24 พฤษภาคม 2548 11:41 น.

เปลวเทียนปลายทาง!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
(อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์*แสงเทียน*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1753.html
(ลูกทุ่งเสี่ยงเทียน)

....................


วิสาขะคืนเพ็ญนภาพร่าง

ยามตะวันโพล้เพล้

สาวนาเตรียมพับกลีบบัวละมุนพร่าง 
แสนหอมหวานด้วยเกสรระริน..ระริน

ทีละกลีบละกลีบ อย่างไม่รีบร้อน 

ด้วยดวงใจ...อันแสนอ่อนหวานอ่อนโยน
ละเมียดละมุน หอมกรุ่นหอมธรรม พอกัน


และ
แปลกดี..

ที่ใจดวงแก้วดวงใสแวววะวับดวงนี้ของสาวนา 
เพียรจัดดอกไม้ที่จะพลีเป็นพุทธบูชา..สองชุด

แทนอ้าย..ด้วย...ด้วยดวงใจหวังวาด

ว่าอ้ายอาจจะโผล่มาทัน วันแห่ง*รักนิรันดร์ของสองเรา*



ที่อ้ายเคยกระซิบบอกสาวนาไว้ว่า 
ทุกวันเพ็ญวิสาขะ
อยากมาเดินเวียนเทียนกับสาวนารายรอบโบสถ์คร่ำ

ที่เราสองนั้น
เห็นถึงสัจจะธรรมอันคืองามล้ำที่แสนยิ่งใหญ่

*ณ..ที่วัด ของเรา *

ที่แม้นจะแสนไกลปีนเที่ยง 

หากงามมลังเมลืองด้วยแสงเทียนทอในโบสถ์คร่ำ
ที่สท้อนผนังพร่าง...กระจ่าง.จับจีวรสงฆ์

จนอร่ามเรืองรองสุกปลั่ง
ด้วยพลังพุทธสีทอง*ดั่งแสงสงฆ์*

ที่ราวมาส่องนำทางสอนใจ ด้วยแสงเทียนไสวแสนสุขสงบงาม
 


มิต้องแย่งกันชุลมุน...ไร้ระเบียบ..

แค่มาเวียนผ่านๆไปให้ครบสามรอบแบบบางวัด
ที่คนไทยเราแสนสับสน  

ไม่มี..แม้นความนิ่งนึก
รู้สึกควรเงียบงาม เ พื่อ..เคารพสถานที่

ให้ชีวีพบความดำดื่มปลื้มปิติในรสพระธรรม อย่างล้ำลึก...แม้น สักวัน

ในยามย่างเยื้องร่างเข้ามา
กราบกรานบูชาพระประธานในโบสถ์

สถานที่อันแสนศักดิ์สิทธิ์..เขตธรณีสงฆ์



รู้สงบปากสงบคำ สงบกิริยา..
เพื่อน้อมนำชีวิตจิตวิญาณภายใน
ให้ซึ้งค่า จริงๆ... 
มิใช่แค่วิ่งทำตามประเพณี..แค่ให้ผ่านๆไป..กระไรเลยละหนอ



คนเอ๋ยคนไทยคนดี มิ่งมิตรน้องพี่
คนที่รักอิสระเสรี รักวัฒนธรรม ประเพณี 
ที่คงอยากสืบทอดความงามละมุน

หากไม่เคยพัฒนา ความคิด ให้รักความหอมกรุ่น
ความ ขลัง พลังแห่งความลึกซึ้ง ความดื่มด่ำ
ด้วยกาย วาจาใจ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน อย่างสมถะสงบงาม


ยังคงลืมตัว มีเพียงความไร้ระเบียบทุกถิ่นที่
แย่งกันพลีทำบุญ แบบชุลมุนวุ่นวาย ไม่ว่างเว้นแม้ในวัด

ราวไปสรวลเสเฮฮา 
ไม่มีคิวไม่มีแถว ..
ไม่มีแวว..แห่งความเงียบเสียงสงบงาม



และ..
ตามต่อจุดไฟให้*พลังธรรมแห่งชีวิตภายใน*

ได้ค้นพบแสงแห่งสวยใสสะอาดสว่างพร่างเย็นมิรู้สิ้นรู้จบ
น้อมมโนเคารพนบนอบกราบกราน

ตามด้วยดวงจิตรำลึกรู้....
*ว่าทุกสรรพสิ่งแสนสุขได้*
 ต้องค้นพบหาความสงบเย็นในตัวเรา..เพียงเท่านั้นเพียงเท่านี้


เรารักษ์ประเพณี หากไม่เคยคิด
ที่จะพลีจิตคิดน้อมนำมาฝึกร่ำพร่ำบ่ม
ให้รู้ซึ้ง..ค่าสัจจะจริงสัจจะใจ

เพียงสิ่งใดก่อนอื่น 

แค่รักษา กาย วาจาใจ 
ให้รู้รักความนิ่งเงียบงาม แม้นยามอยู่ภายในวัด 
แม้นสักขณะ..ไม่นานนาทีก็ยังดี


เพราะที่นี่มิใช่ศูนย์การค้า
ที่จะมาพากันเดินพล่านอลหม่านอลวน

ที่นี่คง....*ไม่ต้องการความวุ่นวายหนอ ความขัดข้องหนอ*

นอกจากอยากก่อกมลทุกดวงใจพุทธศาสนิกชน
ให้ชื่นฉ่ำพบ ความละเมียดละมุน
ที่แสนงามล้ำค่า 



ที่นับวันจะหายากในมวลมนุษยโลก
ผู้ที่แสนฉลาดคิดค้น
และเชื่อว่า เราคือผู้ประเสริฐยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด

ไม่..!แม้จะยอมฟังยอมแพ้ธรรม ธรรมชาติ 

ที่ฝากบทเรียนพิโรธ...ให้ไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า

ว่า..*พวกเจ้าจะพาโลกไปพบความเจริญฤาหายนะเร็วเข้า..

*ได้จงโปรดไตร่ตรอง*


ธรรม ธรรมชาติ..ที่หวังเพียง
*สอนคนค้นคน*

ผู้คิดประดิษฐ์วัตถุมากมายมากมี...จนจะล้นโลก..

ทุกสรรพสิ่ง

หวังเป็นพลังยั่วยุให้มนุษย์ไร้สติได้วิ่งตาม เติมสุข 
มัวเมาเขลาหลงพะวงหาแค่ความสนุกสนานเริงร่า

แต่ทว่า ในทางจิตวิญญาณ 
เรายังมิเพียรพัฒนา
ให้เข้าถึงแม้คำว่า..*สมถะธรรม *ที่ควรรู้คำพอดีพอเพียง
............




สาวนา..ดีใจ..ที่ไม่ต้องเลี่ยง
ไปพบภาพแบบนั้นอีก

 แบบในครั้งหนึ่งนานมาที่สาวนา
ไปธุระในเมืองบางกอกแล้วเลยเคยไปเวียนเทียนกับเพื่อน..

สาวนาจดจำได้แม่นยำถึง
คืนนั้นที่มิใช่คืนวันนี้
ที่สาวนาเวียนเทียนด้วยความเวียนใจเวียนศีรษะเสียมากว่า



สาวนา..งง..มากที่รับทราบว่า
ผู้คนมาเวียนเทียนกันตั้งแต่วัน ...

ทั้งๆพระจันทร์...ยังมิทัน**โผล่เพ็ญผ่องส่องรัศมีทรงกลดเต็มดวง**

ประตูโบสถ์ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ




ไม่ฟังพระเทศน์ให้ศีลให้พร 
ด้วยแสงแดดแผดร้อนพาให้รีบเดิน

ไม่ได้ค่อยๆเดินตามๆกันไปแบบจงกรม
และตั้งจิตตรงจิตมั่นอธิษฐานตั้งสัจจะภาวนา
คิดดีพูดดีทำดี
และ
สรรสร้างชีวีให้งามกระจ่างใสไร้พายุกิเลสใดมาแผ้วพาน



ในท่ามมนตรามหาศาสนพิธี...
จากเสียงสวดให้พรของพระสงฆ์ที่ลงโบสถ์

เพื่อน้อมสัตยาฐิษฐาน
พลีดวงจิตวิญญาณน้อมคารวะแสดงมุทิตาจิต

รำลึกนึกถึงรู้ถึง
*พระมหากรุณาธิคุณบุญบารมีขององค์พระสยมภู*
ที่เพียรค้นพบ..*อริยสัจจ์สี่..*คู่โลก..

มานับเกินสองหันห้าร้อยกว่าปีแล้ว...อย่างก้องกระหึ่ม

ก่อนที่จะพากันเดินเข้าแถวช้าช้า พาชีวีให้นิ่งงามเงียบสงบ..
..........




แต่ณ..ที่นี่ บ้านนอกคอกนา
ที่ที่สาวนากับผู้คนไร้การศึกษายังมีอาชีพทำไร่ทำนา

กลับดูทุกคนต่างเงียบสงบงาม

ค่อยๆเดินตามกันไป..

ในมือมีโคมเทียนไสว
มีดอกไม้รายรอบบ้าน..ที่งามง่ายหากสวยสมถะ
เพราะ..
มาอยู่ในมือคนผู้รู้ค่างามสงบสมถะพอเพียง



และ
ในเบื้องใต้ราวฟ้า...
ในท่าม...คืนเพ็ญ เด่นดวง

ที่...
ราวโสมสรวงส่องผ่องผุดพราว
ล้อมด้วยดวงดาวดาราราย..ดาระดาด
ฉาดฉายแสงพร่างกระจ่างพรายรัศมี..


ในท่ามแสงจันทร์ทรงกลดสดสีรัศมีนวลเย็น..งามตา

จันทร์วิสาขะ..ปุรณมี ลอยเด่นดวง..เหนือยอดโพธิ์พุทธพิสุทธิ์ใส
ฉาบใบอาบทาบทาราวทองคำสุกปลั่ง...

กำลังพลิกพลิ้วเปล่งแสงระยิบระยับ
ยามกระทบกับแสงจันทรา
และ
ดวงดารารัศมีที่พร้อมพลีกระพริบสะพรั่งพราว

อันคือ..*งามให้พลังแด่มวลมนุษยโลก*ให้รู้หยุดโศก สุข วางว่าง
ส่องกระจ่าง หยาดสายแสงแสนหวานที่สุดแล้ว



ในราตรีแห่งมนตรา
ที่ราวกลับมาส่องหล้าสยบสุขทุกข์ที่บุกโหมให้หลงลืมตัวมัวเมา

นี้ที่นับวันก็ราวกันกับ...*แสงเทียนในมือ*
ที่ริบหรี่ไหว มิรู้ทันเท่าเข้าใจโลกแลชีวิต
มิอาจจักสถิตทอดนาน

มิรู้ว่าวันใดที่มิอาจทานพายุกล้าพญามัจจุราชมารอรับ
 พลันแสงแห่งชีวีจะมอดล้าลาดับหามีจีรังไม่



หากเพียงยังคงโชคดีมีแสงพร่างไสวสักชั่วขณะ 

ยามที่แสงชีวิตแสงทียนยังโชติช่วงจำรัสชัชวาลย์
ให้พลังไฟจากพายุฝันพลันโหม..

มานำทางกระจ่างจิตมาสอนชีวาชีวิต

*ให้รู้อยู่อย่างมีมรณาณุสติ..มิประมาท*

มิขาดความเพียร
ที่จะคิดดี พูดดีทำดี ทำสิ่งที่ชอบสร้างสรร 



ก่อนวันแห่งความจีรังฝังร่างในผืนพสุธา
ที่จักมาถึงไม่นานช้าทุกถ้วนทั่วตัวคน มิเว้นวาย
ให้ ต้องพบความตายเป็นที่สุดรอบทุกคนไป

ก็จงใช้ไฟฝันนั้น
ให้พลันเกิดก่อต่อประโยชน์ต่อผองชนจนเต็มความสามารถ..
...............




สาวนา..จึง
แค่คิดคิดไปหวังใจปรารถนา ..
ว่ากระทรวงวัฒนธรรม 
จะหันมาเพียรฟื้นฟูอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี 


และ..
ในขณะเดียว
ก็ควรที่จะมีมาตรการควบคู่....รู้สอนงามใจ..ให้คนไทยงามพร้อม

สอนความรู้เคารพสถานที่ 
รู้ที่จะพัฒนาจิตคนควบคู่กันไปด้วย



เพราะมาตรแม้นเรายังคงรักษาสถานที่เอาไว้ได้ 
หากสิ่งสำคัญมิใช่งามเพียงถาวรวัตถุ

*อัญมณีจิตของมนุษย์พุทธศาสนิกชนคนไทยทุกดวงใจ*
ต่างหากที่พึงควรตระหนักให้มากกว่า 

ให้พึงรู้ค่าคำว่า..*เคารพสถานที่*
รู้ดีชั่ว รู้กาละเทศะ

รู้วางตัวให้สงบงามละมุนละเมียด
เพื่อสืบทอดความอ่อนโยนอ่อนหวานแบบกุลสตรีไทยบุรุษไทย
 


ที่ใครๆและผู้คนทั่วโลกทุกมุมโลกเคยยกย่องชื่นชมว่า
ไทยเราในสุวรรรภูมิ
*คือดินแดนแห่งรอยยิ้มอันตรึงตรา
น่าหลงใหลเสน่หาในคำว่ามิ่งมิตรไมตรี*



ที่..
ยังมีดวงดอกไม้ศรีแห่งชาติ...
*กุลสตรีไทยแสนงาม.*รู้รักนวลสงวนตัว

รู้รักษาสืบทอดขนบธรรมเนียมแสนดี..จารีตประเพณี

ที่ก่อเกิดมาจากภูมิปัญญาบริสุทธิ์
จากวิถีชนแห่งชนพื้นบ้าน
อย่างชาวไพร..ชาวบ้าน..ชาวนา
ที่ใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายธรรมดาๆ



หากไยถึงสามารถสร้างงานงามประเทืองจิต
ราวนิรมิตจากใจทิพย์สรวงมาพึงดล

ดั่งหยาดละอองน้ำฝนน้ำค้างพร่างพรม
มาประดับโลกหล้าใต้ฟ้าแสนงาม

ให้ยังมีหอมหวานราวยามอรุณรุ่ง 
ลบเร่าร้อนวายวุ่น ในโลกศิวิไลซ์ ให้หมุนช้าลงๆ..




และ..
ยังมีความละเมียดละไมประณีตรัดร้อยสอดสร้อยถักสาน
ผ่านงานงามศิลป...ไทย  ทั้งสิ้นทั้งปวง

มาเรียงร้อยดั่งสร้อยเพชรแห่งผืนหล้า
มาเรียงรายฝากสอนใจคนไทยว่า


เรามีบุญนักที่ยังได้หยัดยืนในผืนแผ่นดินอันแสนอุดมยิ่งนี้
คือ แผ่นดินไทยแผ่นดินทองแผ่นดินธรรมนั่นเอง

และ
ยังได้มีชีวีพลีสร้างสรรสานฝันรจนาฝันให้เป็นจริง
ทำสิ่งแสนดีแสนงามมากมาย ฝากไว้ให้ลูกหลานสืบทอด



 เพราะมิฉะนั้น
ฝันแสนดี จะมลายหายไปกับชีวีชีวิตคนเมือง
ที่รีบเร่ง..ร้อนรุกบุก..โหมทำลาย...ไปเสียทั้งสิ้นทั้งหมด

ไม่งดเว้นแม้นความละเมียดในวัด
ให้กลายเป็นวิถีตัวใครตัวมัน 
พากันเร่งเวลา พากันขาดความประณีตในทุกสิ่ง
.........


สำหรับ
สาวนา..เกิดมาที่นี่  กับใจดวงดีกับวิถีชนบท 
กับกระท่อมไพรกระท่อมใบไม้ที่แสนงามง่าย

หากสาวนาก็แสนรู้สึกดี แสนจะมีความภาคภูมิใจ
รักรู้งามง่าย
ใช้ชีวีอย่างมีความพอเพียง พอดีพอใจ..เลยแสนสุขในเสียไม่มี
และ
รำลึกรู้คุณค่าสิ่งรายล้อมหอมชีวีเหล่านี้
ที่ใครจะมาแลกด้วยเงินตรา 
พาสาวนาไปเป็นสาวเมืองเรืองรุ่ง...สาวนาคงไม่มุ่งหวังแปรใจ


ขอเพียงดวงจิตไสวของสาวนา..

ยังคงได้ใช้ชีวาได้หอม..กลิ่นวัวควาย ในนา...
ได้กลิ่นข้าวใหม่  ที่ค่อยค่อยไหวเรียวรวงระย้าย้อย
ค่อยๆห้อยเคลียดิน...
รอรับหยาดละออละอองน้ำค้าง ทุกอุษาวดี
ได้เดินอ้างว้างด้วยใจดวงดีดวงสมถะ
พาร่างไปสัมผัสพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า 



ได้นอนทอดตา
เหนือลานหญ้าลานหินดูท้องฟ้างามกระจ่างใส
ฟังเสียงดุเหว่าไพรเรไรร้อง
กบเขียดในขนำนาพากันประลองเสียงเถียงกันระงม


 ฟังเสียงสรรพสัตว์
ที่ร้องกรรโชก...ลอยลมมาในยามค่ำ..อย่างไม่พรั่นใจ
เพราะคือมิ่งมิตรน้อยใหญ่...ที่เคียงคู่ใจสาวนามาชั่วชีวี
ให้ราตรีราวมีเพื่อนไพร ไม่ดายเดียว..เลย

ไหนจะได้ลุยโคลนเลนไถนาได้ กอดวัวควาย มิเหว่ว้า
ได้ไปเก็บเห็ด..หาผักหญ้า..มาแค่ดำรงชีพชอบ



ได้ประกอบชีวีหว่านไถ 
ผลิดข้าวรวงไสวให้ชาวไทยชาวเมืองได้อิ่มท้อง
ได้เอาข้องไปจับปลา ยามฝนมาและขังนาเจิ่งนองไปทั่ว



ให้ดวงใจพิสุทธิ์ใสหวานได้เดินไปวัด...
ท่ามรอยทางแหวกพงหญ้าฝ่ากอข้าวในนา
พานพาให้เรียวแก้มแตะแต้มด้วยพรายหวานของดอกข้าว
ให้ดอกหญ้าเจ้าชู้ติดผ้าถุง
ได้แหงนเงยหน้าบอบบางละมุนดูเรียวรุ้งแสนงามยามฟ้าหลังฝน



ดูหยาดน้ำค้างกลางใบบัวราวเกร็ดเพชรวะวับวาว
ยามสาวนาพายเรือไปเก็บบัวบุษย์พิสุทธิ์งาม

มาพับกลีบกราบกรานพลีถวายเป็นพุทธบูชาในวันพระ
ให้จิตใสได้น้อมนำฟังธรรมอันคืองามจิตดื่มด่ำ

ที่จักพร่างริน
เข้าไปถึงจิตภายให้ใสเย็นฉ่ำให้สว่างกระจ่างสงบงาม
ในทุกยามแห่งชีวิตนี้ที่แสนสั้นนัก
........




และ..แล้วคืนนี้
สาวนาก็..มาเวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ ..ลำพัง...
ไร้ร่างอ้ายคนดีมาเคียงข้าง..มาบนบานตั้งสัจจะจิตอธิษฐานใจ


มีเพียงโคมทียนแก้วไสว..พร่างสว่าง
ส่องฉายฉาบอาบไล้ใบหน้าสาวนาให้งามละออสุกปลั่งดั่งทองทา




และ
กับหอมพิกุล...ที่ดวงดอกหยักพร้อย สอดสร้อยสลักเสลาแสนวิจิตร
ราวสายสร้อยเพชรที่สาวนาเคยเรียงร้อยในยามเยาว์วัย...

ลั่นทม... ที่ไร้ใบมีเพียงกิ่งก้านกับหวานดอก
พร้อมเกสรดอกบัวพร่าง
และ..
ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ใบดก ให้ฝูงนกกามาพึ่งพิง


ที่..ณ นาทีนี้
จันทร์นวลดวงทองผ่องเพ็ญ
กำลังพร่างแสงสล้าง
ทอแสงไสว..รำไร..รำไร..เหนือยอด

ทั้งเสียงสงฆ์เสียงธรรมและแสงเทียน..
กำลังพร่างเคล้ากันมานำทางใจ..ให้กับสาวนา..และทุกอุบาสกอุบาสิกา



ที่เดินกำลังเดินช้าช้า 
ด้วยความศรัทธาปสาทะอย่างแรงกล้าอย่างเงียบงาม
ยิ่งพาให้จิตสวยใสสงบสะอาดสว่างพราวพอกัน

ให้สาวนาได้ใช้พลังแห่งความนิ่ง
ตั้งพลังจิตอธิษฐานและสัจจะ




ให้ชีวีอ้ายแลสาวนา...
ได้เพียรพาพบมงคลธรรม
*อันคือพลังปิติเกษมตราบจนวันตาย*

ให้ได้ใช้ชีวีที่เหลืออยู่ ดั่งธุลีหล้าน้อยนิด 
คิดดี คิดชอบ ประกอบบุญกุศล
ในร่มฉัตรไตรรงค์ 
ในร่มพระรัตนตรัย
ในร่มฟ้าไทยพุทธภูมินี้



ให้เราทั้งสองชีวี
และทุกคนดีคนไทย
ทุกดวงใจทุกมิ่งมิตรที่เราแสนรัก
จัก ได้พบทางสู่พระนิพพาน 

ผ่านเพียรด้วยการรู้ให้ทาน รักษา ศีล  ภาวนา พามีสมาธิ ปัญญา 
พาพบพระธรรมอันแสนล้ำค่าที่พระพุทธองค์
ฝากไว้..ให้ดั่งอยากให้เราเป็นดั่งเช่นบัวพ้นน้ำ



*ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ
ความสุขชนิดนี้ สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง

ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่น แสวงหาความสุขจากที่อื่น
เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย
มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆขึ้นไว้เพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม
แต่ก็ตาม ไม่เคยทัน...*



*........
ดูกรภิกษุทั้งหลาย! 
บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว..
ขอเตือนเะอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อม และสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด..*




และ
สุดแล้วแต่ดวงจิตใสดวงใจใครจะไขว่คว้า
ก่อนที่จะฝากชีวาไว้กับผืนดิน
ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง
ทั้งความดีเลว..อย่างสมค่าคำว่าเกิดมามิเสียชาติเกิด*

**********************




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html
แสงเทียน เพลงพระราชนิพนธ์ 


จุดเทียนบวงสรวง ปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้า ถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้น ทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้ว ตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดา ข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน

เปรียบเทียนสิ้นแสง ยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉา เหมือนเงาไร้ดวงเทียน
จุดเทียนถวาย หมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียน แสงเทียนทานลมพัดโบย
โรครุมเร่าร้อน แรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิด เกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณ ปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป... 
 




ลูกทุ่งเสี่ยงเทียน 
ชินกร ไกรลาส 
ลูกจุดเทียนอธิษฐาน
บนบาน ทวยเทพ-ไท
วอนคุณพระรัตนตรัย
ฟังคำ พร่ำไข ขาน
เทียนเล่มนี้ คือ ชีวิต
แม้นโชคโสภิต
โปรดช่วงชัชวาลย์
แม้ลูกโชคร้าย เพียงวายปราณ
พระพายจงปฏิหารย์
ดับเทียนลูกนั้นทันใด
พรหมบันดาลสวรรค์ลิขิต ในอตีต
แห่งชีวิตลูกนี้
มีแต่ตรมขื่นขมทวี นานปี
ไม่มีแจ่มใส
ลูกผิดหวัง ลูกพลั้งพลาด
หมายใดมุ่งมาด กลับพลาด ไป
น้ำตาหยาดย้อย แต่น้อยจนใหญ่
มิมีผู้ใด เยื่อใยเวทนาการ
กลิ่นธูปควันเทียนที่ในกระถาง
บัวน้อยที่วางหน้าพระประธาน
ลูกสังเวยบวงสรวงอธิษฐาน
น้ำเสียงบนบานไปสู่พระพรหม
พระสร้างลูกไว้ ในโลกกว้าง
พบความอับปาง แทบสิ้น ลม
เมื่อไรจักพ้น ทาง ระทม
พระหัตถ์แห่งพรหม
โอบอุ้มลูกที
เทียนเสี่ยงทายประกายวับแวม
ไม่แอร่ม แจ่มหวนโหย
ลมสงัดไม่มีพัดโชย โบยต้อง
ให้หมอง ศรี
กรรมแต่หลัง ยังไม่ลับ
แสงเทียนไม่ดับ แต่ริบ หรี่
แสงเทียนอยู่ยั้ง หวัง ยังมี
ขอรอโชคดี สักวันคงมา... 

.............
 
 				
19 พฤษภาคม 2548 12:32 น.

เสียงสงฆ์สายธรรมแสงเทียนวันวิสาขะ!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
(รางวัลชีวิต)
...............



ฝนพรำสายมาเมื่อยามใกล้รุ่ง
สาวนานอนหนาวในมุ้ง
ในที่นอนอบอุ่น..

ฟังเสียงฝนพริ้งพราว ฟังเสียงฟ้าเศร้า ร้องครางครวญ...



สาวนานอนหลับตานิ่งนิ่ง
ฟังเสียงฝนทิ้งทอยทอดกระทบหลังคาจากดังเปาะแปะ เปาะแปะ....

ฝากความรู้สึกสงบสุขแสนหวานแสนดี

สาวนาค่อยๆควานคว้าเปิดวิทยุโซนี่ หาคลื่นวิทยุ
ฟังรายการเพลงลูกทุ่งหวานหวานรับอรุณ..



นอกหน้าต่างกระท่อม...
ม่านฝนยังพราวพร่าง
ราวหมอกเมฆทิ้งสายพรายพรม
ห้อมห่มเคลียแก้มแต้มดวงดอกหญ้าและดอกข้าวในนา 


ที่ณ..บัดนี้..
กำลังผลิยอดเยาว์เสลาชูช่อก่อรวงเรียวไสว
โอนเอนอ่อนอ้อนรับสายลมในยามเช้า

ให้หยาดน้ำค้างจับพราว
ให้เรียวใบไม้กลีบดอกไม้ได้ชื่นสดฉ่ำ

ให้ได้รับพรายแสงแรกแห่งดวงตะวันอันอ่อนอุ่น
ที่จะมาละมุนกลางกลียวเกสร
มาแทรกหอม ระเหยหาย พลัน
ให้...
พลังอุษาวดีแห่งทิวาวัน
พลันได้ทำหน้าที่..
พลีเพื่อผองชน..บนผืนโลกอย่างซื่อตรงคงมั่น..



เสียงบทเพลง
รักร้าวเมื่อหนาวลมแว่วมา
พาให้หัวใจสาวนา
ราวละเมอเพ้อพก...จนหัวอกหัวใจหวิวไหวหวั่นหวาม
รู้สึกเศร้าตามไปกับบทเพลง...


เมฆลอยกระจาย
อยู่ในฟ้าสูงแลลิบลิ่ว 
ลมหนาวเริ่มปลิว
ลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน 

ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจ 
น้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน 
คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง 

เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง 
ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคล้อย 
ฝนลา-ลาหนาวข้าวแตกรวง 
แต่รักลาทรวงสิ้นน้อง 
โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม 

เจ้าทิ้งให้พี่หนาวหนาวจนใจเหน็บ
 เจ็บดั่งหนามระกำตำทรวงให้ระบม 

เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารัก 
พี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม 
ให้ชมแล้วน้องก็ชัง 
เมฆลอยกระจายดั่ง
เหมือนหัวใจลอยละลิ่ว 
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมา
เมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง 
ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย 
ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง 
สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง...
***********





อย่างช้าช้า..สาวนาลุกขึ้นและ
เอื้อมมือคว้าเอาผ้าฝ้ายทอมือมาคลุมไหล่..ที่กำลังหนาวเยือก

สาวนาไม่รู้ว่า..
นาทีนี้...สาวนา
หนาวเนื้อหรือว่าหนาวใจ



หากทว่ารู้สึกราวร่างใจหนาวรวมกันไปทั้งสองอย่าง
ต้องค่อยๆรำลึกรู้แล้ววางจิตคิดรู้ทัน
แล้ว..
จึงภาวนาประคองขวัญ
ให้เลิกคิดถึงคะนึงหาอ้าย



ที่ณ..บัดนี้จะเป็นจะตายจะสบายดี อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ฤาว่า
กำลังนอนกอดอยู่กับใครในอ้อมอกเอนอิงอ้อนออดกันจนอุ่น

ก็ไม่รู้แล้ว...ก็ช่างเถอะนะ..



สาวนาคนมีกุศโลบาย..ฉลาดล้ำฉลาดคิด

รู้ทำจิตทำใจให้ใสสวยสงบ
จะได้ไม่ต้องพบคำม้วยมรณาด้วยตรอมตรมก่อนถึงเวลาอันสมควร



เพราะ
หลังจากได้ศึกษาพระธรรม
พาจิตเข้าพึ่งพิงในร่มพระรัตนตรัย
สาวนาทำใจได้แล้ว
และ
เพียรอ่านหนังสือธรรมะมากมาย
ที่ใช้เวลานานหลายปี

ที่เพิ่งจะค่อยๆซึมซึ้งให้เข้าถึงความทุกข์
จนเข็ดหลาบ จนขยาดไม่แม้อยากจะคิดรักใครอีกเลยแล้ว



ว่าแล้ว...
สาวนา..ก็ค่อยๆพาตัวเอง...เดินฝ่าสายหมอกหยอกรวงเรียว
เดินเดี่ยว ไปยังลำธารฝันสวรรค์สรวง...สวรรค์ไพร

ค่าที่มีเถาวัลย์ แมกไม้ 
สายน้ำที่ยังเย็นใส..จนแทบมองเห็นตัวปลาว่ายวน

ยังคงเห็นกรวดทรายวะวิบวับ ราวกับกระจกกระจ่างพร่างรัศมีเพชร


สาวนาค่อยๆถอดเสื้อ..
เผยให้เห็นเนินเนื้อหนั่นแน่น..สาวสล้าง
สีราวน้ำผึ้งรวง

ที่มีเพียงปวงบุปผาไพร..นกไพรเพียงนั้น
ได้พากันแย้มยลยามสาวนาค่อยมัดปมผ้าถุงกันลื่นหลุด



ก่อนที่จะ...ค่อยๆแหวกว่ายในสายน้ำ
ในยามอุษา...

ที่ฟ้ากำลังสาดสายแสงสีทองให้ผ่องพราวไสวไปทั้งราวไพรราวป่า
ให้พวงบุหงา พากันเบ่งบาน
คลี่หวานผลิช่อฝันประชันอวดดอกดกไสว

ให้ทอทอดลอดกิ่งไม้ใหญ่กิ่งไทรสาขา
ลงมากระทบร่าง
พร่างหยดน้ำวะวับวาวราวหยาดเพชรกลมกลิ้งบนเนื้อเนียน..



สาวนานอนลอยตัวนิ่งนิ่งในสายน้ำ
พลัน..ดอกจิกแสนหวานได้หว่านดอกพรูลงพร่างหอมห่ม
ลงบนตัวสาวนา..
ที่นาทีนั้นดูราวกับว่า
นางไม้นางกินรีกำลังหนีมาเล่นน้ำลำพัง



สาวนา...
กำลังนอนคิดถึงบทตำนานเกร็ดในพุทธศาสนา
ที่หลวงพ่อ ได้โปรดกรุณาเทศนา
เล่าให้อุบาสกอุบาสิกาพากันฟังในวันพระที่ผ่านมา

เพราะนี่ก็ย่างเข้าเดือนหกแล้ว
ฝนก็ทำท่าตกปรอยๆ กบเขียดก็พลอยจะพากันเริ่มร้องฮึมฮัมๆ



ในยามที่พระบรมศาสดา..
จะบรรลุแจ้งเป็น..*พระพุทธเจ้า..*
เพราะ..เฝ้าบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยา 

ที่สาวนา ชอบคิดฝันจินตนาการไปทุกครา
ในทุกยาม ที่มา  ณ..ที่นี่..

ราวริมฝั่งฝันเนรัญชรามหานที..

ที่จิตดวงดีดวงดิน
ถวิลไปถึงภาพพิเศษพิสุทธิ์ที่ชอบผุดขึ้นในมโนนึก 



ที่..ราวกับมีพลังลึกลับ...ดึงดูดให้..หัวใจสาวนาถอยจิตกลับไป
ยิ่งเมื่อรำลึกได้ว่าใกล้วันวิสาขปุณมีเข้ามาทุกทีแล้ว...

สาวนา...
แทบท่องจำได้ขึ้นใจในเรื่องที่เล่าถึงพระพุทธเจ้า

ที่หัวใจสาวนา...พลีศรัทธารักแสนรัก...
แสนเทิดทูนบูชาในองค์พระบรมศาสดาของเรา


สาวนา หลับตา...
แล้วจึ่ง...นึกย้อน..
เมื่อตัวสาวนามานอนอยู่ในสายน้ำรักนิรันดร์

ที่สาวนามักจินตนาพาจิตสมมุติไปราวกับว่า
 
ณ..ที่นี่คือเนรัญชรามหานที 
ที่แสนสวยใสงาม...ทุกทีไป



และ
ในภวังค์ฝันอันแสนงาม.
ด้วยใจดวงดีมีพลังแห่งสมาธิ

ที่ยามนี้ได้ใช้เวลาอยู่ในป่าไพรกับงามเงียบ
กับสายน้ำแสนเฉียบเย็นฉ่ำ 
ที่กำลังระร่ำริน

ราวกับรับรู้ถึงดวงจินต์ดวงจิตสาวนา

ที่กำลังแสนพร่างปิติเกษมโบยบินกลับไปในอดีตก่อนพุทธกาลสมัย
...........



ย้อนรอยไปอีกสามสิบห้าปี 

ในคืนวิสาขะ...ราตรีเพ็ญบุญ...

ที่ฟ้าแจ่มกระจ่าง..ด้วยแสงแห่งเดือนเพ็ญโฉม

คืนที่ฟ้าโพยมพยับ
ราวกับเทพไท้เทวดามาร่วมชุมนุมพร้อมพรั่งกัน

...........


นับตั้งแต่พระองค์และปัจวัคคีย์
ได้ร่วมกันบำเพ็ญความเพียรอย่างแรง

ที่เรียกว่าทุกรกิริยา
ที่แปลว่า
การกระทำที่ทำได้ยาก 
คือทรมานตนในรูปแบบแปลกๆ
เช่นการอดข้าว อดน้ำ
นั่งทนยืนทนหน้าหนาวก็ไปแช่อยู่ในน้ำ



หน้าร้อนก่อไฟรอบตัว
ทรงทรมานจนพระกายซูบผอม 
ทรงเห็นว่าขืนทำต่อไปก็คงไม่สำเร็จจึงทรงเลิก

จนปัญจวัคคีย์ทั้งห้า
ก็คิดว่าพระองค์คงจะเลิกใช้ความเพียรเสียแล้ว

คงจะหันไปหาโลกียสุขต่อไป
จึงหนีไปเมืองพาราณสี ทิ้งให้พระองค์อยู่ผู้เดียว



สถานที่พระองค์ไปทำความเพียรแบบทุกรกิริยานี้คือ
*ถ้ำตุงคสิริ*
อยู่ห่างจากบริเวณต้นโพธิ์
เมืองคยา ประมาณสัก 5-6 ไมล์ 

ถ้าจะไปถ้ำตุงคสิริ
ต้องข้ามแม่น้ำเนรัญชราแล้วเดินทางต่อไปในป่า 
ซึ่งในสมัยพุทธกาลบริเวณนั้นเป็นป่าร่มรื่น



ถ้ำตุงคสิรินี้เป็นหน้าผา กันแดดกันฝนได้

ในถ้ำเข้าไปนั่งได้สบาย 

เมื่อปัจจวัคคีย์ออกไปแล้วจึงเป็นโอกาสเหมาะ
เพราะพระองค์ต้องการอยู่เงียบๆตามลำพัง

ได้เสด็จจากถ้ำ ตุงคสิริ
เดินเลียบแม่น้ำเนรัญชราขึ้นมาทางเหนือ
เดินทวนแม่น้ำข้ามฝั่งไป



*เห็นบริเวณต้นโพธิ์ร่มรื่นสบาย 

มีทุ่งหญ้าเขียวสด

บริเวณป่าก็ไม่ห่างไกลหมู่บ้าน *พอจะบิณฑบาตรได้ไม่ไกลเท่าใดนัก

นึกในพระทัยว่า 
*ที่นี้เหมาะสำหรับบำเพ็ญความเพียรหาสัจจธรรม

จึงเสด็จไปบำเพ็ญความเพียรที่นั่น 

การนั่งทำความเพียรมีหลายแบบเหมือนกัน



ในที่สุด..ถึง...*วันวิสาขะ เพ็ญเดือน 6

เมื่อตื่นบรรทมตอนเช้าแล้ว

พระองค์ก็เสด็จไปสู่แม่น้ำ 
อาบน้ำชำระพระวรกาย

แล้วประทับอยู่ใต้ต้นไทร

ขณะนั้น*นางสุชาดา ผู้เป็นคหบดีมั่งคั่งที่นั่น
ได้เคยบนบานกับต้นไทรไว้ตั้งแต่ยังสาวว่า



ถ้าได้สามีที่ดี และมีบุตรคนหัวปีเป็นชายแล้ว 
จะทำขนมมาสังเวยเทวดา

เมื่อสมปรารถนาแล้ว
ในเช้าวันนั้น นางก็ทำอาหาร

ที่เรียกว่า*ข้าวมธุปายาส*คือข้าวที่กวนกับน้ำนมสด
กวนจนเหลวเข้ากันดี เมื่อเสร็จแล้วก็จัดใส่ถาดทอง
 


บอกสาวใช้ให้ไปกวาดโคนต้นไทรให้เรียบร้อย

*จะนำข้าวมธุปายาส ไปถวายเทวดา*

สาวใช้เดินมาเห็นพระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นไทร
ก็คิดว่าเทวดามารออยู่แล้ว
จึงรีบไปบอกนางสุชาดาว่า

*เทวดา คงยินดีรับบัตรพลี เพราะมานั่งรออยู่แล้ว



นางสุชาดาก็ดีใจถึงกับพูดว่า

*ถ้าเป็นความจริงก็จะปล่อยสาวใช้ให้เป็นไท*
ไม่ต้องเป็นทาสต่อไป..

แล้วนางก็ยกถาดทองใส่ข้าวมธุปายาส ทูนขึ้นบนศรีษะ



เมื่อไปถึงก็เห็นว่า 
เทวดาท่าทางเรียบร้อย

จึงก้มหน้าถือถาดเข้าไปประเคน

พระองค์ก็รับประเคนทั้งถาด 
แล้วเหลือบดูนาง นางก็ทูลว่าถวายทั้งถาด
แล้วก็ลากลับไป




*ทรงถือถาด ข้าวมธุปายาส
เสด็จไปสู่ท่าน้ำเนรัญชรา

ฉันข้าวมธุปายาสหมดทั้งถาด 
แล้วก็ลอยถาดลงไปในแม่น้ำ

ในปฐมสมโพธิอ่านแล้วจะพบว่า
ถาดนั้นจมไปใต้ดินไปถึงเมืองพญานาค

พญานาคหลับอยู่นาน
ได้ยินเสียงถาดก็ตื่นขึ้นบอกว่า
วันนี้ตรัสรู้อีกองค์หนึ่งแล้ว
เมื่อวานนี้ก็ตรัสรู้องค์หนึ่ง

พญานาค นอนหลับเป็นล้านๆปี
เรียกว่าเล่าเพื่อให้เห็นปาหาริย์ไว้ให้สนุก

 


พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั่น จนบ่าย
จึงเสด็จจากริมฝั่งแม่น้ำ 

ระยะทางจากฝั่งแม่น้ำไปถึงต้นโพธิ์ก็ไม่ไกล
ราวร้อยเมตรเศษเท่านั้น
เสด็จไปด้วยอาการสงบ



ขณะนั้นมีพรานป่าชื่อ*โสตถิยะ*
ตัดหญ้ามาจะมามุงหลังคา

พอเห็นพระองค์ผ่านมา
ก็ถวายหญ้า ที่ชาวอินเดียเรียกว่า*กุสะ*

คำว่า*กุสะ*นี้ไม่ใช่หญ้าคาอย่างบ้านเรา
แต่เป็นตะไคร้หอม เรามาแปลว่าหญ้าคา ซึ่งไม่ถูก

ตะไคร้หอมต้นเหมือนหญ้าคาใบก็คล้ายแบบเดียวกัน
แต่มีกลิ่นหอม พวกฤาษีนักบวชชอบเอาใบมา*กุสะ*มาปูนั่ง



*นายพรานได้ถวายหญ้า 8 กำมือ
พระองค์ก็รับนำไปสู่ต้นโพธิ์
เมื่อไปถึงก็ทรงปูลงใต้ต้นโพธิ์
ยืนนิ่ง  อธิษฐานในใจว่า*



แม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม

สิ่งใด ที่จะสำเร็จได้
ด้วยความเพียรความบากบั่นของตนแล้ว
ถ้าเราไม่ถึงไม่ถึงจุดนั้น
จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด

นี่คือ คำ *อธิษฐานยอมตาย*
ให้กระดูกเปื่อยอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ถ้าไม่สำเร็จจะไม่ลุกขึ้น..



และ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
ที่เราทุกคนจะนำไปใช้ได้ 
ใช้ในเวลาที่จะทำอะไรให้ทำได้

ใช้อธิษฐานใจเวลาจะทำอะไร *คำอธิษฐาน*
หมายความว่า
*ทำจิตใจให้มั่นในเรื่องที่เราจะทำ*

ทำอะไรต้องทำใจให้มั่น 
การทำใจให้มั่นก็เรียกว่า ใช้กำลังภายใน
ให้เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน



คนเราจะทำอะไรต้องมีกำลังใจหรือกำลังภายในแล้ว
การกระทำก็ก้าวหน้า 

และ
หลังจากอธิษฐานแล้วต้องมีสัจจะ สัจจะ
หมายความว่าทำจริง มีสัจจะ  มีอธิษฐาน 
แล้วเราก็มีความเพียร ก็จะประสบความก้าวหน้า
.......



เมื่อ พระองค์อธิษฐานใจแล้ว
ก็ประทับเจริญภาวนา

ภาวนาคือ กำหนด อานาปานสติ
อานาปานสติ แปลว่า กำหนดลมหายใจเข้าออก
ควบคุมเวลาหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้



แล้วพระองค์..ก็ทรงบรรลุ*ญาณ*แปลว่าปัญญาหรือความรู้
คู่กับ..*ฌาน* แปลว่าเพ่ง
*พระองค์ก็ได้บรรลุ ญาณ ทั้งสาม 3

ในปฐมยาม 
มัชฌิมยาม 
ปัจฉิมยามราตรี สำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า*

คือหลุดพ้นจากความผูกพันทางใจด้วยประการทั้งปวง

บรรลุถึงเสรีภาพขั้นสูงสุด 
ได้รับความอิสะอย่างแท้จริง
ได้เป็นพระพุทธเจ้า



พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลก ในวันเพ็ญวิสาขะเดือน6 
ก่อนพุทธศก 45ปี 

ทรงบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า 
เมื่อพระชนมพรรษา 35 ปี 

ออกบวชอายุ 29ปี เที่ยวศึกษาค้นคว้า
ทำความเพียรอยู่จนได้เป็นพระพุทธเจ้า 

เมื่อตรัสรู้แล้วก็ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกตลอดเวลา 45 ปี



ได้ทรงกระทำ งานด้วยความตั้งพระทัย
เพราะ*พระองค์อธิษฐานใจ*

 คือภายหลังตรัสรู้แล้ว
ก็พักอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ใต้ต้นเกด ใต้ต้นมุจลินท์

ซึ่งอยู่ในบริเวณ นั้น 7 วัน  7 แห่ง

แต่ละแห่งได้ทรงเปล่งอุทานออกมาด้วยความเบิกบานพระทัย
หลายเรื่อง 



และการตรัสรู้ของพระองค์นี้
ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยเทพเจ้า
ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยอำนาจเบื้องบน 
ไม่เกี่ยวเนื่องอะไรทั้งนั้น

แต่เกี่ยวด้วยความเพียร
ความตั้งใจเป็นการคิดค้นด้วยพระองค์เอง





เพราะฉะนั้น 

พระองค์จึงตรัสว่า
พระองค์ทรงเป็นสยมภู แปลว่า ผู้รู้เอง 

ไม่สามารถจะอ้างว่าใครเป็นครูเป็นอาจารย์ได้
เพราะเป็นเรื่องที่รู้ด้วยพระองค์เอง

อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่า
*พระองค์เคารพสมองคนว่าเป็นผู้มีปัญญา
สามารถทำอะไรก็ได้



...........
สาวนานอนคิดนานมาก
เพราะว่ามีใจดวงใสดวงงาม
ในยามนี้ 

และราตรีนี้คืนเดือนเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหก

ที่สาวนาและพุทธศาสนิกชนเฝ้ารอ
ที่จะได้ไปแสดงมุทิตาจิต
เวียนเทียนรอบโบสถ์คร่ำ



ถวายชีวิตแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถวายจิตวิญญาณในร่มพระรัตนตรัย
เป็นลูกของพระพุทธองค์จะได้มิหลงทาง

ได้เพียรเดินตามรอยบาทอย่างมิให้คลาดคลา
แม้นจะต้องใช้เวลาแสนนาน 
ก็จงเพียรพยายามอย่าท้อ
และ
คือขอตั้งสัจจะอธิษฐานภาวนา
เพื่อจะได้มีหลักชัยแห่งชีวิตนำทาง
ดั่งดวงประทีปพร่างไสวในโคมแก้วงามท่ามราตรีเพ็ญนี้

ที่สาวนาตั้งใจจะประดิดประดอย
เด็ดดวงดอกไม้รายรอบวิมานดิน

มาร้อยรักพลีสิ้น ด้วยใจดวงศรัทธา
เพื่อสืบสานพระศาสนาที่แสนจะร่มเย็น
ให้โลกหล้าและมวลมนุษย์ได้รู้หยุดทำร้ายกัน

ได้หันมาเอื้อโอบใจปันแบ่งทุกสิ่ง
ก่อนที่จะพรากลาไป..ใช่จะมีชีวียาวยืนยาวนานนิรันดร์



พลัน...!..สาวนา

ราวได้ยินบทกวีพลีถวายเป็นพุทธบูชา
จากบุรุษแห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์
มิสิ้นเสียง สายแสงจากพลังแห่งแรงรักศรัทธา



ที่เขาก็คงปิติปรารถนา
เพียงเพียรรจนาฝากหอมงามฝากความดี
ไว้ในหล้านี่
*ที่ชื่อว่าแผ่นดินแม่มาตุภูมิ*
ให้ได้แสนภาคภูมิใจ กับชีวาชีวีนี้

ที่มิเสียชาติเกิดมาได้พบคำสอนล้ำค่า
จากฟ้าพุทธภูมิจากพระพุทธองค์ 


ที่ หวานแว่วแผ่วมาในมโนนึก

ให้รู้รำลึก  ลึกล้ำดำดื่ม
จนน้ำตาพร่างไหล
ไปกับสายน้ำใจสายน้ำนิรันดร์ พลันนะบัดนี้...!!!!

...........
...........



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
รางวัลชีวิต 
ชัชฎาพร ลักษณาเวช 
พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย... 
 



				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา