ผู้แพ้

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวชนบท แต่ไม่ได้ห่างไกลความเจริญนัก เพราะผมมีโอกาสเข้ามาในเมืองบ่อยๆ จึงได้พบได้เห็นสิ่งต่างๆอย่างคนเมืองเขาเห็นกัน เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ในบ้านหลายชิ้น นั่นหมายถึงความสะดวกสบายได้เพิ่มเข้ามา แต่เราก็ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไปตลอดกาล
	
นึกย้อนไปสมัยก่อน ความเจริญยังมาไม่ถึง เราอยู่กันอย่างเรียบง่ายในบ้านหลังเล็ก ข้างบ้านมีแปลงผัก รั้วบ้านมีไม้เลื้อย หลังบ้านก็มีผลไม้นานาชนิดให้เก็บกิน เพื่อนบ้านก็จุนเจือเกื้อหนุน อาหารการกินแบ่งปันเสมอ หน้านาก็ช่วยกันลงแขก งานบุญงานทานต่างพร้อมเพรียงเรียงหน้า พอกาลเวลาผ่านมาไม่นาน เพื่อนบ้านของผมได้นำเอาตู้สี่เหลี่ยมเข้ามา รู้ภายหลังว่าเป็นโทรทัศน์ จุดเริ่มต้นเรื่องราวที่ผมจะเล่าจึงบังเกิดขึ้น 
	
ทุกครอบครัวที่นี่ล้วนมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ต่างกันมากนัก รายได้หลักมาจากการทำนา ทำไร่ อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นรายได้หรอก เพราะเราทำไว้กิน เหลือกินก็แบ่งปันเพื่อนบ้านยามขาดแคลน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ขายเอาเงินมาใช้ คำตอบก็คือ เราไม่รู้ว่าจะนำเงินมาทำอะไร บ้านก็มีแล้ว ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ อยากกินเนื้อก็เข้าป่า อยากกินปลาก็ลงหนอง ผักมากมายอยู่ริมรั้ว ชีวิตช่วงนั้นของผมช่างมีความสุขมาก มากเสียจนทำให้ผมเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึง
	
ได้เวลาทานยาแล้วค่ะเสียงของพยาบาลปลุกผมจากห้วงความคิด
	ครับผมทานยาอย่างว่าง่าย 
	
ชั่วชีวิตของคนเราในโลกนี้ไม่ได้ยาวนานนักหรอกนะ หากมีโลกหน้าก็คงเหมือนกัน ทว่าเรา(ผม)กับไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย ยิ่งเวลาที่เรามีสุขก็มัวหลงระเริงจนไม่รู้ว่าเวลาได้ดำเนินไป กระทั่งห้วงแห่งความสุขจางหาย ความระทมเข้ามาแทนที่นั้นแหละ จึงจะเห็นค่าของเวลา และเราก็ไม่สามารถโทษใครได้เลย หากช่วงเวลาแห่งทุกข์ยาวนานในความรู้สึก เพราะอันที่จริงเวลามันก็ยังดำเนินไปตามปกติ 
	เมื่อเพื่อนบ้านของผมชื้อโทรทัศน์มาใช้ ดูเหมือนทั้งหมู่บ้านจะกล่าวขานเรื่องความร่ำรวยของเขากันยกใหญ่ แต่ไม่มีใครสังเกตว่าข้าวในยุ้งฉางเพื่อนบ้านคนนั้นหายไปกว่าครึ่ง 
ชายคนที่ผมกว่าถึงไม่ใช่ใครอื่นหรอก ก็เพื่อนผมเอง ด้วยศักดิ์ศรีของคำว่าเพื่อนจึงนำพาโทรทัศน์เครื่องที่สองสู่บ้านของผม และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครื่องเสียงดังกระหึ่มออกจากบ้านของผมด้วย
	
นายเป็นไงบ้าง เพื่อนคนนั้นถามผมจากเตียงข้างๆ 
	ค่อยยังชั่วแล้ว นายละ ผมถามตอบตามมารยาท 
	แย่วะ ฉันคงเดินไม่ได้อีกแล้ว หมอจะตัดมันทิ้ง เพราะกลิ่นมันเริ่มโชยแล้ว 
	ไม่เป็นไรหรอกประโยคหลังผมเหมือนพูดกับตัวเองว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ
	
	ชีวิตของผมและเพื่อนบ้านกาลต่อมา หลังจากรู้จักประโยชน์ของเงินว่าสามารถแลกสิ่ง
อำนวยความสะดวก ชื้อวิถีชีวิตแสนสบาย การแลกเปลี่ยน การช่วยเหลือกันและกันจึงกลับกลายเป็นการว่าจ้างและค้าขาย จากหมู่บ้านอันสงบในอดีต กาลปัจจุบันไม่ต่างจากสังคมเมืองมากนัก ดีที่ว่าเรายังทักทาย พูดคุย และไปมาหาสู่กันบ้าง ใครเป็นใครเจ็บเรายังถามไถ่และห่วงใย(บางแห่งที่ผมรู้จักเขามักจะรอไปเผาเลย) กระนั้นการแข่งขันก็บังเกิดขึ้น มันมิได้โจ่งแจ้งเหมือนสงครามสมัยก่อนหรอก แต่น่ากลัวเพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู ใช่ผมกำลังพูดถึงสงครามเย็นในหมู่บ้าน เป็นสงครามของการสร้างฐานะให้เหนือกว่าคนอื่นโดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่งคั่ง การดำรงชีพวิถีเดิมเหลือเพียงตำนาน
	เมื่อทุกอย่างถูกตีตราด้วยเงิน ทรัพย์อุดมในน้ำ ป่าคืออัญมณีให้ค้นหา ท้องนาเป็นคลังสมบัติ จึงธรรมดาที่สิ่งเหล่านั้นจะเสื่อมโทรม ปลาหมดน้ำ ของหมดป่า ข้าวหมดนา กระนั้นการแก่งแย่งก็ไม่ยุติลง เพราะป่ายังเหลือไม้  ดินในนายังคงอยู่  เรื่องน่าเศร้าจึงอุบัติขึ้น ผมและเพื่อนบ้านลักลอบตัดไม้ส่งนายทุน ขณะที่แม่บ้านก็จ้างคนมาขุดหน้าดินไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้ ผลกรรมจึงสนองพวกเราทุกคน
	
	นายดูกลุ้มใจนะเพื่อนของผมถามอย่างเป็นห่วง 
	มาถึงจุดนี้แล้ว ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไปวะผมตอบ
	เรื่องอะไร
	นายดูสภาพของพวกเราสิ แทบทุกคนล้วนสาหัสปางตายผมพูด ขณะที่ฝ่ายนั้นเงียบไป
	
	เมื่อหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ถูกลอกไปขาย ข้าวที่เคยงามกลับแคระแกรน น้ำในคลองเหือดแห้ง เพราะฝนแล้ง ความยากลำบากบังเกิด ทางเดียวที่ยังพอให้เดินคือการตัดไม้ เหมือนสวรรค์มีตา ฟ้าคงรู้ ฝนจึงพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำท่วมที่นาเหมือนทะเลสีทันดรอันไพศาล ทางการยื่นมือเข้าช่วยในการอพยพ กระนั้นก็ไม่มีใครจากหมู่บ้านไป เพราะจิตใจของเราถูกพันธนาการด้วยตรวนของวัตถุแล้ว
	ค่ำคืนมืดสนิทไม่มีดาว ไร้เสียงนกกากู่ร้อง เสียงหรีดหริ่งเรไรเงียบหาย มีเพียงเสียงห่าฝนที่กระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว ทุกชีวิตหลับใหลบนบ้าน พลันเสียงฝนถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นเหมือนของตกกระแทก เสี้ยววินาที่ต่อมาบ้านก็ล่องลอยเหมือนเรือลำน้อยกลางทะเลสีทันดรอันเงียบสงบ ก่อนเกรียวคลื่นจะผลุดขึ้นมาตีกาบเรือให้สั่นคลอน และคลื่นยักษ์ก็โอบกอดเรือไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น บ้านจมอยู่ในทะเลโคลนจากบนเขา ก้อนหิน ซุงไม้ เศษไม้ ต้นไม้ เกลื่อนไปหมด และทุกอย่างก็มืดสนิท 
	ความสว่างจากไฟนีออนสว่างจ้า ผมรู้สึกตัว จึงรู้ว่ากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ภาพต่างๆเวียนวนมาในห้วงคำนึง อดีต อนาคต ปัจจุบัน และปัจจุบัน ผมเป็นคนพิการ ขาข้างซ้ายไม่มีอีกแล้ว เพื่อนผมก็ไม่ต่างกัน 
	เราเคยแข่งกันแทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การงาน ครอบครับ ชื่อเสียงและเกียรติยศ กระทั่งวันนี้ยังไม่มีใครเป็นผู้มีชัย นายว่าไหม ผมถามเพื่อน 
	ใช่ ทุกคนไม่มีวันชนะหรอก ต่อให้ดินรนเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องแพ้
	แพ้ธรรมชาติเราพูดพร้อมกัน
	
	ชั่วชีวิตของผมมีแต่การต่อสู้ และการแข่งขัน จนบัดนี้ผมไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น สิ่งที่ผมขวนขวายเป็นเพียงมายาเท่านั้น ชีวิตสั้นๆจากนี้ผมขออยู่ดูโลกอย่างควรเป็น ใช่ไหมเพื่อนรัก
			
29 พฤษภาคม 2551 เวลา 00.40 น.				
comments powered by Disqus
  • กฤตศิลป์ ชินบุตร

    29 กรกฎาคม 2551 12:37 น. - comment id 100762

    ไม่มีใครชนะใครได้หรอก
    
    เราทุกคนต้องพ่ายแพ้
    
    เช่นว่าใจของเรา

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน