16 มีนาคม 2551 17:12 น.

สัตว์เลี้ยงของฉันคือจิ้งจก

โคลอน

content_image01_00256.jpgตอนเด็กๆฉันเคยคิดว่าจิ้งจกเป็นลูกของตุ๊กแก โตขึ้นคงจะมีลายเต็มตัวและสีฉูดฉาดบาดตา พอถึงเวลานั้นพวกเราคงได้อพยพเป็นแน่ เพราะจิ้งจกยึดอาณาเขตเพดานบ้านไว้หมดแล้ว 

วันไหนที่จิ้งจกเกิดอุตริส่งเสียงร้องทักทายแม่ก่อนออกจากบ้านขึ้นมาล่ะก็เป็นเรื่อง (^^)" ฉันไม่ค่อยเข้าใจความคิดผู้ใหญ่นักหรอกว่าทำไมต้องกังวลกับเสียงร้องทักของจิ้งจกตัวเล็กๆด้วย

แม้หน้าตาของจิ้งจกจะไม่น่ารักน่าเอ็นดู แต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน อ้อ...ถ้าจะพูดถึงอุนจิของจิ้งจกที่หล่นลงมาจนต้องเก็บกวาดล่ะก็ ทำไมไม่มีใครคิดว่าก้อนเล็กๆกระจิ๊ดริ๊ดแบบนั้นเก็บไม่ยากสักหน่อย แต่อย่าอุตริเอามือไปเขี่ยเข้าล่ะเพราะถ้าใครเคยลองดมดูก็จะรู้ว่าอานุภาพร้ายแรงขนาดไหน (^m^)" แต่ถ้าเทียบกับ อึ ของน้องหมาแล้วล่ะก็คนละไซส์เลย จึงไม่เห็นเหตุผลว่าจะต้องเป็นกังวล 

ข้อดีของจิ้งจกคือเราไม่ต้องให้อาหาร เค้าหากินเองได้ พอค่ำหน่อยก็จะมารวมตัวกันดินเนอร์ใต้หลอดนีออน บางบ้านก็ใช้หลอดประหยัดไฟ แต่สำหรับจิ้งจกไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ทั้งยุงทั้งแมลงกวาดเรียบ

ฉันเคยอยากมีมือและเท้าเหนียวหนึบหนับแบบจิ้งจกมั่ง เพราะเวลาแม่บ่นหรือดุก็จะได้ไต่ขึ้นไปอยู่บนเพดานสูงๆ แม่จะได้เมื่อยคอและเลิกบ่นในที่สุดไง :p

จิ้งจกเป็นสัตว์ที่มหัศจรรย์มากเลย ฉันเคยปิดประตูทับหางของมันจนขาดแต่หางมันกลับดิ้นดุ๊กดิ๊กๆท่ามกลางความสงสัยของฉันอยู่หลายนาที แปลกดีนะ ตอนนั้นฉันแอบคิดว่า จิ้งจกตัวนั้นจะโดนเพื่อนล้อมั๊ยนะ เพราะไม่มีหางเหมือนตัวอื่น แต่พ่อบอกว่าหางมันจะงอกใหม่ได้เอง...น่าทึ่งจัง แล้วทำไมคนเราพอแขน ขา ขาดถึงงอกใหม่ไม่ได้ล่ะ ฉันจำได้ว่าเคยถามไปตามประสาเด็ก แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเสียงหัวเราะ ฉันแอบคิดในใจ สุดท้ายผู้ใหญ่ก็ไม่เคยไขข้อข้องใจของเด็กได้สักที

บ่อยครั้งฉันจะเห็นซากจิ้งจกเหมือนถูกสต๊าฟติดขอบประตูไว้ มันจะเจ็บมั๊ยนะเพราะไม่เคยได้ยินเสียงร้องสักแอะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันต้องชอบไปอยู่ตามซอกประตู หน้าต่างกันนัก นั่นมันเขตอันตรายเลยไม่รู้เหรอ กี่ตัวแล้วที่ต้องสังเวยให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ที่ปิดประตูโดยไม่ทันระวัง หรือพวกจิ้งจกจะเป็นประเภทถ้ำมองชอบแอบดูชาวบ้าน ถ้างั้นก็ถือว่านิสัยไม่ดีอย่างแรง มิน่าล่ะกรรมถึงตามทันตาเห็น แต่ยังไงก็น่าสงสารอยู่ดีล่ะนะ

ก่อนจะปิดประตูทุกครั้งฉันจะเคาะสามทีเป็นรหัสลับระหว่างเราว่า "ระวัง อย่ามองข้ามความปลอดภัย"แล้วรอให้แน่ใจว่าไม่มีตัวไหนแอบงีบอยู่จึงจะปิดประตู ทำไมคนอื่นไม่ลองทำดูมั่งนะ เสียเวลาเพียงนิดอาจช่วยชีวิตจิ้งจก พอไปบอกผู้ใหญ่ก็พากันหัวเราะ(อีกแระ) ฉันคิดว่าที่พวกผู้ใหญ่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าไม่เคยมีใครไปแงะศพของจิ้งจกออกจากซอกประตูนั่นเอง อย่างน้อยจิ้งจกก็ไม่สร้างความลำบากให้คนที่ไปเก็บ

ฉันหวังว่าพวกผู้ใหญ่จะเลิกพฤติกรรมปิดประตูปึงปังใส่กันโดยไม่มีเหตุผลเสียที เห็นแก่จิ้งจกด้วยเถอะพระเจ้า 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของสัตว์เลี้ยงประจำบ้านของฉันเอง คุณล่ะมีสัตว์เลี้ยงประจำบ้านหรือเปล่าเล่าสู่กันฟังได้นะ 

...................................................................................................

***เหตุผลที่ หางของจิ้งจกงอกใหม่ได้เพราะเกิดการแบ่งเซลล์ขึ้นเพื่อซ่อมแซมอวัยวะที่เสียไปโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโตซิสเป็นกรณีเดียวกับที่ปลาดาวสามารถงอกส่วนที่ขาดไปแล้วออกมาใหม่ได้

 ที่หางยังกระดิกได้เพราะเซลล์ยังไม่ตายเป็นการทำงานของกล้ามเนื้อนอกเหนือจากการควบคุมโดยสมอง สังเกตว่าหางที่กระดิกจะมีลักษณะเหมือนชักกระตุก ทั้งนี้เพราะเป็นการทำงานที่ขาดการควบคุมจากระบบประสาทส่วนกลาง

ข้อมูลจาก : วิชาการ.คอม

ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ				
6 มีนาคม 2551 15:46 น.

เขียนถึงคนบนฟ้า

โคลอน

"เรามาวิ่งแข่งกันมั๊ย"

เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง ขณะที่ฉันกำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ จุดหมายคือบ้านน้าที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

"อ้อ...นึกยังไงขึ้นมาล่ะ...ได้สิ"

ฉันตอบแบบงงๆ เมื่อเห็นเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง

ที่แปลกใจเพราะตั้งแต่พวกเราเรียนมัธยมก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย เจอกันจังๆก็แค่พยักเพยิดให้กันพอเป็นพิธีเท่านั้น  

ไม่เหมือนสมัยเด็กๆที่แต่ละคนยังกะโปโลกันอยู่ พอถึงวันหยุด พี่ชาย ซึ่งเป็นลูกของน้าจะเป็นหัวโจกพาเด็กๆในซอยเล่นกัน
สมัยนั้นเด็กๆวัยไล่เลี่ยกันจะเยอะ ก็เลยสนุกและสนิทกันเร็ว 

แต่พอขึ้นมัธยม ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่พวกเราเริ่มจะห่างกันไป แต่กลุ่มผู้หญิงก็ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม เพียงแต่จากที่เล่นเกมส์ซ่อนหา โดดยาง ม้าก้านกล้วย ตี่จับ เตย วิ่งแข่ง โอย...นึกแล้วท่าจะยาว คนแก่แล้วก็ประมาณนี้แหละนะความหลังเยอะหน่อย หลังๆพวกเราจะไปรวมตัวกันบ้านน้าทำขนมกินกัน เพราะน้าใจดี เด็กๆจึงแวะเวียนกันไปหาอยู่ประจำ จนถึงขณะนี้ก็ยังเป็นที่รำลึกความหลังไปโดยปริยาย ส่วน ยะ เจ้าของเสียงข้างบนนั้น พอขึ้นมัธยมก็เสน่ห์แรง เจ้าชู้หาตัวจับยาก เลยห่างกันไปโดยอัติโนมัติ 

แล้วเย็นวันหนึ่ง หลังจากกลับจากโรงเรียน แต่ฉันก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนชุด เพราะต้องใส่ให้คุ้ม (ความจริงแล้วไม่อยากซักหลายชุดนั่นเอง)ฉันตั้งใจจะเดินไปเที่ยวบ้านน้าอย่างเคย เดินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียง ยะ ตามหลังมาว่า

"วิ่งแข่งกันมั๊ย"

"อ้อ...นึกยังไงขึ้นมาล่ะ...ได้สิแต่ระยะทางแค่นี้ฉันแพ้เห็นๆอยู่แล้วจะแข่งให้เหนื่อยทำไม"

ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อรอง แค่ไม่อยากวิ่งเฉยๆ แต่ ยะ กลับบอกว่า

"เดี๋ยวต่อให้ วิ่งไปถึงเสาไฟฟ้าต้นนั้นแล้วเราจะวิ่งตาม"

"อืมม....ก็ได้"(ลองเสี่ยงดู...ฉันแอบคิดในใจ)

ก่อนที่เราจะเริ่มวิ่งแข่งกัน พี่ชายก็โผล่หน้ามาอยู่หน้าบ้านแล้วตะโกนว่า

"เดี๋ยวส่งสัญญาณให้ เอ้า หนึ่ง สอง สาม"

ฉันออกสตาร์ทอย่างแรงและเร็ว เพราะคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะเอาชนะคนที่ไม่เคยชนะได้เลยตั้งแต่เด็ก และคิดว่าเดี๋ยว ยะ คงจะแซงไปได้อยู่ดี เพราะนักกีฬาอย่างเขากับ กองเชียร์อย่างฉันจะเอาอะไรไปสู้ได้ถึงจะต่อให้ก็เถอะ แต่ฉันกลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนคนวิ่งเหยาะๆซะมากกว่า สุดท้ายฉันก็ชนะไปแบบเซ็งๆ 
พี่ชายตะโกนแซว ยะ ว่า

"วู้ๆ ออมแรงนี่หว่า แพ้ผู้หญิง ฮ่าๆ"

แล้วสองหนุ่มก็หายตัวไปไหนกันอีกไม่รู้


เช้าวันถัดมา ฉันเจอหน้า ยะ ก่อนออกจากบ้านแว๊บนึงก็เลยยิ้มให้ก่อนเป็นครั้งแรก ยะ ก็ยิ้มตอบกลับมา ณ เวลานั้นฉันไม่นึกเอะใจเลยว่า นั่นจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ต่างคนต่างไปโรงเรียนโดยไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเคย

หลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้าน ขณะที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านของ ยะ เสียงของป้าเกดแม่ของ ยะนั่นเอง
ใจลงไปอยู่ตาตุ่ม เหมือนเท้าจะไวเท่าความคิดพอรู้สึกตัวอีกทีฉันก็มาอยู่บ้าน ยะ แล้ว

คนที่บ้านบอกว่า ยะ มอเตอร์ไซค์คว่ำ ตายคาที่ เค้าไปส่งเพื่อนกลับบ้านที่นอกเมือง(พวกเราอยู่ในตัวอำเภอ เพื่อนส่วนหนึ่งมาจากนอกเมืองเวลามาเรียนจะนั่งรถรับส่งนักเรียนมา)เค้าซ้อนกันไปสี่คน ยะ เป็นคนขับ เสี้ยงนั้นก้องเหมือนมาจากที่ไกลๆที่ไหนสักแห่ง นาทีนั้นฉันอยากให้ตัวเองหูแว่วไปเองแต่ เสียงร้องไห้ กลิ่นอายความเศร้าโศก ณ ที่แห่งนั้น ก็ทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร

ภาพเมื่อวานตอนเย็นที่พวกเราวิ่งแข่งกัน และรอยยิ้มเศร้าๆเมื่อเช้า คือการสั่งลางั้นหรือ ฉันนึกโกรธตัวเองที่ทำไมไม่นึกเอะใจถึงสิ่งที่เป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกเหล่านั้น และนึกเสียใจที่ทำไมไม่ทำตัวให้ปกติ พูดคุยเล่นกันเหมือนตอนเด็กๆ ความจริงแล้วเป็นฉันเองต่างหากที่เปลี่ยนไป ไม่พูดไม่คุย นอกจากจะเจอหน้ากันจังๆเท่านั้น

ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบการแข่งขันเอามากๆไม่ว่าจะเรื่องอะไร เวลาเล่นเกมส์กันตั้งแต่เด็กก็จะแพ้ตลอด เพราะไม่มีแรงฮึดอยากเอาชนะใคร

ณ ตอนนั้น ที่ฉันวิ่งเข้าเส้นชัยเอาชนะคนที่ไม่คิดว่าจะชนะได้ ทำให้รู้สึกมีความสุขแม้จะเพียงแว่บหนึ่งก็ตามหลังจากที่ได้ตระหนักว่าถ้าเขาไม่ออมมือให้ก็ไม่มีทางชนะได้หรอก 

การสูญเสีย เพื่อนวัยเด็กในครั้งนั้นทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะรู้จักเอาชนะแต่เป็นการ เอาชนะใจตนเอง นั่นคงเป็นคำสั่งลาที่ฉันคิดว่า ยะ อยากจะบอก

"อย่าเพิ่งยอมแพ้ ถ้าคุณใช้แรงแค่น้อยนิด"

วันนั้นถ้า ยะ ไม่ออมมือให้ ถึงแพ้ฉันก็ภูมิใจ เพราะอย่างน้อยก็สู้สุดใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกสตาร์ทแล้ว 

"ขอบคุณนะคนบนฟ้า"

ปล.ไหนๆนายก็ได้ไปที่ชอบๆแล้ว สงกรานต์นี้ฉันจะฝากขนมที่นายชอบไปให้นะ รอรับด้วยล่ะ"				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโคลอน
ไม่มีข้อความส่งถึงโคลอน