ล่าผี

ราม ลิขิต

คุณจะคิดเหมือนผมบ้างหรือไม่ว่า พวกคนนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ ชอบเสียดสี เย้ยหยัน ถากถาง ก็ไม่รู้ว่ามันไปสนุกสนานที่ตรงไหน และที่สำคัญก็คือไปรู้ได้ยังไงว่าผีบ้าง สัตว์บ้างเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมออกจะไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ที่คนไปเอาชื่อของใครต่อใครมาใช้ โดยที่เจ้าของเขายังไม่ได้อนุญาต มันเข้าข่ายละเมิดเลยทีเดียว วันดีคืนดีถูกฟ้องร้องขึ้นมา ผมซึ่งก็เป็นคนเหมือนกัน คงอับอายขายหน้าเหล่าผีสางและผองสัตว์ จนแทบแทรกแผ่นดินหนี คงถูกย้อนเข้าบ้างล่ะว่า
         นิสัยคนมันก็เป็นเสียอย่างนี้
         พูดพล่ามมามากแล้ว เข้าเรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้คุณฟังดีกว่า ขอเริ่มตรงที่ว่า...ในชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะยากดีมีจน นอกเหนือจากปัจจัยสี่แล้ว ต่างก็มีความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจแทบทั้งสิ้น ใครบอกไม่มีไม่อยาก เชื่อขนมกินได้เลยว่าปากเขาไม่ตรงกับใจ คนที่อยากแบบดิบๆ ก็มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงส่งตนให้บรรลุอยาก คนที่อยากแบบสุกๆ ก็จะใช้ฝีมือบ่มตัวเองจนบรรลุฝัน แต่ไอ้ประเภทที่มีมากที่สุดก็เห็นจะไม่พ้นพวกที่ถือคติว่า การไม่มีจุดยืนคือจุดยืน นี่แหละ ผมเข้าใจเอาเองว่าพวกนี้คงตีความเรื่องทางสายกลางมาอย่างผิดๆ การสะเทินได้ทั้งน้ำและบก มันน่าจะเป็นเรื่องทางชีววิทยามากกว่า ไหมล่ะ! แอบเหน็บแนมเข้าจนได้
         
         ผมเองก็มีความอยากเหมือนกับเขาอื่นทั่วไป อย่าขำล่ะถ้าจะบอกว่า ผมอยากเจอผี ขอย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องโปกฮา ที่แสร้งเล่าเพื่อแก้รำคาญนะครับ ผมปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ ถ้าให้เลือกระหว่างการได้เป็นนายกกับได้เจอผีสักครั้งในชีวิต ผมเลือกอย่างหลังดีกว่า ทำไมน่ะหรือ เหตุผลมีหลายข้อครับ แต่ข้อหนึ่งก็ดังที่เกริ่นไว้แต่ต้นนั่นแหละ ผมสงสัยมาตลอดชั่วชีวิตว่า ผีมีหน้าและอุปนิสัยใจคอเป็นอย่างไร ทำไมคนถึงได้ชอบยกมาเปรียบด่ากันนัก ไอ้ที่สร้างความงุนงงเป็นอย่างยิ่งก็คือ ด่าเสร็จก็ยกมือไหว้ปะหลกๆด้วยความหวาดกลัว ทำอย่างกับผีเหมือนคนในเครื่องแบบจำพวกหนึ่งเสียงั้นแหละ
         
         ผมเที่ยวหาตำรับตำราที่ว่าด้วยภูติผีปีศาจ ไสยเวทมนตร์ดำ พ่อมดแม่มดทุกชาติทุกภาษามาศึกษาอย่างจริงจัง ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องทุกเรื่อง ก็เช่าม้วนวีดิทัศน์ผีมาดูแทบจะยกร้าน ครั้นมีความรู้พอตัวก็ออกตามล่าผีอย่างต่อเนื่องมาทุกปี ที่ไหนว่าดุ ว่าแน่เป็นได้เห็นหน้าผมเสนอเข้าไปเจรจาด้วยทุกครั้ง แต่ครั้นซักไซร้ไล่เรียงและซุ่มรอ ผมก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับมาทุกที 
         เห็นเขาว่า.....
         เป็นคำพูดยอดนิยม ที่ผมจะได้ยินจากปากคนเจอผี ครั้นตามไปถึงไอ้ตัวเขาที่ว่า เขาก็บอกว่าเขาว่ามาอีกทีเช่นกัน นั่นก็คือไม่เคยมีใครเลยที่เคยพบผีจริงๆ ยิ่งซักแบบเซ้าซี้มากเท่าไร เห็นเหงื่อไอ้คนเล่าแตกพลั่กทุกครั้ง
         ถ้าอยากเจอ ก็ไปตายซะ
         คนขี้โมโหให้คำแนะนำ
         
         หรือว่าผีจะไม่มีจริงในโลก ไม่มีคนที่ไหนเคยเจอผี หรือว่าคนกลัวความมืด จนกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้วาดมโนภาพที่น่าหวาดหวั่นออกมา แล้วถ้าเกิดเจอผีจริงเข้า เราควรจะทักทายเขาแบบไหน ใช้ภาษาไทยกับผีชาติอื่น เขาจะฟังออกหรือไม่ เช้านี้ผีดื่มนมหรือยัง ผีจะเชิดชูนักสู้ผู้เกรียงไกรหรือเปล่า ฯลฯ ต่างๆนาๆเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่รบกวนจิตใจผมอยู่ตลอดเวลา แต่ไอ้ที่สร้างความสับสนอย่างหนักข้อ ก็เห็นจะเป็นวินิจฉัยจากพระสงฆ์องค์เจ้านี่แหละ ตอบไม่เห็นจะตรงกันสักวัด สำนักไหนศึกษาพุทธและปฏิบัติเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่า ผีคือคนที่ตายไปแล้ว เป็นซากศพที่ต้องนำไปเผา ทว่าสำนักที่ศึกษาและปฏิบัติเชิงไสยศาสตร์ ก็ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ถ้าอยากคุยด้วยต้องเสียค่ายกครูนิดหน่อย 
         
          แล้วผมจะเชื่อใคร..นั่นซิ! แล้วอาตมาจะเชื่อใครดีล่ะก็คงต้องเชื่อเหตุผลที่เกิดจากการค้นคว้ากระมัง หรือคุณว่าไง นั่งอมยิ้มเฉยอย่างนี้ ผมถือว่าคุณเห็นด้วยแล้วกันนะ ถ้าเช่นนั้น ผมจะเปิดปูมปฐมเหตุการล่าผีของผมให้ฟัง
         
          บันทึกความทรงจำนี้ย้อนหลังไปประมาณ ๒๐ ปีสมัยผมอาสาเข้าไปปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีอนามัยในป่าแห่งหนึ่ง ยุคนั้นเป็นยุคที่เขาเอาหมึกแดงละเลงลงไปในแผนที่จังหวัดหลายจุด มีความหมายโดยนัยว่าเขต ผกค. ครับ ใช่! หมู่บ้านที่ผมสมัครใจไปอยู่ก็โดนกับเขาด้วย
         สถานีอนามัยของผมมีเจ้าหน้าที่ ๒ คน หนึ่งคือผม อีกหนึ่งคือน้องผู้หญิงต่างก็จบใหม่หมาด ไฟแรงด้วยกันทั้งคู่ และจัดอยู่ในประเภทหมูไม่กลัวน้ำร้อนพอกัน ความลำบากลำบนในการปฏิบัติงานนั้นไม่ต้องพูดถึง...อย่าหาว่าดูถูกดูแคลนกันเลยนะ แต่คิดว่าคนเมืองอย่างคุณคงไม่ค่อยเข้าใจ
         ทุกเช้าผมต้องขโยกมอเตอร์ไซด์หลวง ออกสำรวจเขตรับผิดชอบเพื่อทำแผนที่ พร้อมทั้งเป็นโทรโข่งให้ทางราชการ ป่าวประกาศให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยมาใช้บริการที่สถานีอนามัยเปิดใหม่ หน้านั้นย่างฝนพอดี ถนนลูกรังกลายเป็นทางเลนทุกเส้น ยิ่งทอดลึกเข้าดงด้วยแล้ว ปลักควายขนาดมหึมาดีๆนี่เอง สิ่งที่แวดล้อมตัวผมไปทุกด้านมีแต่ป่า ฝน คลองและโคลน 
         ชาวบ้านในเขตนี้มีคนพื้นที่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่อพยพมาจากจังหวัดอื่น มารับจ้างหักร้างถางพง รับจ้างทำไร่มันสำปะหลัง มาพร้อมกับความยากจน แบบไปตายเอาดาบหน้า ยิ่งสำรวจกว้างขวางมากขึ้นเท่าไร แผนที่หมู่บ้าน
ของผมก็ไปเต็มด้วยเครื่องหมายแสดงที่พักอาศัยแบบขนำหรือเพิงหมาแหงนมากขึ้นเท่านั้น 
         ผมเริ่มเป็นที่รู้จักมักคุ้นของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าที่ชอบตะลอนๆไปทั่วและไม่ค่อยขัดการสังสันทน์เชิงสุรากับใครเขา ซึ่งน้ำเมาแถวนี้ก็ล้วนแล้วแต่ประเภทจ่อไฟลุกพรึ่บด้วยกันทั้งนั้น เวลาหิวขึ้นมาผมก็จะเดินเทิ่งๆเข้าครัว กินไอ้ที่เขากินกันนั่นแหละ ไม่เลือก ไม่อิดออด อิ่มก็ออกมานั่งคุยกัน ชาวบ้านเมื่อเห็นผมซึ่งเป็นข้าราชการ ลงมาคลุกคลีตีโมงแบบไม่ถือเนื้อถือตัว ก็ยิ่งเป็นที่สนิทเสน่หา ไอ้ผมเองก็ชอบบรรยากาศลูกทุ่งมึงมาพาโวย ปากกับใจตรงกันไม่อ้อมค้อม สัมพันธไมตรีก็ยิ่งเจริญงอกงาม
         ปัญหาสาธารณสุขของที่นี่มีมากมายหลายเรื่อง ที่น่าหนักใจก็คือหมู่บ้านนี้ไม่มีส้วมราดน้ำเลยแม้สักที่เดียว ทุกหลังคาเรือนใช้วิธีไปทุ่งและทำเวจถ่ายเป็นภูเขาเลากา น่าสะอิดสะเอียน..ไว้มีโอกาสผมจะเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเวจให้คุณฟังนะ รับรองอร่อยเชียวล่ะ 
         จากเรื่องส้วมก็คงเป็นเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยและการบำบัดรักษา ว่ากันว่าก่อนมีสถานีอนามัย ชาวบ้านนิยมใช้หมออยู่ ๒ ประเภทคือ หมอชาวบ้านที่ถูกขนานนามว่า เถื่อน กับหมอชาวบ้านที่ถูกขนานนามว่า ผี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไป แต่ความนิยมออกจะไปข้าง ผี มากกว่า ด้วยพ้องกับความเชื่อที่ฝังอยู่ในใจมาแต่โบร่ำโบราณ นับเป็นภาระสำคัญที่ผมในฐานะ หลวง ต้องแก้
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องส้วม 
         วันเจอผีเกิดขึ้นหลังจากที่ผมมาอยู่ที่นี่ครบหนึ่งปีพอดี เย็นของวันนั้นท้องฟ้าฉ่ำฝน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ม่านน้ำขาวโพลนไปหมด อากาศเย็นชื้นเสียจนผมต้องหาเสื้อหนาๆมาใส่ ครั้นได้เวลาเลิกงาน ผมเตรียมที่จะปิดประตูหน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวกฝ่าสายฝนมาว่า
         หมอๆๆ อยู่หรือเปล่า ช่วยไปดูไอ้แดงที
         ผมชะโงกหน้าออกไปดู เห็นชายผอมสูงคนหนึ่ง เดินเปียกมะล่อกมะ      แล่กเข้ามา ผมรีบบอกให้เขาเข้ามาหลบฝน
         มาจากไหนล่ะ
         ผมถามด้วยไม่คุ้นหน้า
         ตีนเขาโน่น น้องผมป่วยมาไม่ไหว อยากจะให้หมอไปดูมันหน่อย
         ป่วยเป็นอะไรเหรอ
         ไม่รู้มัน ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็สามวันดีสี่วันไข้ เห็นเมียมันบอกว่า ลืมบอกเจ้าที่เจ้าทาง
         อาการเป็นยังไง
         อาการเหมือนผีเข้า
         นั่นน่ะซิ..เป็นยังไงล่ะ
         ป้ำๆเป๋อๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง โดนน้ำมนต์ของพ่อแก่ไปสองหนแล้วยังไม่ยอมไป
         ผมเห็นภาพอาจารย์คำหมอผีหัวหงอกประจำตำบลลอยคว้างขึ้นมาทันที
         งวดหลังนี่เป็นมาได้กี่วันแล้ว
         พูดไม่รู้เรื่องมาสองวัน วันนี้หนักหงิกไปทั้งตัว พ่อแก่สงสัยปอบกำลังกินเครื่องใน ผมเห็นท่าไม่สู้ดี เลยแอบทางบ้านออกมาตามหมอนี่แหละ เขาว่าผีไหนๆก็แพ้คนของหลวง
         ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ คว้าเสื้อกันฝนมาใส่ สะพายกระเป๋าเวชภัณฑ์ที่ผนึกกันน้ำเรียบร้อยเข้ากับบ่า พร้อมกับบอกให้เขานำทางไป
         เดินครับเดิน ระยะทางจากสถานีอนามัยไปถึงบ้านเชิงเขา คำนวณคร่าวๆคงไม่ต่ำกว่า ๕ กิโลเมตร ผ่านดงมันสำปะหลัง ละเมาะน้อยใหญ่ ป่าทึบ ไปตามทางเลนที่ต้องถอดรองเท้าลุยไปครึ่งหน้าแข้ง 
         ขณะกรำฝนกันมา ผมก็ซักอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย ทำให้ทราบว่า ครอบครัวนี้เป็นชาวนา ย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณสองเดือนเศษ เหตุที่ย้ายก็เนื่องมาจากถูกเศรษฐีเงินกู้ยึดที่ทำกินไป ฟังแล้วเหมือนนิยายน้ำเน่าชะมัด แต่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง เพราะเกษตรกรมักเป็นเหยื่อเสมอ
         เรามาถึงที่พักผู้ป่วยตอนค่ำแล้ว แสงสลัวจากตะเกียงในขนำวับแวม เต้นระริกหลอกตาชอบกล โรงเรือนทั้งหลังทำด้วยฟากไม้ไผ่ ด้านหนึ่งไว้ทำครัว ถัดไปเป็นที่ไว้นอน ทั้งหมดอยู่บริเวณเดียวกัน 
         บนเสื่อเก่าๆ ผมเห็นผู้ป่วยนอนบิดไปบิดมาอย่างทุรนทุราย เนื้อตัวเปียกชุ่มโชก ตามเนื้อตามตัวมีรอยห้อเลือดเป็นทางอยู่หลายสิบแนว ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกตัว  
          ขณะนั้นมีคนนั่งล้อมอยู่สี่ห้าคน ทุกคนช่วยกันยึดมือเท้าที่หงิกเกร็งของผู้ป่วยไว้ ข้างปลายเท้ามีตาแก่คนหนึ่งยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ แต่งตัวปอนๆเหมือนชาวบ้านทั่วไป มือขวาถือหวายเส้นเขื่อง มือซ้ายถือขันน้ำ ปากก็บ่นงึมงำ...นี่แหละอาจารย์คำหมอผีเฒ่าผู้เรืองฤทธิ์ 
         ตอนที่ผมเดินเข้าไป เห็นแกชำเลืองมองมาแว่บหนึ่ง สีหน้าดูออกจะตึงๆ สักครู่ก็เห็นแกหวดหวายเข้าไปที่ยอดอกของผู้ป่วยดังเชียะ ปากก็ตวาดสำทับว่า
         เอ็งมาทำไม แล้วจะไปหรือไม่ไป
         ไม่รู้ว่าแกถามผมหรือถามผี แต่เห็นแกหวดซ้ำลงไปอีก คราวนี้ตีเต็มกำลัง โดนเข้าที่แก้มซ้ายอย่างจั๋งหนับ โหนกถึงกับปูดตามหวายออกมา 
         
         หมอผีเต้นแร้งเต้นกาอยู่พักใหญ่ จนน้ำหมดขันก็แล้ว หวดจนหอบตัวโยนก็แล้ว ผีร้ายก็ยังไม่ยอมออก ดูท่าว่าจะมหาดุเลยทีเดียว
         มันเป็นผีเขมร ตาเฒ่าว่า ปราบยาก เห็นจะต้องใช้มีดหมอซะแล้ว แต่ค่าบูชาครูจะเยอะหน่อยนะ เอ็งสู้ไหวไหมอีหนู ม่ายผัวเอ็งคงไม่รอด
         คำถามทิ้งท้ายมาที่ผู้หญิงร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำแดด เธอปากคอสั่นรีบรับคำทันที
         ไหวจ้ะพ่อแก่ อย่าให้พี่แดงตายนะ 
         มีดหมอของจอมขมังเวทย์ยาวประมาณคืบเศษ มีลักษณาการคดคล้ายกริช บนใบที่ดูแล้วค่อนข้างทื่อ ลงอักขระเลขยันต์เต็มไปหมด ตัวด้ามที่เป็นแก่นไม้คาดด้ายสายสิญจน์จนหนาเตอะ สันนิษฐานจากสายตา ผมคะเนว่าถ้าถูกบาด คงไม่แคล้วต้องเป็นบาดทะยักแน่ๆ
         อย่างไม่มีพิธีรีตองอะไร หมอผีเฒ่าทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ มีดหมอที่ล้วงออกมาจากย่าม ปักฉึกลงกับพื้นฟาก เห็นแกหลับตาพริ้มอยู่เป็นครู่ ก็คุกเข่า มือคว้ามีดมากุมเอาปลายลงในท่าจ้วงแทง 
         ผมไม่รู้หรอกว่าพิธีการทางไสยศาสตร์นั้นจะดุเดือด ดุดัน ถึงเลือดถึงเนื้อกันหรือไม่และขนาดไหน ลำพังการหวดคนด้วยหวายก็ผะอืดผะอมพอทนอยู่แล้ว หากจะให้มีการทำอะไรที่ผิดมนุษย์มนาเกินไป ผมคงจะไม่ยอม ดังนั้นเสียงกระแอมเหมือนช้างทั้งตัวติดคอ จึงหลุดออกจากปากผมจนดังสนั่น ทุกคนต่างพากันหันมามองเป็นตาเดียว 
         หมอผีชะงักไปนิดหนึ่ง หน้าตาชักดูเครียด มองเห็นกรามขยับโปนออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เห็นแกว่าอะไร มือข้างหนึ่งขีดอากาศอยู่ไปมา อีกข้างหนึ่งก็จ้วงมีดใส่อากาศเป็นพัลวัน ปากก็บริกรรมเวทมนตร์ไม่ขาดระยะ 
         ช่างประหลาดสิ้นดี ที่ผมเห็นผู้ป่วยดิ้นเร่าๆ เกร็งและทุรนทุรายขนาดหนัก มือเท้าสะบัดหลุดออกจากการเหนี่ยวรั้ง ใครคนหนึ่งดวงคงซวย หน้าแข้งของคนผีเข้าป่ายเข้าให้ที่ปากครึ่งจมูกครึ่ง หงายผลึ่งลงไปกองกับพื้น
         รีบจับมันมัดไว้ หมอผีสั่ง ไอ้นี่มันผีเร่ร่อน เพิ่งจรมาอยู่ได้ไม่นาน หนอย!มาทำกำแหงกะข้า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน แล้วเอ็งจะรู้สึก
         ผมสะดุ้งเฮือก คำพูดของตาเฒ่า ฟังดูกำกวมพิกล ไม่รู้ว่าแกด่าผีหรือด่าผม แต่โดนอย่างนี้ ทำให้รู้สึกเกลียดขี้หน้าหมอผีปากจัดขึ้นมาตะหงิดๆ
         ไม่นานหลังจากนั้น จอมขมังเวทย์ก็เสร็จสิ้นพิธีกรรม แกเก็บมีดและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆลงย่าม มองแบบเมินๆผ่านหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกเมียคนผีเข้าว่า
         อีกไม่เกินสามวัน ไอ้ผีห่าตัวนี้มันก็จะไป แถวนี้มันเป็นทางผ่าน พวกผีเปรตเร่ร่อนมักสัญจรไปมาโดยไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อยๆ เอ็งอย่าลืมจุดธูปสมาเจ้าที่เจ้าทางให้ครบตามที่ข้าสั่ง ต้นไม้ต้นไร่จะตัดจะโค่นต้องดูให้ดี อย่าทำอะไรที่คนแถวนี้เขาไม่ทำ รู้จักดูตาม้าตาเรือ แล้วก็หัดมีสัมมาคารวะเสียบ้าง 
         ผมว่าแกเจตนาบอกกับผมแหงๆ
         ตาแก่ปากจัดกลับไปแล้ว คนป่วยถูกมัดมือมัดเท้าเหมือนหมูรอเชือด พวกญาติกำลังเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด คนเป็นพี่จะให้ผมตรวจรักษาอาการของน้อง คนเป็นเมียห้ามไม่ให้ทำ ที่สุดไฟเขียวก็เปิด
         ผมบอกให้แก้มัดผู้ป่วยแล้วช่วยกันจับ จัดแจงเอาปรอทวัดไข้เสียบเข้าที่ซอกรักแร้ นิ้วก็จรดที่ข้อมือตรวจนับชีพจร วัดความดันโลหิต ฟังเสียงปอด คลำร่างกายและ เอาเข็มเล็กๆเจาะปลายนิ้วผู้ป่วย พอมีหยดเลือดป้ายลงในแผ่นกระจกเล็กบางที่เรียกว่า สไลด์ ทุกอย่างถูกต้องตามตำราเป๊ะ 
         ผมพบว่าไข้เขาสูงเกือบสี่สิบองศา ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ ปอดมีเสียงกรอบแกรบ ตับแล่บออกมาคลำได้นิดหน่อย แต่ม้ามโผล่ออกมายังกับแหลมที่ยื่นออกไปในทะเล ผมพอจะสันนิษฐานได้แล้วว่า ผีที่เข้าสิงผู้ป่วยเป็น
สัมภเวสีชนิดไหน 
         ผมบอกให้พวกญาติพลิกผู้ป่วยนอนคว่ำ ฉีดยาลดไข้เข้าสะโพกซ้าย ฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสะโพกขวา แล้วให้กลับนอนหงายเหมือนเดิม จากนั้นก็สอนให้ผู้เป็นเมียรู้จักวิธีการเช็ดตัวลดอุณหภูมิ แล้วให้มีหน้าที่เช็ดตัวผู้สามีอย่าได้หยุด ที่ผนังห้องผมเอาน้ำเกลือแขวนไว้สี่ถุง สองถุงแรกบีบเอาน้ำออกเหลือไว้ถุงละ ๑๕๐ ซีซี. อีกสองถุงที่เหลือคงไว้ตามปกติ ทุกถุงฉีดควินินเกรนสิบเข้าผสม ผม
หาเส้นเลือดแล้วแทงเข็มลงไป
          คืนนั้นผมไม่ได้กลับสถานีอนามัย คงอยู่เฝ้าไข้ที่บ้านผู้ป่วย ผมเปิดน้ำเกลือถุงละ ๑๕๐ ซีซี.ซึ่งผสมควินินเข้มข้นให้ไหลฟรีติดต่อกันสองถุง แล้วต่อด้วยน้ำเกลือที่ผสมควินินเจือจางคำนวณการหยดของน้ำติดตามมา จากการให้ยาอย่างต่อเนื่อง พอค่อนรุ่ง อาการตาเหลือกลาน เนื้อตัวเกร็งและทุรนทุรายก็เริ่มสงบ ครั้นสายหน่อยผู้ป่วยเริ่มมีสติ และพูดจาได้ 
         คุณคงรู้แล้วใช่ไหมว่า ไอ้เจ้าผีมันมีนามกรว่ากระไร ผมจับมันได้อยู่หมัดเลยทีเดียว มันมีอยู่สองตัวด้วยกัน ตัวแรกชื่อว่า ความศรัทธาแบบโง่เขลา มันไม่เลือกหรอกครับว่าคนที่มันสิงจะร่ำรวยหรือยากจน จะเป็นด๊อกเตอร์หรือเป็นด๊อกต้อย ถ้าโง่ละก็ มันเข้าดะไปหมด ซึ่งคุณก็คงจะเห็นอยู่บ่อยๆแม้ในทุกวันนี้ สำหรับอีกตัวหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้ตัวบนมันมีชื่อว่า การเบียดเบียนอย่างเจ้าเล่ห์ ไอ้นี่แสบสันต์พอสมควร ชอบเหยียบย่ำเพื่อนมนุษย์ หรือไม่ก็คอยรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ทั้งสองตัวมันมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คอยเสริมฤทธานุภาพซึ่งกันและกัน สำหรับไอ้มาลาเรียขึ้นสมองกับปอดบวมระยะแรก ที่ผมเพิ่งกำหราบมันไปหยกๆน่ะ เรื่องเล็กน้อยครับ
         ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้ป่วยก็ยกครอบครัวมาหาผมเพื่อจะมาขอชำระค่าหยูกยา คุณอย่าหาว่าผมพูดจาเอาหน้าเลยนะ ถ้าผมจะบอกว่าแม้สตางค์แดงเดียว ผมก็ไม่ได้คิด มองเห็นสภาพที่ยากจน บอกตรงๆว่าขืนเก็บไปผมก็คง
ไม่ใช่คนแล้ว ถ้าว่าขาดทุนผมก็คงขาดเรื่องทรัพย์นิดหน่อย แต่ผมทำกำไรให้แก่ทางราชการบานตะไทเลยเชียวล่ะ 
         
         นับแต่นั้นเป็นต้นมา พฤติกรรมการตามล่าผีของผมก็เริ่มเข้ากระแสเลือด จนเขาลือกันไปทั้งตำบลว่า ผีน่ะกลัวผม เข้าที่ไหนผีมักจะวิ่งป่าราบเสมอ จนเริ่มหาผีทำยายากขึ้นทุกที กระทั่งชาวบ้านแอบตั้งฉายาให้ผมว่า คำสะท้าน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาจารย์คำแกจะคิดเห็นเป็นประการใด เพราะไม่ได้เจอแกมาตั้งนานแล้ว
         ทุกวันนี้ผมยังคงอยากเจอผี และคงต้องขอรบกวนคุณในท้ายที่สุดนี้ว่า หากมีเบาะแสว่าที่ใดมีผีดุถึงขนาด ขอได้โปรดแจ้งมาให้ผมทราบด้วย จะเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ครับ/.				
comments powered by Disqus
  • ไข่เจียว

    15 มิถุนายน 2546 10:42 น. - comment id 68980

    อิอิ ... ไข่เจียวกลัวผีที่คิดขึ้นมาหลอกตัวเองค่ะ ...
    คงไม่ต้องอาศัย \"คุณหมอคำสะท้าน\" รักษาแน่ ๆ เล้ย ... 
    
    ... เรื่องที่เขียนมีเค้าโครงจากเรื่องจริงป่าวคะ ...
    คุณราม ลิขิต นอกจากแต่งกลอนเก่งแล้ว ยัง
    เขียนเรื่องสั้นได้ดีนะคะ ...  จะติดตามค่ะ ... 
    ขอบคุณนะคะ สำหรับสิ่งดี ๆ ที่สื่อออกมาให้อ่าน ..
    
    
  • ราม ลิขิต

    15 มิถุนายน 2546 17:56 น. - comment id 68981

    สวัสดีครับคุณไข่เจียว
    
    มาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของผมส่วนหนึ่งครับ ขอบคุณมากที่เข้ามาเยี่ยมเยี่ยม พร้อมหิ้วน้ำหวานจอกงามมาให้จิบด้วยขอรับ
  • ผู้หญิงสีม่วง

    16 มิถุนายน 2546 00:04 น. - comment id 68983

    อ่ะ...ว่าแล้วคุ้น ๆ ชื่อ ราม ลิขิต ที่ไหน...
    พอมาเห็น \" ล่าผี \" ก็เลยจำได้ค่ะ...
    ที่แท้ก็กวีหนุ่ม ( รึเปล่า ) จากโต๊ะห้องสมุด  pantip.com  นี่เอง ..
    ...สวัสดีนะคะ...
  • ราม ลิขิต

    16 มิถุนายน 2546 23:16 น. - comment id 68988

    สวัสดีครับคุณผู้หญิงสีม่วง
    
    ไม่หนุ่มแล้วครับ อีกไม่เกินหกเจ็ดสิบปีก็เข้าโลงแล้ว  ว่าจะลองไปหาทาวน์เฮาส์วัดข้างข้างบ้านวันสองวันนี่แหละครับ
  • เปเมะ

    19 มิถุนายน 2546 20:50 น. - comment id 69005

    แหะๆ เดี๋ยวนี้เค้ามีคุยกันที่บอร์ดเลยเหรอเนี่ยย
  • ~ไม~

    7 กรกฎาคม 2546 17:26 น. - comment id 69150

    อ่านซะนานเลยอะ   ยาวเหยียดเลย    เยี่ยมๆมากครับ
    
    
    
                                  จากไม

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน