
...ฉันเป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับเขาก่อน และฉันก็ได้ความสัมพันธ์ที่ดีงาม
ตอบกลับมา เราคบกัน ผูกพันกัน จนเราสองคน ต่างคิดว่า ต่างคนต่างเป็นคนที่ใช่ซึ่งกันและกัน...ทั้งๆ ที่เราต่างมีครอบครัวกันอยู่แล้ว ฉัน...จากคนที่เคยท้อแท้
กับชีวิต กับมีพลังชีวิตขึ้นมาอย่างมากมาย  ฉันกลายเป็นคนมองโลกอย่างมีความสุข เพราะมีเขา จากการที่จะเขียนรูปสักหนึ่งรูป ต้องไปนั่งทำอารมณ์นานๆ  แต่..
พอมีเขาหัวใจก็ร่ำร้องอยากจะเขียนรูปตลอดเวลาที่มีเวลาว่าง ไม่มีความรู้สึกใดที่จะงดงามไปกว่าตอนนั้นอีกแล้ว แต่...ความสุขของฉันก็ต้องจากไปอย่างไม่มีวัน
หวลกลับมาใหม่ได้เลย ในชาติภพนี้ เขา..ไม่ติดต่อกับฉันเหมือนเดิม เขาลืมสัญญาของเราที่มีต่อกัน เราสัญญากันไว้ว่า เราจะไม่ทิ้งกัน แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะรักกัน มีกันและกันอยู่อย่างนี้ เพื่อรอเวลาแห่งวันนั้นมาถึง.... ณ วันนี้ในเวลาที่ฉันได้ฟังเพลงนี้ ฉันก็จะคิดถึงเขาทุกครั้ง เพราะมันเป็นเพลงของเราสองคน......ฉันไม่รู้ว่า ฉันทำอะไรให้เขาไม่พอใจ หรือฉันอาจจะไม่ดีพอที่จะเป็นคนรู้ใจของเขาก็อาจจะป็นได้...วันนี้ความท้อแท้กลับมาหาฉันอีกครั้ง แต่..ครั้งนี้ดูเหมือนจะยาวนานกว่าที่เคยเป็น และอาจจะตลอดไป ฉัน...มองกระดานเขียน
รูปด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและเย็นชา ไร้ความรู้สึก ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะหยิบดินสอมาร่างเส้น ตามความรู้สึกที่อยากให้เป็นไม่มีจิตใจที่จะเขียนบทกวีซึ้งซึ้ง 
ดั่งใจอยากจะเขียน ถึงจะฝืนความรู้สึกบ้างในบางครั้ง ก็คงมีแต่บทกวีเศร้าเศร้า
ที่ถ่ายทอดออกมาจากใจที่แสนจะปวดร้าวในทุกค่ำคืน...ในใจดวงนี้ ไม่เคยลืมเขาคนนั้นได้เลย ถึงแม้ว่าจะหลอกตัวเองอยู่ทุกห้วงนาทีว่าลืมได้.....ฉันยังเก็บความรู้สึกดีดี ไว้ในใจเสมอและอยากจะบอกว่าฉันจะคิดถึง และมีเขาตลอดไป
แม้คืนวันจะพ้นผ่านไปนานแสนนาน คิดถึงคือคำเดียวที่มั่นคง.....ตราบนิรันดร์.



                                                     ทิพย์โนราห์  พันดาว				
8 กันยายน 2550 22:22 น.

นิราศบางกอก 3(ตอนอวสาน...ซะที )

ทิพย์โนราห์ พันดาว

.......ข้าพเจ้าเดินเรื่อยๆแบบไม่รีบร้อน เพราะรู้สึกเหนื่อย เลยถือโอกาสนี้ เดิน
ชมของที่วางขายริมทางเดินบนฟุตบาท ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ร้านบริการเช่าพระ
สมุนไพร ดูโชคชะตาราศรี จนมาถึงร้านขายของที่ระลึกแถวหน้าวัดพระแก้ว
ดูเหมือนจะมีมากมายหลายร้าน ล้วนแต่ขายของเหมือนๆกัน กันแทบทั้งนั้น มีระฆังทองเหลือง พัดอันเล็กๆ เพ้นเป็นรูปวิวทิวทัศน์ตกตุ๊กตารำไทยเป็นคู่ ๆ โอ้ย
จิปาถะจำไม่หมด แต่ที่เห็นจะออกนอกหน้านอกตาคงจะเป็นผืนผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างพอประมาณเพ้นท์เป็นรูปวิว ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าคิลปินคนไหนเป็นคนเพ้นท์แต่ที่รู้ก็คือ มีกระทาชายนายหนึ่งได้กระทำการอุกอาจ บังคับขายรูปวิวนิรนามนี้ให้แหม่มแก่ๆ คนหนึ่ง ซึ่งมากับคณะทัวร์ที่แห่กันมาชื่นชมความงาม
ของวัดพระแก้ว โดยที่แหม่มคนนี้ได้ทำการปฎิเสธตั้งแหน้าวัดพระแก้วแล้ว แต่
นายคนนี้ก็ตื้อเสียจนน่ารำคาญ แล้วตื้อไม่เลิกเสียด้วย ข้าพเจ้าเดินตามหลัง
นายคนนี้กับแหม่มคนนั้นมา พลางนึกในใจว่า ถ้าเป็นชั้นจะตะบันหน้าให้แหก
เลย บอกไม่เอาก็ไม่เอาสิวะ ตื้ออยู่ได้คนอาไร้ แหม่มก็แสนดีปฎิเสธตั้งแต่วัด
พระแก้วจนถึงหน้าวัดสุทัศน์ซึ่งเป็นที่ที่รถจอดอยู่ ก็ยังปฎิเสธอย่างมั่นคง เพราะ
ว่าเธอได้ซื้อไอ้ภาพแบบที่นายคนนี้บังคับขายมาหลายรูปแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อนายคนนี้เท่านั้นเอง เพราะฉนั้นความอยากจึงบังเกิดกับนายคนนี้อย่างรุนแรง
ขนาดดึงแขนแหม่มให้ขึ้นรถ นายคนนั้นทั้งดึง ทั้งฉุด ทั้งจับ แต่แหม่มก็ไม่ซื้อสักที จนแหม่มต้องรีบหนีขึ้นรถไปโดยเร็ว เหตุกราณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้เพราะข้าพเจ้าได้เดินเลยรถทัวร์มาแล้ว พร้อมกับทิ้งความทุเรศ และความอับอายขายหน้าของคนไทยทั้งประเทศไว้เบื้องหลัง นี่ถ้า
คนต่างชาติเขารู้ว่าคนไทยเป็นแบบนี้ พวกเขาคงไม่อยากมาเที่ยวเมืองไทยเป็น
แน่แท้ทีเดียว ........
...ข้าพเจ้าเดินเลาะแนวกำแพงมาเรื่อยๆ ผ่านพิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ ข้าพเจ้าคิดว่ามันน่าจะใช่ แต่มันไม่ใช่ เพราะเมื่อข้าพเจ้าถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้า
พิพิธภัณฑ์  เขาบอกด้วยเสียงอบอุ่นว่า"ไม่ใช่ครับ เดินไปอีกอยู่โน้นครับตึกเหลืองๆ ฝั่งโน้นครับ" แล้วข้าพเจ้าก็ตอบกลับไปด้วยเสียงอันออดอ้อนว่า
"แล้วจะไปยังไงละคะ"อ๋อ คุณเดินเลาะใต้สะพานไปนะครับ เดี๋ยวก็ถึง" เขาตอบ
พร้อมกับส่งสายตาหวานฉ่ำว่า ยายคนนี้มาจากไหนว่ะ ไม่มีคำพูดออกจากปากข้าพเจ้า มีแต่เพียงความคิดที่ว่า เดินอีกแล้วเหรอ มันน่าสมน้ำหน้าตัวเองนัก 
อยู่กรุงเทพมาตั้งแต่เกิด ทำไมไม่เที่ยวซะให้ทั่วนะ น่าโมโหจริง ๆ เล้ย ข้าพเจ้า
กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นแล้วก็ลาจากมา .....ข้าพเจ้าเดินผ่านโรงละครแห่งชาติ ซึ่งตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ลืมตาดูโลกในวันแรก จนมาถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งรู้ว่ามันอยู่ตรงนี้นี่เอง...เสียงเพลงไทยเดิมดังเล็ดลอดออกมาจากตัวตึก พลิ้วตามลม 
มาเป็นระยะ ระยะ ข้าพเจ้าคะเนว่า เขาอาจจะกำลังซ้อมรำกันอยู่เป็นแน่แท้ที
เดียว อยากเห็นจัง แต่ไปดูงานศิลปก่อนดีกว่า พอลัดเลาะผ่านตัวตึกพ้นหัวถนนมา ข้าพเจ้าก็เห็นสะพานตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอก และเห็นร้านขายกล้วยทอด ความอยากเกิดในมโนนึกอีกแล้ว จึงเดินตรงรี่ไปสั่งกล้วยทอด สิบบาท เพราะความหิวไม่ใช่สิเพราะจะถามแม่ค้าต่างหากละ ว่าจะข้ามไปตึกเหลืองทางไหน
และก็ได้คำตอบว่า ให้เดินลอดใต้สะพานแล้วเดินย้อนขึ้นไปอีกหน่อยนึงก็ถึง 
ข้าพเจ้าจึงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในใจยังร่ำร้องให้กำลังใจตัวเอาว่า อีกนิดเดียว เดี๋ยวฝันจะเป็นจริงแล้ว เดินมาสักพักเล็กๆ และแล้วฝันของข้าพเจ้าก็เป็นจริง เมื่อสองเท้าอันอ่อนล้า ได้มาหยุดอยยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่มหึมาสูงท่วมหัวท่วมหู ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในทันทีทันใด
แลเห็นม้านั่งวางอยู่ข้างตัวตึก จึงนั่งทำใจเสียหน่อยนึง และถือเป็นการพักขาไปในตัวด้วย พลางทอดสายตาชมความโอฬารของหอศิลปแห่งนี้ ที่นี่ ณ สวนกลางลานโล่งนี้ มีสนามหญ้ากว้างพอดู แต่ถ้าไม่มีงานศิลปที่มีคุณค่าตั้งอยู่เรียงราย ก็คงทำให้สนามหญ้าแห่งนี้ดูธรรมดาเกินไป มันเป็นงานศิลปที่เป็นปฎิมากรรมเกือบทั้งนั้น น่าทึ่งยิ่งนัก ข้าพเจ้าดูแล้วก็ก็อดภูมิใจไม่ได้ว่าคนไทยนี่เก่งนะ  
สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้คนอื่นรับรู้ได้อย่างนุ่มนวลและลงตัวอย่างที่สุด โดยผ่านวัตถุที่ไม่มีชีวิต เอามาเรียงต่อ ๆ กันแล้วออกมาเป็นงานที่เป็นรูปทรง ทำให้วัตถุชิ้นนี้มีชีวิตขึ้นมาได้ น่าชื่นชมจริงๆ เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเดินสำรวจ  โดยการเดินผ่านห้องหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องหยุด เพราะได้ยินสุรเสียงอันไพเราะของหนุ่มน้อยนายหนึ่งว่า" เดี๋ยวครับ ซื้อบัตรเข้าชมก่อนครับ.
เมื่อได้บัตรแล้วข้าพเจ้าก็เดินชมงานศิลปทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ด้วยความจำเริญใจและมีอิสระเสรีเหนืออื่นใด ห้องแรกเป็นศิลปินเก่าแก่ สมัย อ ศิลป์ พีระศรี
 ซึ่งมี อ ช่วง มูลพินิจ อ เฟื้อ หิรัญรักษ์ แล้วอีกมามายข้าพเจ้าจำไม่หมดหรอก เมื่อห้องหนึ่งผ่านไป ต่อมาก็เป็นห้องที่สอง ห้องนี้ดูเหมือนว่างานศิลปจะมากกว่า
ห้องแรก เพราะว่ามีผลงานที่ประกวดชนะในงานศิลปกรรมแห่งชาติมาแสดงด้วย แต่ละห้องจัดแต่งไว้อย่างน่าดู มีภาพพระราชทานของในหลวงรวมอยู่ด้วย
แต่ที่ข้าพเจ้าชอบเป็นการสน่วนตัวคือ ห้องที่แสดงเรือผุผุ ซึ่งเต็มไปด้วยขี้โคลน ซากแห ซากอวน ภายในกาบเรือทั้งสองข้าง ได้เขียนรูป เกี่ยวกับธรรมชาติ
หรือภาพพิมพ์อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ แต่ภาพเหล่านั้นได้บ่งบอกเรื่องราวของการใช้งานของเรือลำนี้ได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อดูแล้วข้าพเจ้ารู้สึกนึกถึงชิวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้าขึ้นมาทันทีทันใด แหม นี่ถ้าเจ้าของผลงานอยู่ด้วยละก้อ จะโน้มคอลง
มาจุมพิศซะหนึ่งที โทษฐานทำถูกใจอิฉันเจ้าค่า........
เมื่อชื่นชมงานศิลปะจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว ขากลับผ่านห้องที่ผ่านมาในตอนแรก อดไม่ได้ที่จะชำเลืองสายตามองหาหนุ่มน้อยคนนั้น แต่รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเพราะว่ามีสาวมานั่งอยู่ด้วยเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แต่กล่าวลาในใจต่อหอศิลปแห่งนั้นด้วยความปิติเป็นอย่างยิ่ง.....ข้าพเจ้านั่งทอดสายตามองผ่านหน้าต่างรถประจำทางมาเรื่อยๆ ได้เห็นวิถีชีวิตคนกรุง ทุกคนล้วนวุ่นวายกันอยู่
มาก นี่ขนาดเป็นวันหยุดนะ ยังวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าเป็นวันธรรมดาหรือวันทำงาน
ก็คงจะวุ่นวายมโหฬารเลยทีเดียว ข้าพเจ้านั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ดูบ้านช่องตึกรามใหญ่โตสองฟากถนนมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาไม่กี่อึดใจก็แลเห็นยอดอนุเสาวรีย์
ชัยสมรภูมิอยู่ข้างหน้ารำไร พลางนึกในใจว่า เดี๋ยวนี้ รถประจำทางบ้านเรามี
พัฒนาการในการขับได้เร็วขึ้นมาก แต่ก่อนยังเป็นสาวรุ่นเรียนพาณิชขย์อยู่ เคยนั่งรถจากสนามหลวงมาอนุเสาวรีย์ชัย เป็นเวลานานพอดู แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็เจริญขึ้น ไม่ใช่เพราะเป็นรถคอมพิวเตอร์ แต่เพราะสิ่งที่เรียกว่าเงิน คือได้รอบ
ในการวิ่งมาก ก็ได้เงินมาก จึงจำเป็นต้องเร่งเพื่อให้ได้รอบมากๆ โดยไม่มีการสงสารผู้โยสารตาดำ ๆ ที่เวลาขึ้นรถก็ต้องแทบจะกระโดดขึ้น เพราะกลัวรถจะออกไปก่อนที่ตัวเองจะขึ้น เมื่อขึ้นแล้วก็ยังทรงตัวไม่ได้ หงายหน้าหงายหลังไปบ้างก็มี บางทีก็ต้องรีบหาที่เกาะเพราะกลัวจะล้ม ข้าพเจ้าเป็นคนไม่รีบร้อนแต่ไม่ขี้เกียจ จึงนิยมนั่งรถประจำทางที่จอดอยู่ที่อู่ เพราะสามารถเลือกที่นั่งได้ และเหตุ
ผลอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่อยากเป็นซุปเปอร์แมนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ส่วนมากคนในกรุงเทพจะเป็นสไปเดอร์แมนซะมากกว่า เพราะว่าเกาะแน่นเหนียวเหลือเกิน ไม่ว่ารถจะ ตุปัดตุเป๋ ขนาดไหน ข้าก็ไม่หล่น เพราะฉนั้นข้าพเจ้าว่าน่าจะมีคำขวัญ ประจำตัวว่า " เท้าเหนียว มือเหนียว เดี๋ยวก็ถึง "คงจะเข้าท่าดี ....พอถึงอนุเสาวรีย์ชัย มีผู้โดยสารลงมากขึ้นก็มาก เผอิญมีญี่ปุ่นที่เป็นสาวรุ่น ๆ ขึ้นมาสองคน หน้าตาก็สะสวยดี แล้วก็เผอิญอีกเหมือนกันที่สองสาวนั้นมายืนตรงที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ แต่อย่าหวังนะว่า ข้าพเจ้าจะลุก เมินเสียเถอะ เป็นคนแก่ เป็นเด็กก็ไปอย่าง พอสองสาวจ่ายค่ารถเสร็จก็ตั้งหน้าตั้งตาเมาท์กัน จนน้ำลายแตกฟอง ละอองฝอย ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าสองสาวนั้นคุยอะไรกันเพราะว่าสองนางนั้นส่งภาษาญี่ปุ่น โต ติ๊ ชือ โชะ ต๊ะ โต๊ะ อะไร สักอย่าง แต่จับใจความได้ว่า เธอสองคนพูดถึง การเล่น สกี สกี๋ เนี่ยละมั้ง แต่ที่สำคัญ คือน้ำลายได้กระเด็นลงสู่ ลำแขน
อันอ่อนช้อยของข้าพเจ้าเป็นจำนวนหนึ่งหยด ข้าพเจ้าก็เงยหน้ามองที่มาของเจ้าน้ำลายหยดน้อย หนึ่งครั้ง แล้วก็เฉยเสีย แต่สองสาวรู้สึกเหมือนว่าไม่รับรู้อะไร
เลย ยังคุยต่อ และแล้วน้ำลายหยดที่สองก็ตามมา ข้าพเจ้ามองหน้าอีก เหมือนเดิมเธอไม่รับรู้ แถมยังคุยกันต่ออย่างเมามันส์ ข้าพเจ้าเลยทำเฉยเสีย และถือคติว่าช่างมันฉันไม่แคร์ พลางคิดในใจว่า ช่างมันเถอะแค่หยดลงแขนสองสามหยด ขนาด หัวกบาลข้าพเจ้ารับน้ำลายมาตั้งนานแล้วมันยังไม่บ่นสักคำ นับประสาอะไรกับแขน พอรถถึงสวนจตุจักร ญี่ปุ่นสองคนนั่นลง ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งใจอย่าง
ใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า คนอะไรวะ คุยตั้งแต่อนุเสาวรีย์ ถึงสวนจตุจักร ไม่มีเวลาหยุดเลยเก่งเป็นบ้า........
......ข้าพเจ้าก้าวเท้าข้ามทางรถไฟ ที่หน้าสถานีรถไฟดอนเมือง เดินรี่ไปยังห้องจำหน่ายตั๋ว เพื่อซื้อตั๋วกลับบ้าน เมื่อรับตั๋วจากนายสถานีเรียบร้อย ดวงตาดำขลับของข้าพเจ้าก็เริ่มมองหาที่ปลดทุกข์ เห็นแล้วอยู่ข้าง ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวซะด้วย ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบทำตามคำสั่งของหัวใจทันที เพราะได้ทำการอั้นมาตั้งแต่สนาม
หลวงแล้ว ใหล้จะหมดลิมิตเสียแล้ว เมื่อปลดทุกข์เรียบร้อย จ่ายเงินค่าบริการห้องน้ำเสร็จ ข้าพเจ้าก็เอาเจ้าก๋วยเตี๋ยวหน้าห้องน้ำนั่นแหละเป็นอาหารมื้อเย็นซะหนึ่งชาม จะหาที่ไหนได้ กินไปสูดกลิ่นธรรมชาติไป มันช่างอร่อยเสียนี่กระไร
นี่ถ้าเป็นพวกสาวไฮโซ เขาคงไม่มากินกันหรอก แต่เผอิญมันเป็นคนเดินดินอย่างข้าพเจ้าไงถึงได้กินลง แต่มีคำสารภาพจากคนเดินดินคนนี้ว่า มันเป็นการ
กินที่ทรมานอย่างที่สุดของการกินก๋วยเต๋ยวชามหนึ่งในชีวิต........
......เสียงหวูดรถไฟดังอยู่ข้างหน้าลิบๆ พอได้ยิน เพราะขบวนขากลับนี้เป็นขบวน
ยาวมาก และข้าพเจ้าก็อยู่ตู้ท้ายๆ จึงไม่ค่อยได้ยินเสียงหวูดรถไฟถนัดนัก มีผู้โดยสารบางคนว่าเป็นรถหวานเย็น เพราะว่าจะจอดทุกสถานี ไม่ว่าเล็ก น้อย นิด ขนาดไหนก็จอด รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ความคิดของข้าพเจ้าก็แล่นตามรถไฟ
ไปเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะคิดถึงการเสพงานศิลปที่เพื่งผ่านมาหยกๆ เพราะมัน
ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจ  ที่จะต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ และวันต่อๆไป อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
 มันเป็นการต่อสู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า ที่ไม่มีใครสามารถลบล้างมันได้แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง........
.........แดดหมดแล้ว เหลือเพียงท้องฟ้าอึมครึม คงจะใกล้เวลาหนึ่งทุ่มแล้วกระมัง
เสียงเจี้ยวจ้าวของวัยรุ่นผู้ชายกลุ่มใหญ่ดังอยู่ทางเก้าอี้ด้านหลังของข้าพเจ้า ตั้งแต่ข้าพเจ้าขึ้นมาก็เห็นวัยรุ่นกลุ่มนี้นั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนเสียงพูดคุย
จะดังกว่าตอนที่ข้าพเจ้าขึ้นมา เพราะตอนนี้ได้มีกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงขึ้นมานั่งอยู่ข้างหน้าของข้าพเจ้าอีกกลุ่มหนึ่ง เมื่อหนุ่มน้อยกับสาวน้อยมาเจอกัน อะไรจะเกิด
ขึ้น แน่นอนความอยากก็เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ คืออยากแซว อยากมอง อยากรู้จัก และอยากได้เบอร์ เมื่อได้เบอร์แล้วก็อยากโทร เมื่อโทรแล้วก็อยากเจอตัว เมื่อเจอตัวแล้วก็อยาก..... คิดเอาเองแล้วกัน เพราะฉนั้นเมื่อความอยากปรากฎ
 มันจึงรบกวนผู้คนรอบข้างที่ไม่อยากเช่นข้าพเจ้า แล้ววันนี้ไฟบนรถไฟก็ดับ เป็นเพราะเหตุใดไม่อาจรับรู้ได้ จึงทำให้ภายในรถไฟค่อนข้างจะมืดอยู่สักหน่อย
ในกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงดูเหมือนจะมีน้องคนหนึ่งที่จะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่พอสมควร
 คือผิวของน้องคนนั้นค่อนข้างจะดำหรือดำเลยก็ว่าได้ ซึ่งข้าพเจ้าแอบสมญานามให้ว่าน้องดำ น้องดำคนนี้มีผิวดำพอๆ กับความมืดในรถไฟเลยทีเดียว และก็มีรูปร่างที่อวบอัดเกินความจำเป็นอยู่มาก  จึงไม่เป็นที่สนใจต่อหนุ่มๆในกลุ่มวัยรุ่น
ผู้ชาย ซึ่งแตกต่างกับเพื่อนๆ ของเธอ ที่โดนแซวแล้วแซวอีกอยู่อย่างนั้น พอรถ
วิ่งมาถึงชุมทางบ้านภาชี สาวๆกลุ่มนั้นก็เตรียมตัวจะลง    เพื่อนๆอยู่ข้างหน้าโดยมีน้องดำประกบท้าย ไปในรถยังมืดอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าจะไม่ได้เบอร์โทร เจ้าหนุ่มน้อยสองคน เป็นตัวแทนกลุ่ม ได้เดินตรงรี่มายังกลุ่มวัยรุ่นสาวๆ ทันที ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากขอเบอร์โทร ไฟในรถไฟก็สว่างพรึบ จนข้าพเจ้าเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อไฟสว่างน้องดำก็เด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าหนุ่มน้อยสองคนนั้น ยังความผิดหวังมาให้หนุ่มน้อยสองคนนั้นเป็นอย่างมาก ที่สำคัญหนุ่มน้อยสองคนนั้นตกใจเมื่อไฟเปิดและเมื่อแลเห็นน้องดำ ถึงกับอุทานว่า " อูยตกใจเลย "แล้วรีบเดินกลับไปที่กลุ่มของตนเองอย่างรู้สึกเสียฟรอม์เป็นอย่างมาก...เพื่อนๆ และน้องดำลงไปหมดแล้ว เสียงหนุ่ม ๆ ในกลุ่มนั้นวิจารณ์กันใหญ่ ส่วนข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่ ๆ ให้มันสะใจ แต่เกรงว่าจะมีคนเอามือและเท้ามาฝากไว้บนหน้าและริมฝีปากอันอวบอิ่ม ของข้าพเจ้า เลยได้แต่นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว ได้แต่นึกในใจว่าสมน้ำหน้า ซ่านัก อยากเจ๋อ ต้องเจอแบบนี้แหละ.....
..........ข้าพเจ้าก้าวลงรถไฟ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เพื่อที่จะขอบคุณมันที่พาข้าพเจ้ามาส่งถึงบ้านโดยปลอดภัย การปฎิบัติการหนีเที่ยวรั้งนี้สำเร็จ ข่าพเจ้าก้าวเท้าเดินออกไปข้างหน้า โดยที่ในใจนึกถึงการปฎิบัติการครั้งต่อไป ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะสมหวังหรือไม่ สามัญสำนึกกลับเข้ามาในสมองของข้าพเจ้าอีกครั้ง ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า เอาละนะ ต่อไปนี้ เราก็คือ คุณแม่ลูกสอง และก็เป็นภรรยาที่ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ เอ้ยไม่ใช่ ปรนนิบัติสามี และเป็นคุณครูของเด็ก ๆต่อไป จนกว่าจะถึงแผนปฎิบัติการครั้งหน้า..........
                            

                                                                ทิพย์โนราห์ พันดาว

 เฮ้อ จบซะที แทบขาดใจ อิ อิ อิ

หมายเหตุ เรื่องนี้เขียนไว้ก่อนที่ชีวิตจะเปลี่ยนแปลง				
7 กันยายน 2550 21:31 น.

นิราศบางกอก 2

ทิพย์โนราห์ พันดาว

รถไฟไปแล้ว......เหลือข้าพเจ้ากำลังยืนเล็งว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทำตามความคิดสิ ข้าพเจ้าตกลงกับตัวเอง หนึ่งข้าพเจ้าต้องไปดูงานศิลปที่โรงแรมฟอร์จูนตรงแยกรัชดา สอง...แล้วก็ไปดูที่หอศิลปอีกหนึ่งที่ เมื่อตกลงกับตัวเองสำเร็จ เท้า
ก็เดิน เดินไปขึ้นรถแท๊กซี่ เพราะว่าไปไม่ถูก..ฮ่าๆๆ โชว์เฟอร์แท๊กซี่ก็ใจดี พาไปจนถูก เสียค่าบริการไปหนึ่งร้อยบาทถ้วน เป็นอันว่าถึงโรงแรมฟอร์จูน แต่
เมื่อขึ้นไปดูงานแล้วก็ให้รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะรูปที่นำมาแสดงน้อยเกินไป
 และแพงมาก จึงไม่ค่อยสะใจเท่าไร ข้าพเจ้ารีบลงมาจากชั้นสิบสองเพราะรู้สึก
ว่าหรูเกินไปเห็นแล้วขนลุกยังไงก็ไม่รู้ กลัวเชื้อคนรวยจะติดตัวข้าพเจ้าเลยต้องรีบไปให้ไกลๆ ไว้ก่อน...ข้าพเจ้าขึ้นรถไปสนามหลวง คราวนี้ไปถูก แต่ก็แอบถามคนแถวนั้นเหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าถือคติว่า ทางอยู่ที่ปาก เมื่อถึงสนามหลวง รถเล่นเลยไปจอดหน้า ม ศิลปากร ข้าพเจ้าลงก่อนเพราะกลัวจะเลย......
ฉับพลันสายตาก็เหลือบแลไปเจอร้านข้าวแกง ความหิวแล่นปรี่ขึ้นมาถึงหัวใจ
ดวงน้อยของข้าพเจ้า เพราะมันเป็นเวลาบ่ายโมงตรงไม่บิดเบี้ยวไปทางไหนเลย
มันจึงจำเป็นที่จะต้องหิว จะหวังพึ่งข้ามต้มเมื่อเช้านั้น มันก็ละลายหายไปซะแล้ว
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่รอช้า ตรงดิ่งไปยังร้านข้าวแกงที่ว่านั่นทันที สั่งข้าวราดแกงแพนงหมูหนึ่งจาน ตามด้วยไข่ดาวอีกหนึ่งใบ แล้วก็ลงมือจัดการกับเจ้าข้าว
แกงอย่างไม่ปราณีปราศัยกันเลยทีเดียว เพราะความหิวจนจะเป็นลมนั่นเอง....
......เมื่อน้ำหยดสุดท้ายจากแก้วอลูมิเนียมใบเขื่องไหลลงสู่ปากข้าพเจ้าเป็นอันว่า
เสร็จภารกิจในการกินเสร็จเรียบร้อย และรอดตายไปได้อีกหนึ่งมื้อ ข้าพเจ้าจ่ายตังค์ให้ป้าเจ้าของร้านเรียบร้อยแล้วก็เดินผละจากมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกเลย.........
...จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้าคือเสพงานศิลปในหอศิลป ข้าพเจ้าไม่รอช้าก้าวยาวๆเข้าไปใน ม  ศิลปากรอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีเด็กสาวหนุ่มนั่งคุยกันอยู่เป็นกลุ่มๆ บ้างก็วาดรูป บ้างก็อ่านหนังสือ ข้าพเจ้าถามน้องในนั้นว่าเขามีงานในหอศิลปหรือ
 น้องพวกนั้นบอกว่า "เอ ไม่มีนี่คะ พี่ลองเดินเลาะสวนแก้วไปสิคะ หนูก็ไม่แน่ใจ"ข้าพเจ้ารับคำ พลางนึกในใจว่า ขนาดเธอยังไม่รู้ แล้วฉันจะรู้ดีไหมเนี่ย แต่
ข้าพเจ้าก็เดินเลาะตามทางเดิน ข้างสวนแก้ว ตามน้องคนนั้นบอก น่าแปลก
บรรยากาศใน ม ศิลปากร ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ในสวนแก้วที่ข้าพเจ้าเดินผ่านมานั้นกลับร่มรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้านึกอยากจะนั่งพักอยู่เหมือนกัน แต่คิดอยู่ว่ากลัวจะไม่ทันรถไฟ ในตอนขากลับ เดี๋ยวไม่ได้ดูงานศิลปกันพอดี ข้าพเจ้าเดินเรื่อยมาจนถึงหอศิลป พระเจ้าช่วย หอศิลปปิดสงบเรียบร้อย มีแต่เด็กสาว ๆ นั่งคุยกันอยู่หน้าหอ สองสามคน ข้าพเจ้าถามเธอ ๆ เหล่านี้นได้คำตอบ
ว่าหอศิลปไม่มีงาน จบกัน ฝันสลายแน่คราวนี้ ก่อนที่ความฝันจะสิ้นดับ ฉับพลันตาก็เหลือบไปเห็นบอรด์ปิดประกาศข้างหอศิลป มีใจความว่า งานแสดงภาพเขียนศิลปกรรมร่วมสมัย ของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลปถนนเจ้าฟ้า
โอ้ แม่เจ้าอยากจะร้องกรี๊ด ออกมาให้สุดเสียง แต่ไม่ทำ พอดีกับมีสาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา ข้าพเจ้าถามเธอได้ความว่า งานนี้แสดงอยู่ที่หอศิลปถนนเจ้าฟ้าโน่น "แล้วมันอยู่ตรงไหนคะ "ข้าพเจ้าถามกลับไปเธอก็บอกว่าให้เดินออกไป
ข้างหน้า ม ศิลปากร แล้วจะเจอเอง โอ เค แม่คุณ เดินก็เดิน  และข้าพเจ้าก็เดินออกมาจากม ศิลปากร แต่ไม่วายแอบสอดส่องสายตามองหาหนุ่มๆ หน้าเข้ม ๆ ผมยาว ๆ  แต่ก็ไม่เจอเลย อาจจะมีบ้างแต่ก็แทบจะเป็นรุ่นลูก ใครจะไปมอง เดี๋ยวเจอข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่ที่สำคัญเขาไม่มองเรา ทำไมนะเด็กๆ พวกนี้ถึงได้ไม่ชอบดูของสวยๆ งามๆกันบ้างหรือไงนะ น่าหมั่นไส้ซะจริงเชียว..........


ไว้ค่อยต่อภาค 3 กันนะคะ ง่วงนอนแล้วค่ะ				
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟทิพย์โนราห์ พันดาว
Lovings  ทิพย์โนราห์ พันดาว เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิพย์โนราห์ พันดาว
Lovings  ทิพย์โนราห์ พันดาว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟทิพย์โนราห์ พันดาว
Lovings  ทิพย์โนราห์ พันดาว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงทิพย์โนราห์ พันดาว