18 มกราคม 2549 19:01 น.

หลงทาง

น.นิรัติศัย

..................มันไม่ใช่เรื่องสั้นอย่างที่คุณๆ เข้าใจหรอกนะถ้าจะอ่านแล้วจับใจความของเรื่องหนะ แต่มันเป็นการเล่าเรื่องของใครคนหนึ่งที่อาจคล้ายกับเราก็เป็นได้ ทำไมหนะหรือ บางอย่างไม่สามารถพูดออกมาได้มันต้องผ่านการคิดบรรจงเขียนเป็นตัวอักษรขึ้นมา มันถึงจะถึงแก่นของความรู้สึกที่ถ่ายทอด แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะทำอย่างนั้นเพื่อให้อีกคนอ่านโดยที่ยังไม่รู้แน่ชัดนักว่าเขาคนนั้นจะเข้ามาอ่านหรือ..เปล่า


บางอย่างต้องคุยกัน
บางอย่างต้องการเวลาเพื่อพิสูจน์
แต่บางคนชอบทำเวลาให้หลุดหายไป

แล้วกลับมาพิสูจน์เมื่อเกือบจะสายไปเสียแล้ว กระมัง

แต่...มันแค่การเริ่มต้นของปัยหาเท่านั้นเอง หากเราฝ่าด่านไปได้มันก็ไม่ยากเย็นแสนเข็ญถึงกับต้องกัดริมฝีปากให้มันช้ำเขียว และมันอาจมีน้ำสีแดงเข้มๆ ไหลออกมาด้วยเช่นกัน

แล้วมาบนว่าเจ็บตอนมันผ่านไปแล้ว แม้สองแก้มมันจะน่วมไปด้วยน้ำตาที่ไหลมามีรู้วันหมดหากยังคิดถึงมันอีก ว่ามั้ย

แต่ตอนนี้มันก็ยังหลงทางอยู่ดีว่าที่เขียนลงไปแบบเนี้ยมันได้อะไรขึ้นมาบ้าง


หาก แค่...ระบายเพื่อใครคนหนึ่งเท่านั้นหรือ..................				
13 ตุลาคม 2548 19:10 น.

>เลือด...แห่งเซมิวตา

น.นิรัติศัย

ยื้อร่างฉุดวิญญาณ 	สานฝัน
ผวาพลันตื่นตระหนก	รกสมอง
เลือดสดไหลกระเซ็น	เจิ่งนอง
เรียกร้องโปรดเมตตา	ฆ่าฉันที

ระทมทุกข์ไร้สุข	ชั่วปี
นาววันผ่านนะที	หรี่แสง
อาทิตย์ลับจับฟ้า	แทรกแซง
รุ่งอรุณหมดแรง	แห่งเวลา

1 ปี กับการฆาตกรรมตัวเอง มันช่างยาวนานแฝงด้วยความเคียดแค้น ฉุดใจกระฉากสามัญสำนึกความอับปรีย์ ทุกยุทธวิธี ทุกกาฆ่าตัวตาย ทุกทฤษฎี ทุกเล่มไร้ประโยชน์ มันไม่ต่างไปจากความหิวกระหายที่พร้อมย่อยเลือดสดๆ จากเสก็ดของอาวุธชีวภาพ ดวงตาถลน ปูดโปนแดงก่ำ ใต้ผิวหนังริมขมับนูนเป็นเส้น ขนาดเท่าสายน้ำเกลือ ทุกอณูสูบฉีด เวียนว่าย ฝ่าด่านข้อกระดูก พุ่งเร็วรี่ พร้อมที่จะกระโจนออกจากผิวหนังอันกร้าน เต็มไปด้วยร่องรอยของมีคมเชือดเฉือน เนื้อสีขาว ทะแยงขวักไขว่ ทั่วร่างกาย แขนทั้งสองข้างขาวโพลน ไร้เนื้อติดกระดูก เนื้อต้นแขนมีเพียงพลาสติดติดห่อกันไว้มิดชิดเพียงเพื่อกันเชื้อโรคที่จะชอนไชเท่านั้น เพราะหมอไม่ยอมเอาออกมันจึงเสนอหน้าติดไว้ที่ต้นแขนมาถึงทุกวันนี้ 
				
13 สิงหาคม 2548 18:03 น.

"ร่ำลา"

น.นิรัติศัย

"ร่ำลา"

	เวลามาถึง ณ จุดหนึ่งของช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง 6 ปี ที่ผ่านมาสิ่งต่างๆ สั่งสอนบ่มเพาะความคิดอันหลากหลาย ได้เรียนรู้อะไรมากมาย 1 ปี กับการเข้าเผชิญกับหน้าเว็บที่มีบทกลอน บทความ เรื่องสั้น และข้อมูลต่างๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมา 
จากผู้หนึ่งสู่อีกผู้หนึ่ง ก่อเป็นล้านข้อมูล มีทั้งข้อคิด สามัญสำนึก และความท้อแท้ใจต่างๆ 
	ตอนนี้คงหมดเวลาอีกเช่นกันสำหรับจุดๆ นี้ มันเกิดกาลสิ้นสุด งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา คำสัญญาต้องมีวันเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านในทะเลทรายอันร้อนระอุ 
	หากบางครั้งการร่ำลา เป็นแค่ส่วนตัว ปลดปล่อยออกสู่โลกความจริงที่สับสนของจิตที่มีเพียงความท้อแท้และสิ้นหวัง บางครั้งเหตุการณ์มันเกิดซ้ำๆ ซากๆ หากข้อยุติมิได้ แต่กระนั้นความมุ่งมั่นก็หาได้หยุดไม่
	เพียงหยุดลมหายใจให้เป็นนิทราพร้อมเข้าสู้โลกของความฝันที่มีเพียงเรื่องที่ปรารถนาเท่านั้น...
	ในโลกแห่งความฝัน ผมอาจเป็นคนดีที่สุด เก่งที่สุด หรืออะไรก็ตามที่สุด และบางทีอาจไม่มีความรู้สึกที่สร้างความปวดร้าวอีกต่อไป...
	เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า "แค่นี้ท้อแล้วหรือ" ผมตอบอย่างหนักแน่นว่า "คงใช่" เพราะความมุ่งมั่นและพยายามมานานพอประมาณจนแล้วจนรอด วันหนึ่งมันก็ยุติ ความคิดดี เลว ปะปนแต่ไร้ซึ่งแก่นสารที่ต้องการ หรือ "มันไม่พอ ไม่ใช่ ไม่ตรง" อะไรทำนองนี้
	หากเราคนใดคนหนึ่งหายไปจากโลกไซเบอร์ถามว่ามีใครรู้บ้างไหม คงไม่มีใครรู้ สนใจบ้างไหม ก็คงไม่มีใครสนใจอีกเช่น บางเวลาคงไม่ต่างจากหมาป่าที่อยู่ ณ หุบเขาหิมะ และซ่อนตัวเพื่อหาอาหาร แต่วันหนึ่งล้มตาย หิมะกลบร่างอันไร้วิญญาณพร้อมย่อยสลายตามฤดูกาล
	ไร้ซึ่งตัวตน จิตวิญญาณ ที่แตกดับกระเจิงสู่โลกของความฝันที่ ไม่มีวันสู่โลกของความจริงได้
				
13 สิงหาคม 2548 17:55 น.

โดดเดี่ยว

น.นิรัติศัย

คืนนี้ก็ไม่ต่างไปจากทุกๆ คืน
ผมอยู่คนเดียวอีกตามเคย
	ใครคนหนึ่งผู้ห่างไกลแค่เอื้อมมือเอื้อมใจก็อาจถึงสายใยแห่งห้วงคำนึงได้ แต่ไม่เลย
คืนนี้กลับเป็นคืนที่โดดเดี่ยว ไร้แม้ความหวัง ดวงจันทร์ท้อแท้เเกินกว่าจะพบปะเสนอหน้าแก่ดวงดาว ท้อแท้เกินกว่าจะยอมเผยหน้าที่ปนเปื้อนด้วยน้ำตา
	ผมกระซิบถามดวงจันทร์ว่า "ร้องให้หรือ ใครเล่าทำกับเธอแบบนี้"
	ดวงจันทร์ผู้ท้อแท้ท้อถอย และสิ้นหวัง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบคำถามที่เสมือนอุกาบาต ร้อนแรงแ รวดเร็วก่อนพุ่งเข้าชนอย่างไม่แยแส
	ยามนี้ผมก็ไม่ต่างไปจากดวงจันทร์เท่าไหร่นัก ท้อแท้และสิ้นหวัง มีเพียงร่องรอยอุกาบาตินับล้านที่ถาโถมเข้าทุกขณะ
	บางทีผมอาจจะจบปัญหาแบบนี้ลงได้ เวลา การรอคอย วังวนของความคำนึง และความรัก เป็นเพียงสิ่งลวงตา ทุกวันนี้ ทุกสถานที่ ทุกเวลา สิ่งลวงเกิดขึ้นมากมาย สั่งสมบ่มเพาะและหลอมใจให้ละลาย เป็นเพียงกระดาษก่อไฟมอดไหม้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
	บางทีหากโลกนี้ไม่มีพระจันทร์ ตะวันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก สรรพสิ่งอาจย้อนสู่มาตุภูมิถิ่นกำเนิด หาได้มาจุติเพียงเพื่อชดใช้กรรม... 

ท้อแท้ และสิ้นหวัง
	ยามตะวันหลบแสง พระจันทร-เศร้าในคืนน้ำเน่าไหลบ่าท้วมใจอันบอบช้ำ 
	ขอเถอะฟ้า หากฝนจะตกโปรดชะโลมใจที่ปราศจากกำลังให้มอดเร็วกว่านี้เพียงเพื่อหลุดพ้นจาก วังวนของราคะและความรักที่ลวงตา...
สุดท้าย "มนุษย์" ผู่อ่อนแอก็แพ้ใจตัวเอง อย่างไร้.....
				
13 สิงหาคม 2548 17:49 น.

หาก...

น.นิรัติศัย

หาก...
	เช้าวันใหม่ตะวันลอดแยงตา ผ่านริมหน้าต่างใต้ม่านพลิ้วตามพัดลมหัวเตียง
หาก...สิ้นเสียงกรีดกร้าว ซ้ำๆ ซากๆ ชั่ววัน ผมคงพ้นจากสภาพที่บีบบังคบต่อโมงยามของแสงตะวัน
หาก...แม้นตะวันขึ้น ตรงข้ามกับความจริง
นก...คงบินถอยหลัง
อดีตกาลย่างก้าวเข้าหาจุดเดิมอีกครั้ง วังวนของสรรพสิ่งคงจีรังและย่ำซ้ำอยู่กับที่
บางทีมันอาจทำให้คนเรากลับไปแก้ไขสิ่งเลวร้าย หรือไม่ตรงตามเป้าหมายให้มันสมบูรณ์แบบโดยไร้ที่ติ มิเป็นเช่นดั่ง ดวงจันทร์ ที่มีหลุมนับล้านจากกระต่ายตัวน้อย ที่แอบเล่นซ่อนหากับคู่รัก...
	คงไม่ต้องคำนึงถึงอนาคตอันไกลลิบลับจนพ้นฟ้าผืนใหญ่ เปรียบเหมือนกะลาที่ทำยังไงก็มิอาจไปจากมันได้
	หาก...การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยการไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จนเป็นที่อิจฉาน่ารักเกียจ "มนุษย์" คงเหมือนดวงตะวันที่รู้ถึงหน้าที่ในการส่องแสงขับไล่เงามืด ให้เร้นกายอิงแอบตามซอกหลืบ พุ่มไม้ และบุรุษชุดดำ ที่ซ่อนกายอยู่ ณ พื้นดิน
	"มนุษย์" ก็คงไม่สูญพันธุ์ มิช้านานวังวนของแม่น้ำสายหลักก็มาถึงอีกครั้งให้ล่องลอยต่อไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
	การเดินทางยิ่งนานเหมือนดวงตะวันที่ขึ้น ณ ทิศตะวันตก ทอแสงย้อนศรอันงามสง่าน่าหลงไหล
สุดท้าย "มนุษย์" อาจไม่มีวันสลายก็เป็นได้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน.นิรัติศัย