"พลังเหลือง-แดง" ใครผิด? ใครถูก?

ธันวันตรี

จากเรื่องการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ขออัญเชิญหยาดเย็นจาก พระพุทธองค์ มาชโลมให้เราไม่ต้องร้อนตาม
                 War ends when only people love each other
               มหาสงครามระงับได้ด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์
                                        The Lord of Buddha/พระพุทธเจ้า
ธันวันตรี ขอเปรียบสังคมไทยเป็น โลกใบนี้  ที่กำลังแบ่งขั้วเป็น ขั้วโลกเหนือ และ ขั้วโลกใต้ ทั้งสองขั้วกำลังเพิ่มน้ำหนักให้กับขั้วของตัวเองอยู่เรื่อยๆ จน โลกใบนี้ รับน้ำหนักไม่ไหว เกิด รอยร้าวขึ้น หากยังทำอย่างนี้กันต่อไป เป็นไปได้หรือไม่? ที่ โลกใบนี้ อาจต้อง แยกออกจากกัน! สายเกินไปหรือไม่? ที่ต่างขั้วจะกระจายกันออกมายืนอยู่บน โลกใบนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุล
ในขณะที่สังคมยังพบแต่ทางตัน ได้มีการระดมสมองจาก นักธุรกิจ นักคิด นักวิชาการ ชั้นนำจากทั่วประเทศ (ลืมอาชีพที่สำคัญไปหรือเปล่า?) ร่วมกันคิดทฤษฎี การเมืองใหม่ เพื่อหาทางออกให้กับสังคม ในขณะที่ยังไม่ได้ยืนอยู่อย่างสมดุลบน โลกใบนี้ ยังจะต้องมาคิด การเมืองใหม่ อยู่หรือไม่?
ธันวันตรีมีโจทย์ให้ลองคิดเล่นๆ
นายเอ เป็นนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถสูงมาก เรียนจบเกียรตินิยมเหรียญทอง!! ไม่ใช่แค่นั้น!! ยังได้ A ทุกรายวิชา (พระเจ้าช่วย กล้วยปิ้ง!!) แถมยังรู้อีกว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน!! (โอ้! ไอสไตล์กับมาเกิดหรือเปล่าเนี่ย) แหะๆ
นายเอได้รับมอบหมายให้ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อสร้างอาชีพ ให้กับชาวบ้าน
คำถาม ข้อใดถูกต้อง
ก. นายเอควรจะเลือกอาชีพให้ชาวบ้าน เพราะนายเอทราบเรื่องหลักการตลาด ความคุ้มทุน ผลกำไร กระบวนการผลิต กระบวนการกระจายสินค้า และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอาชีพนั้นได้เป็นอย่างดี
ข. นายเอควรจะให้ข้อมูลกับชาวบ้าน  และให้ชาวบ้านร่วมกันตัดสินใจกันเอง เพราะชาวบ้านน่าจะรู้ว่า อาชีพไหนที่พวกเขาชอบ และถนัด
ค. ผิดทั้ง ก และ ข ที่ถูก คือ 
แหะๆ ลองคิดเล่นๆ นะครับ ^ ^
มีบางคนบอกว่า อย่าไปยุ่งกับปัญหาและความทุกข์ของคนอื่น ขอให้เรามีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราสงบก็พอแล้ว ส่วนคนที่เขามีปัญหา มีความทุกข์ เขาก็ต้องรับผลของกรรมที่เขาก่อขึ้น  
ถ้าพระพุทธเจ้า สอนให้เรา ตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วเราจะได้พบกับหลักธรรมอันประเสริฐของพระพุทธองค์นี้อยู่หรือ?
^ ^				
comments powered by Disqus
  • หลี่เหม่ยจิน(ไม่ได้ lock in)

    12 พฤศจิกายน 2552 21:58 น. - comment id 109821

    ท้ายเล่ม หนังสือธรรมะ กับ การเมือง ของท่านพุทธทาสภิกขุ เขียนไว้ว่า....
    ธรรมะ กับ การเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไร การเมือง ก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมา ทันที
    การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ ต้องตั้งรากฐานอยู่บนรากฐานทางศาสนา ของทุกศาสนา ที่มีอยู่ว่า " สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น " นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะข้อนี้อยู่ในใจ ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า ; การเคลื่อนไหวของเขา ทุกกระเบียดนิ้ว มีแต่บุญกุศล จนกระทั่ง กลายเป็นปูชนียบุคคล ไป.
    
    พระเจ้าของท่านพุทธทาสมีชื่อว่า อิทัปปัจยตา หรือกฎแห่งกรรม
    
    ไม่รู้ว่าการเมืองใหม่จะเป็นไปในแนวทางใด
    แต่รู้แค่ว่าน่าจะไปเป็นในทางที่ไม่เห็นแก่ตัว
    และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
  • ธันวันตรี

    12 พฤศจิกายน 2552 22:08 น. - comment id 109822

    ขออนุโมทนา กับหลักการของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่หลี่เหม่ยจินนำมาเผยแพร่ครับ ^ ^ ขอบคุณครับ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif
  • รัมณีย์

    13 พฤศจิกายน 2552 00:40 น. - comment id 109824

    บังเอิญที่คุณธันวันตรี เขียนมาบางส่วน
    เนื่องจากนายเอ เก่งและฉลาด
    จึงไม่ได้ยินดีแต่เพียงวิชาทางโลก
    แต่ยังเข้าใจธรรม และนำมาใช้ได้ดีอีกด้วย
    
    นายเอ เก่งขนาดนั้น
    และผมเองก็ไม่รู้ขนาดนั้น จึงบอกไม่ได้
    ว่านายเอจะทำอะไรอย่างไร ด้วยวิธีใด
    เพราะผมเองยังรู้น้อยนัก
    จึงได้เพียงแต่จินตนาการเล่น ๆ ว่า
    นายเอ จะใช้สัปปุริสธรรม 7 ในการจัดการ
    คือรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสังคม
    
    นายเอรู้ว่า ควรทำอะไรกับใคร เมื่อไหร่ อย่างไร มากน้อยเพียงใด ฯลฯ (และคงจะรู้ด้วยว่า
    ผมมาตอบคำถามนี้ ทั้งที่ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่)
    เมื่อสิ่งต่าง ๆ แตกต่าง นายเอ อาจจะปฏิบัติแตกต่างกัน แต่ผลที่ได้ กลับเป็นผลในข้างดีเสมอ
    
    นายเอรู้ว่าชาวบ้านที่ชอบตัดสินใจเองก็มี ชาวบ้านที่ชอบให้ผู้อื่นตัดสินใจก็มี ชาวบ้านที่มีความรู้ก็มี ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ก็มี จึงเลือกแสดงต่างกัน ชาวบ้านที่ไม่รู้ก็ให้ความรู้ ชาวบ้านที่ชอบเลือกเองก็ให้เขาเลือกเอง ชาวบ้านที่ชอบให้ผู้อื่นเลือกให้ ก็ให้ผู้อื่นเลือกให้ โดยการเลือกเลือกด้วยความรู้ และถูกจริตกับผู้รับ และสิ่งที่เลือกก็มีแต่อาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ ไม่เป็นมิจฉาอาชีวะ ไม่เป็นการค้าอันเป็นโทษ เมื่อทำแล้วก็ได้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบอาชีพนั้นเองด้วย เป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย และเป็นประโยชน์แก่ธรรมด้วย  แน่นอนว่า ไม่ว่าทางไหน ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมและร่วมกันดูแล อาชีพที่แต่ละคนทำ จึงไม่ใช่อาชีพของเขาผู้นั้นเพียงผู้เดียว แต่เป็นอาชีพที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น และเป็นอาชีพที่ทำแล้วยังมีส่วนที่เป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานได้ด้วย และแม้ไม่มีนายเอ ชาวบ้านก็คงยังทำสืบสานกันได้ หรือปรับเปลี่ยนกันได้ ด้วยเพราะมีความรู้ที่จะจัดการได้เอง ไม่จำเป็นต้องคิดเห็นเหมือนนายเอ แต่ร่วมกันตัดสินใจได้
    โดยชาวบ้านถือหลักของอปริหานิยธรรมในการอยู่ร่วมกัน ถือศีล 5 กรรมบถ 10 ละเลิกอบายมุขอันเป็นปากทางแห่งความเสื่อม  ปฏิบัติทั้งทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ และปรมัตถะ มีฆราวาสธรรม และสังคหวัตถุธรรม เสมอ
    
    แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นทันทีเหมือนคิดฝัน แต่ก็เป็นได้ด้วยอิทธิบาทธรรมที่นายเอตั้งมั่น
    
    เสร็จจากฝันเดาว่านายเอคิดอย่างไรด้วยความไม่รู้
    ตื่นมาก็เลยมาดูข้ออื่นบ้าง
    
    ตอนต้นเรื่องพูดถึงเรื่องการแบ่งขั้ว
    ผมเองคิดว่าความแตกต่างบางอย่าง 
    มีแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี เช่น เพศฆราวาส กับบรรพชิต ซึ่งแตกต่างกัน ฆราวาสได้หาปัจจัยบำรุงบรรพชิต บรรพชิตก็ปฏิบัติตนให้บรรลุธรรม เป็นเนื้อนาบุญแต่ฆราวาส และได้สั่งสอนธรรมให้ปฏิบัติในศีลในธรรม เกื้อกูลกันอย่างนี้
    
    ในธรรมชาติ การมีขั้วของโมเลกุลน้ำ ทำให้น้ำมีเสถียรภาพและเกาะกันได้ดีมีจุดเดือดสูงกว่า หรือแตกแยกเป็นไอได้น้อยกว่าสารที่ไม่มีขั้วที่โมเลกุลใกล้เคียงกัน
    
    ขั้วแม่เหล็กเหนือใต้ ต่างกันอยู่คนละที่ก็ยังมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตมากมาย ให้รู้ทิศรู้ทาง กับกระแสแม่เหล็กก็ยังป้องกันรังสี หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบางอย่างจากดวงอาทิตย์อีกด้วย
    
    ขั้วไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ยังอิเล็กตรอนให้ไหล
    ยังประจุของอิออนให้เคลื่อนไป
    เกิดประโยชน์เชิงพลังงานก็ได้ เกิดประโยชน์เชิงรูปวัตถุขึ้นก็ได้อย่างเช่นการชุบโลหะนั้น
    
    ความแตกต่างจึงไม่ใช่สิ่งที่ผิด
    แต่แตกต่างต้องแตกต่างอย่างถูกต้อง
    ไม่อาฆาตมาดร้ายกัน มองกันด้วยดี
    ถ้าจะมีแรงผลักต่อกันก็ผลักด้วยเหตุที่ควรผลัก
    และเป็นด้วยเมตตา ถ้าจะดึงดูดกัน ก็เป็นด้วยเมตตา
    เสมือนขั้วแม่เหล็ก ขั้วไฟฟ้า เมื่อจัดอย่างเหมาะสม ก็สามารถสร้างประโยชน์ได้มากมาย
    
    ท้ายเรื่อง มีประเด็นเรื่องการช่วยเหลือของคนอื่นนั้น
    คงต้องอาศัยปัญญาของแต่ละคนในการพิจารณา
    หาความถูกต้อง ความเหมาะสม หากเขามีทุกข์ก็ช่วยพ้นทุกข์ช่วยให้เขามีสุข ที่สุขแล้วก็ช่วยให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ที่ไม่อาจช่วยได้ด้วยเกินกำลัง เช่นเป็นตามกฏแห่งกรรม ที่ต้องเสวยวิบากหรือตามกฏของไตรลักษณ์ที่ไม่อาจพ้นได้อยู่แล้ว ก็ต้องใช้อุเบกขา ไม่ไปยินดีหรือยินร้ายที่ผู้อื่นรับเคราะห์กรรม
    
    การช่วยเหลือสิ่งต่าง ๆ
    มีเพียงเจตนา แต่ไม่มีความรู้
    ที่ถูกหลักวิชา และไม่มีปัญญา
    ก็เป็นอันตรายได้
    เหมือนตนว่ายน้ำไม่เป็น
    แต่กระโดดลงน้ำไป
    นอกจากช่วยไม่ได้ยังเป็นภัยแก่ตน
    เป็นภาระแก่ผู้อื่น
    แต่หากมีปัญญา ใช้วัสดุอื่น
    โยนไปช่วย ไปตามผู้ว่ายน้ำได้มาช่วย ก็อาจจะช่วยได้
    
    ในบางเรื่อง อาจเจตนาดี
    แต่รู้ผิด คิดผิด เห็นผิด
    ก็เลยนำคนอื่นผิด ๆ 
    คนอื่นผู้ไม่รู้ก็ตามผิด ๆ 
    เจตนากับผล ก็อาจจะสวนทางกันได้
    และกลับเป็นบาป 
    ที่เราต้องรับวิบากกรรมโดยไม่รู้
    แม้การช่วยอะไร
    ก็ต้องไตร่ตรองด้วย
    และช่วยกันไตร่ตรองแนะนำกัน
    ให้ถูกศีล ถูกธรรม ถูกหลักวิชา 
    สิ่งใดเป็นสิ่งดียังไม่ได้ทำจะได้ตั้งใจเตรียมไว้ด้วยดี
    สิ่งใดเป็นสิ่งที่ดี กำลังทำในขณะนี้ก็ทำด้วยยินดีเต็มกำลัง
    สิ่งใดทำล่วงไปแล้ว ก็จะได้ระลึกถึงด้วยความเบิกบานใจ
    
    ขอบคุณคุณธันวันตรีสำหรับหัวข้อที่น่าสนใจ
    
    ขอบคุณทุกท่านที่ได้แวะมาอ่าน
    
    ขอให้มีความสุขทุกคน
  • เฌอมาลย์

    13 พฤศจิกายน 2552 14:23 น. - comment id 109825

    ยอดเยี่ยมทุกความคิดเห็นเลยค่ะ
    
    ได้ฟามรู้มากมาย
    
    ส่วนเรื่องนายเอ สำหรับเฌอ ขอผ่านละกัน
    เพราะกลัวคำตอบจะผิดน่ะ
    เพราะ นานาจิตตัง คริ แหะๆ ล้อเลียนเสียงหัวเราะเจ้าบ้านก่อน27.gif46.gif36.gif
  • ดอกบัว

    13 พฤศจิกายน 2552 15:38 น. - comment id 109829

    แง่มุมของ พุทธศาสนา มองในแง่มุมของ
    ศิลปะ ศิลปวัตถุ ศิลปในการครองชีวิต 
    ศาสนาสอนให้มีชีวิตที่เป็นระเบียบ เรียบง่าย สุขุม แยบคาย ทำลายกิเลส
    
    แง่มุม วัฒนธรรม  การยอมรับกันและกัน โดยคุณธรรม 
    
    ชาติวุติ  การยอมรับโดยฐาน เป็นสมมุติสัจจะ ที่อยู่ร่วมในสังคม
    แต่ไม่หลงติดจนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ มีระเบียบพิธีปฏิบัติต่อการยอมรับ
    ซึ่งมีลักษณะต่างต่างกัน และกระทำกันโดยสม่ำเสมอ จนกลายเป็น
    วัฒนะธรรมประเพณีที่ดีงาม
    แง่มุม ระเบียบวินัย แบบแผนซึ่งก้มีสอนทั้ง สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ
    
    แง่มุม คุณธรรม สอนให้รู้จักละอายชั่ว ทั้งที่อยู่ต่อหน้า และลับหลัง
    สอนให้เกรงกลัวผลของบาปที่ตนกระทำ แทนที่จะมากลัวต่ออำนาจฟ้าดิน
    ผีสางเทวดา  
    สอนให้รู้จักหน้าที่ กระทำหน้าที่ ซื่อตรงต่อหนาที่ รับประโยชน์จากหน้าที่
    สุดท้ายอย่ายึดติดในหน้าที่ 
    
    แง่มุมปรัชญา  สิ่งที่เห็นแจ้งต่อการพิสูจน์ ประกอบด้วยเหตุผลทุกขั้นตอน
    คำสอนที่ว่า สิ่งทั้งปวงเกิดแต่เหตุ เมื่อจะดับก้ต้องดับที่เหตุ
    
    แง่มุม ปัญญา ปัญญาคือสิ่งที่อยู่เหนือสมอง แต่เกิดจากการ
    พิสูจน์ทราบและลุถึงมัน 
    เช่นมีปัญญาเท่าทันอารมณ์ ปัญญารู้เท่าทันอาการเกิดดับของจิต
    ปัญญาในการรู้แจ้งว่าความไม่รู้เป็นเหตุให้เกิดความอยาก ที่เรียกว่าตัณหา
    เมื่อความอยากเกิด ก็ทำให้เกิดการยึดถือ ที่เรียกว่าอุปทาน
    ความยึดถือ เป็นเหตุให้เกิด การเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และรู้ว่าสิ่งเหล่านี้
    เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ทนได้ยาก 
    จิตไม่แกร่ง อารมณ์ไม่ฟุ้ง ความคิดไม่ปรุง ผดุงสมดุล
    
    สวัสดีค่ะ คุณธันวันตรี
    แวะมาอ่านผ่านมาเยือนค่ะ
    การเมืองดอกบัวไม่ค่อยรู้เท่าไรค่ะ
    มีแต่ความสุขสดใสค่ะคุณดอย
     
    
    36.gif46.gif
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 01:03 น. - comment id 109846

    สวัสดีครับ คุณ รัมณีย์ ขออนุโมทนา กับหลักการคิดที่ผนวกกับหลักธรรมของพุทธองค์ครับ แสดงให้เห็นว่า ผู้แสดงความคิดเห็นมีจิตใจดีงาม และมองโลกในแง่ดี  เพราะกำลังมอง ขั้ว ที่แตกต่างอยู่ใน ภาวะสมดุล ใช่ครับ ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ความแตกต่างทำให้เกิดพลังงานของสนามแม่เหล็กขณะมหึมา ยังประโยชน์มากมายแก่มวลมนุษยชาติ แต่ถ้าไป ปรับ เปลี่ยน เพิ่ม เติม ทั้งสองขั้วให้ต่างไปจากภาวะปกติ อาจจะเกิดโทษอย่างมหันต์  
    
    พาลงลึกวิชาเคมีเลยนะขอรับ แหะๆ ใช่ครับ สารประกอบต่างยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมี เพื่อให้คงรูปร่างอยู่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่อง ความเสถียร  สารที่  เป็นกลางทางไฟฟ้า ย่อมมีความเสถียรมากกว่า สารที่มีประจุบวก และประจุลบ ที่มีการให้และการรับอิเล็คตรอน  พร้อมที่จะเกิด ปฏิกิริยาเคมี ซึ่งกระบวนการถ่ายโอนอิเล็คตรอน ทำให้ได้ พลังงาน ออกมา พลังงานที่ได้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น เกิดกระแสไฟฟ้า แผ่รังสีที่เป็นอันตรายออกมา และอื่นๆ  แต่ถ้ายังปล่อยพลังงานออกมาเรื่อยๆ หลอดทดลองอาจจะแตกได้นะขอรับ แหะๆ ถ้ามองย้อนมาที่สังคม ข้อแตกต่างตอนนี้ ข้อดีอาจจะกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวเรื่องการเมือง ข้อเสีย เช่น อารมณ์ขุ่นมัว คนในครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด ส่งผลต่อเรื่องเศรษฐกิจ การคมนาคม เป็นต้นว่า ปิดสนามบิน ปิดสถานีโทรทัศน์ ปิดถนน ฯลฯ ตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับบ้านเมืองร่ะครับ แหะๆ 
    
    ใช่ครับ แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ฟังดูง่ายๆ นะครับ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมใคร เหมือนกับบ้านเมืองเราในตอนนี้ ร่ะครับแหะๆ  ^ ^  
    
    ขออธิบายหลักการอุเบกขาจากคุณ รัมณีย์ เพิ่มเติมอีกนะครับ เพราะเกรงว่าอาจจะมีคนเข้าใจผิด อุเบกขา  หมายถึง ความ วางใจ เป็นกลางๆ ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป เช่น  ไม่เสียใจเมื่อคนรักถึงความวิบัติ หรือ ไม่ดีใจเมื่อศัตรูถึงความวิบัติ ไม่ได้หมายความว่า ไม่แยแสหรือไม่รู้ไม่ชี้ ยกตัวอย่าง เช่น
    
    นายบีเป็นคนพูดจาหยาบคายไปไหนมาไหนจึงไม่มีคนอยากคุยด้วย(กฎแห่งกรรม) วันหนึ่งเดินไปจีบสาว เธอคนนั้นก็ไม่ใส่ใจ ทำให้นายบีอกหักเป็นทุกข์ พระพุทธองค์เดินผ่านมาเห็นนายบี ไม่รู้สึกทุกข์ตาม (อุเบกขา)  และช่วย(มีเมตตากรุณา)ให้เขาพ้นทุกข์ โดยใช้หลัก อริยสัจสี่  แต่ถ้าเราเดินไปเห็น นายบี โดยที่เรา ไม่รับรู้กับทุกข์ของเขา แล้วก็เดินผ่านไป(ไม่มีเมตตากรุณา) ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม นั่นไม่ใช่หลักอุเบกขานะขอรับ แหะๆ ^ ^ หลักอุเบกขาคือ รู้ว่าเขาทุกข์ แต่ใจเราไม่ทุกข์ตาม  แหะๆ ^ ^
    
    ขอชวนคุณ รัมณีย์ เข้าประเด็นการเมืองเลยนะครับ เพราะเชื่อว่า น่าจะได้ความเห็นดีๆ จากคุณ รัมณีย์
    เหลือง                    ทักษิณผิดเต็มๆ
    แดง                       ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้าย
    เหลือง                    เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย
    แดง                        เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย
    แล้วทำไมเราไม่ล้างประเด็นของทักษิณออกไปจากสมอง แล้วหล่อหลอมรวมกัน เรียกร้อง เพื่อ ประชาชน ที่จะต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำไมเราจะต้องมาเรียกร้องเพื่อใคร คนใดคนหนึ่ง ทำไมเราไม่เรียกร้องเพื่อ ส่วนรวม อย่างเดียว
    
    แล้วปัญหาของสังคมตอนนี้คืออะไร?  เป็นเพราะยังไม่ยอมรับในกฎกติกาที่สังคมวางไว้หรือไม่?
    
    ลองให้คิดเล่นๆ เฉยๆ นะครับ แหะๆ
    เอาตัวอย่างเดิมร่ะ คิดอันอื่นไม่ออกร่ะ แหะๆ 
    จากผลการประกวดรายการ KPN music Award ที่คณะกรรมการตัดสินให้ นก เป็นผู้ชนะเลิศ ปรากฏว่าจากการตรวจสอบ หลักฐาน พบเอกสารต่างๆมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่า นกติดสินบนให้กับคณะกรรมการ แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ทำให้ ทุกคนรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เชื่อได้ว่า นก คือผู้ติดสินบนจริง เช่น ภาพถ่าย วีดีโอ หรือ คำพูด ที่นกกำลังจ่ายเงินให้กับคณะกรรมการ ทำให้ประชาชนสองฝ่ายคิดแตกต่าง ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่านกผิด อีกฝ่ายเชื่อว่านกไม่ผิด 
    คำถามคือเอกสารต่างๆ เหล่านั้น ที่ยังไม่สามารถทำให้ ทุกคนรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เชื่อได้หมด เราจะปลดนกออกจากการเป็นผู้ชนะเลิศครั้งนี้หรือไม่ ถ้าเราไม่มั่นใจในตัวคณะกรรมการ ควรรอไปปรับ กฎกติกา ใน season ใหม่หรือไม่
    อาจจะไปปรับวิธีการตัดสินเหมือนรายการ The star ก็ได้ แหะๆ ^ ^  แล้วถ้าเราไปปรับกฎและกติกาของ Season ใหม่ ยังจะเอากฎกติกาใหม่ต่างๆ เหล่านั้น มาตัดสินสินเหตุการณ์ใน Season เก่า ได้หรือไม่
    
    เพราะเราควรจะพูดถึง สิ่งที่เป็นจริง  ที่ทำให้ ทุกคนเห็นเหมือนกัน เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก หรือพูดไปตาม หลักธรรม ของพระพุทธองค์ ที่เป็น สัจจะธรรม นั่นคือ เป็นจริงในทุกกรณี
    
    หรือ พูดไปตามหลักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ไม่มีใครแย้งได้ ก็ตั้งเป็น กฎ สิ่งที่พิสูจน์แล้วภายใต้นิยามๆ หนึ่งๆ ซึ่งพบว่า เป็นจริง ก็ตั้งเป็นทฤษฎี
    
    ยกตัวอย่าง เพื่อ ประกอบความเข้าใจ 
    
    หมู่บ้านกอ ตรวจพบ หลักฐานของการจ่ายเงิน ของหัวคะแนนให้กับชาวบ้าน  สิ่งที่ข่าวสรุปตอนนี้คือ หมู่บ้านกอมี การซื้อสิทธิ์ขายเสียง สมควรแล้วหรือยัง? บางส่วนเชื่อ บางส่วนไม่เชื่อ แล้วจำเป็นไหมที่จะต้องพิสูจน์ ให้ทุกคนเห็นเหมือนกันว่า หมู่บ้านกอ ขายเสียง  เช่น เราอาจจะตั้ง สมมุติฐานว่า ชาวบ้านกอขายเสียงให้กับผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน แล้วออกแบบระเบียบวิธีการพิสูจน์สมมุติฐานนั้น เช่น สร้างแบบสอบถาม เพื่อเข้าไปเก็บข้อมูลจากชาวบ้านกอ ทำโดยผู้ที่เป็นธรรม ให้ข้อมูลต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ ของแบบสอบถาม โดยมีการปกปิดข้อมูลเป็นความลับ ไม่มีผลความผิดใดๆต่อชาวบ้าน กระบวนการเก็บข้อมูลต่างๆ โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตรวจสอบได้ เมื่อรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยสรุปว่า ชาวบ้านกอมีการขายเสียง ควรจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่?
    
    แล้วตอนนี้สังคมกำลังใช้หลักการอะไร?ในการตัดสิน ความเป็นจริง จากสิ่งต่างๆ  พระพุทธเจ้าเคยสอนหลัก อนัตตา
    ให้เราไม่ยึดมั่น ถือมั่น หรือบางคนเข้าใจผิดคิดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ยึดหลัก อัตตา
    
    เชื่อว่า ทุกคนอยากเห็น สันติภาพ เกิดขึ้น ทั้งที่บ้านกลอนและสังคมไทย และ อยากให้เชื่ออย่างนั้นและช่วยกันสร้างให้เกิดขึ้น เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
    
     He is able who  thinks he is able 
         บุคคลหากเชื่อว่าทำได้ย่อมทำได้ 
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 01:32 น. - comment id 109847

    ไม่ต้องกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นครับ
    
    เพราะทุกคนมีสิทธิ ที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเสรีตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่กระทบสิทธิของคนอื่นก็พอร่ะครับ แหะๆ ^ ^
    
    เพราะตามหลักการของประชาธิปไตย ถึงแม้จะยึดเสียงข้างมาก แต่ก็ต้อง ปกป้องเสียงส่วนน้อย จากโจทย์ตัวอย่าง ตัวเลือกทุกตัวเลือกต่างมีข้อดีข้อเสีย แตกต่างกัน เมื่อเราจำเป็น "ต้องหาข้อสรุป" ก็ต้องว่าไปตามกติกาครับ เช่น มีคนตอบข้อ ค มากสุด คำตอบข้อนี้ควรจะตอบข้อ คอ เราไม่ควรเลือก "สรุปตามเสียงส่วนน้อย"
    แต่ต้องไม่มีใครด่า คนที่ตอบข้อ กอ และ ขอ ว่า ตอบไปอย่างนั้นได้อย่างไร ปล่อยให้คำตอบที่ฉลาดน้อย(โง่นั่นเอง) แบบนั้นออกมาจากสมองได้ยังไง แหะๆ สมมุตินะครับ และไม่มีการขับไล่ หรือ แบ่งแยก คนที่คิดเห็นแตกต่าง ครับ ^ ^
    
    นั่นคือหลักการของประชาธิปไตย ครับ ^ ^
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 01:36 น. - comment id 109848

    ขออนุโมทนา กลับ หลักการของพระพุทธองค์ ที่ดอกบัวนำมาเผยแพร่ครับ ^ ^
    
    ขอบคุณมากครับ ^ ^
  • สบั

    14 พฤศจิกายน 2552 10:13 น. - comment id 109851

    อยากให้นายเอสอนเพิ่มอีก 2 วิชาค่ะ
    คือ พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง กับ ไก่กับไข่ ค่ะ
    
    
    
     
    
    42.gif
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 10:27 น. - comment id 109852

    11.gif แหะๆ
    
    คงต้องไปติดต่อนายเอ เองร่ะครับ ^ ^
    
    36.gif36.gif36.gif
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 11:05 น. - comment id 109853

    เมื่อกลับมาอ่าน ความเห็นของ รัมณีย์ อีกครั้ง พบว่า บางประเด็นยังไม่กระจ่างครับ  แหะๆ ขอตอบเพิ่มนะครับ
    
    "ไม่มีทุกข์หรือปัญหาใดในจักรวาล" ที่พระพุทธองค์ไม่สามารถชี้ทางสว่างใด้ "ไม่มีปัญหาใดที่ใหญ่เกินกว่าที่หลักธรรมของพระพุทธองค์จะแก้ไขปัญหาให้ได้ "
    
    แม้แต่ อัลเบริร์ต ไอน์สไตล์ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะชื่อก้องโลก ยังต้องยอมศิโรราบ
    
    " Buddhism has the characteristics of what would be expected in a cosmic religion for the future: It transcends a personal God, avoids dogmas and theology; it covers both the natural and spritual; and it is based on a religious sense aspiring from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity "
    
    " ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรเว้นคำสอนแบบเบ็ดเสร็จ ที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว และ แบบเทวนิยม คือ อ้างเอาเทวดาเป็นหลักใหญ่ ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติ และจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนความสำนึกทางศาสนา ที่เกิดจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนามีคำตอบต่อข้อกำหนดนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"
    
    Albert Einstein /อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
    
    พระพุทธเจ้า "ไม่ได้สอน" ให้ยืนมอง ทุกอย่างให้เป็นไปตาม "กฎแห่งกรรม" เพียงอย่างเดียว เช่น "คนพิการที่เกิดมาในชาตินี้เป็นผลจากการกระทำในชาติก่อน" เราควรจะยืนมองแต่เพียงว่า นั่นก็เพราะกรรมของเขาที่เขาก่อไว้ในชาติที่แล้วอย่างเดียวหรือไม่? ควรที่จะต้องชี้ให้ทุกคนเห็นถึง สิทธิและเสรีภาพที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมหรือไม่? ควรจะต้องให้ผู้พิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเท่าเทียมเยี่ยงคนปกติหรือไม่?
    
    พระพุทธองค์ผู้มีความอ่อนโยน สอนให้มนุษย์มีความรักมีความเมตตาต่อกัน พระองค์ทรงชี้แสงสว่าง เพื่อให้มนุษย์พบกับหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง 
    
    บางคนยังคงเชื่อว่า อย่าไปยุ่งกับปัญหาและความทุกข์ของคนอื่น ขอให้เรามีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราสงบก็พอแล้ว ส่วนคนที่เขามีปัญหา มีความทุกข์ เขาก็ต้องรับผลของกรรมที่เขาก่อขึ้น
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 12:00 น. - comment id 109854

    ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น  อยากลองให้ นึกถึงลูกโป่งที่รับลมเข้าไปจนกลมป่อง เจียนจะแตกอยู่แล้ว หากมันรู้ว่า เพียงแค่ คายลมเดิมออกก่อน แล้วค่อยรับลมใหม่เข้าไป มันก็จะไม่แตก
    
    บางคนอาจกำลังเข้าใจผิด กับหลักการของประชาธิปไตย ที่บอกว่า "ให้ยึดเสียงข้างมาก" เป็นเกณฑ์ แต่หลักการดังกล่าว ก็ "ต้องปกป้อง" เสียงส่วนน้อยด้วย
    
    ธันวันตรี ขอยกตัวอย่าง
    
    ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไม่รู้หรอกว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอย่างไร .................... การสรุปดังกล่าว "สร้างความขัดแย้ง" 
    
    เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ มายืนยันว่า ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไม่ทราบกฎหมายเรื่องการหมิ่นพระพรมเดชานุภาพ ทำให้มีบางคนแย้งว่า รู้ได้ยังไง ว่า ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไม่รู้
    
    แล้ว เราควรจะเอา "ความคิดเรา" ไปตัดสิน "ความคิดของคนอื่น" หรือไม่ ? 
    
    ถ้าเราอยากจะตัดสินจริงๆ เราควรจะพิสูจน์ให้ "ทุกคนรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ยอมรับหรือไม่?
    
    เช่น สร้างแบบสำรวจ แล้วตั้งคำถามถามตาสี ตาสา ยายมี ยายมา  ถึง "การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคืออะไร"  "หากมีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะผิดกฎหมายอย่างไร? " โดยกระบวนการสอบถาม ทำโดยผู้ที่เป็นกลาง มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม สามารถตรวจสอบได้ เมื่อได้ผลแล้วค่อยสรุปเป็น
    
    ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไม่ทราบกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามข้อมูลการสำรวจโดย........
    
    การสรุปดังกล่าวไม่สร้างความขัดแย้ง ทุกคนเห็นเหมือนกัน มีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
    
    อีก กรณี คือ ชาวต่างชาติ ที่กำลังวิจารณ์ สถาบัน พระมหากษัตริย์ไทย ในขณะนี้ ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อาจจะขัดกับความรู้สึกชาวไทย แต่นั่น เป็น "สิทธิโดยเสรี" ที่ชาวต่างชาติสามารถทำได้ หากเราไม่เชื่อตาม (เพราะเราคนไทยทั้งประเทศก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงทำเพื่อพสกนิกรของพระองค์มาโดยตลอด ทรงหล่อหลอมให้คนไทย รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้) เราควรจะฟังเขาเฉยๆ หรือ ฟังแล้ว ด่า ต่อว่า วิจารณ์ในทำนองว่า คิดยังงั้นได้ยังไง จะคิดก็คิดไป ไม่สนหรอก หากชาวต่างชาติมาได้ยิน เขาจะแย้งคืนหรือไม่ ว่าเป็นสิทธิ ที่เขาสามารถทำได้ แล้วเราควร สรุปประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่?
    
    ความคิดของทุกคน มีเหตุมีผลแตกต่างกันไป ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก  ตามหลักการของประชาธิปไตย หากมีหลายๆความคิด  จะ "ยึดเสียงข้างมาก" เป็นเกณฑ์ แต่เสียงส่วนน้อย จะต้อง"ปกป้อง"  "ให้ไม่มีใครละเมิดสิทธิได้"
     
    ถ้าสังคมเข้าใจ หลักการของพระพุทธศาสนาและประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ ปัญหา อาจจะไม่บานปลายถึงขนาดนี้
    
    ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราควรจะ สมัครสมาน สามัคคี สร้างสันติภาพ ให้เกิดขึ้น บนผืนแผ่นดินไทย ตามพระราชดำรัสของในหลวงของเราที่ว่า  " . . . ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเราแต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกำจัดและป้องกันภัยต่างๆ มิให้ทำอันตรายแก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้าย บุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ขอให้ทุกคนสำนึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลงเมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้นอกจาก ตัวเราเอง..."
  • ธันวันตรี

    14 พฤศจิกายน 2552 14:11 น. - comment id 109857

    คนๆนึง เมื่อเราสุข เขาก็สุขด้วย เมื่อเราทุกข์ เขาก็ทุกข์ด้วย เมื่อเรามีปัญหา หากเขาเห็นว่าเราถูก เขาก็สนับสนุน หากเห็นว่าผิด เขาก็ห้ามปราม แม้จะกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้เราอยู่อย่างโดดเดี่ยว ธันวันตรี ขอนิยาม คนๆนั้นว่า "เพื่อนแท้" 
    
    สถานการณ์บางสถานการณ์ อาจจะทำให้เรารู้ว่า ใครคือเพื่อนแท้
    
    ขอบคุณ "หลี่เหม่ยจิน"  "รัมณีย์"  "เฌอมาลย์" "ดอกบัว"  "สบั" ที่ไม่ปล่อยให้ ธันวันตรี อยู่อย่างโดดเดี่ยวครับ ^ ^
    11.gif
  • rain..

    15 พฤศจิกายน 2552 07:31 น. - comment id 109872

    อรุณสวัสดิ์คะ...พี่ชาย..36.gif..
        you will never walk alone ...
     เรนอ่านแป้ป...นะคะ ..
        แบบอยากบอกพี่ชายนะคะว่า..  พี่ชายต้องเป็นคุณหมอที่ดีมากๆด้วยดิคะ...  บางสิ่งที่เรนสัมผัสได้ ..  เหตุและผล..  อารมณ์และการเลือกใช้...   เรนขอเป็นแบบพี่ชาย...  
       .16.gif
  • rain..

    15 พฤศจิกายน 2552 07:36 น. - comment id 109873

    แล้วตอนนี้สังคมกำลังใช้หลักการอะไร?ในการตัดสิน ความเป็นจริง จากสิ่งต่างๆ  พระพุทธเจ้าเคยสอนหลัก อนัตตา
    ให้เราไม่ยึดมั่น ถือมั่น หรือบางคนเข้าใจผิดคิดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ยึดหลัก อัตตา
    
    เชื่อว่า ทุกคนอยากเห็น สันติภาพ เกิดขึ้น ทั้งที่บ้านกลอนและสังคมไทย และ อยากให้เชื่ออย่างนั้นและช่วยกันสร้างให้เกิดขึ้น เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
    
     He is able who  thinks he is able 
         บุคคลหากเชื่อว่าทำได้ย่อมทำได้ ....
    
      เรนชอบด้วยดิคะ...
         แบบตอนนี้ขอเรนอ่านอีกรอบนะคะ..46.gif
  • อัลมิตรา

    14 พฤศจิกายน 2552 23:33 น. - comment id 109874

    you will never walk alone ... อยู่แล้ว
    
    นับว่าเป็นชิ้นงานที่สร้างสรรค์นะ สำหรับการกล่าวถึงสองฟากต่างขั้ว
    การที่ไม่ก้าวร้าว กล่าวฝากกระทบไปยังฟากใดฟากหนึ่ง นับว่าดี
    โดยเฉพาะยิ่งเป็นการกล่าวมุ่งถึงแนวทางจุดรวมใจ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากอีก
    ไม่ใช่ว่าเป็นศิษย์น้อง  เราจึงแอบมาหยอดคำชมกลางดึกให้นะ
    
    เมื่อก่อนหน้านี้ เราได้สารคดี ช่อง Thai TV ซึ่งจริง ๆ น่าจะเรียกว่าทีวีของคนบางกลุ่มเท่านั้น
    ที่สำคัญ มีสิ่งที่น่าสนใจในรายการคือ การล่มสลายของเยอรมันตะวันออกและระบบสังคมนิยมในยุโรป
    และมีวงดนตรีร็อคชื่อดัง scorpions มาแสดงทัศนะคติให้ความเห็นและที่สำคัญเขากล่าวถึงเพลงหนึ่ง
    ศิษย์น้องคงรู้จักเพลงที่ชื่อว่า wind of change  ที่หมายถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเลวร้าย
    จริง ๆ แล้วก็เป็นการรำลึกถึงการทลายกำแพงเบอร์ลิน ที่กางกั้นอิสระภาพของชาวเยอรมัน
    
    ในความคิดเห็นของเรา การทลายกำแพงเบอร์ลินไม่ได้หมายถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวของเยอรมันเท่านั้น
    แต่หมายถึงโลกเสรี ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของชีวิตและดำเนินชีวิตต่างหากที่ได้รับชัยชนะ
    การถูกปิดกั้นทางการแสดงออกต่าง ๆ ก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง 
    
    ที่จริงแล้วเรามีบันทึกการแสดงสดของscorpions ที่จตุรัสแดง (Red Square Mascow City)
    เปิดชมการแสดงเพลงนี้อยู่หลายครั้งคราว และก็รู้สึกชอบ เหตุที่ชอบนั้นอาจเป็นเพราะสถานที่
    จตุรัสแดงเป็นสัญลักษณ์ของระบบสังคมนิยมในรัสเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครอง
    ในสมัยของบุรุษเหล็กที่มีนามว่า สตาลิน และ เยอรมันในยุคฮิตเลอร์ก็เป็นคู่อริที่สำคัญของรัสเซียเช่นกัน
    
    เราไม่มีภูมิอะไรมากมาย อาจจะไม่มีข้อเสนอแนะ ในทางออกใด ๆ 
    แต่เราคิดว่า หากมองอะไรลงไปมากมาย ย่อมได้อะไรกลับมาเยอะแยะเช่นกัน 
    เช่นเดียวกับการฟังเพลงในรูปแบบของเรา 
    
    :) ฝันดี ฝันเด่น นะศิษย์น้อง
  • rain..

    15 พฤศจิกายน 2552 07:45 น. - comment id 109875

    ..เรนขออนุญาต..พี่ชายนะคะ..
    เรนไม่อยากให้ข้อคิดเห็นดีๆแบบนี้ผ่านเลยไป..  พี่อัลมิคะ..ได้โปรดอย่าให้ข้อคิดเห็นสำหรับกระทู้อันนี้..ตกไปนะคะ..
      เรนรู้นะดิคะว่า..  สิ่งที่พี่ชายดอยเขียน..
    คือความรู้สึกที่บริสุทธิ์และมีคุณค่า ..เรนอยากเขียนให้ได้อย่างพี่ชาย..  แต่เรนเก๊าะทำไม่ได้...
       ...
      นะคะ..พี่อัลมิ..36.gif36.gif..
  • อนงค์นาง

    15 พฤศจิกายน 2552 09:51 น. - comment id 109877

    เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ คุณธันวันตรีไม่โดดเดี่ยวแน่นอนค่ะ เพราะอนงค์นางขอสมัครเป็นเพื่อนแท้ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะอยู่ต่างแดน แต่ก็พยายามตอบคำถามที่ชาวต่างชาติได้ถามถึงเมืองไทยให้ดีที่สุด ตั้งใจทำงานรับผิดชอบหน้าที่ของตน ไม่เกียจคร้าน ให้เขาดูหมิ่นคนไทยได้ นั่งคอยนับวันจะได้กลับบ้านในเดือนกุมภาพันธุ์หน้า ต้องพาแม่ไปตรวจโรคตามนัดที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แม่เป็นคอพอกเป็นพิษ ต้องกินยา ตรวจอาการทุกหกเดือน เป็นหน้าที่ของลูกที่ได้คอยดูแลแม่ ไม่ได้มาเอง ก็จะส่งเงินมาให้ทุกเดือน 
    ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นช่วยชาติบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะหน้าที่การงานไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ทั้งยังมีภาระเลี้ยงดูลูกอีกสองคนให้ได้ศึกษาเล่าเรียน ทำได้แต่ส่งเงินให้แม่ได้ทำบุญร่วมกับทางวัด โรงเรียน และชุมชน ตามศรัทธา สนใจเรื่องการเมืองเหมือนกัน    ถ้าให้แสดงความคิดเห็น ไม่แน่ใจว่าคนไทยจะยอมรับได้ไหม เดี๋ยวมีก้อนหิน อิฐ ดิน ตามมา จะหลบไม่ทัน 
    เอาเป็นอันว่า คุณธันวันตรีลองเสนอแนะมาดูซิคะ ว่าจะให้ทำอย่างไร เป็นคนที่นิสัยไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน หัวแข็ง ไม่ค่อยยอมใคร ถ้าเหตุผลไม่เห็นด้วย  นิสัยเสีย ปากก็เสียค่ะ บทจะหวานก็หวาน มีกิเลสมากมาย แต่พยายามรักษาศีลห้าอยู่เสมอ นิสัยดี ไม่ดี ยังไง ดูง่ายค่ะ ปิดไม่อยู่ แหะๆ 
    ขอรับฟังความเห็นของเพื่อนไปก่อนนะคะ
    36.gif36.gif36.gif74.gif
  • แจ้นเอง

    15 พฤศจิกายน 2552 12:33 น. - comment id 109881

    36.gif
    
    คุณธันวันตรี
    
    ได้โอกาสอ่านงานคุณรวบยอดทั้ง เก่าและใหม่ 
     ชื่นชอบนะคะ การเปิดประเด็นที่เรียบๆ
    และทำให้ข้อคิดเห็นไม่ร้อนแรงแต่แฝงไว้ด้วยความ
    คิดที่เป็นอิสระและมีเหตุมีผล
    หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้คิดตามและมีแง่คิดในดีๆในการผนึกและตกผลึกความคิด
    ไม่แตกแยกแต่หลอมรวมให้ไทยยังเป็นไทย
    และยังเหลียวมองประวัติศาสตร์การล่มสลายของอยุธยามาเป็นบทเรียนด้วย
    
    
    
    41.gif41.gif41.gif41.gif
  • ธันวันตรี

    15 พฤศจิกายน 2552 20:43 น. - comment id 109896

    ขอบคุณครับศิษย์พี่ ที่แวะมาฝากข้อคิดดีๆ (วาดรูปไปถึงไหนแล้วน้อ แหะๆ ^ ^)
    
    สวัสดีน้องสาวที่น่ารัก สบายดีไหมหนอครับ ^ ^
    
    สวัสดีครับ อนงนางค์ ขออนุโมทนา ในความกตัญญู ของอนงนางค์ครับ อนงค์นางตอบคำถามที่ชาวต่างชาติสงสัย ก็ได้ทำหน้าที่เพื่อชาติแล้วครับ อยู่ไหนก็ทำเพื่อชาติได้ แหะๆ ครับ ^ ^ ความคิดเห็นยิ่งต่าง ยิ่งดี ยิ่งมีความหลากหลายครับ อัจฉริยะหลายๆ คน ก็มักจะมีมุมมองที่ต่างไปจากคนอื่นๆ เช่น วาดแก้ว ก็วาดเพียงวงกลม เพราะมองแก้วจากด้านบน ไม่ได้มองด้านข้างเหมือนคนอื่นๆ นะขอรับ แหะๆ ^ ^
    
    ขอบคุณมากครับ แจ้นเอง ที่แวะมาร่วมแสดงความคิดเห็น
    
    
    
    "We will walk together"
    "เราจะจับมือกันไว้ และเดินไปด้วยกัน"
    
    ขอบคุณมากครับ ^ ^
    36.gif36.gif36.gif
  • อัลมิตรา

    15 พฤศจิกายน 2552 22:10 น. - comment id 109898

    ศิษย์น้อง .. 
    การที่เราวาดรูป เป็นเพราะเราต้องการให้จิตของตัวเองบ่ายเบี่ยงจากบางสิ่ง
    ทางเลือกหนึ่งอาจจะเหมาะสมในช่วงจังหวะเวลาหนึ่งเท่านั้น
    บางคราว เราเลือกที่จะผ่อนคลายในบางบรรยากาศ โดยการเขียน
    บางคราว เราเลือกที่จะหยิบเครื่องดนตรีชิ้นที่ถนัดมากล่อมจิตตัวเอง
    เพียงแต่หนนี้ เลือกที่จะวาดรูป ทั้งที่รู้ตัวว่า คะแนนศิลปะยังหลอนอยู่
    
    เอาล่ะ มาถึงหัวข้อกระทู้นี้ ใครผิด ใครถูก
    เราอยากให้ศิษย์น้องอ่านข้อความด้านล่าง ซ้ำหลาย ๆ หน
    
    \\"...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นมั่นคง มี อิสรภาพและความร่มเย็นเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะ เรามีความยึดมั่นในชาติ และร่วมแรงร่วมใจกันบำเพ็ญกรณียกิจต่างๆ ตามหน้าที่ ให้สอดคล้องเกื้อกูลกันเพื่อประโยชน์ ส่วนรวมของชาติ...\\" 
    
    พระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคม
    ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 5 ธันวาคม 2512  
    
    
    คำว่าร่วมแรงร่วมใจ ที่เน้นสีไว้ให้
    ถ้าตีความให้ดี อาจจะพบคำตอบค่ะ
  • ธันวันตรี

    15 พฤศจิกายน 2552 22:22 น. - comment id 109899

    ขอบคุณ ศิษย์พี่ ที่เน้นย้ำ ให้เราเห็นความสำคัญของความสามัคคี ครับ
    
    ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราควรจะ สมัครสมาน สามัคคี สร้างสันติภาพ ให้เกิดขึ้น บนผืนแผ่นดินไทย ตามพระราชดำรัสของในหลวงของเราที่ว่า  " . . . ชาติของเรารักษาเอกราชอธิปไตยมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยความสามัคคี คนไทยเราแต่ละคน รู้จักประโยชน์ส่วนรวมของชาติ รู้จักปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกัน ผลการปฏิบัติของเรานั้นจึงเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถกำจัดและป้องกันภัยต่างๆ มิให้ทำอันตรายแก่เราได้ แม้จะมีศัตรูคิดร้าย บุกรุกคุกคามอย่างหนักหนาเพียงใด เราก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำ ขอให้ทุกคนสำนึกตระหนักว่า ความสมัครสมานสามัคคีของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะต้องรักษาไว้ให้ยั่งยืนอยู่ตลอดไป หากเรามีความประมาท เราแตกสามัคคีกันเมื่อใด เราก็จะเป็นอันตรายย่อยยับลงเมื่อนั้น ไม่มีใครอื่นที่ไหนจะช่วยเราได้นอกจาก ตัวเราเอง..."
    
    36.gif36.gif36.gif
  • จิ้งจอกน้อย

    15 พฤศจิกายน 2552 23:19 น. - comment id 109900

    ขอตอบคำถามหมอก่อนละกันคับ
    
    สิ่งที่นายเอต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือ ใช้ความรู้ความสามารถของตนเอง ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากทำ ภายใต้ข้อแม้คือ เป็นสิ่งดี และต้องทำให้สำเร็จ
    เมื่อประสบความสำเร็จแล้วคนอื่นเห็นว่าดี มีโอกาสทำได้ ก็จะทำตาม
    
    หลังจากนั้นจึงค่อยให้คำแนะนำผู้อื่น ก็พิจารณาเอาเองว่า คนๆนี้ควรเลือกทางให้ หรือแค่ให้ข้อมูลก็พอ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยไป อย่าไปรับผิดชอบชีวิตแทนคนอื่น
    
    ส่วนคนที่ไม่สนใจก็ช่างเขา  คนที่ไม่ช่วยตัวเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ เสียเวลาเปล่า  สักวันสังคมจะบังคับเขาให้สนใจเอง
    
    
    ปล.
    
    "ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน" ประโยคนี้ได้ฟังอยู่บ่อยๆสมัยเรียน บางที "ตัวอย่างที่ดี" อาจเป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลนอยู่ตอนนี้ก็ได้
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
  • ธันวันตรี

    15 พฤศจิกายน 2552 23:45 น. - comment id 109901

    ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ครับ จิ้งจอกน้อย ^ ^
    
    36.gif36.gif36.gif
  • ม้าลาย

    16 พฤศจิกายน 2552 08:34 น. - comment id 109904

    ความรู้กับประสบการณ์มันคนละส่วน
    รู้มากแล้วนำไปปฏิบัติได้อย่างไรแค่ไหนตรงนั้นสำคัญกว่า
    คุณธันวันตรีกำลังพูดถึงเรื่องรูปธรรมนามธรรมอยู่หรือเปล่า แหะๆ
    เกียรตินิยมเหรียญทอง ประกาศนียบัตร ถ้มากมาย ถ้อยคำปาฐกถาสละสลวย ได้รับการปรบมือกึกก้อง
    แม้แต่หลักการปรัชญา ศาสนาที่ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสก็เหมือนกัน
    
    ในชีวิตมนุษย์ซึ่งมีสัญชาตญาณของสัตว์ มีสมองซับซ้อน การเรียนรู้การรับสารไม่สามารถทำให้เกิดรูปแบบเดียวกันหมดได้หรอก
    นอกจากจะโคลนนิ่งคนทุกคนออกมาแล้วใส่โปรแกรมเหมือนให้เป็นเครื่องคอมรุ่นเดียวกันเท่านั้น
    ดังนั้น การที่นายเอรู้มากก  เป็นไปได้ที่รู้มามากจริง แต่ไม่มีทางรู้หมด
    ประชาธิปไตยจึงเป็นแนวทางของการพัฒนาให้ที่จำเป็นต้องมีการขัดแย้งของมนุษย์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้แง่มุมต่างๆๆได้มีโอกาสแสดงออกมา ไม่ใช่เผด็จการตัดสินทุกอย่าง 
    วางแผนตายตัวตามความคิดคนใดคนหนึ่งหรือแนวทางใดแนวทางหนึ่ง
    
    การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ศีลธรรมในแต่ละยุคสมัยก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ เมืองไทยเมืองพุทธมาแต่โบราณ  แต่สมัยโบราณชีวิตมนุษย์มีค่าเท่าไหร่ ปัจจุบันรับเอาสิทธิมนุษยชนจากตะวันตกเข้ามา ประเพณีปฏิบติหลายอย่างสูญหายไป อยู่ที่ว่ากระแสไหนจะเข้ามาช่วงไหน
  • ม้าลาย

    16 พฤศจิกายน 2552 08:48 น. - comment id 109905

    การวางรากฐานบางครั้งจำเป็น เหมือนอย่างการศึกษาภาคบังคับที่ต้องเรียนเหมือนกันหมดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สำหรับเด็ก หรือคนที่ไม่รู้อะไรเลย จากนั้นก็เลือกเรียนต่อตามที่ถนัด
    การที่นายเอเข้าไปวางรากฐานก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องกระตุ้นให้มีการต่อยอดการพัฒนาด้วย 
    ต่อเรื่องรูปธรรมนามธรรมอีกสักนิด
    การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ให้เขามีเงินมากขึ้นเรียกว่าหลักการนโยบายประชานิยม ตลอดเวลาเจ็ดสิบกว่าปีที่เราเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง ไม่มีผู้บริหารท่านไหนทราบมาก่อนเลยหรือว่า การทำประชานิยมจะทำให้ได้รับคะแนน
    เสียงท่วมท้น แล้วทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้
    คำตอบคือทราบอยู่แล้ว แต่เงินไม่มีพอ ถ้าเอาเงินไปแจกชาวบ้านหมดแล้วคนแจกจะรวยได้อย่างไร หลักการจึงกลายเป็น ผู้มีอำนาจต้องอิ่มก่อน ถ้าเหลือจึงเผื่อแผ่
    จนสมัยเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้ว เกิดมีรัฐบาลที่หาเงินเก่งหมุนเงินเก่งขึ้นมา พอมีเงินมากก็แจกได้มาก คะแนนเสียงก็มาก
    พอมารัฐบาลนี้เห็นโมเดลประชานิยมแล้วอยากทำบ้าง แต่หาเงินไม่เก่ง ประชาชนต้องมาก่อน คือประชานิยมต้องทำก่อน การบริหารจึงกลายเป็นกู้เงินมาแจกไป
    จากโมเดลเดียวกันแท้ๆ
  • ยาแก้ปวด

    17 พฤศจิกายน 2552 03:55 น. - comment id 109932

    ตอบข้อ ง. อิอิ 
    ให้นายเอเลือกคนที่มีความสามารถมาแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรม
    แก่คนที่ไม่รู้  เพื่อจะได้มีความรู้และสามารถพัฒนาไปให้เทียบเท่าหรือ
    มากกว่า  ไม่ใช่ไปด้วยความรู้สึกแต่ไปด้วยความรู้จริงๆ  
    
    ปล ว่าแต่นายเอจะหาคนๆนี้ได้หรือเปล่า นี่สิปัญหา?
    ต้องตั้งคำถามใหม่แระ
    ว่าจะหาคนประเภทนี้ได้อย่างไร 55555 
    
    19.gif19.gif
  • .

    17 พฤศจิกายน 2552 17:28 น. - comment id 109950

    ประเด็นข้อเท็จจริงที่พิพาทคืออะไร  ไม่ใช่อยุ่ที่ตัวโจทก์จำเลย  เหมือนแดงกับเหลือง ไม่ใช่ประเด็นพิพาท..ต้องดูปัญหาของสิ่งที่พิพาท.ไม่อย่างนั้นคุยกี่ภพก้ไม่จบ  หากมุ่งอัตตาประกอบจิตสำนึกการเมือง ปิดบังนัยแห่งสัจจธรรม ไม่ต้องว่าไทยหรือไม่  ชาติไหนก้ไม่ได้สาระ  ปัญหาไม่มีการคลี่คลายพัฒนา..มีแต่จะเล่นลิ้นใช้คารมเอาชนะกันด้วยนัยแห่งการเมืองคือต่อสู้เอาเป้นเอาตายเท่านั้นเอง สันติภาพพึงบังเกิดไม่ได้แน่นอน
  • ธันวันตรี

    20 พฤศจิกายน 2552 19:34 น. - comment id 109955

    ขอบคุณม้าลาย ที่แวะมาร่วมแสดงความคิดเห็นดีๆ ครับ ^ ^ แหะๆ
    
    ขอบคุณยาแก้ปวดที่แวะมาร่วม ตอบคำถามครับ ตอบแหวกช้อยไปเลยนะครับ แหะๆ ^ ^
    
    ความคุณ คห 28 ที่แวะมาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ ^ ^

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน