คนนา

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

(บันทึกคนทำนา # 2)
-------------------------------------------------------------------------------------
                     ปีที่แล้ว ผมกับภรรยาและลูกปลูกข้าวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง วิธีการทำนาของเราทำอย่างง่าย ๆ คือขุดดินด้วยจอบแล้วหยอดเมล็ดข้าวเอาไว้ เมื่อฝนตกเมล็ดข้าวจึงงอกออกมาให้ชื่นใจ 
                      เราเอาใจใส่ดูแลจนได้เก็บเกี่ยวและนวดข้าวด้วยมือของตนเอง ที่นา 2 ไร่ ได้ข้าวเกือบ 60 ถัง   แม้จะไม่มากนักแต่เราก็มีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เปิบข้าวหอมกรุ่นจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนเอง
                      ชาวนาในยุคของพ่อทำนาอย่างไม่รีบร้อน พันธุ์ข้าวที่ปลูกมีทั้งข้าวเบา ข้าวกลาง และข้าวหนัก เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทันเวลาแม้ว่าจะทำนากันแค่ 2 คนก็ตาม      
                     ก่อนฤดูทำนาพ่อจะพาผมขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักลงไปกองไว้ทั่วผืนนา ก่อนไถดะเราจะเกลี่ยปุ๋ยคอกพวกนั้นให้กระจายไปทั่วทั้งแปลงนา 
        
                     พ่อเลือกแปลงนาเล็ก ๆ บนที่ดอน 2-3 แปลงเพื่อตกกล้า เมื่อต้นกล้าโตพอที่จะปักดำเราก็วานเพื่อนบ้านมาช่วยลงแขกถอนกล้าและปักดำ ไม่กี่วันเราก็ปักดำเสร็จ    และเมื่อปักดำนาตัวเอเสร็จ พ่อให้ผมกับแม่ไปช่วยเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ จนปักดำเสร็จทั่วกัน 
                    ข้าวในนาของพ่อเขียวนวลเย็นตาและโตไว ข้าวแตกกอสูงใหญ่ท่วมหัวของผม พ่อบอกว่า ข้าวในนาของใครเขียวนวลแตกกอมากแสดงว่าที่นาของเขามีดินดี ดินในที่นาของใครดีจะต้องมีไส้เดือนอาศัยอยู่มาก 
      ไส้เดือนช่วยย่อยเศษใบไม้ใบหญ้าให้กลายเป็นปุ๋ยรวมทั้งช่วยให้ดินร่วนซุยขึ้นด้วย เมื่อผมทำนาเองผมก็เอาอย่างพ่อคือขนใบไม้ ขนปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักไปใส่นา แต่น่าเสียดายเราคุมน้ำไม่ได้ ช่วงที่ข้าวของเรากำลังขึ้นงามน้ำก็ดันแห้ง หญ้าที่รอเวลาอยู่ก็ได้โอกาสเบียดเสียดกอข้าวขึ้นมาจนเต็มผืนนา 
    นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราได้ข้าวไม่มากนัก สาเหตุรองลงไปก็คือข้าวในนาของเราโดนหนอนเจาะทำลายมาก สังเกตเห็นความเสียหายได้จากรวงข้าวจำนวนมากเหี่ยวแห้งเมล็ดข้าวลีบฝ่อจนหมด
               หลังเก็บเกี่ยว ผมจะมัดข้าวเอง  หาบขนขึ้นไปกองเรียงบนลาน  และ นวดข้าวด้วยตนเอง   แม้มือจะมือแตก   หรือบวมช้ำ   ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บและเบื่อ 
                พ่อบอกว่ามือที่กร้านคือมือขยัน คนขยันไม่มีวันอดตาย 
                ผมก็เชื่ออย่างนั้น เวลานี้ผมมีลูกผมก็สอนลูกให้ขยัน อดทนและติดดิน ถ้าลูกคิดว่าพ่อแม่ร่ำรวยแล้วไม่ยอมทำงาน ไม่ขยันอดทน สักวันหนึ่งข้างหน้าทรัพย์ที่พ่อแม่สะสมไว้ให้ก็จะหมดลง ผมไม่อยากให้ลูกพบกับสภาพเช่นนั้น เหมือนกับลูกของครอบครัวอื่น ๆ ที่พ่อแม่ของเขาประมาทในเรื่องนี้
                เพื่อนบ้านของผมเห็นเราทำนาก็ชื่นชม แต่บางคนก็ว่าทำทำไมให้เหนื่อย ข้าวถังละไม่กี่ตังค์ซื้อกินง่ายสบายจะตาย เขาบอก.. เลือกเอา อยากกินข้าวพันธุ์ไหน ผมได้แต่หัวเราะหึ ๆ เพราะเห็นอยู่แล้ว ว่าคนรวยหรือคนจนกันแน่ที่ปลูกข้าวขายในยุคนี้
                ทุกปี   ผมพาลูกกลับไปเยี่ยมพ่อแม่เสมอในช่วงปิดภาคเรียน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราว่างตรงกัน ผมกับภรรยาว่างจากภาระการสอนหนังสือ ส่วนลูกก็ว่างเพราะปิดเรียน 
                ปู่มักจะถามว่าปีนี้ได้ข้าวพอกินไหม เมื่อได้ยินว่าเราได้ข้าวพอกินท่านก็ดีใจ และแนะนำให้เก็บเงินซื้อที่นาที่สวนเพิ่มอีก ลูกจะได้มีกินไม่อดอยาก ที่สำคัญคือจะได้มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวปลูกฝังให้เด็ก ๆ เป็นคนมีความมานะอดทน ติดดิน พึ่งตนเองและช่วยเหลือคนอื่นได้ 
                 ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของปู่ เก็บเงินไม่นานนักก็ได้ที่ดินอีก 5 ไร่ลงไม้ผลเอาไว้ให้ลูก ๆ ความสุขใดเล่าจะเท่ามีที่ดินบ้านช่องเป็นของตน มีงานทำ มีเงินเก็บ มีความรักความเข้าใจในครอบครัว 
                  ผมคิดแล้วก็อิ่มใจในสิ่งที่ตนเองเลือกและทำได้ โดยไม่ต้องอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องระดับอัจฉริยะ
                   ปีนี้ผมจะทำนาเต็มรูปแบบโดยวิธีของพ่อ 
                   หัวใจของผมพองโตคับอกเมื่อนึกถึงภาพข้าวเขียวนวลกอโตเต็มผืนนา ยามลมโบกพัดใบข้าวพริ้วเป็นคลื่นไล่กันไกลออกไป 
                    มันเหมือนกับความฝันใฝ่ของคนเดินทางไปพบความสมหวัง
          หัวใจของคนทำนาในยุคนี้จะมีใครสักกี่คนที่ทำนาโดยไม่เคร่งเครียดบีบคั้น กับราคาข้าวและหนี้สินสารพัดสารพันอันเนื่องมาจาก
ต้นทุนของความรีบเร่งและละโมบ
&				
comments powered by Disqus
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    13 เมษายน 2547 06:27 น. - comment id 72881

    ผมได้อ่านปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ของฟูกูโอกะ   นึกนิยมมาก
    คนนาฉลาดแบบเขาในแคว้นเรามีมาก
    แต่ชนชั้นนำของเราออกแบบประเทศไปทางอื่น
    คนนาจึงทำอะไรไม่ค่อยได้
    
    นอกจากเร่งปุ๋ยเร่งยา
    ผลิตข้าวจากนาไปเติมเชื้อมะเร็งแก่ผู้คน
    
    เฮ้อ
    
    
  • tiki

    13 เมษายน 2547 15:19 น. - comment id 72919

      มาเถิด น้อง ...น้ำเย็นนี้...พี่รดเจ้า
    ทุกขันเข้า..ตักรด..สดชื่นสรรค์
    ให้พลังน้ำเย็นฉ่ำมาจำนรรจ์
    เป็นกำลังสำคัญให้เย็นใจ
    
            น้ำขันนี้ที่พี่รดให้สงกรานต์
    ให้เป็นบุญอันประสานอันยิ่งใหญ่
    ให้ทุกคนร่มเย็นเป็นสุขใจ
    สื่อน้ำเย็นเย้นใสในใจเธอ.... 
    
    ให้ร่มเย็นเป็นสุขในวันสงกรานต์ทุกท่านค่ะ
    ทิกิ_tiki
  • ก่อพงษ์

    13 เมษายน 2547 17:28 น. - comment id 72928

    มีความสุขเช่นกัน
    ขอบคุณครับ
  • jata

    13 เมษายน 2547 21:04 น. - comment id 72940

    เเต่ชาวนาบางคน
    ที่มีอาชีพอื่นด้วย
    เเต่เลือกที่จะทำนาไปด้วยเพราะเคารพเเม่โพสพละค่ะ
    เค้าไม่ต้องเร่งรีบ
    เเต่ทำเพราะความศรัทธานะค่ะ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    13 เมษายน 2547 21:07 น. - comment id 72941

    ครับผม
    ผมและคุณก็คงโตมาด้วยข้าวเหมือนกัน
    สวัสดีครับคุณ jata
    
  • กัลปพฤกษ์

    15 เมษายน 2547 08:35 น. - comment id 73043

    การทำนาปัจจุบัน นิยมใช้เงินหว่าน
    ตั้งแต่ไถ ดำ เก็บเกี่ยว สี
    ลูกหลานปัจจุบันไม่ค่อยได้ลิ้มรสความทุกข์ยากลำบากเหมือนสมัยก่อน
    ที่ต้องออกแรงเองทุกอย่าง..
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    15 เมษายน 2547 09:06 น. - comment id 73050

    ในมุมของผม
    การทำนาสมัยก่อนไม่ใช่ความทุกข์ยาก
    แต่เป็นศักดิ์เลยทีเดียว
    
    ทุกวันนี้การทำนาต่ำต้อยมาก
    ทั้งที่คนกินข้าว
    
    คนขายข้าวต่างหาก
    คนกลางน่ะ  ที่ใหญ่จริงๆในสังคม
    
    พอใจชื้นบ้างก็ที่ชาวนาใน  USA โน่นมั้ง
    
    ไกลครับ  สำหรับประเทศไทย
    ที่คนจนในสังคมจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
    
    เพราะอะไร
    
    เพราะระดับนำในประเทศเราดูถูกประชาชน
    
    ซึ่งเป็นชาวนาครึ่งค่อนประเทศ
    
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน