12 มิถุนายน 2551 08:54 น.

กระท่อมเดียวดาย..

สาวบ้านนา

014-RiceField.JPGrice-field-girl-615.jpg0920_C47.jpg
ระย้าช่อจากกอเขียว
รวงเรียวสุกปลั่งไสว
ราวผืนพรมทองทาสุดตาไกล
ด้วยหยาดเหงื่อน้ำใจชาวนา

แก้มเหี่ยวยับย่นทนแดด
แผดเผาไหม้เกรียมใต้ฟ้า
อัญมณีใจจากดินเลอค่า
เลี้ยงผองหล้าไทยอิ่มท้อง

หนีนากว้างเดือนแจ่มดงกระถิน
ทิ้งถิ่นวัวควายบึงหนอง
ดอกผักบุ้งริมนาน้ำตานอง
คลองว่ายท่องไปหลงแสงสีศิวิไลซ์

เสียงขลุ่ยกองฟืนลอมฟาง
เดือนพร่างดาวเต็มทุ่งฟ้าไสว
อกอุ่นหนุนแขนฝันไกล
หลอมใจรวมร่างสร้างรังรัก

กระท่อมไพรร้างไร้
ร่างอ้ายคนดีที่ภักดิ์
สัญญากับสาวนาแน่นหนัก
จะรักตราบสิ้นดินฟ้า

ลั่นทมระย้าชายคาฝัน
สาวนาหวั่นหวั่นเหว่ว้า
ฟังเสียงฝนหล่นพรากจากลา
น้ำตาฟ้าร่ำไห้สังเวย...ภักดิ์...!

.......................................................

99559-004.jpghiketobanna.JPGกระท่อมลั่นทม..


หลายวันมานี้
ฟ้าฝนดูมัวหม่นเทาทึมมาแทบทุกทิศทาง
และพระพิรุณก็โปรยปรายฉ่ำชื่นแทบทุกคืนค่ำ
ทำให้หัวใจสาวนาเลยพลอยเหงาเศร้า
หนาวๆในอกในใจอย่างไรก็ไม่รู้


สาวนา..คนขยันเลยรีบ
ทำงานในนาแต่วัน
และงานจิปาถะ
ให้แล้วเสร็จก่อนตะวันลา


และ
พอยามค่ำ
ก็จะได้มานอนฟังเสียงสายฝนรินร่ำ
ยามตะวันโพล้เพล้
อย่างแสนมีความสุข


ได้จุดตะเกียงอ่านหนังสือ
ธรรมะดีดีที่ยืมมาจากวัด

บางคืนก็ต้องตกใจ
ด้วยความกลัว
ว่ากระท่อมโย้เย้จะพังลงมาใส่หัว
และ
กลัวลมพายุจะมาพัดหอบปลิวไป
เพราะว่า
ลมพายุมาแรงมาก
จนจำปี..ลำดวน หางนกยูงต้นใหญ่
ตรงทางเข้ากระท่อมไหวโอนเอนๆ


ไหน
สาวนายังต้องรีบไปดูแลวัวในคอก
ไม่ให้หลุดออกไป
และยังจะมีงานอื่นๆอีกมากมาย
ที่ต้องระดมรับมือ
เช่นปีนขึ้นไปเปลี่ยนหลังคาจาก
ที่มุงไว้ให้วัวไม่ต้องเปียกฝนทนหนาว
ตามประสายาก


วันนี้สาวนาจัดกระท่อมใหม่
ทั้งๆที่ในกระท่อม
ก็ว่างโล่งแทบไม่มีสมบัติอะไรให้จัดแล้ว


สาวนาเพียงเก็บกวาดให้สะอาดสะอ้าน
ล้างโอ่งดินเผาที่มีมากมายหลายใบริมชายคา
ที่สำหรับเก็บน้ำไว้ใช้
ทั้งไว้ต้มดื่มกิน

และทั้งไว้ใช้ประกอบกิจสาระพัด
ที่สาวนาจะจัดแยกประเภทไป


โอ่งไหนไว้ทำกับข้าว
โอ่งไหนไว้ล้างหน้า
โอ่งไหนไว้ดื่มกิน..
โอ่งไหนไว้รับแขก


สำหรับโอ่งน้ำดื่มไว้รับแขกนั้น
เป็นโอ่งโบราณสีเขียวไข่กา
ที่วางไว้ริมชานกระท่อม


ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็เพราะสาวนาถูกอบรมมาแบบโบราณจากคุณยายว่า
ต้องมีน้ำดื่มไว้ให้แขกผู้ผ่านมาและกระหายหิวน้ำ
ตามคำที่ว่าใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ


สาวนาจัดแยกเก็บข้าวของตามประเภท
ไม่ให้ปะปนรกรุงรัง
เสื้อผ้า
ก็เช่นกันจะชุดนอนชุดไปเที่ยวไปวัด
ก็ต้องจัดแยกไว้ให้งาม
จัดพับอย่างสวยแล้วอบร่ำด้วยกลิ่นดอกไม้แห้ง
รายรอบกระท่อม


ที่สาวนาดัดแปลงทำเองแทนน้ำหอมน้ำอบ
เพราะชอบกลิ่นมากกว่า
หากทว่าก่อนจะเก็บต้องตากแห้งเสียก่อน
แล้ว


ค่อยๆห่อกับกระดาษสาซับเก็บไว้
แล้วถึงซุกไว้กลางกองผ้า
จะหอมหวนชวนดม
ด้วยกลิ่นดวงดอกไม้ไทยงามๆ
แยกหอมตามกลิ่นของดวงดอกไม้นั้นๆ
เช่นกลิ่นจำปี จำปา กระดังงา ลีลาวดี 
หรือลั่นทมพุดซ้อน
กลิ่นมะลิลา มะลิซ้อน ลำดวนดง


ที่สาวนามิต้องพะวง
ไปสิ้นเปลืองซื้อน้ำหอมแบบผสมสารเคมี
มาใส่มาอบร่ำ
ซึ่งบางทีก็ทำให้ร่างกายต้องรับสารพิษเป็นผื่นแพ้คัน
และก็จะได้หอมแผกมากกว่า
เป็นกลิ่นร่ำตามธรรมชาติไทยๆ


หัวใจสาวนานั้นรักการใช้ชีวิตแบบโบราณ
เพราะว่าไม่ว่ายุคสมัย
จะผ่านพ้นไปนานสักเท่าไร
ค่านิยมในความงามอย่างละเมียดละมุน
อย่างกุลสตรีไทย


ที่มีวิถีใจดวงงามอันรู้อ่อนหวานอ่อนโยน
ช่างปรนนิบัติเอาใจก็หาได้ตกยุคสมัยไม่
หากเราเรียนรู้จักนำมาสอดใส่ผสานผสม
ห่มหอมเพื่อเพิ่มเสน่ห์มัดใจ
แบบที่โบราณว่าไว้ให้มีน้ำสามเรือนสี่
จะดีแก่ตัวเองเป็นยิ่งนัก
ให้ใครๆที่มีโอกาสชิดใกล้
ได้ชื่นชมยิ่งหลงยิ่งรัก
ในน้ำใจแสนดีมีเมตตา


แม้นว่ากาลเวลาและโลกนี้
จะเปลี่ยนแปลงไป
และ
ผู้ชายสมัยนี้คงไม่เรียกร้องต้องการมากมายนัก
หากเราแค่เพียงยึดหลักความละมุนละม่อม
รู้ถนอมใจรู้กาละเทศะ
สร้างโลกครอบครัวโลกแห่งรักให้หอมกรุ่นอบอุ่นเข้าไว้


ร่ายมนตราแห่งความดีงามน่าเสน่หา
ก็ใช่ว่าเสียเวลาอะไร
แต่จริงๆบางครั้งสาวนาก็สับสน
ที่ไยอ้ายยังไปหลงแสงสีเนื้อหนังมังสาอวบอึ่ม
ของสาวชาวกรุง


ก็ช่างเถอะนะหัวใจกับส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรม
สาวนาฟังเพลงนี้แล้วก็ปลงได้เลย
หากเขาไม่รักเราแล้ว
ก็ช่างต้องปล่อยเขาไปปล่อยเขาไป
..............................



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=495
ส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรม 
 
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
มัน น้อย เกิน ไป สำหรับใจฉัน
คุณ ให้ ไม่ ถึง เศษหนึ่งส่วนพัน
รัก เรา จึง สั้น สิ้นสุดกัน แค่นื้
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที
ส่วน ความ ช้ำ ชอก 
ที่คุณตอกย้ำ
มาก เกิน จด จำ ลึกล้ำเหลือดี
ย่อย ยับ แค่ ไหน ใยไม่ปราณี
หวัง เพียง ข-ยี้ ให้ฉันนี่ แดดิ้น
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที
วันนี้มันสาย เกินไป
สายเกินไปกว่า
จะมาเริ่มรักกันใหม่
ป่วยการหลอกกัน ต่อไป
มันจบเกมส์แล้ว จนใจ
สิ้นสุดไม่เหลือตั้งแต่เมื่อวาน
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
เชิญ รับ คืน ไป ฉันไม่ต้องการ
คุณ ให้ ฉัน น้อย
น้อยเหลือประมาณ
รัก จึง ตาย ด้าน
สิ้นสุดกันแค่นี้ 
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที

วันนี้มันสาย เกินไป
สายเกินไปกว่า
จะมาเริ่มรักกันใหม่
ป่วยการหลอกกัน ต่อไป
มันจบเกมส์แล้ว จนใจ
สิ้นสุดไม่เหลือตั้งแต่เมื่อวาน
ส่วน ของ หัวใจ
ที่คุณแบ่งให้
เชิญ รับ คืน ไป ฉันไม่ต้องการ
คุณ ให้ ฉัน น้อย
น้อยเหลือประมาณ
รัก จึง ตาย ด้าน
สิ้นสุดกันแค่นี้ 
สิ้นสุดกันที สิ้นสุดกันที...

......................


สาวนาจะไม่เสียใจอะไรนาน
เพราะสาวนา
มีหัวใจดวงใสดวงธรรมล้ำค่า


ที่ทุกครั้ง
ที่ไปวัดได้ฟังธรรมที่หลวงพ่อเทศน์
กิเลสรักของสาวนา
ก็ลดลงจนแทบอยากปลงผมบวชชี
หนีทุกข์ทุกรักเข้าวัดเข้าวารักษาศีลภาวนาเสียมากกว่า


เพราะเบื่อชีวิตว่ายวนเหลือทน
เมื่อยิ่งหันมาพิจารณามรณานุสติ
ก็จะยิ่งเห็นชัด
กับวิบากเก่าวิบากรรมที่ย้ำรอยในทุกผู้คน
ที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้นรอยกรรมราวรอยเกวียน
หากมิตั้งจิตอธิษฐานเพียรภาวนา
อย่างมิยอมท้อแท้แพ้พ่ายทางโลกย์เสียก่อน


และ
ไม่ว่าจะหันไปดูคู่ไหน
ไม่ช้านานรักที่แสนหวานก็พานขมปี๋
เหลือรักที่จะจีรัง
ก็คือคนพวกทีฉลาดล้ำ
แปรรักเนื้อหนังเสน่หา

มาเป็น
มิ่งมิตรสนิทแบบฉันท์เพื่อน
ไว้พึ่งพาพึ่งพิงยามชราแก่เฒ่า
ได้หามกันเข้าวัดหรือไม่ก็เข้าโรงพยาบาล


และ..
ไม่นานมานี้
สาวนา..ได้มีโอกาสรู้จัก....
พี่ชายคนดีที่ชื่อวิน
มิตรธรรมคนยาก
ที่พบกันแทบทุกครั้งที่วัด


พี่วิน
เป็นม่ายเพราะเมียตายด้วยโรคร้าย
เลยหาที่พึ่งทางใจ
และ
ด้วยอยากมาทำบุญ
สร้างกุศลทานผ่านไปให้ภรรยา
เลยเพียรมาวัดบ่อยๆ 


ทั้งๆที่ไม่รู้ดอกนะ
ว่าจะฝากกุศลผลบุญ
ส่งไปถึงหรือไม่
แต่พี่วินก็บอกว่า
แสนจะรู้สึกดีมีความสุขสงบ
รู้รำงับใจ
สบายใจอิ่มใจยังไงก็ไม่รู้


ตั้งแต่ได้ย่างกราย
มาชิดใกล้ชายผ้าเหลือง
ที่มีหลวงพ่อที่น่าเคารพศรัทธา 
ไม่หากินกับญาติโยม
ไม่หลอกให้เชื่อในทางที่ขัดกับพระธรรม
พยายามเพียรน้อมนำคำสอนมาสอนอย่างมีเหตุมีผล


ว่าคนเรานั้น
ชีวิตที่ดีต้องมีการพยายามรักษาศีลให้สะอาด
ให้ทานเพื่อสละออกอย่าให้ขาด
และที่สำคัญราวหัวใจศาสนาพุทธเลย
คือให้จิตจับกับปัจจุบันขณะ


ให้รู้เพียรภาวนาสมาธิจะได้
มีปัญญาพาพบทางแห่งความว่างสะอาดสงบ
ตลอดไปทุกภพชาติ


และนี่คือผู้ชายคนดีพี่ชายคนดี
ที่สาวนายอมพลีใจอีกครั้ง

ที่จะได้ทำความรู้จัก
เพื่อแลกความคิดทางจิตทางธรรม
เสมือนเพื่อนพึ่งพากันและกัน
อย่างกัลยาณมิตรเรื่อยมา


สาวนา
จึงมีความสุขมาก
กับชีวิตสงบสุขสมถะเรียบง่ายลำพังนี้
ที่แม้นจะดายเดียวสักเท่าไร

หากทว่าหัวใจก็ผ่องแผ้วราวไร้พันธนา
ไม่ต้องมีบ่วงห่วงรัก
ไม่พักต้องลากใคร
มาร่วมรับบ่วงห่วงโซ่กรรมร่วมกัน
จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง


ทุกคืนค่ำสาวนา..ผู้มีศรัทธาแรงกล้า
จึงพยายามจัดเรือนลีลาวดีหรือเรือนลั่นทม
ที่ราวกับกระท่อมไพร
แสนหวานระทม
แสนงามเศร้า


ที่สาวนา
ปลูกแยกออกมาจากกระท่อมทับอาศัย
และแฝงในร่มเงาดงดวงดอกลั่นทม
หลากสีสรร
ทั้งขาว แดงชมพู เหลืองอมส้ม 
ที่มากมายหลายหลากพันธุ์
ถึงกว่าสามร้อยชนิด


ที่สาวนาแสนหลงใหล
แสนรักมานานนักหนาแล้ว

จนเร้าใจให้เพียรศึกษานำมาเพาะปลูก
จนเป็นดง
ให้ใครๆพากันมาหลงใหลชื่นชม
ในดวงดอกงามทุกยามเย็น
ที่นะบัดนี้กำลังบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นระรินร่ำอวดอกดกชูช่อ
พ้อสายฝนและลมเย็น

และ
บางวัน
ในยามตะวันลา
สาวนาจะมานอนเล่น
หรือไม่ก็มาร้อยมาลีมาลัยลีลาวดี
ไปพลีถวายเป็นพุทธบูชา
ยามนั่งสมาธิภาวนา
และ


และทุกยาม
ที่ดวงดอกงามเศร้า
ถึงเวลาร่วงโรยโปรยปลิด
ลงเกลื่อนพื้นพสุธา 
ยามนั้น
สาวนาจะมีความสุขมาก
ที่ได้นอนแหงนเงยดู
และ
แอบขนานให้นิยามลานฝันนั้นว่า
*ลานลั่นทม


และบัดนี้มีกระท่อมลั่นทม
เป็นดั่งเรือนใจเรือนภาวนาเรือนสมาธิ
ที่แสนดีแสนงาม
แสนสงบสุขสมถะ
ของสาวนาแล้ว



และ...
ราตรีนี้
สาวนาก็เลยไปเด็ดดวงดอกกระดังงา
และร้อยมาลัยลีลาวดีมาลัยลั่นทม
มาถวายเพื่อเป็นพุทธพลีบูชา
หน้าพระพักตร์พระพุทธ 


และ....
ยามที่สาวนาจุดเทียนทอง
แสงเทียนจะส่องพร่างพรายจะจับดวงดอกไม้
ราวพาให้สาวนาได้ระลึกตระหนักรู้ว่า


ความทุกข์ระทมนั้นมันอยู่ใกล้เรานี่เอง
หากเราเพียงไม่ยึดมั่นถือมั่น..แล้ววางมันไว้
ราวดวงดอกไม้นามลั่นทม


เราก็จะไม่ตรมไม่ตรอม
กลับให้หอมห่มในห้วงจิต
ได้สถิตเป็นดั่งรักนิรันดร์


เฉกเช่นเดียวกับไม้ทุกพรรณ
ที่ให้หอมงามกำนัลแด่โลกแล้วปลิดกลีบโรยรา
เหมือนชีวิตจิตทุกดวง
ที่รู้ว่ากาลเวลารอลอยลาร่วงลงสู่พื้นพสุธา
หาช้านานไม่ หาจีรังไม่..
..............................................................


บนลานลั่นทม   

แดนดินใด ไม่แม้นแดนลานลั่นทม
ดุจดั่งสวรรค์แดนพรหม สวยสุดสมคำชมได้
ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ทิว เขียว ลิ่วไกล เพลินมองไป
เสียงลมไกวกิ่งไหวดังซู่
ทิ้ง ขั้ว หล่นปลิว ลั่นทมพริ้วโชยร่วงพรู
แม้น ดังพรม ลาดปู ดุจทางสู่
สุดสวรรค์ เทวัญ

ลมรำเพย ความหอมชวนดอมลั่นทม
สูดกลิ่นถวิลเชยชม แสนสุขสมอารมณ์มั่น
ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ
ใจ หวน ตื้นตัน เกินจำนรรจ์
เพ้อรำพันว่าหอมใดเท่า
หอม ชื่น ลั่นทม เมื่อลมพริ้วมาเบาเบา
ล้าง สิ่งตรม อกเรา ให้คลายเศร้า
ที่คอยเผา โทรมใจ...

 
  
 


http://www.lilavadee.com/download_p01.html
ลีลาวดี (Frangipani)

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง 
ใบมีสีเขียว โตและหนา มียางมาก 
ดอกมีสีขาว-เหลือง ขาว-แดง
ส่วนที่ใช้ ทั้งต้น เปลือกต้น ดอก 
เนื้อไม้ ยางจากต้น และเปลือกราก

สรรพคุณ 
ทั้งต้น ใช้ปรุงเป็นยารักษาโรคลำไส้พิการของม้า
ใบ เอาใบแห้งมาชงน้ำร้อนใช้รักษาโรคหอบหืด 
หรือ
นำใบสดมาลนไฟให้ร้อนแก้ปวดบวม
เปลือกราก ใช้เป็นยารักษาโรคหนองใน 
เป็นยาถ่าย แก้โรคไขข้ออักเสบ ขับลม
เปลือกต้น นำมาต้มเป็นยาถ่าย ขับฤดู แก้ไข้ 
แก้โรคโกโนเรีย 
หรือ..
ให้ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ข้าวและมันเนย 
ซึ่งจะเป็นยาแก้ท้องเดิน ยาถ่าย ขับปัสสาวะ

ดอก ใช้ทำธูป 
แต่..
ถ้าใช้ผสมกับพลูเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้มาลาเรีย
เนื้อไม้ เป็นยาแก้ไอ 
ในประเทศเขมร ใช้เป็นยาถ่าย ขับพยาธิ
ยางจากต้น เป็นยาถ่าย 
รักษาโรคไขข้ออักเสบ ทำให้เกิดผื่นแดง 
ถ้าใช้ผสมกับไม้จันทร์และการบูร
เป็นยาแก้คัน แก้ปวดฟัน..

................................


Paddy_field_near_Amol_Mazandaran_provinc				
11 มิถุนายน 2551 09:54 น.

สายน้ำแห่งศรัทธา..ดั่งระย้ารวงทองเรืองรองใจ...ในครองใจ...!

สาวบ้านนา

rice-field-large.JPG
อุษาสางแล้ว
ดวงดอกแก้วพร่างพรูรับปรายฝนปราด
มากับสายแสงอาทิตย์แรกแย้มยามเช้าตรู่

นกเขาขันคูอยู่ริมหน้าต่างกระท่อมไพร
สาวนานอนนิ่ง
เพียงลืมตาทอดใจรับรู้ถึงสัมผัสงามละมุน
แห่งสายวสันตฤดู

เดือนเสี้ยวดวงเศร้า ยังอ้อยสร้อย
ลอยเด่นแขวนฟ้า
กำลังจะร่ำลาหมองเมฆหม่น
ที่ปรอยฝนบดบังมาทั้งคืน

ชื่นลมฝนพัดพรายมาให้หนาวเนื้อ
เจืออวลกลิ่นดวงดอกไม้ริมชายคา
ทั้งการะเวก กรรณิการ์ จำปีสูงเสียดฟ้า
ที่ต่างพากันผลิละออแย้มช่อให้ชม เชย ชิด....

สนิทในนวลชีวิตสาวนาบ้านป่าไพร 
ที่ดวงใจรักดิน
ดิบเดิม เพื่อเติมต่อตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
แห่ง....
พระมิ่งขวัญแก้วโพธิฉัตร 
ดั่งนพรัตนมณีศรีชาติศรีแผ่นดิน
นาม*ภูมิพล*ภูมินทร์ *ยอดมหากษัตราธิราช..
ธ ผู้เป็นดั่งปราชญ์นำทางไสวแด่ผองชนคนไทย
ทั้งผืนพสุธา...

ให้สาวนาได้ตระหนักถึงความงดงามยิ่งใหญ่
ในดวงใจ..ณ กลางใจ
ยามรำลึกนึกเทิดศรัทธาไว้เหนือเกล้าเหนือกระท่อม

ยามนี้...
ทั่วทั้งบ้านเมืองราวกับมีแต่เรื่องร้อนรุม

ประชาไทต่างพากันสุมขอนไฟให้ลามไล้ไหม้ไป
ทั่วทั้งผืนหล้า หาได้ซึ้งค่าพระราชดำรัสไม่
ที่ทรงตรัสไว้ให้รู้รักษ์สามัคคี รู้สมานฉันท์ปันพลี
ปันดี รู้สร้างชีวีให้สงบสมถะพอเพียง

เลี่ยงการเป็นทาสวัตถุ รู้ใช้ชีวิตปุถุชน
คนธรรมดาด้วยปัญญา
รู้คุณค่าแห่งทรัพยากรธรรมชาติ
รู้ฝากปากท้องไว้กับอาชีพเกษตรกรรม
อันคือความอิ่มหนำสำราญทั่วถ้วนหน้า

ใช่..บ้าหลงไปในโลกหลอนลวง
บ่วงมนต์มารเงินตรา
ที่หาไม่พอซื้อทันทุกสิ่งที่ใจปรารถนา
ผลิตมากวาดก่อ
ล่อให้เกิดกิเลสสิ้นทั้งโลกแสนโศกสะเทือน

ทั้งยังก่อให้เกิด
มลมวลสารพิษ ที่ทุกชีวิตต้องรับภาระ
ผ่อนความตายวันละนิด
ไร้สิทธิ์ร้องขอเมตตาต่อฟ้าดิน

อันกระหน่ำซ้ำซัด ทั้งจากภัยพิบัติ
ที่เป็นวงวัฏฏแห่งการทำลายหมายพิโรธสอนสั่ง
ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว 

และ..
นี่คือสิ่งที่ดวงใจสาวนาไหวหวั่น
สิ่งเดียวที่จะทำได้คือสร้างขวัญ
ให้กับดวงชีวาชีวี
ของตัวเอง บรรเลงไปตามเพรงพรหมชะตา
ที่สาวนาผู้รักข้าวกล้าเรียวรวง
รักปวงดวงดอกไม้ป่า
รักไร่นา พืชผัก 
รักอาทิตย์แรกแย้มยามแต้มผืนนา
ให้ข้าวระย้าอาบทาราวสีทองสุกปลั่ง
รักสองฝั่งคลองลำประโดง 
รักเสียงปลาโผงฮุบเหยื่อ
รักนอนดูฟ้าระเรื่อริมบึง
รักฟังเสียงมวลหมู่ภู่ผึ้ง
ดอมดมพรมจูบไล้ละออละอองเกสร
ดวงดอกไม้แสนหวานยามแย้มเผยอกลีบ
บางเบาเสลาสล้างรอ

รักฟังเสียงพ้อจากเพลงใบข้าว
กรีดกราวยามต้องลมหนาว
ลมท้องช้างพัดพราย

รักสายลมแสงแดด ท้องฟ้าคราม
รักงามแห่งแม่ช่อดอกกระถินตำลึงริมรั้ว
รักฟ้าสลัวยามเข้าไต้เข้าไฟ
รักหว่านไถไม่แปรรอย
รักวัวควายน้อยคู่กาย
รักสายน้ำระริน
รักดิน น้ำ ฟ้า  ไฟ ลม
ด้วยดวงใจที่ถูกหลอมเพาะบ่ม
ให้หอมห่มด้วยความบริสุทธิ์ใสแห่งธรรมะ ธรรมชาติ
อันคือ..
ความสงบสว่างสะอาดตราบชั่วนิจนิรันดร์........

.......................................................


tanada01.jpg
ใจสาวนา..รออ้ายดั่งสายวสันต์..พร่างสู่ทุ่งขวัญแลทุ่งใจ...

มองฟ้าครามยามอ้ายลามาหลายฝน
ดอกน้ำตาหล่นปนดอกข้าวทั้งเช้าสาย
ดอกคิดถึงคลึงคลอทุยยามขี่กาย
ดอกพิสวาทวายตายทั้งเป็นมิเว้นวัน

ลมฤดูพัดฤดีกี่ปีล่วง
ทั้งบัวหลวงบัวผันสะพรั่งฝัน
รอคนดีพายเรือน้อยกลางแสงจันทร์
เก็บเกี่ยวขวัญให้ไออุนละมุนละไม

จะเดือนสามเดือนสี่ใครขี่ทุย
ให้เฝ้าลุยท้องนาฟ้าสวยใส
สู่กระท่อมทองกวาวมิหนาวใจ
หอมข้าวใหม่นาน้อยหุงคอยรอ

จะกี่แล้งกี่ร้อนหอมมิห่าง
มิอ้างว้างสู้ความจนมิเคยท้อ
แม้ความจนเต็มเกวียนก็เพียรพอ
สองแรงรอรินหยาดเหงื่อเพื่อผืนดิน

ดอกโสนบานไสวไม่สิ้นหวัง
ข้าวเหลือซังรอหว่านใหม่ไม่รู้สิ้น
ถึงรวดร้าวหนาวกระดูกปลูกไม่พอกิน
จะไม่สิ้นคิดขายนาน้อยคอยดวงใจ

ไร่สาวนาสาวไพรรับไถภักดิ์
จากน้ำรักน้ำเหงื่อหอมงามใส
จากกลิ่นโคลนกลิ่นควายกลิ่นชายไพร
รับหวามไหวให้ตกพรูสู่เนินทอง

ใบกระถินผลัดใบรอผลิกอใหม่
ริ้วลมไพรไล้ตะแบกหวานบานทั่วหนอง
ทั้งบัวตูมบัวบานรออ้ายเด็ดเคียงประคอง
ทุ่งรวงทองรอทุยมาลุยนา

ฝนหลงฤดูเพียงฤดีอ้ายอย่ากรายหลง
ท้องนาคงแนวเหลืองสุกปลั่งพรั่งพรรษา
ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในวิมานนา
หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน

ไกลแค่ฟ้าตามองไขว่ไปตามฝัน
เมื่อสวรรค์เยือนหล้าแสนหอมหวาน
ทุ่งรวงทองห้วยหนองคูนตระการ
ดุเหว่าไพรร้องเศร้าหวานขานถวิลสิ้นสนธยา

สาวบ้านนาถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว
แม้นเหน็บหนาวเพียงใดหลังสู้ฟ้า
หัวใจทองผ่องพิสุทธิ์พลีบูชา
เทพีพสุธามิสิ้นรักภักดิ์เรียวรวง

ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง
ให้ลึกซึ้งจมแม่พระธรณีที่แหนหวง
เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง
เผื่อบวงสรวงแม่ขวัญข้าวคราวใครคืน

กี่วสันต์รอมาฟ้าเปลี่ยนสี
ชั่วชีวีมีชีวารักนาผืน
เจ้านกไพรโผบินไปไม่กลับคืน
สาวนายืนหยัดอยู่คู่นาใจ

กี่สายฝนสายฝันสวรรค์ลอย
สักกี่ร้อยตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว
จิตสำนึกใครจะอยู่จะตายไป
ใจสาวนาสาวไพรไม่ทิ้งกล้านาสุดท้าย!รออ้ายคืน! 
 ........................
   
 

 

  ข้าวรวงสุดท้ายเมื่อปลายหนาว (The Last Life of Season) ...ลำน้ำน่าน 

แด่ฤดูเก็บข้าวหลงฝัดข้าวลาน
อุทิศแด่คุณยายชราแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

มองฟ้าครามยามบ่ายช่วงปลายฝน
ช่อมะม่วงดอกหม่นหล่นเป็นสาย
เหนือตำบลข้าวหลวงรวงพลิ้วพราย
กระจัดกระจายห่มหล้าท้องนานั้น

ลมฤดูบอกข่าวหนาวจะล่วง
ดอกจานจวงบานสะพรั่งทั้งบัวผัน
ตื่นมารับแสงสรรค์รังสิมันตุ์
เกี่ยวไออุ่นแห่งวันต่อฝันไป

ต้นเดือนสามฟ้าครามไกลในลิบลิ่ว
เมฆหม่นเอยจะปรอยปลิวสู่แห่งไหน
สู่ปลายยุ้งทุ่งข้าวของสาวไพร
ฝากทายทักข้าวใหม่ใครหุงคอย

เดี๋ยวแล้งร้อนเดี๋ยวหนาวเคล้าดอกฝน
แต่ความจนไม่เปลี่ยนเต็มเกวียนหงอย
หากทุ่งฝันบิดเบือนและเลื่อยลอย
อาทิตย์เอยอย่าเพิ่งคล้อยซบอกดิน

ฝนสั่งฟ้าลาดินใครสิ้นหวัง
เมื่อนกนาทิ้งรวงรังไปเสียสิ้น
ไปรวดร้าวข่าวว่าไม่พอกิน
ขายนาน้อยให้เหลือบริ้นถิ่นกรุงไกร

ให้คนเมืองหว่านไถในไร่สาว
ฝนเม็ดร้าวตกพรูสู่เนินไศล
สิ้นฝนหมองผองคนจนจวนสิ้นใจ
ปวดระบมตรมในไร่นาทาม

ใบกระถินแห้งเหี่ยวร่วงเกรียวกราว
ริ้วลมว่าวไล่ลอดยอดมะขาม
เห็นเมฆลอยคล้อยเกลียวใจเปลี่ยวตาม
คล้ายนิยามบ้านป่านาวิชน

ฝนหลงฤดูลาสายปลายเดือนแล้ว
ท้องนาแนวเหลืองสุกทุกแห่งหน
ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในตำบล
หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน

ไกลแสนไกลลิบลิ่วทิวฟ้าสูง
ลูกยางยูงปลิดลอยลู่สู่ห้วยหาน
กระโดนทุ่งแต่งช่อจะรอบาน
เมื่อนกเขากู่ขานสิ้นสนธยา

หญิงชราถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว
ริ้วลมหนาวครืนสุดท้ายพัดพรายผ้า
ลึกในใจฝนหล่นคล้ายสายน้ำตา
ตกต้องฟ้าต้องดินสิ้นแรงรวง

ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง
ให้ลึกซึ้งจมดินสิ้นแหนหวง
เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง
เผื่อบวงสรวงขวัญค่าพาใครคืน

เมฆกระจายไม้ใบเริ่มไกวว่อน
นกคืนคอนเถิดหนาอย่าทนฝืน
สิ้นยุคทองชาวนาชะตาครืน
จะหยิบยื่นภูมิปัญญาทายาทใด

โอ้ฟ้าครามยามบ่ายปราดสายฝน
ทุกตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว
จิตสำนึกตายถมสังคมไทย
หญิงชรากล้าสุดท้ายสิ้นใจแล้ว!

------------------------------------------
ฝนหลงฤดูหล่นมาปราดหนึ่ง ในยามที่ฟ้าปรวนแปร
ประเดี่ยวก็หนาว ประเดี่ยวก็ร้อน ประเดี่ยวก็ฝน 
ไม่มีความแน่นอนทุกสิ่ง  หลังฤดูเก็บเกี่ยวยามนี้ 
ทำให้นึกไปถึงการเก็บรวงข้าวหลง และฝัดข้าวลาน
ของหญิงชราผู้แข็งแกร่งแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงาม นาม *นกเขาไฟ* 
ของนักเขียนในดวงใจ ไพฑูรย์ ธัญญา 
หนึ่งในเรื่องสั้นชุด*ก่อกองทราย* บรรยายไว้ว่า

*แดงดอกทองกวาวสาดบานไปทั้งทุ่ง 
ลมหนาวยังไม่ร้างลาจากหมู่บ้าน
มะม่วงพุ่มหนาเริ่มแตกช่อดอกสีขาวหม่นขึ้นคลุมต้น 
ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม 
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามและดูดีไปหมด*

บทบรรยายบ่งให้เห็นถึงความงามแห่งธรรมชาติ
ในยามลมหนาวจะผ่อนลาฟ้าธรรมชาติยังคงงาม
และซื่อตรงเป็นวัฏจักรที่แน่นอน

และหนึ่งในเรื่องสั้นชุด *ลูกพ่อคนหนึ่ง* 
วัฒน์ วรรลยางกูร บรรยายภาพเมื่อเริ่มเข้าสู่
คิมหันตฤดู กับการต่อสู่ของหญิงชราชาวนา 
ไว้อย่างน่าเศร้าและชวนหลั่งน้ำตาว่า

*ดูราวโลกนี้มีแต่ยามแล้ง โล่งลิ่ว ไร้ร่มเงา 
ชายร่างผอมแกร่งโรยล้าจากภูเขาสู่พื้นราบ
ร้อนอบผิวผ้าและร้อนลวกไหล่ขวาที่เสื้อเปื่อยขาด 
สองข้างทางเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสีเทา
และสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้ดูคล้ายกับถ่านไฟในเตา
กำลังส่งเปลวระยิบ เขาเอียงแก้มเช็ดเหงื่อ
กับไหล่ซ้าย เงยมองฟ้า มีแต่แดดจ้าจนต้องหยีตา

เขาพูดกับหญิงชราว่า 
*ร้อนนะแม่เฒ่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น*
หญิงชรามองไปในแดดอันกราดเกรี้ยว 
รู้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้
ต่างก็ต้องเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน 
นางก็ได้แต่บ่นพึมพำว่า *เวรกรรม*

ทั้งสองเรื่องชวนให้ข้าพเจ้าประหวัด
ไปถึงชะตากรรมเกษตรกร 
และท้องไร่ท้องนาแห่งยุคนี้ 
ที่นับว่าหาทายาทมาสืบทอดยากขึ้นทุกที
หนุ่มสาวทิ้งถิ่นไปทำงานในเมือง ขายที่ขายไร่นา 
หลายชีวิตไปตกระกำลำบาก
หลายชีวิตต้องไปเป็นกุหลาบแดงในโถขาว 

ชะตากรรมของเขาเหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์
ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นผืนแผ่นดินทำกินนั้น
น่าเศร้าสักเพียงใด และคงยังไม่สาย 
ที่จะหันกลับมาอุ้มชูผืนนาสมบัติสุดท้าย
ที่บรรพบุรุษให้ไว้เป็นที่ฝังร่าง
ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป..

--------------------

รักร้าวหนาวลม (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)

เมฆลอยกระจายอยู่ในในฟ้าสูงแลลิบลิว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน
ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจน้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน
คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง
เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง
ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคลอง
ฝนลา ลาหนาวข้าวแตกรวงแต่รักลาทรวงสิ้นน้อง
โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม
เจ้าทิ้งให้พี่นอนหนาว หนาวจนใจเหน็บ
เจ็บดั่งหนาวระกำ ตำทรวงให้ระบม 
เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารักพี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม 
ให้ชมแล้วน้องก็ชัง

เมฆลอยกระจายดั่งเหมือนหัวใจลอยละลิ่ว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง
ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง
สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง

...................................



Thai-rice-farmers-400x276.jpgDSC021351.jpg				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา