เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอนที่ 6 (สมบูรณ์จ้า)

เสราดารัล

พี่มะลิบอกฉันว่า เขาต้องการพูดสายกับฉัน ฉันตอบพี่มะลิไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ฉันไม่พร้อมจะพูดกับเขา ไม่อยากได้ยินเสียงเขา..แม้แต่แค่ทักทาย..ฉันเจ็บปวดเกินไปที่จะทำอย่างนั้น
      พี่มะลิไม่คาดคั้นให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่ต้องการ ก่อนวางสาย พี่มะลิทิ้งท้ายไว้ว่า เขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกกับฉันด้วยตัวเอง เขาอยากปรับความเข้าใจกับฉันอีกซักครั้ง...ฉันควรที่จะลองเปิดใจฟังเขา...บางทีสิ่งที่ฉันคิดมันอาจจะไม่ใช่...เมื่อได้ฟังเขาแล้ว ฉันจะตัดสินใจอย่างไร..ก็สุดแล้วแต่....
       ฉันขอบคุณในความหวังดีของพี่มะลิ และบอกว่าฉันจะเก็บสิ่งที่พี่มะลิพูดกลับไปทบทวน...แต่คงจะไม่ใช่ตอนนี้...ตอนที่ฉันรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้อย่างเหลือเกิน..
       หลังจากนั้น 3 วัน พี่เอโทรมาหาฉัน (พี่เอ เป็นพี่ชายที่ฉันรักและเคารพมาก เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ฉันรู้จักพี่เอตั้งแต่ยังเรียนในชั้นมัธยมต้น ช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ที่พี่เอเป็นญาติสนิทของเขา)  พี่เอเล่าว่า เพิ่งรู้ว่าฉันรู้จักคบหากับน้องชายของเขา และขณะนี้มีปัญหากันอยู่ พี่เอขอร้องให้ฉันได้เปิดโอกาสให้น้องชายเขาได้พูด ปรับความเข้าใจกัน ฉันให้คำตอบพี่เอ เหมือนที่พูดกับพี่มะลิ..ฉันยังไม่พร้อมจะคุยกับเขาตอนนี้...พี่เอเข้าใจสภาพจิตใจฉันเป็นอย่างดี...และได้ขอร้องว่า...ถ้าฉันยังไม่พร้อมคุยตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร...แต่อย่าเพิ่งตัดขาดจากน้องชายเขา...เมื่อฉันรู้สึกดีขึ้นกว่านี้แล้ว...ก็ควรได้คุยกัน
       เย็นวันนั้น เขาส่ง sms.มาหาฉัน ด้วยข้อความว่า."ผมมีความในใจอยากบอกกับคุณ..ผมรู้ใจตัวเองแล้วว่าผมรู้สึกกับคุณอย่างไร...นักเรียนสอบตก ยังมีโอกาสสอบใหม่เพื่อแก้ตัว...ผมขอโอกาสนั้นบ้างได้ไหม"
       ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันไม่ควรวิ่งหนีปัญหา และขลาดกลัวกับการเผชิญหน้ากับความจริง..โดยวิสัยฉันแล้ว..ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้...ทุกปัญหาที่เจอ..เคยทำให้ฉันรู้สึกท้าทาย...และภาคภูมิทุกครั้ง เมื่อแก้ปัญหาต่างๆเหล่านั้น ให้สำเร็จลุล่วงไปได้..แต่..อนิจจา...กับแค่ปัญหาหัวใจ..ทำไมฉันจึงเหมือนผู้แพ้..ที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างนี้
       หมดเวลาสำหรับการหลบอยู่แต่ในถ้ำ ขังตัวเอง และร่ำไห้ให้กับความช้ำใจ ความเสียใจ และความผิดหวังอีกแล้ว...ฉันต้องออกไปสู้กับความจริง...เผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างองอาจอีกครั้ง...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
        ฉันพร้อมที่จะเจอเขาแล้ว..เรานัดเจอกันในวันหนึ่ง...เขาในวันนี้..ดูผิดตาไปจากที่ฉันเคยเห็น ผมยาวขึ้นกว่าเดิม หนวดเคราเขียวครึ้ม ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจที่จะดูแลเอาใจใส่กับมัน..ดวงตาแห้งผาก รูปร่างผอมซุบกว่าเดิม
        ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก...ฉันแอบเห็นประกายความยินดีในแววตาเขาวูบนึง ทันทีที่เขาเห็นฉัน...เราทักทายกันอย่างเก้อกระดาก..สถานการณ์อย่างนี้..หลายคนคงเข้าใจ..ฉันทำลายกำแพงความเงียบระหว่างเรา 2 คนด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมาว่า ฉันรู้สึกว่าเขาผอมไป หน้าตาซีดเซียว เขาบอกว่า เขาไม่มีความสุข ไม่สบายใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับเลย ตั้งแต่วันที่เขาให้จดหมายฉบับนั้นกับฉันไป...เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่า หัวใจของเขาหลุดลอยไปกับจดหมายฉบับนั้นแล้ว
         แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ ที่เขาได้ให้คำตอบฉันไป เขากลับพบว่า เขารู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง...เค้าเพิ่งรู้ใจตัวเองในวันนั้นว่า..เขารักฉัน...และทุกอย่างที่เขาบอกมาในจดหมายไม่เป็นความจริงเลยซักนิด
       เขาสารภาพว่า จริงๆเขาคงรักฉันมานานแล้ว เขาได้แต่ปฏิเสธใจตัวเอง ว่าคงไม่ใช่ความรัก เขาไม่ได้รักฉัน...แต่เขาก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อไม่รัก ทำไมเขาจึงอยากได้ยินเสียงฉันทุกวัน อยากอยู่ใกล้ฉัน อยากเห็นรอยยิ้มของฉัน และอยากทำให้ทุกวันของฉันมีความสุข....
      เขาเคยผิดหวังในรักมาถึง 2 ครั้ง จึงคิดตั้งใจไว้ว่า เขาจะไม่รักใครอีกต่อไป เขากลัวความผิดหวัง  (เขาเป็นผู้ชายที่ทุ่มเท และจริงจังกับความรักมาก..เมื่อผิดหวัง..เค้าจึงรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย... ) เมื่อเจอฉัน แม้จะรู้สึกดีเพียงไร เขาก็ปฏิเสธใจตัวเองเรื่อยมาว่า..ไม่ใช่รัก...แต่เมื่อเขาได้ให้คำตอบกับฉันไปแล้ว..เขากลับรู้สึกเขาเจ็บปวด ทุกข์ร้อนมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
      ฉันถามเขาว่า ถ้าฉันไม่ให้โอกาสเขามาบอกความในใจแบบนี้ เขาจะทำอย่างไร เขาบอกว่า เขาคงรู้สึกเสียใจไปจนตาย เขาไม่ได้เสียใจที่ฉันไม่ให้อภัยเขา แต่เขาเสียใจ ที่เขาขลาดกลัวกับความรักจนเกินไป แม้เมื่อพบคนที่เขารัก และรักเขาแล้ว เขากลับทิ้งหัวใจไปอย่างง่ายดาย..ชาตินี้ เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองอีกเลย....
       เขาขอโทษ ที่ทำให้ฉันเสียใจมากมายขนาดนี้ จริงๆแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่า ฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา ฉันวางตัวกับเขา เหมือนเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง แต่เมื่อพี่มะลิเล่าว่า ฉันเอง ก็มีอาการเช่นเดียวกับเขา เขายิ่งรู้สึกเสียใจมาก ว่าเขาได้ทำให้คนที่เขารักเสียใจ
      เราปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด...และยังเห็นพ้องต้องกันว่า เราควรไปกราบขอบคุณพี่มะลิ พี่สาวที่แสนดี ที่อยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา และให้กำลังใจเราเสมอเวลาที่เรามีปัญหา....เราไปหาพี่มะลิที่บ้าน พี่มะลิดีใจที่เรา 2 คนปรับความเข้าใจกันได้...เขาได้พูดสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินต่อหน้าพี่มะลิ...
      "พี่มะลิครับ ขอบคุณสำหรับความรัก ความเมตตาที่มีให้เราทั้งคู่ตลอดมา...ผมรักเขา และขอสัญญาว่า ผมจะรักเขาจนวันตาย..." (พิมพ์มาถึงตอนนี้ ฉันรู้สึกวูบ..ขนลุก..คำพูดเขาดูเหมือนยังคงก้องอยู่ในหู เหมือนเขาเพิ่งพูดเมื่อเร็วๆนี้ แต่จริงๆมันผ่านมาถึง 7 ปีแล้วค่ะ...ใช่ค่ะ เขาพูดแบบนั้นจริงๆ)
       พี่มะลิ น้ำตาคลอ ซาบซึ้งกับคำมั่นของชายชาติทหารอย่างเขา ส่วนฉันไม่ต้องพูดถึง....ร้องไห้โฮ..อย่างไม่อายใครทันที่ที่เขาพูดประโยคนั้น
       หลังจากนั้นไม่นาน เขาขอให้ฉันพาเขาไปรู้จักกับครอบครัวของฉัน เพื่อไปแนะนำตัวกับคุณพ่อคุณแม่ของฉันอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเรา 2 คนคิดคบหาดูใจกันอย่างจริงจัง
       เช่นเดียวกับเขา ที่พาฉันไปรู้จักครอบครัวของเขา มีคุณพ่อ เป็นอดีตนายทหาร ข้าราชการบำนาญ คุณแม่เป็นแม่บ้าน  เขามีพี่น้องผู้ชายทั้งหมด 5 คน และรับราชการทหารทั้ง 5 คนเช่นกัน (น้องชายคนสุดท้องของเขา เป็นนักบิน ยังโสดค่ะ) ครั้งแรกที่ฉันได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเขา ฉันก็สัมผัสได้ถึงการต้อนรับที่อบอุ่น จริงใจ เป็นมิตร
       ทุกๆๆวันหยุด ถ้าเขาไม่มาทานอาหารที่บ้านฉัน เขาก็มักพาฉันไปรับประทานอาหารกับครอบครัวของเขา เรามักมีกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวของเราทั้ง 2 ฝ่ายอยู่เสมอๆๆ ทำให้เขากับครอบครัวฉัน และฉันกับครอบครัวเขา สนิทสนม ใกล้ชิดกันมากขึ้น
      เมื่อน้องชายเขาบวช เขาพาฉันไปร่วมงานและทำความรู้จักกับญาติพี่น้องของเขาทุกคน และแน่นอน 1 ในนั้นก็คือ พี่เอ...ทันทีที่เห็นฉัน พี่เอปรี่เข้ามาทักทาย พร้อมรอยยิ้ม และกระเซ้าว่า "ขอแสดงความยินดี ที่เราจะได้ใช้นามสกุลเดียวกัน (พี่เอ เป็นลูกน้องชายของพ่อเขา)" ฉันตอบไปว่า "คงไม่ขนาดนั้นหรอกน่า" พี่เอ ตอบกลับมาว่า "ชัวร์...ธรรมเนียมของตระกูลพี่ ถ้าลูกหลาน พาใครมาแนะนำตัวกับญาติๆแบบนี้ ก็คือจะแต่งงานกับคนนั้นแหละ"...ฉันได้แต่ยิ้ม..
       หลังจากนั้นไม่นาน..ในเย็นวันหนึ่ง..เขาบอกฉันว่า อาทิตย์นี้ คุณพ่อของเขาจะพาลูกๆไปทานอาหารนอกบ้าน และให้เชิญฉันไปด้วย..ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากเชิญเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ น่าจะมีวาระพิเศษ จึงถามเขาไปว่า..เป็นวันพิเศษอะไรหรือไม่ วันเกิดใครในบ้านหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมหาของขวัญ เขาบอก ไม่ใช่วันเกิดใคร ของขวัญอะไรๆ ก็ไม่ต้องเตรียม..ไปถึงแล้วก็รู้เอง
เขาทิ้งปริศนาไว้แค่นั้น...ฉันตอบตกลง...
      วันนั้น เขามารับฉันที่บ้าน คุณพ่อเลือกร้านอาหารที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และจองห้องรับประทานอาหารส่วนตัว นั่นหมายความว่า ทั้งห้องอาหารเล็กๆนั้น มีแต่ครอบครัวเรา ครอบครัวเดียว
       ฉันสังเกตเห็นว่า ทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ พูดจาหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน..โดยเฉพาะเขา ที่เป็นเป้าหมายในการหยอกล้อเป็นระยะๆ ฉันจับไม่ได้ว่าพวกพี่ๆน้องเขาหยอกล้อเขาเรื่องอะไร...แต่พอจะทราบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา
       เมื่อการรับประทานอาหารสิ้นสุดลง คุณพ่อกระแอมขึ้นมา 1 ครั้ง ทุกเสียงที่กำลังพูดคุย หยุดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คุณพ่อหันมาทางฉัน สายตาจับจ้องฉันไม่วางตา และคุณพ่อถามฉันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ฉันรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมากลายๆ แม้ว่า จะได้รู้จักกับคุณพ่อมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อมีทีท่าแบบนี้ คุณพ่อถามฉันว่า..ในสายตาของฉัน ลูกชายของท่านเป็นคนอย่างไร...ฉันรู้ว่า
คุณพ่อจริงจังกับคำถามนั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นก่อนตอบ ฉันจึงต้องคิดใคร่ครวญเป็นอย่างดี ...ฉันเรียนตอบคุณพ่อไปตามจริงว่า "แม้เราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ มีความจริงใจ รับผิดชอบ และรักครอบครัว" คุณพ่อยิ้มน้อยๆ กับคำตอบของฉัน และถามคำถามต่อมา ชนิดที่ไม่ทันให้ฉันตั้งตัวว่า...เขาต้องการแต่งงานกับฉัน และให้คุณพ่อไปสู่ขอฉันกับคุณพ่อคุณแม่ ฉันจะว่าอย่างไร...
      ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่....คราวนี้ ทุกสายตาในห้องนั้นมองมาที่ฉัน อย่างค้นหาคำตอบ โดยเฉพาะเขา ฉันแอบเห็น เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับเหงื่อที่ผุดมาบนใบหน้า ทั้งๆที่อากาศในห้องเย็นเฉียบจับใจ แต่เขากลับร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ
      นี่ฉันจะตอบอย่างไรดี..ฉันเชื่อว่า ผู้หญิงทุกคน มีภาพฝันที่คล้ายๆกัน นั่นคือ การขอแต่งงานจากชายคนรัก..เราอยากได้ยินคำบอกรักซึ้งๆ ในบรรยากาศโรแมนติก และการขอแต่งงานที่เว้าวอน อ่อนหวาน....
แต่ความจริงที่ปรากฎตรงหน้าฉันขนาดนี้ มันไม่ใช่....ไม่มีคำบอกรัก ไม่มีการขอแต่งงานจากเขา...นี่เขาข้ามขั้นตอนอะไรไปหรือเปล่า...เขาลืมอะไรไปหรือไม่ ฉันก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องการแบบนั้น....
      ฉันงุนงง สับสน...ถูก..แม้การคบหาของเราทั้งคู่ เป้าหมายสูงสุด คือการแต่งงาน แต่เขาไม่เคยบอกฉันให้รู้ตัวมาก่อน ....ไม่มีภาพฝันที่ฉันเคยวาดไว้ ไม่มีฉากบอกรักที่โรแมนติก...ไม่มี..เลย  ทำไมเขาไม่คิดนะ...อย่างน้อย..มันก็ทำให้ฉันจดจำไปชั่วชีวิต...ให้ฉันได้มีภาพการขอแต่งงานเก็บไว้เป็นความประทับใจในชีวิตไม่ได้เชียวหรือ..
      ป่วยการจะคิด เพราะทุกอย่างที่ฝันไว้ มันพังทลายกับความเป็นจริงที่อยู่ข้างหน้า ฉันดึงความคิดเลื่อนลอยของตัวเองกลับมา..ทุกคนรอฟังคำตอบของฉันอยู่ โดยเฉพาะเขา....คำตอบของฉัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการตอบรับหรือปฎิเสธ ล้วนมีผลต่อชีวิตในภายหน้าของฉันแทบทั้งสิ้น.. 
      ฉันตัดสินใจให้คำตอบ ในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับฉันและเขา...				
comments powered by Disqus
  • fourth

    16 กรกฎาคม 2550 22:13 น. - comment id 96926

    ตามมาอ่านค่า รออ่าน ตอนต่อไปค่ะ 
    กะลังเข้มข้นๆ 8.gif8.gif
  • เสราดารัล

    16 กรกฎาคม 2550 22:26 น. - comment id 96927

    ขอบคุณค่ะ คุณ fouth แฟนประจำ..ว่าแต่ สนใจน้องชาย นักบินรูปหล่อป่ะคะ...อิอิ
    
    ตอนต่อไป เร็วๆๆนี้ค่ะ
  • หมูพะโล้

    17 กรกฎาคม 2550 19:21 น. - comment id 96935

    ตามมาอ่านด้วยอีกคน ลุ้นจังเลยว่าจะเป็นยังงัยต่อไป มีตอนต่อไปเร็ว-เร็วนะ.....................
    .......................................................จะรอ
  • เสราดารัล

    17 กรกฎาคม 2550 21:27 น. - comment id 96936

    ขอบคุณ คุณหมูพะโล้ค่ะ...ที่ติดตามอ่าน
    
    ตอนต่อไป เร็วๆนี้ค่ะ
  • bluesky

    24 กรกฎาคม 2550 10:21 น. - comment id 96997

    เพิ่งได้มาอ่านเรื่องทั้งหมดทุกตอนในวันนี้เองค่ะ วันนี้ก้อวันที่ 24 แล้วทำไมตอนต่อไปยังไม่ออกคะ อยากให้ออกเร็วๆค่ะ กำลังสนุกและเข้มข้นค่ะ หวังว่าคงได้อ่านเร็วๆนี้นะคะ ที่สนใจเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะการที่ได้รู้จักเค้าคนนั้นของเราสองคนเหมือนกันค่ะ ตัวดิฉันเองก้อได้พบเค้าคนนั้นใน pirch เหมือนกันค่ะ และก้อไม่คิดไม่ฝันด้วยซ้ำว่าเราจะได้คบกันในตอนนี้ แต่ดิฉันกับเค้าคุยกันทางโทรศัพท์ตั้ง 3 ปีแน่ะค่ะ กว่าจะได้เจอตัวจริงกัน...รอที่จะได้อ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ...
ชื่อเรื่องสั้น-นิยาย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน