18 สิงหาคม 2549 18:01 น.

มารโลเก ๑

น.นิรัติศัย

อดีต...คล้ายเงาไม่ปรากฏอีกตลอดกาล
อนาคต...ยังมิผ่านกรายมาเหมือนวาดฝันไร้รอย
ปัจจุบัน...สิควรคอยประคองจิตไว้ให้งดงาม...

อดีตมันผ่านมาแล้วคว้าจับอะไรไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เมื่อมาไม่ถึงต่อให้คิดให้ปรุงยังไงก็หาประโยชน์ไม่ได้

ของจริงๆ มันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้...
ทำปัจจุบันให้ดีเถอะ
ทำปัจจุบันยังไม่ดีแล้วจะไปหวังอะไรในวันข้างล่ะ

"เรื่องของวันข้างหน้าขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีกับปัจจุบันกรรมของตน จะเป็นฝ่ายดีฝ่ายชั่วเราต้องกำหนดกันตอนนี้ การกำหนดแนวทางคือการใช้มรรควิธีปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเข้าควบคุม"

"การฝึกจิตต้องทำอย่างปราณีต...จริงจัง อย่าให้ตัวโทสะ โมหะ และโลภะเข้าครอบงำ...ความโกรธทำให้ปัญญาโง่...ตัวโมโหจะทำให้เป็นคนบ้า...ตัวโลภทำให้หูตามืดบอด...สามสิ่งนี้ทำให้เกิดอวิชชาในจิต...

"อวิชชา" คือ ความไม่รู้!
ความไม่รู้ภาวะแห่งจิตมิต่างกับคนใจบอด...
คนใจบอดต่อให้ได้สมาธิก็มิอาจไม่หลงทาง...
หลงทางสู่มรรคาแห่งมาร...หลงทางสู่ความมืดมนในมารโลเก...

รู้ วิถีแห่ง จิต และวิญญาณแห่งตนเรียกว่า รู้จริง
รู้ สิ่งอื่นนอกกายตนเป็นแต่ วิชา
รู้วิชาเอาตัวรอดได้เฉพาะการดำรงอยู่ในโลกนี้เท่านั้น
หากรู้ ...อันเป็น รู้ภายใน เรียกว่า วิชชา
รู้ วิชชา เป็น รู้ ที่เอาตัวรอดได้ทั้งโลกนี้และโลกแห่งจิตวิญญาณ...
				
11 สิงหาคม 2549 17:38 น.

"ถึงเพื่อน"

น.นิรัติศัย

เสียงกระซิบสะเทือนไหว
กายสั่นเทาสะดุ้งตื่นจากภวังค์
นายมองเห็นฉันใหมหละ
ใต้แสงเสียงสาดส่องจากนภากว้าง
มองเข้ามาสิ ใกล้อีก
ใกล้อีก
...

อีกนิดสิ
...

แต่นายก็มองไม่เห็นใช่ใหมหละ
นั้นสินะ
นายมองมันไม่เห็นหรอก

เพราะอะไรรู้มั้ย

เพราะใจนายไง

ใจนายไม่เคยเปิดรับส่วนต่างๆ
ของสรรพสิ่งที่เดินทางเข้าสู่ภาวะของ
การใช้ชีวิต

แต่ลองดูสิ ว่าชีวิตนาย

มีอะไรนอกจาก


สิ่งลวงตา

มันคือสิ่งที่นายสร้างขึ้นมาทั้งนั้น
มองย้อนดูสิ
ไม่แน่นะ
สรรพสิ่งที่นายเห็นอาจเป็นมโนภาพที่
ถูกสร้างจากความฉลาดของนายก็เป็นได้

นายมองหาเราไม่เจอหรอก
หาก


นายไม่เคยมองตัวตนที่แท้จริงของนาย
ภายใต้โคมไฟดวงนี้

ดวงที่อยู่ข้างๆ นายไงหละ
ดวงที่อยู่ใกล้ๆ นายไงหละ
ดวงที่นายมองมันไม่เห็น
แม้...มันจะสว่างมากเพียงไรก็ตาม


ชีวิตล้วนมีเส้นทาง
อย่างลายมือที่ปรากฏบนฝ่ามือ
ชีวิตเสมือนดวงดาวที่ถูกลิขิตภายใต้อุ้งเท้าอุ้งมือทั้งสองและมันสมองที่ฉลาด

ถึงแม้จะร้ายกาจยามเกลียดชังโลกที่โสมมใบนี้
แต่ชีวิตก็คือชีวิต มันไม่มีค่าอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

หากนายเห็นแสงไฟที่ระยับเมื่อไหร่บางที
นายอาจมองเห็นเราก็เป็นได้นะ

เพื่อน
คำนี้นายเคยถามเราครั้งนั้น
และครั้งนี้เรายังจะตอบคำเดิมว่า
ไม่ว่านานแสนนานแค่ไหน
ระหว่างกลางวันและกลางคืน
เดือนมืดไร้แสงและสว่างด้วยดาวนับล้านดวง
นายคงไม่เคยนับดาวตอนรุ่งสางสินะ
นายถึงถามแบบนั้นกับเรา
เพื่อนเหรอ
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าคำตอบที่เคยมอบกับนาย
เชื่อสิ
เพื่อน ไม่มีวันแปรเปลี่ยน
ถึงแม้จะสุขและทุกข์เพียงไร
เพื่อนยังเป็นเพื่อนเสมอ

ไม่ว่าตะวันจะล่วงลับไปมากน้อยแค่ไหน
ไม่ว่าเวลานั้นจะมีเราอยู่ที่ๆ ตรงนั้นหรือเปล่า
ตะวันและเวลาไม่สามารถทำให้เราเปลี่ยนได้หรอก

ไม่ต้องการให้นายเชื่อ
แต่นายจะรับรู้และเรียนรู้พร้อมกับตะวันที่ขึ้นผ่านกายนายไปแต่ละเวลา

แด่เพื่อนผู้แสนไกล


เราควรจะจบข้อความตั้งแต่เมื่อกี่แล้วใช่มั้ย
แต่ไม่หละตอนนี้เราว่าง
ว่างเกินกว่าจะลุกออกจากเก้าอี้ดนตรีตัวนี้
เสียงเพลงเพราะดีนะแต่เราไม่เข้าใจหรอกว่า
มันหมายความว่าอะไร
และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำให้ใจ
ดวงนี้มันสั่น สั่นอย่างกับกระเดื่องคู่

คงอีกหลายวันที่เราจะเข้ามาในโลกไซเบอร์อีกครั้ง
ยอมรับนะว่าตอนนี้ชีวิตเรา
อยู่บนความจริงมากกว่าความฝันที่ดีมากๆ
มากสำหรับเรา
แต่ สุดท้ายโลกแห่งความจริงมันก็หนีไม่พ้น

โลกในนี้มันน่าอยู่สำหรับเรามาก 
มองกลับสู่บ้านเกิดครั้งยังเยาว์
เราห่างหายจากมันไปนานเมื่อครั้งเยาว์
มันหิวยิ่งกว่าจะเปรียบกับอาหารมื้อเช้าที่ต้องทาน
แต่หลังจากนั้นความเคยชินจนชินชาและด้าน
ด้านพอจะยอมรับว่าคงไม่มีโอกาสย่ำกลับมาสู่ที่เดิมได้อีก
แต่แล้วโชคชะตา

แสร้งทำให้เรามองเห็นช่องโหว่ของความยิ่งยโส
เป็นบ่อเกิดและนำทางเรากลับมาอีกครั้ง
จนบัดนี้มันก็เวียนมาบรรจบที่เดิม...อีกครั้งแล้วสิ


แต่ครั้งนี้ มันกำหนดชะตากรรมของเราแค่เพียงไม่กี่วินาทีและไม่กี่นาที
มันคอยตามสะกดรอยเท้าทุกย่างก้าว

แต่เชื่อสิมันตามหาเราไม่เจอหรอก

เชื่อสิ เราต้องหลุดจากวงโคจรให้ได้อีกครั้ง
อีกครั้งเดียวเท่านั้น
นาย...และเราอาจจะเจอกัน


หวังว่านายคงเข้าใจสิ่งที่เขียนบอกนะ
หากนายไม่เข้าใจ
จงใช่เวลารับข้อความเราตลอดไป


แล้ววันหนึ่งเพื่อนสำหรับนายจะมีตลอดไป


เพื่อน! 
 
"ข้าเจ้า" ต้องไปอีกแล้ว  "แล้วเจอกัน"
				
27 กุมภาพันธ์ 2549 19:28 น.

"รักที่ต้องการ" + ถามพระอาทิตย์ + คุยกับพระจันทร์

น.นิรัติศัย

ความรักไม่เลือกที่เลือกเวลา เพราะมันจะเกิดขึ้นทุกที่ทุกเวลาและทุกเมื่อ ไม่ว่าจะอยู่บนทางเท้าที่แน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแต่จะมีสักคู่หละที่เดินชนกันไปมา  นั้นก็คือจุดเริ่มต้นของความรัก หรือตามห้าง สถานนีรถไฟ เครื่องบิน อีกทั้งในโลกไซเบอร์ที่กว้างขวาง
ทุกวันนี้หลายๆ คน คงเจอรักที่อาจใช่และไม่ใช่ แต่หลายๆ คู่ย่อมผ่านตรงนั้นไปได้อยางบริบูรณ์หรืออวสานตามแต่ระยะของมันจะงอกงาม หากวันหนึ่งดอกไม้ที่บานเต็มกลางใจมันเหี่ยวเฉา คงไม่นานมันคงตายไปพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่ยี่หระต่อส่วนไหนของร่างกายและสังคมรอบข้าง แต่... บางคนอาจคิดเป็นเพียงถนนที่ต้องก้าวเดินไม่นั้นย่อมไม่รู้ว่าตลอดทางนั้น มันขรุขระไปด้วยเม็ดกรวดหรือขี้ตมและเม็ดทราย ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียด ก่อนจะย่างกรายเข้าสู่แดนคอนกรีตที่น่าหลงไหลบนถนนแห่งสีสันบนความร้อนที่รุมเร้าบนความใคร่ของคนไม่กี่ร้อยพัน



อาทิตย์ลับขอบฟ้าฟากตะวันตก ฉันเหงาเกิน เกินไปหรือเปล่า ฉันเฝ้าถามตัวตนบนความเหงาและโดดเดี่ยว

ฉันมีคำถาม?

ฉันถามว่าอาทิตย์จ๋า ทำไมต้องลับขอบฟ้าไปยามนี้ ถึงแม้ช้าบ้างเร็วบ้างแต่...

ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป ปล่อยให้ฉันหลับอย่างเดียวดาย โดดเดียวและแสนเหงา ทำไมไม่ทำเหมือนกันคนอีกฟากหนึ่งนะ ท่านลับหายไปโผล่อีกฝากหนึ่ง คนพวกนั้นตื่นยามสว่างด้วยความแจ่มใส แต่ทำไมฉันตื่นอย่างเดียวดาย เพราะฉันไม่มีใครเลยหรือ

ถาม !...............ถามพระอาทิตย์ทุกวันที่เวลาผ่านเวลาเดิม แบบนี้... ฉันเหงา...

อยาก ! ............อยากให้พระอาทิตย์อยู่ข้างกายฉันตลอดไป เพราะฉันจะได้ตื่นตัวตลอดเวลา และร่าเริงยามแสงตะวันไม่มีวันดับ 

ฉันพยายามเปิดไฟให้สว่างตลอดวัน แต่... แสงมันไม่เท่ากับพระอาทิตย์ที่อบอุ่น มันยิ่งทำให้ฉันอ่อนล้าจนท้ายที่สุด 

ฉันก็แพ้....


ฉันหลับอย่างกะวนกะวายใจว่า ......


พรุ่งนี้จะมีพระอาทิตย์อีกไหม

ฉันถามอีกว่า ทำไมพระอาทิตย์ถึงอยู่ได้นะ ทั้งๆ ที่ พระจันทร์อยู่ตรงข้ามและน้อยวันนักที่จะมาเจอกันอย่างเป็นสุข แต่พระอาทิตย์ก็อยู่ดวงเดียวได้ อยู่อย่างโดดเดียวได้


แล้วฉันหละ จะอยู่อย่างพระอาทิตย์ได้มั้ย   

ฉันถามพระอาทิตย์แต่ฉันไม่เคยได้คำตอบ



ฉันรู้เพียงว่า พรุ่งนี้สำหรับฉันยังมีพระอาทิตย์ดวงเดิมอยู่ตลอดเวลา อาจช้าบ้างสายบ้างแต่ก็สว่างอย่างเคย 

แล้วใจคนละจะเป็นอย่างพระอาทิตย์มั้ยนะ ช่างโหดร้าย และเห็นแก่ตัว






ฉันอยากเห็นพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้อีกครั้งจัง.....




ฉันจะรอ....










วันนี้ฉันเหงา พระอาทิตย์ไม่สนใจฉันอย่างเคย เขาคงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยิ้มให้กับฉัน คนเหงาๆ ใจหงอยๆ คนนี้หรือไร หรือ...

วันนี้ท้องฟ้ามืด อาทิตย์จึงเกือบจะไร้แสง เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดมันคงสูญสิ้นไปกับเช้าตรู่ตอนฟ้าสาง ตอนนั้นฉันเห็นพระอาทิตย์เบิกบานและยิ้มให้ฉัน แต่...ตอนนี้พระอาทิตย์กลับหันหลังให้ฉันอย่างไม่เหลียวแล เพียงแค่ชั่วเวลานิดเดียวนิดเดียวจริงๆ ฟ้าก็ถล่มลงอย่างไม่ใยดี 


น้ำเอ่อล้นไหลอย่างไม่หยุด ตอนนี้ฉันเหมือนกับคนไร้หางเสือที่แกว่งไกวไปมาจะจมมิจมแหล แต่แล้ว...คลื่นยักกลับถาโถมเข้าใส่ฉันอย่างไม่ปราณีต่อใจที่บอบบางจนไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงที่จะสู้และลุกขึ้นยืนหยัดบนกระดานแผ่นบางๆ ได้อีกต่อไป ...


ร่างกายฉันแตกสลายดั่งกระจกที่มันละเอียดจนไม่สามารถรวมกันได้อีก แค่เศษที่รอวันปลิวไปตามแรงลมบนท้องถนน สุดท้ายคงไม่ต่างไปจากเศษดินเศษไม้ที่ไร้ประโยชน์

แล้วค่ำคืนก็ย่างกรายเข้ามา ฉันได้เจอกับพระจันทร์ วันนี้พระจันทร์สวยเด่น สว่างสีนวลตาและอบอุ่นไม่แพ้พระอาทิตย์ เค้ามองมายังฉัน แล้วถามฉันว่า.... เจ้าช่างระยิบระยับดุจดาวบนฟากฟ้า ถึงแม้จะเล็กจนเกือบมองไม่เห็นแต่เจ้าก็สว่างเวลาข้ามอง  

ฉันยิ้มจนน้ำที่ตกลงมามันหยุด .... ก่อนที่สองข้างทางจะแห้งสนิทฉันคุยกับพระจันทร์จนเวลาล่วงเลยมานาน ลืมเลยว่าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะยิ้มให้ฉันอีกหรือไม่....


ฉันยิ้มเสมอเวลามองพระจันทร์ ฉันไม่โดดเดี่ยวแล้ว ทั้งกลางวันและกลางคืน ฉันมีพระอาทิตย์ที่เหมือนพี่ชายของฉัน และมีพระจันทร์ที่เหมือนพี่สาวของฉัน


ฉันจะจำพวกเขาตลอดไป และฉันจะยิ้มเสมอเวลาเจอพระจันทร์และพระอาทิตย์

ขอบคุณโลกใบนี้ที่สร้างเรื่องดีๆ ให้กับฉัน ถึงจะเป็นเศษแก้วเล็กๆ ที่แตก แต่ฉันจะเป็นเศษแก้วที่ระยิบระยับดุจดาวบนฟากฟ้าอย่างที่พระจันทร์บอกกับฉัน

ขอบคุณพี่สาว.....
				
23 กุมภาพันธ์ 2549 18:08 น.

"ทำไม" : คืนหนึ่งเดือนกุมภาฯ

น.นิรัติศัย

คืนหนึ่งเดือนกุมภาฯ 

เสียงปลายสายดังเบา เบาจนผมต้องถามกลับไปว่ามันคืออะไร ซ้ำไปซ้ำมา แต่...

คำตอบมันคือความว่างเปล่า และแล้วความเหงาและโดดเดียวกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ผมได้ไล่มันออกไปจากชีวิตเมื่อ 3 เดือนก่อน แต่...

เดือนนี้มันกลับมา มาพร้อมความช้ำบนความว่างเปล่าที่ผมมองไม่ค่อยจะเห็นนัก สายตาผมคงบอด บอดหลังจากเจอเธอคนนั้น คนที่เข้ามาเยียวยาและแก้ไขส่วนที่ผมทำหายไปเมื่ออดีตที่ผ่านมาอย่างดีเยี่ยม มันดีเลิศเสียจนไม่คิดว่าคืนนี้จะเป็นคืนแห่งความเจ็บทั้งๆ ที่ มันน่าจะเป็นคืนแห่งความรักอันหวานฉ่ำด้วยกรุ่นและอายที่แผ่ซ่านทั่วอณูผิวหนัง แต่ความร้อนบดบังจนทำให้เขื่อนที่กักเก็บน้ำมาชั่วนาตาปีมันเอ้อล้นรดกายที่ร้อนฉ่า ด้วยความเย็นความเหงาจากหางตา มันกลับเป็นคืนที่แย่ที่สุด 

 

สำหรับผู้ชายที่ "ร้องให้" มันคงแย่เต็มทีกับความอ่อนแอที่ไม่สามารถบอกให้ใครรู้เลยว่า  "มันน่าอายแค่ไหน"

บทสรุปมันคงใกล้จะจบเต็มทีหรือใกล้จะอวสานแล้วหรือไร สำหรับบทละครเรื่องนี้ มันคือละครขีวิตที่เกี่ยวก้อยด้วยการรอคอยมานับนานแสนนานกับการเดินบนรอยเท้าเดิมที่ไม่รู้เลย ว่า "วันนี้เราเดินผิดไปเสียถนัด" (หรือเปล่า) บางครั้งควรหลีกเลี่ยงการเดินบนทางสายเก่าที่ ไร้ความหวัง กำลังใจ หรือกายอันร้อนรุ่มด้วยพลังที่แฝงด้วยความ"รัก" แต่ถึงกระไรนั้น ความทยานอยากมันกลับเรียกร้องให้เดินบนทางสายเดิมสายนี้..

ลึกๆ ลงไปที่ๆ เรียกว่าสะดือของความรู้สึกทั้งหมด ที่คอยตอกย้ำ สั่งการว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ โดยควบคุมสมองที่สั่งการเพียงให้อย่างโน้นอย่างนี้ทำงานตามเวลาของมัน แต่ความรู้สึกมันคือตัวหลักที่สั่งให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่คำนึกว่ามันจะเป็นอย่างไร 

มันคืออยาก อยากที่จะทำ และอยากอะไรอีกมากมาย จนสมองสั่งการให้แขนขาและส่วนอื่นของร่างกายมันคล้อยตาม โดยหลีกเลี่ยงที่จะขัดคำสั่ง ลองมองดูสิว่า ถึงแม้จะปวดเพียงไร หรือเจ็บเพียงไร แค่นึกถึงใครคนหนึ่ง ขาทั่งสองพร้อมที่จะเดินไปหาอย่างไม่ลังเล 

แต่ที่สุดแล้วกลับโดยดุด่าว่ากล่าวเพราะทำอะไรที่งี่เง่าลงไป บางครั้งความรู้สึกลึกๆ ของแต่ละคนแล้วมันยาก ยากจนไม่เข้าใจ....

เวลาปล่อยให้ผมคิดมากเกินความจำเป็นเสียแล้ว

เวลาคงลืมไปแล้วว่านิสัยผมเป็นยังไง

หากผมยังกล้าพอที่จะยื่นอยู่ที่เดิม และหาก...ผมกล้าพอที่จะยอมรับมัน 

ผมไม่ยอมปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาล่วงเลยจนถึงเวลานี้

หากมันจะจบ ไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อไป มันคือจบ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องอะไรอีก หรือ "ตายจากกันเลยดีมั้ย"

"ดีสิ" ความคิดบ้าๆ ผมตะโกนออกมาดัง ดังจนบดบังความรู้สึกและคำพูดที่ว่างเปล่านั้นมันมีเสียงดังขึ้นมา ไม่ว่าจะดังมากขนาดไหน แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงนั้นแม้แต่น้อย...

มันคอยตอกย้ำความคิดพิเลนๆ เกิดขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะผ่านไปเป็นเพียงเกมที่สนุกสุดๆ ยิ่งกว่าผี้ยาเสียอีก 

เลือดค่อยๆ ไหลย้อยอย่างไม่ขาดสาย มันหยดลงแหมะๆ หยดที่เดิมซ้ำๆ แดงเถือก รอยพาดยาวบนต้นแขนซ้ำไปซ้ำมาบวกกับเลือดที่ไหลไม่ขาดตอนมันก่อเรี่ยวแรงทั้งหมด ให้ฮึกเหิมเข้าไปเป็นเท่าตัว ตอนนี้มันไม่มีอะไรมาหยุดยั่งได้ มันล่อยลอยสุดจะจินตนาการ เพราะที่นั้นน้อยคนนักที่จะไปถึง บางคนก็ขาดใจไปเสียก่อน หรือบางคนก็ทนต่อความเรียกร้องของเสียงข้างๆ ไม่ไหวจนต้องกระโจนไปห้องน้ำและ "ล้างมันซะ" แล้วเอาสารพัดยามาใส่ๆ ใส่ให้มันหยุดน้ำสีแดงเข็มที่ค่อยๆ หลอมรวมกับน้ำใสในอ้างล้างหน้า มันแค่ใจปลาซิวที่ทำแบบนั้น แต่... สำหรับผมแล้วไม่

 

 

 

มันเป็นการเปิดทางที่ถูกปิดมานับแรมปี ให้เปิดอ้าออกพร้อมแขนที่คอยโอบกอดวันที่ใกล้จะก้าวข้ามไปในไม่ช้า...

 

มันคงจะยุติในไม่ช้า แต่... มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

จนมาวันนี้มานั่งเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ว่าทำไม

"ทำไม" ต้องปิดทางที่ถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต ทางที่สวยงามกว่าทางเดิมๆ ที่เคยก้าวข้ามไป 

ทำไม แต่บางทีคำถามของผมอ่านมีใครคนหนึ่งตอบกลับมาก็เป็นได้

 

มันไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงเปิดตารับรู้

บางครั้งการเฝ้ามองดูคนอื่นเผชิญชีวิตบนโลกใบนี้

มันก็เป็นเรื่องที่น่าค้นหาสำหรับใครคนนั้นก็เป็นได้

ช่วยตอบผมหน่อยละกันว่า "ทำไม" 

 

 

 

การเดินทางไปยังดินแดนอันลี้ลับด้วยความลึกลับดำมืดสุดจะอธิบาย

มันอาจเป็นส่วนที่ผมอยากเข้าไปใกล้เหมือนคืนนั้นก็เป็นได้

"ทำไม" ไม่ปลดปล่อยผมเหมือนกับปลดปล่อยตัวคุณเองบ้างนะ

 

 

 

"ทำไม"
				
18 กุมภาพันธ์ 2549 18:34 น.

"เราขอโทษ"

น.นิรัติศัย

"นายเป็นเพื่อนเรานะ!" ประโยคเพียงประโยคเดียวกลับลดความบ้าบิ่นของผมต้องชะงัก พร้อมไออุ่นที่ซ่าด้วยน้ำเย็นเเยือก ก่อนที่จะสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง...

ริมฝีปากบางค่อยๆ ห่อเลือดอย่างเห็นได้ชัด... พร้อมแรงเหวี่ยงจากมืออันนุ่มแต่ครั้งนี้กลับหนักแน่น ทาบผ่านใบหน้าด้วยความเร็วจนผมไม่สามารถจะหลบหลีกมันได้...

ความบ้าบิ่นเกือบจะเกิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมโผ่เข้าไปจูบปากของหล่อนอีกครั้ง แต่...มันกลับหยุดเสียดื้อๆ และหยุดเมื่อตาคู่นั้นเอ่อล้นด้วยน้ำตาที่ไหลผ่านหางตาอย่างรวดเร็ว มันร่วงผ่านต่อหน้าต่อตาผม ยิ่งตอกย้ำความผิด ให้มันเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าจะแก้มันกลับคืนมาให้ดีได้

"เราขอโทษ" นั้นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้พูดออกไป
ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงบ ด้วยเสียงดังก้องเพียงครั้งเดียว ความรู้สึกทั้งหมด มันฉายซ้ำไปซ้ำมาด้วยฟิล์มขาวดำ ผมได้ยินเพียงเสียงหายใจเข้า-ออก อย่างติดขัด หูทั้งสองอื้ออึงปราศจากเสียงอื่นจะเล็ดลอดผ่านมาได้

ตัวผมโดนถีบไปด้านหน้าด้วยแรงกระแทกจากอะไรสักอย่าง เข่าทั้งสองปะทะกับพื้นปูนอย่างจัง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไร ภาพหมุนกลับหัวต่อหน้าต่อตา ทำไมหล่อนยืนห้อยหัวอย่างนั้น และใครคนนั้น นายคนนั้น เด็กหนุ่มผมตั้ง ทำไมถึงหน้าตื่นอย่างนั้น...
พื้นค่อยๆ เอ่อล้นด้วยน้ำสีแดงเข้ม ทำไมมันไม่หยุดนะ...

ดูสิ คนทั้งสองเขาตะลึงใหญ่แล้ว หยุดสิ อย่าทำให้พวกเขากลัวสิ
"บิว" นายอย่ากลัวสิ เห็นตัวนายในกระจกนั่นหรือเปล่า หน้านายซีดพอๆ กับไก่ที่ถูกต้มเลยหละ

"เบียร์" อย่ากลัวไปนะ เราขอโทษ
"เราไม่ชอบเห็นน้ำตาจำไม่ได้หรือ" เราย้ำหลายครั้งแล้ว หยุดเถอะถือว่า เราขอร้อง ได้โปรด...

แต่ดูเหมือนคำอ้อนวอนของผมจะสูญเปล่า หล่อนยิ่งคร่ำครวญด้วยสีหน้าตกใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน

ผมรู้ตัวดีว่าไม่ไหวแล้ว มือทั้งสองเย็นเฉียบ ใจเต้นเป็นจังหวะ ช้าบ้างเร็วบ้าง และเงียบจางๆ แต่หูทั้งสองข้างไร้เสียงอื่น นอกเสียจากเสียงของตัวผมเอง
ตาสองข้าง ค่อยๆ พร่าลง จะปิดมิปิดแหล่ ฟิล์มเนกาทีฟ ฉายซ้ำอีกครั้ง เรื่องราวตอนเด็ก ผมกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนใหม่ "สน๊อปปี้" ตัวสีดำ(บี๋) พันธ์ไทยหลังอาน อย่างสนุกสนาน






"สน๊อปปี้" คิดถึงนายจัง...

















...น้ำสีดำประกายมันวาวนองท่วมบริเวณ ผมเห็นทีต้องไปแล้วหละ ตาพร่ามัว เลือนลาง พร้อมคนทั้งสองค่อยๆ จางหาย ความมืดมนเชื้อเชิญผมเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว..







บทส่งท้าย


"อย่า อย่าทำอะไรเบียร์นะ อัน ได้โปรด... เราอยากออกไปจากห้องนี้ ขอร้องเถอะ"... คำขอร้องไม่เป็นผล ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พร้อมพยายามที่จะพาปากเข้าประกบกับปากของเบียร์ด้วยแรงทั้งหมด เพียงไม่นานมันก็สำเร็จ ผมทำได้...(ยิ้มกริ่ม)

..แต่แล้วเมื่ออิสระเปิดโอกาสให้อีกครั้ง
"นายเป็นเพื่อนเรานะ" ผมต้องชะงัก และปล่อยให้ฝ่ามือของเบียร์เหวี่ยงลงบนแก้มข้างซ้ายอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเงียบลงบนแก้มคู่นี้และแก้มของเบียร์กลับฉ่ำด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา...

ตึง! เสียงประตูกระทบกับกำแพง พร้อมเสียงดังจากมัจจุราชดังสนั่นขึ้นมา แรงถีบในระยะกระชั้นชิดส่งผลให้ผมขมำคว่ำหน้าลงโดยไม่ทันตั้งตัว
"บิวนั้นเอง" มันเป็นสามัญสำนึกที่รับรู้ในตอนนั้น เด็กหนุ่มที่พังประตูเข้ามาก็คือ น้องของเบียร์
"บิว นายอย่ากลัวสิ เห็นในกระจกบ้านนั้นหรือเปล่า หน้านายซีดยังกับไก่ต้มเลยหละ"...

"ปืนสวยนะ" แต่มันดูคุ้นๆ 
...

...ปืนของเรา  เมื่อ 3 เดือนก่อนเป็นคนมอบมันให้กับบิว
"มืออย่าสั่นสิบิว" ผมมักบอกเขาเสมอเวลาไปซ้อมยิงปืนด้วยกันทุกสัปดาห์
"ไม่ว่าความโกรธ หรือความเกลียดเข้าครอบงำ แต่..นายทำสำเร็จแล้วนะ นายกล้าพอที่จะเหนี่ยวไก และพร้อมแล้วที่จะคุ้มครองพี่สาวของนาย...

"เบียร์   เราลาก่อน....เรา ขอโทษ"

"บิว...นายเก่งขึ้นมาก เชื่อเราสิ...นายเก่งขึ้นมาก"

นั้นคือคำชม ที่ล่องลอยผ่านม่านบางๆ ของความรู้สึกสุดท้าย....ของผม
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน.นิรัติศัย
Lovings  น.นิรัติศัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน.นิรัติศัย