30 กรกฎาคม 2548 17:29 น.

เลโมนี สนิกเก็ต "อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย"

น.นิรัติศัย



เลโมนี สนิกเก็ต
"อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย"

	ลูกๆ ที่รัก ตั้งแต่ออกเดินทางมาก็คิดถึงทุกคนมาก มีเรื่องเกิดขึ้นทำให้เราต้องเดินทางนานกว่าเดิม ซักวันเมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะได้เรียนรู้ถึงคนที่เราเป็นมิตรด้วย และอันตรายที่เราต้องเจอ ในบางครั้ง โลกก็ดูร้ายกาจและน่ากลัวมาก แต่เชื่อพ่อกับแม่เถอะว่า โลกนี้มีสิ่งดีมากกว่าสิ่งเลว สิ่งที่ลูกต้องทำคือ "มองหามัน" และสิ่งที่ดูจะเป็นเคราะห์ร้ายที่ไม่จบไม่สิ้น จริงๆ อาจเป็นก้าวแรกของการเดิมทาง เราหวังจะได้กลับมากอดลูกเร็วๆ นี้นะจ๊ะ แต่ถ้าจดหมายฉบับนี้ไปถึงก่อน ขอให้รู้ว่า "เรารักลูกจ๊ะ" 
	เราภูมิใจมากที่รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต ลูกทั้งสามคนจะดูและกันด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ และไม่เห็นแก่ตัวเหมือนที่เป็นมาเสมอ ขอให้ลูกจำไว้อย่างหนึ่งและอย่าลืมเป็นอันขาด "ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ตราบใดที่เรายังมีกันและกัน คือเรามี ครอบคัวและความอบอุ่น"

รัก
จากพ่อกับแม่

บางสิ่งที่ต้องประดิษฐ์
บางสิ่งที่ต้องอ่าน
บางสิ่งที่ต้องกัด
บางสิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างที่หลบภัยขึ้นมาไม่ว่าจะเล็ก... แค่ไหน


หลังจากที่คิดแล้วคิดอีกว่า "เอาหนังเรื่องนี้มาดูดีมั้ย" คำถามเกิดขึ้นพอๆ กับการเดินทางช่วงฝนใกล้จะตกเต็มที
สุดท้ายก็นำมาดูจนได้ 
การเดินทางของเด็กน้อย 3 คน ของตระกูลโบดแลร์
ไวโอเล็ต พี่สาวคนโต ผู้ปราดปรื่องเรื่องการประดิษฐ์ เคล้าส์ น้องชายคนกลาง ผู้หลงใหลการอ่านแบบจำได้ทุกหน้า และซันนี่ น้องสาวคนเล็ก ที่เผลอเป็นต้องงับ
	หากมองถึงโลกและสังคมแห่งยุคน้ำมันแพงและไอรดต้นคอแบบนี้ มันไม่ใกล้ไม่ไกลนัก บางทีหลายๆ คน คงเคยพบปะมามากน้อยแล้วแต่ช่วงวัย
	สุดท้ายบทสรุปของหนัง มันไม่ต่างไปจากหนังการผจญภัยที่แฝงด้วยการค้นหา ถึงแม้มันจะอยู่แค่เอื้อมมือหยิบ ความอบอุ่น ความดี และมิตรภาพ เกิดขึ้นทุกแห่งหน หากมองหามัน คงไม่ยากเกินที่จะไขว่คว้า...

	แต่เรื่องก็ยังคงดำเนินต่อไป ไร้ที่สิ้นสุด
	แล้วคุณหละ "ดู" หรือยัง				
8 กรกฎาคม 2548 18:47 น.

“รัก หนอ รัก”

น.นิรัติศัย

ถึงเวลาแล้วสินะ?
	หลังจากที่เจอกันและอยู่ด้วยกันมา เวลาล่วงเลยมาเกินพอที่จะทนไหวอีกแล้ว ผมรู้ตลอดเส้นทางที่เราต่างแสวงหาด้วยกันนั้น มันผ่านบ่อน้ำหลายบ่อ จากบ่อน้ำเย็นอบอวนด้วยความอบอุ่นก่อนกล้ำกลายสู่วังวนของน้ำร้อนที่ค่อยๆ เดือด ตามดวงตะวันที่ส่องแสงและจมหายสู่ก้นโลกใบหม่น ในสภาพของสังคมเลวร้าย หาใช่โลกของเราไม่...
	โลกที่สดใสสว่างจ้า ยามต้องตาต้องใจ บัดนี้มันแตกออกจากห้วงสุริยะ 
	แม้จักรวาลนี้จะไม่มีโลกที่เราสามารถรับรู้ความทุกข์ซึ่งกันและกันได้ หากแม้นเธอยอมอ่อนแรง ความเอาแต่ใจตัวเอง ลดการข่มเหงจิตใจด้วยคำพูดที่แสนร้ายกาจ ยามเธอโหยหาความถูกต้องของอารมณ์ที่เป็นใหญ่ในร่างกาย...
	
	ผมรู้ ความหวังที่ให้อีกคนเป็นดั่งใจ มันยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร แต่นั้นมันไม่ได้เป็นบทสรุปของเวลาที่รับรู้ว่าความรักขึ้นอยู่กับสิ่งของหรือความหวัง ลมๆ แล้งๆ ที่จัดการภายในเวลาชั่วครู่
	บางทีการที่เราเลิกกัน มันอาจยุติปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามาตลอดสองฟากฝั่งของถนนแห่งรักก็อาจเป็นได้
	อย่างน้อย การเสียใจเพียงชั่วครู่ เดือน ปี หรือตลอดเวลา ย่อมสูญสลายไปตามความคิดที่กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ยามไร้คู่เดินเคียงข้าง และรอบกายอันอ้อนล้ากับความไม่มีเหตุผลของอารมณ์แห่งรัก...
	...หาใช่ความใคร่ไม่...
	หาก... คิดในทางกลับกัน คงไม่ใช่คู่กันอะไรทำนองนี้ เหมือนคำพูดที่ว่า คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน มันอาจใช่ในบางเวลา หากผ่านเวลาที่แสนยาวนาน บางครั้งความรักมันอาจลดบทบาทและตัวตนลงก็เป็นได้
	
	อาจเป็นนกที่พร้อมจะบินไปยังฟ้าไกล เพียงเพื่อหากฎเกณฑ์ตามธรรมชาติที่แซกแซงเข้าสู่สมอง บีบบังคับให้บิน บิน บินต่อไปจนกว่าจะหมดแรงและร่วงจากฟากฟ้า ก่อนดับตนส่งดวงวิญญาณให้นำทางสู่จุดหมายอย่างไรที่สิ้นสุด

	หากมาถึงตอนนี้ คงเปล่าประโยชน์ที่จะแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น มันไม่จำเป็นที่เราจะต้องยื้อกันอีก หากบางครั้งคำพูดของผมเป็นการแก้ตัวให้ดูดี สร้างความเห็นอกเห็นใจจากคุณ มันคงไร้เหตุและผลอีกต่อไป

	ณ ห้วงใจด้านซ้ายทั้งสี่ห้อง คงสูบฉีดเลือดและสกัดความรักที่ผมมีต่อคุณให้มันกลายเป็นเลือดดำที่ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเก็บไว้ ก่อนสลัดเข้าเตาปฏิกรที่เผาผล่านให้มอดดับลงไม่มีแม้เยื้อใย เปรียบกับต้นบอนไร้ซึ่งชีวิตที่จะเจริญเติบโตในแม่น้ำที่มีเต่านับล้านตัว				
16 มิถุนายน 2548 19:31 น.

“รัตติกาล” Nighttime

น.นิรัติศัย

เปิดประตูใจ สู่ความสว่างที่เจิดจรัส ภายใต้ความมืดมิดของอาณาจักรรัตติกาล ดวงวิญญาณ เหล่าภูตผี ปีศาจร้าย ครอบงำความเป็นมนุษย์ ที่สุดประเสริฐในสายตาฆาตกรด้วยกัน วังวนแห่งนรกขุม 25 การเปลี่ยนแปลงระหว่างวัย แก่นแท้ของความบ้าบิ่นเมื่ออายุ 15 การตามล่าสาวพรหมจรรย์ แห่งทุ่งนีออนบนทางคอนกรีต ณ ริมฟากถนนหลวง รถราแออัดพ่นควันพิษปน นิโคลตินคละคลุ้งปลิวว่อนตามเสียงเชื้อเชิญ
	อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ความบอกช้ำที่สังคมเป็นผู้สร้าง ความสับสนของเด็กวัยเจริญพันธ์ การสืบพันธ์ก่อนวัยอันควร
สิ่งยั่วยุทางกามารมณ์และด้านมืดของความเป็นคน บดบังเดียงสาที่แรกแย้ม แหวกม่านประเพณีที่บรรพบุรุษร่วมสร้างกันมา
	นับวันยิ่งทวีคูณ เพิ่มพูนเหมือนกองขยะ ลืมแม้กระทั่งปู่ย่าตายาย และผู้ให้กำเนิด
	วังวนแห่งการล่มสลาย สุดท้ายกลายเป็นผีเฝ้าสุสาน เป็นเพียงวิญญาณร่อนเร่พเนจร เปรอะเปื้อนด้วยน้ำกาม ถนนหนทางแฝงด้วยหนามต้นงิ้ว ปีนป่ายตามชายเสื้อที่บางพลิ้ว ปลดเปลื้องตนเองด้วยเงินตรา ตามล่าหาฝันแต่วัยสาว แต่สุดท้ายกลายเป็นหมาเน่าที่ไม่มีใครสนใจ

	รัตติกาล ช่างยาวนานตามประสาคนกลางคืน ความมืดมิดแห่งจิตที่สว่างจ้าในโลกแห่งความจริง ความเย่อหยิ่ง อวดดีภายใต้แสงสีที่ดูงาม หลอกล่อแมลงเม่าที่พร้อมจะผสมพันธ์ ท้ามกลางควันบุหรี่และกลิ่นแอลกอฮอล์ โจนทะยานด้วยแรงกระตุ้นจากจังหวะที่เร่าร้อน ก่อนโถมตัวเข้าเกลือกกลั้ว ฉุดกระชาดใจ โลดแล่น ผ่านดินแดนต้องมนต์ ยิ้มอย่างยั่วยวน เชิญชวนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟที่หลอมละลายด้วยกายอันเปลือยเปล่า
	เสียงหายใจรวยระริน เม็ดเหงื่อเกาะเต็มเบ้าหน้า แต่งแต้มเนื้อตัว สะท้อนเงาจากแสงสลัว ดุดแก้วอันแวววาว หากไร้ซึ่งราคาที่ยากแก่การประเมิน เพียงเก็บไว้ดูเล่นยามเหงากาย ปลดเปลื้องกำหนัดแค่เวลาชั่วครู่...				
4 มิถุนายน 2548 18:12 น.

โทรศัพท์ : ความรัก

น.นิรัติศัย

โทรศัพท์ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไปเสียแล้วตอนนี้ หลังจากที่โลกไซเบอร์รวมหัวจมท้ายกับเครื่อข่ายต่างๆ โทรศัพท์กลับสำคัญตั้งแต่แรกเกิดจนแก่ตาย หรือแม้แต่ตายโดยเหตุต่างๆ อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย หรือ ชิงทรัพย์ นาๆ จิตตัง โทรศัพท์ส่งผลให้มนุษย์มีวิวัฒนาการสื่อสารซึ่งไร้ขอบเขตและไร้ข้อปิดกั้น (อันนี้ไม่รวมถึงโทรข้ามเครือข่ายไม่ได้ :]) 
	โทรศัพท์ หลากหลายรูปแบบเกลื่อนกลาดเต็มท้องตลาด สามารถจับจ้องและแย่งเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก หากใครไม่มีในโลกปัจจุบันนี้คงเชยสุดๆ
	3 ปีกับการเปลี่ยนโทรศัพท์ 3 เครื่อง มันทำให้ผมรู้ว่าการที่เราจะแข่งขันตามตลาดหรือมองแค่ผิวเผินมันยากเกินจะคาดเดาได้แล้ว ครั้งหนึ่งโทรศัพท์แค่เพียงโทรเข้า-ออก รับสายได้ เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ใช่สิ! หากมีเบอร์ไว้ครอบครองไม่ว่าจะขึ้นต้นด้วยจำนวนนับที่ไม่มีค่าอะไรเลย สุดท้ายอาจสำคัญสำหรับใครอีกหลายๆคน  แค่โทรหาคนใดคนหนึ่ง โทรศัพท์มีประโยชน์มากสมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไป
	แต่... หากวันหนึ่งมีเพียงโทรศัพท์แต่ไม่รู้ว่าจะโทรไปหาสวรรค์วิมานอะไร มันก็ไม่มีความสำคัญอะไรกับเราซักเท่าไหร่ จริงไหม
	ผมห่างจากการครอบครองโทรศัพท์มาหลายเดือน หากจะใช้ เพื่อโทรหาใครคนใดคนหนึ่ง ต้องย้ำเท้าหาตามตู้สาธารณะและห้างสรรพสินค้า วันไหนโชคร้ายหน่อยโดนกลืนเหรียญแถมไม่มีการคายออกมาให้ดีใจเล่นไม่ว่าคุณจะเขย่าซักเท่าไหร่แถมยังเป็นที่จับตา มองของ รปภ.โดยที่ไม่ได้หลงไหลในความสวย หล่อ ของคุณแม้แต่น้อย...
	ตื๊ด... ฮัลโหล 
	เมื่อไหร่จะซื้อโทรศัพท์หละ
	เสียงปลายสายไม่ค่อยเต็มใจจะคุยด้วยนัก
	เดี๋ยวสิ  รอหน่อยไม่ได้หรือไง
	รออีกแล้ว  เมื่อไหร่หละ กี่ครั้งแล้วที่พูดแบบนี้ ไม่สบายใจแล้วจะโทรหาก็ไม่ได้ ต้องรอให้โทรมาหาอย่างเดียวหรือไง..
	ก็บอกแล้วไงรอหน่อยได้ไหม
	แล้วเมื่อไหร่หละ   ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...
สิ้นเสียงสาบปลายทางถูกตัดจากการสนทนาอย่างค้างคาใจ
	... หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
	... หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
	... หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
	ตื๊ด... ตื๊ด... ฮัลโหล ทำไมต้องปิดเครื่องด้วยหละ
	เมื่อไหร่จะซื้อโทรศัพท์ คำถามเดิมที่ทำให้ผมต้องตอบคำตอบเดิมเช่นกัน งั้นซื้อโทรศัพท์แล้วค่อยคุยกัน หากไม่ซื้อใหม่ ก็ไม่ต้องคุยและเจอกันอีก.....  ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด... ตู๊ด...
	สาบปลายทางโดนตัดขาดอย่างไม่มีเยื้อใยเป็นครั้งที่ 2
	จะเป็นแบบนี้อีกนานไหม โทรศัพท์มันสำคัญสำหรับคนสองคนมากถึงขนาดนี้หรือ ในใจผมยังตอบว่าใช่ แต่... ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะมีโทรศัพท์แล้วอะไรหละทำให้อีกฝ่ายหนึ่งคิดว่า....

	ต้องซื้อโทรศัพท์หรือ... แล้วเมื่อครั้งก่อนโทรหาตามตู้สาธารณะบ้าง ห้างสรรพสินค้าบ้าง อย่างน้อยโทรหาและคุยกันโดยตลอด เพียงเพราะว่าไม่ซื้อโทรศัพท์ใหม่ตามที่เคยบอกไว้ จะคุยกันด้วยเหตุและผลไม่ได้หรือไง
	ตอนนี้ผมคิดเพียงว่า โทรศัพท์ ทำให้คนสองคนรักกันแล้วอาจเลิกกันก็เป็นได้...
	ความรัก ขึ้นอยู่กับการโทรหากันอย่างเดียวแล้วหรือ
	ความรัก ขึ้นอยู่กับการได้คุยกันทุกช่วงทุกเวลาแล้วหรือ
	ความรัก ขึ้นอยู่กับสิ่งของนอกกายแล้วหรือ
แล้วต้นเหตุของความรักหละ ทำไมไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าพวกนี้เลย
	
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ 
	มันทำให้ผมรู้ว่า โทรศัพท์ มีไว้แค่เพียงสื่อสารเท่านั้นเอง จนบางครั้งเป็นตัวบ่อนทำลายความรักที่มีค่าของคนสองคน  
	ลองคิดดูสิ โทรศัพท์ ควรแล้วหรือเอามาเปรียบกับความรัก และมันสำคัญมากหรือกับการที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ?				
1 มิถุนายน 2548 17:41 น.

ปาฏิหารย์หรือ ความบังเอิญ ของความรัก… และจิตวิญญาณ #3

น.นิรัติศัย

เพียงสายลมพัดผ่าน บางครั้งมันทำให้จิตใจฉัน คลายจากความสับสนที่บีบราวระฆังที่ดังในวันวิวาห์  ไม่นานฉันต้องออกเดินทางต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉันเดินผ่าน รถรา ที่แออัดเป็นก้อนถ่านขนาดเท่าหัวแม่มือ ย้ำต่อไปอย่างไร้จุดหมายอ้อมแสงตะวันยามเช้าด้วยการสวามิภักดิ์ต่อหอคอยสูงเสียดฟ้าที่รายล้อม ต่างแย่งชิงและเติบโตเพื่อหลุดพ้นจากโคลนตมก่อนอ่าแขนรับแสงตะวันโดยไม่ลืมที่จะอาบตัวตนด้วยสารกันบูด
	จุดหมายต่อไป เชียงใหม่ เมืองที่อบอุ่นด้วยไอหมอกและควันไฟยามเช้าตรู่  หลังจากซื้อตั๋วเดินทางพร้อมเก็บสัมภาระต่างๆ เพียงพอต่อการไม่หวนกลับมาที่นี่อื่กเลย ฉันไม่แน่ใจนัก กับคำถามในใจที่ว่า  ไม่หวนกลับมาที่นี่อีกเลย...
	อย่างน้อย ความรัก ของฉันเกิดขึ้นที่นี่ และมันได้จบลงที่นี่เช่นกัน
	5 เดือนแล้วสินะที่นิรุต ออกไปจากโลกปัจจุบันของฉัน ถึงแม้เขาอยู่ในส่วนต่างๆ ของผนังห้อง โต๊ะกับข้าว ห้องนอนหรือแม้แต่ห้องน้ำ และคงไม่พ้นห้องที่ฉันและเขาดูหนังฟังเพลงด้วยกัน ความรู้สึกเดิมๆ มันคอยหลอกหลอนให้คอยเฝ้าคิดถึงเขาทุกเวลา ตอนนี้ฉันเข็มแข็งขึ้นมาก หลังจากที่ฟูมฟายอยู่เป็นดอกอโศก จากปลายกิ่งก้าน ร่วงผ่านความเศร้าจนมุดดำดิ่งกลายเป็นปุ๋ยที่คอยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป
	5 เดือน ความรักสำหรับฉันมันช่างยาวนานเหมือน 5 ปี คืนหนึ่งฉันคิดถึงนิรุต ฉันยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียสิ่งที่ฉันรัก ฉันฝืนทน ถามตัวเองยามที่ใจว้าวุ่น ตื่นขึ้นโดยฝันร้าย การสูญเสียมันยากเกินกว่าจะพรรณาออกมาให้หมด มันฝืนเกินกว่าที่จะย่างกรายออกไปจากห้อง
	ฉันกลัว กลัวว่า หากฉันออกไปจากห้องนี้ เมื่อฉันกลับเข้ามา คงไม่เจอนิรุตอีกแล้ว
	ใช่นะ เพื่อนฉันบอกว่า หากจะลืมเรื่องร้ายๆ จงออกไปจากตรงนั้น ให้ออกไปจากที่นี่หรือ ที่ๆ มีนิรุตนั่นหรือ 
	ไม่... ฉันทำไม่ได้
	
	ฉันมีเพียงนิรุตมาโดยตลอด 6 ปีที่ฉันอยู่กับเขา
	6 ปี ที่ฉันมีความสุข
	6 ปีที่ทำให้ฉันโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
	6 ปีที่ทำให้ฉันเข้าใจว่า "รัก" มันเป็นเช่นไร
	ฉันรู้ว่าช่วงเวลาที่เราทะเลาะกัน ด้วยเรื่องต่างๆนั้น ไม่ได้ช่วยให้ความรักมันชุ่มชื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย กลับทำให้ความรักห่างออกไปจากใจของกันและกันมากขึ้น ยิ่งใกล้ ยิ่งเจ็บ คงเป็นเช่นนั้น
	วันหนึ่ง ฉันดีใจภายใต้น้ำตาที่เอ่อล้นแปดเปื้อนสองแก้ม หากแต่ข้างหนึ่งมันนูนขึ้นมาคล้ายๆ ฝ่ามืออันหยาบกระด้างของเขา เขากระซิบที่ข้างหูเบาๆ ว่า "ผมขอโทษ"  ทำให้ฉันปลื้ม อย่างน้อยในความใจร้อนของเขายังคอยเป็นห่วงและแคร์ความรู้สึกของฉันเช่นกัน หลังจากวันนั้น เค้าไม่ทะเลาะกับฉันอีกเลย 
	เพื่อนๆ ต่างอิจฉาฉันกับนิรุต เพื่อนถามฉันว่าทำไมไม่จูงมือแล้วไปยังโบสกลางเมือง ที่หลายๆ คู่ไปสารภาพรักต่อหน้าหลวงพ่อและยินยอมพร้อมใจว่าจะรักกันตลอดไป สำหรับฉันแล้วการแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่ ฉันพอใจที่จะอยู่กับเขาแบบนี้ อย่างน้อยความรักของฉันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขาขอแต่งงาน
	คู่แล้วคู่เล่าที่ผ่านประตูวิวาห์ มันทำให้หลายๆ คนอิจฉา จนวันหนึ่งรู้แค่เพียงว่า เขาไปด้วยกันไม่ได้ ต้องเลิกรากันไป หลายสาเหตุ หลายเรื่องราว หลายเหตุผล ตั้งคำถามว่า สังคมหรือ วัฒนธรรมหรือ และคงไม่พ้นจารีตประเพณี การอยู่ด้วยกันมันไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะจบลงด้วยการแต่งงาน
	ตอนนี้ฉันกล้าๆ กลัวๆ กับสิ่งที่จะพบเจอแต่อย่างน้อยมันทำให้ฉันเอิบอิ่มและพร้อมจะโผบินต่อไป ณ จุดหมาย
ท้องเริ่มทำตัวไม่รักดี ฉันคงต้องตามใจมันซะหน่อยแล้ว แวะหาของอร่อยๆ แถวชาญเมืองลำพูน เดินทอดน่องเพื่อระบายก่อนที่จะสำลักออกมาจากอาหารที่ทานด้วยความเอร็ดอร่อย ก่อนออกเดินทางต่อไปฉันคงไม่ลืมที่จะไปนมัสการพระบรมธาตุหริภุญชัยซึ่งสวยงามและประทับใจยิ่งนัก หลังจากนั้นมุ่งหน้าเข้าเมืองเชียงใหม่ด้วยเส้นทางหมายเลขที่ 1 ระหว่างทางฉันรู้มาว่าที่นี่มีไวน์ลำใยฝีมือแม่บ้านตำบลอุโมงค์หากไม่ได้ชิมคงมาไม่ถึงเป็นแน่แท้ หลังจากเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวและจิบไวน์พอหอมปากหอมคอก่อนมุ่งหน้าเข้าเมืองเชียงใหม่อย่างที่ไฝ่ฝันเอาไว้
	ตะวันคล้อยขอบฟ้าคลุ้งด้วยเมฆที่เหวี่ยงตัวด้วยแรงลมที่พัดผ่าน เหนียมอายก่อนเบียดเสียดตัวเองเข้าสู่ราตรีกาลที่ใครๆ ต่างหลงใหล				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน.นิรัติศัย