27 พฤษภาคม 2554 11:42 น.

..เรื่องเล่า จาก ปลายสวน..."แก้วมาแซม"..

cicada


การเกิดเป็นลูกคนกลางนี่ บางครั้งก็ทำให้แซมกลายเป็นคนขี้น้อยใจ และขี้งอนไปได้ง่ายๆนะคะ...
พี่สาวใหญ่  ใครๆ ก็ตื่นเต้น รุมกันรัก รุมกันเอาใจใส่ เพราะเป็นลูกคนแรก หลานคนแรก  มิหนำซ้ำหน้าตายังจิ้มลิ้มพริ้มเพราอีกต่างหาก
ตอนเป็นสาวรุ่นๆ พี่สาวเกือบๆ จะได้ตำแหน่งเทพีสาวสวนแตงซะแล้ว  ติดอยู่ที่ว่า  เจ๊เป็นสาวสวนตาล  ไม่ใช่สาวสวนแตงตัวจริง..
เลยได้แค่รองนางงาม...
น้องน้อยคนเล็ก  ก็เป็นลูกคนเล็ก  ใครๆ ก็โอ๋  ใครๆ ก็ตามใจ...ตัวเล็กๆ ปากนิดจมูกหน่อย พูดจาเจ๊าะๆแจ๊ะๆ น่าเอ็นดู...

ฝ่ายเจ้าทะโมนคนกลาง..มันช่างดื้อ  อวดดี  เถียงคำไม่ตกฟาก  เจ้าคารี้สีคารม..
หน้าตาก็พิลึกผิดพี่น้อง  แซมมีตาสีน้ำตาลอ่อน ที่อ่อนจนบางครั้งดูคล้ายๆเสือสมิง หรือ ผีตองเหลือง ไม่ตาสีดำขลับเหมือนพี่ๆ น้องๆ
แถมผิวก็เป็นสีน้ำตาล ไม่ขาวเหมือนใครๆ จนถูกเรียกว่า..มะขิ่น เด็กที่ลอยน้ำมาติดหัวสะพาน..

ก็จะให้ทำไงได้ล่ะคะ  เจ้าเด็กวันพุธเนี่ยะ...ไหนจะต้องเคารพ และเชื่อฟังเจ๊ใหญ่  ไหนจะต้องถูกเจ๊ใหญ่ใช้ทำนู่น ทำนี่..
ไหนจะต้องเอาใจ และตามใจน้องเล็ก  น้องเล็กร้องจะเอาอะไรก็ต้องยอมให้ ไม่งั้นถูกหาว่าแกล้งน้องอีก...
เสื้อผ้า ก็ต้องรับทอดมาจากเจ๊..ส่วนน้องเล็กได้ของใหม่ๆ เพราะกว่าแซมจะใช้เสร็จ ก็เก่าเกินกว่าที่น้องเล็กจะใส่แล้วสวยได้..

แซมคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้แซมเห็นคุณค่าของคำว่าประชาธิปไตย และความเสมอภาคมาตั้งแต่เด็กๆ..(พูดประชด ประชันค่ะ)
แต่ถึงจะพยายามประท้วง และต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เคยชนะ  กลับถูกระบอบเผด็จการของ ผ.อ. ที่บ้านปลายสวน
กดขี่จนเสียบุคลิกไปเลย...
สิทธิ  เสียงอะไรก็ไม่มี  เวลาถูกดุ  จะขอยื่นคำอภิปราย ไต่ถามข้อเท็จจริง และขอความเป็นธรรม ก็ถูกว่า ดื้อด้าน  เถียงผู้ใหญ่...
แซมเคยยื่นฎีกา  บอกว่า เวลาจะดุ จำเลยขอเวลาอธิบายก่อนศาลจะสั่งลงโทษ...ไม่สำเร็จค่ะ..
แซมเลยต้องนั่งนึกหาวิธีว่า จะทำยังไง  ถึงจะอยู่รอดในสังคมปลายสวนนี้ให้ได้....
แล้ววันหนึ่ง แซมก็นึกขึ้นได้ว่า  คำสอนข้อหนึ่งที่เคร่งมากๆ ของบ้านปลายสวนคือ..
ทำผิดแล้วต้องยอมรับผิด.... ได้การหละ...มีลู่ทางแล้วซินะแซม
ตั้งแต่นั้นมา  เวลาแซมทำอะไรผิด  แซมจะไปหาไม้เรียว  แล้วรีบไปบอกผู้นำของบ้านปลายสวนว่า...
หนู..เด็กหญิงแซม  ขอยอมรับสารภาพว่า  ได้ทำมีดปังตอ ตกไปในคลองหน้าบ้าน  และไม่สามารถจะงมกู้ขึ้นมาได้....
ท่านผู้นำ  ทำหน้ากะเรี่ย กะราด  ก่อนจะสั่งความว่า  ไม่เป็นไร  ดีมาก เธอรู้จักยอมรับผิด...พรุ่งนี้  ไปซื้อมีดปังตอใหม่...
หลังจากนั้น  ไม่ว่าจะมีโทษ ฐานใด เจ้าแซมก็รีบกระวี กระวาดไป แจ้งความผิดของตนเองซะก่อน...
ชีวิตก็มีความสุขขึ้น...จริงๆแล้วแซมก็ไม่ได้ดื้อด้านมากมาย จนรับไม่ได้หรอกค่ะ...
แต่เป็นเพราะแซมมีความคิดที่ต่าง ไปจากเด็กคนอื่น  จึงทำให้ผู้ใหญ่คิดว่า... แปลกคน

เรื่องเจ้าน้องน้อยนี่ก็เหมือนกัน  บางทีมันก็ทำหน้าหยิ่งๆ แบบว่า ใครแตะหนูไม่ได้นะ...
ใครแตะ หนูฟ้อง....
ทำให้บางครั้ง แซมก็เขม่น  อยากจะแกล้งมันขึ้นมาตะหงิดๆ...
มีวันหนึ่ง เจ้าน้องน้อย มันต้มไข่เป็ดไว้สองฟอง  จะเอาไปกินโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น
แล้วมันก็เตรียมเอาใส่กล่องข้าวเอาไว้เรียบร้อย  ไข่ก็ยังไม่ได้ปอก..
ตกกลางคืน  แซมก็ย่องๆ เอาไข่จิ้งจก ไปเปลี่ยนแทนไว้ สองใบ..
ไข่จิ้งจก ใบเล็กกระจิ๊ดเดียว  ยาวไม่เกิน 1 ซ.ม. 
ตื่นเช้า เจ้าน้องน้อยร้องไห้ลั่นเลย ว่า ไข่ของมันหดได้...
แซมกระหยิ่มใจเป็นอันมาก.. และยอมทนที่จะไม่ไปแจ้งความผิดของตัวเอง..
ยืนยันว่า ไข่มันหดได้จริงๆ   เหมือนว่า ใครๆ จะเชื่อเหมือนที่เจ้าน้องน้อยเชื่อ..
ผลคือ โดนฟาดซะก้นระบม....แต่ได้แอบครึ้มใจอยู่เงียบๆ....
นั่นมันเป็นเรื่องสมัยเด็กๆ....ตอนนี้เรารักกันดีค่ะ  และไม่เคยคิดจะแกล้งอะไรกันอีกเลย...
เอ๊ะ..จริงรึเปล่านะ...เพิ่งถูกเจ๊ กับเจ้าน้องน้อย อำว่า ลูกสะเดาเป็นองุ่นพันธ์ใหม่...ชิชะ

แซมแค่เกิดอารมณ์อยากจะเขียนกลอน...แก้วมาแซม..  ก็เลยมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ
เพราะรู้สึกว่า .... แซมเป็น แก้วมาแซมจริงๆ ค่ะ....

แซมรักเธอนะ...เจ้านกโพระดก
				
24 พฤษภาคม 2554 11:44 น.

....เรื่องเล่า จาก..ปลายสวน..

cicada


อากาศร้อนที่บ้านสวนนี่  ไม่มีวันเลิกลา...
แซมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า..แปลกจริงๆ อยู่บ้านสวนนี่ ไม่มีอาการ ง่วงเหงาผิดเวลา แบบที่เรียกว่า Jet Lag เลยนะคะ...

ค่าที่แซมไม่ได้มาเป็นประจำ  แซมเลยไม่มีที่นอนหมอนมุ้งของตนเอง..ต้องนอนในมุ้งประทุน มีผ้าห่มปูบนเสื่อ.. ผ้าแพรคลุมขา  (กันอะไรๆ ที่ไม่เห็นตัวตนมาดึงขาตอนดึกๆ  )
แซมหอบหมอนของตัวเองไปจากเมกา...(เป็นโรคติดหมอน...แห่ะๆๆ) และจองพัดลมหนึ่งอันเอาเข้าไปเปิดไว้ปลายเท้าในมุ้งประทุนด้วย...
แซมไม่กล้านอนในห้องแม่ หรือห้องย่า กลัวย่ากับแม่มาหา...(ตอนท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่  แซมดื้อกับท่านสุดๆ เลย ) น้องกับหลานสาวไปนอนในห้องพี่สาว  พี่เขยไปนอนไหนไม่รุ๊  ไม่เห็นเลยซักคืนเดียว
หลานชายญาติๆ กัน และพี่ชายของแซม ต่างก็ไปจับจองพื้นที่กันคนละแอ่ง ใต้พัดลมเพดาน...ดูคล้ายๆอาหารที่มีฝาชีครอบอยู่เป็นหย่อมๆ...

บ้านสวนเป็นบ้านไม้กระดาน..เมื่อก่อนตอนแซมเด็กๆ ก็คิดว่ามันทั้งกว้าง  ทั้งใหญ่  เพราะ แซมต้องถูบ้านก่อนไปโรงเรียน..
วิธีถูบ้านของแซมก็คือ เอาผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดๆ  แล้วเริ่มต้นจากปลายสุดของส่วนที่แล่นยาวเป็นโถง  ไม่มีห้องกั้น...
แซมตั้งท่าอย่างดี ลงสี่ขาแล้ววิ่งปรื๊ด จากด้านนี้ไปด้านโน้น...แล้วก็หันกลับวิ่งอย่างเดียวกัน...
ต้องวิ่งกันอยู่หลายเที่ยวกว่าจะทั่วหนึ่งหลังตรงกลาง..ส่วนหลังในที่กั้นเป็นสามห้อง..วิ่งไปกลับสั้นๆ ไม่ค่อยสนุก...เพราะห้องหนึ่งเป็นห้องนอนของแม่ และอีกห้องเป็นห้องนอนของย่า  มีเตียงทำให้ถูลำบาก..ส่วนห้องกลางเป็นห้องพระ  ที่มีทั้งพระ และรูปเจ้าพ่อ เจ้าแม่ทั้งหลายที่แม่ของแซมเคารพ กราบไหว้..จะไปวิ่งก้นโด่งปรื๊ดๆ ก็กลัวว่า จะมีอันเป็นไป.

เรือนหลังขวาง  แซมไม่ต้องถู  เพราะอะไรไม่เคยถาม แค่แอบดีใจก็พอแล้ว  ยังข้างนอกที่ยาวเท่าๆ กับหลังกลาง ก็ทำแบบเดียวกัน..ด้านนี้มีประตูที่เปิดกว้างลงบันไดไปเชื่อมกับสะพานที่ต่อไปยังศาลาท่าน้ำ  ที่แซมชอบเรียกว่า "หัวสะพาน"  
หลังด้านนอกนี้มีประวัติ..บางครั้งถ้าแซมรีบๆ แซมจะวิ่งไม่มองหน้ามองหลัง วิ่งปร๊าดจากสุดโถงด้านใน...ลืมเบรค  วิ่งปรู๊ด ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ข้างสะพานหน้าบันได....
ให้ฟกช้ำ ดำเขียว  ปากแตกได้เลือดกันเลยทีเดียว..
เรื่องวิ่งเลย ลืมเบรคนี่ น้องสาวของแซมก็ทำเหมือนกัน  วันหนึ่ง..น้องถือชามใส่ฟักทองต้ม  วิ่งจะลงไปหัวสะพาน แล่นจู๊ด ตกอั้ก ที่ตีนบันได ฟักทองไปทาง ชามไปทาง....  
ส่วนคนจุกอยู่กับที่...
เรื่องมันก็ผ่านเลยมาหลายปีดีดักแล้ว  แต่เรายังขำกันอยู่...
มาเที่ยวนี้ แซมตื่นมากวาดบ้าน ถูบ้าน  เดี๋ยวนี้เรามีไม้ถูบ้าน  แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า....แต่ละคนที่บ้านแซม ทั้งพ่อ และพี่สาว พี่เขยของแซมต่างก็  สูง  ยาว แต่เข่าเสื่อมกันทั้งนั้นเลยต้องพึ่งม๊อบ..ไม้ถูบ้าน...
แซมไม่ค่อยถนัดมือ และยังชอบถูบ้านแบบเก่าอยู่  เลยได้ออกแรงวิ่งไปหลายเที่ยว....บ้านก็ยังคงทั้งกว้าง ทั้งใหญ่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง  เพราะเล่นเอาแซมเหงื่อตก  ต้องอาบน้ำแต่เช้ามืด...

อยู่บ้านสวน ถ้าไม่ได้ไปซุกซนในสวน เที่ยวหานก หาแมลง หาแมลงปอ หรือดอกไม้ ใบไม้แปลกๆ มาถ่ายรูป เราก็หาเรื่องกินกัน...
อากาศร้อน  แซมทานอาหารไม่ค่อยลง  เลยได้ทานผลไม้มากมายจนคุ้มที่คิดถึง....

ว่างๆ แซมก็ไปนั่งอยู่หัวสะพาน  คอยดูว่าจะมีใครพายเรือผ่านไป ผ่านมาบ้าง...
คลองหน้าบ้าน ก็ยังมีน้ำไหลผ่านอยู่  ยังมีดอกไม้ และกอผักตบชวาลอยไปมา  แซมยังเห็นบัวกินสายสีชมพูจัด ขึ้นอยู่บ้างประปราย..
แต่ไม่เห็นผักบุ้งทอดยอดอวบๆอย่างเคยอีกแล้ว....และที่ขัดตาแซมมากที่สุดคือ  เห็นขยะ ของเหลือใช้ พลาสติค และโฟม ลอยปะปนมาในกอผักตบ...
ความคิดแว่บเข้ามาในหัว.....การเป็นคนที่เรียบง่าย และสมถะ  ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นคนมักง่าย....

บ้านแซมมีบ่อเก็บขยะที่ย่อยสลายได้ เมื่อนานๆ เข้าก็สลายกลายเป็นดิน...
และมีบ่อที่เก็บขยะที่ไม่ย่อยสลาย...  
พวกกระดาษหรือของที่เผาได้ พ่อก็จะแยกไว้ต่างหาก พอมีมาก ๆ ก็จะเผาทิ้งไป
พวกพลาสติคหรือโฟม  พ่อจะอัดให้มันเล็กๆ แล้วใส่ไว้อีกบ่อ..ไม่รู้ว่า มันจะอยู่บนพื้นโลกใบนี้ไปอีกนานเท่าใด...แซมเคยเอาปากกาชาร์ปปี้แบบหมึกถาวร เขียนข้อความไว้บนกล่องและถุงพลาสติคว่า "แซมเคยอยู่ที่นี่" ...นึกขำๆ ว่า ถ้าโลกไม่แตกไปซะก่อน  ในอนาคตข้างหน้า  อาจจะมีเด็กๆ ที่มาเล่นแถวๆ นี้ และอาจจะเจอลายเซ็นต์ของแซม แล้วพากันตื่นเต้นว่า ย่า หรือยายแซม ของหนูเคยอยู่ที่นี่....แซมลืมเขียนต่อว่า..รักนะตะเอง  คริ..คริ..งุงิ..คิขุ..จูบุ๊..จุ๊บๆ

แซมคิดถึงสายน้ำที่ใสสะอาด เมื่อครั้งเด็กๆ   เดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไปจนทำให้ใจหดหู่
คิดแล้วก็พาลนึกเลยไปถึงน้ำใจของคน...ความเอื้ออารีย์  ความอาทร  ความใสเย็นที่แซมเคยสัมผัส..
ถ้อยคำที่เราเคยได้ยิน...คำพูดเรียบง่ายที่ไม่ต้องปรุงแต่งจนคนฟังรู้สึกกระอักกระอ่วน...แต่เป็นความใสจากห้วงน้ำใจ  ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ จางหายไปทุกทีๆ เหมือนกัน....
วันนี้ กำลังมีผู้รณรงค์เพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม...แซมอยากจะรณรงค์พิทักษ์สิ่งที่อยู่ภายใน....แซมอยากให้ความรู้สึกที่อยากจะเอื้อเฟื้อ  อยากแบ่งปัน  ความรู้สึกเกรงอกเกรงใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ที่แซมเคยพบและหล่อหลอมอยู่ในจิตสำนึกของแซมในช่วงวัยเด็ก ได้ดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คน....อย่าให้มันต้องถูกกลบไปเพราะความเร่งรีบ และแข่งขันกันเลย
ความรู้สึกนี้ ก็มีที่มา......
วันหนึ่ง พี่เขยขับรถพาไปซื้อของในตลาดแม่กลอง  เรากำลังจอดรอรถ ที่ถอยออกจากที่จอด เพื่อจะเอาพื้นที่ตรงนั้น... จู่ๆ ก็มีรถตู้มาจอดข้างหลังรถเรา  แล้วมีผู้หญิงแต่งชุดขาว แบบบวชชีพราหมณ์ เปิดประตูลงจากรถ  วิ่งตุ๊กๆๆ มายืนขวางหน้ารถแซม  แล้วโบกให้รถตู้ที่ตัวเองเพิ่งลงมา อ้อมรถเราเข้าไปจอด...แซมตะลึงกับการกระทำอันนั้น  กำลังจะเปิดประตูลงไปสู้กันซักตั้ง  หลานและพี่เขยห้ามไว้  บอกว่า อากาศข้างนอกร้อนแล้ว ขอให้แซมเย็นข้างใน....ที่ว่างข้างนอกไม่มี  แต่ขอให้มีที่ว่างในใจ...
ไม่น่าเชื่อว่า แซมยอม.... ไม่น่าเชื่อว่าแซมไม่ลงไปจัดการกับยายชีคนนั้น.
เรื่องนี้ยังรบกวนความรู้สึกของแซม  แต่แซมดีใจที่อย่างน้อย  วันนั้น แซม "เย็นใน" ได้ในระดับหนึ่ง..

การไปอยู่เมืองนอกนานๆ  การที่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงาน  การที่จะต้องดำเนินชีวิตให้เข้ากับสังคมที่อยู่นั้นๆ ทำให้แซมต้องแกร่งให้ได้...
บางครั้ง  ในบางเรื่อง  และบางเวลา ก็ทำให้แซมมีอีโก้สูง เรียกว่า อัตตาบวมขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว แซมต้องคอยจับตาดูใจตัวเองอยู่บ่อยๆ   ไม่อยากเป็นมลพิษของสังคมค่ะ....

กลับมาบ้านสวน  ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติ  ความเรียบง่าย ความใสซื่อของผู้คนทำให้แซมอิ่มเอมใจ...อัตตาที่บวมๆ เลยแฟบลงอย่างสงบเสงี่ยม...
ฝากกระซิบบอกแมลงปอตัวน้อยๆ สีแดง...ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือผิวน้ำว่า...แซมรักเธอนะจ๊ะ

				
6 พฤษภาคม 2554 18:08 น.

ปลายสวน

cicada

 แซมไม่มีเริ่มต้น...และคงจะไม่มีสุดท้าย..แค่มาแบ่งปันเฉยๆค่ะ




วันนี้...แซมนั่งอยู่บนแคร่ใต้ถุนเรือน  ซึ่งเป็นเรือนสูง.....
อยู่บนเรือนร้อนมากมาย..
บ้านสวนของเราไม่มีแอร์คอนดิชั่นเน่อร์

แคร่ใต้ถุนเรือน  เป็นแคร่ไม้แข็งแรง ฝีมือของพี่แจ็ค..ซึ่งเป็นพี่ชายคนที่สอง..ก่อนพี่ครูดอยของแซม
พี่แจ็ค อยู่เชียงใหม่.. คราใดที่พี่กลับบ้านสวน  พี่แจ็คก็คงบ่นร้อนเหมือนแซม  เลยจัดการสร้างแคร่ไม้ใต้ถุนเรือน
กว้าง ใหญ่ พอที่จะนอนเรียงแถวกันได้ถึง 10 คน

เวลากลางวันอากาศร้อนมากๆ เราก็หอบเสื่อ หอบหมอนมานั่งทานผลไม้, ส้มตำ และคุยบ้าง หลับบ้าง กันบนแคร่..
แซมมองไปตรงต้นเสา  เห็นตั๊กแตนตัวยาว สีน้ำตาล ดูเหมือนกิ่งไม้ เกาะอยู่บนใบพุทธรักษา..กำลังท้าแซมต่อยมวย..
แซมใจนักเลง บอกว่า  ต่อให้ก่อนนะจ๊ะ...

บนถนนดินข้างๆบ้าน มีกอไผ่ซึ่งมีลำเรียบเงาเป็นมัน  กระบอกไผ่เล็ก เรียว...ใบไผ่ก็เล็กเรียวน่ารักเหมือนภาพวาดพู่กันจีน  ปลูกอยู่กอใหญ่...
แซมเห็นนกกะปูด(ตาแดง ขนก็แดงๆด้วย) สองตัว คงจะเป็นแฟนกัน กำลังเดินหาอาหาร ร้องเสียงดังปูดๆๆๆ ลั่นอยู่
บางครั้ง แซมก็เห็นนกกวัก มาเดิน “ก้มหัว ยกหาง” อยู่ข้างๆ ตลิ่ง
นกกวักนี่น่ารักมากๆ เลยนะคะ  เวลามันเดินก้มหัว  หางก็จะกระดก ด๊กๆๆๆ ดูเข้าจังหวะกัน
ช่างมีพฤติกรรมที่สม่ำเสมอซะจริงๆ

แซมได้ยินเสียงนกโพระดก ร้องแว่วมาจากต้นไม้ใกล้ๆบ้าน  เสียงดัง โฮกป๊ก..โฮกป๊ก..
จริงๆแล้ว แซมว่า มันดัง  “กูกุ๊ก..กูกุ๊ก..” ซะมากกว่า แซมพยายามมองหาตัว  หาไม่พบ  กลับเห็นนกฮูกคู่หนึ่งแอบมองแซมตาแป๋วมาจากต้นชมพู่มะเหมี่ยวข้างหัวสะพาน..
คงรอเวลาที่จะจู๋จี๋กันยามแซมเผลอๆ

บ้านสวนมีนกมากมาย จนแซมนับไม่ถ้วน..ทั้งนกกระจิบ นกขมิ้น  เขาชวา นกแซงแซว ต้อยตีวิด หัวขวาน นกกินปลาตัวสีน้ำเงินสด  ที่ลืมไม่ได้คือดุเหว่า...หนึ่งในขวัญใจแซม..
นกกระยางที่มีรูปร่างและสีสันที่แตกต่างไปจากที่แซมเคยเห็นตอนเด็กๆ...
นกกระยางตัวหนึ่งเดินมาตรงริมท้องร่อง  ตัวขาวๆ แซมสีน้ำตาล บนหัวมีหางเปียยาวๆ กวัดไกวอยู่ไหวๆ..ช่างดูตลกและน่ารักจริงๆ ค่ะ
เดี๋ยวๆ แซมก็เห็นนกแซงแซวหางยาวเป็นพู่  มันร้อง “เมี๊ยวๆ..ๆ..ๆ”  เชื่อไม๊คะ  นกแซงแซวที่บ้านสวนของแซมทำเสียงล้อเลียนเจ้าเหมียวก็ได้ด้วย....

เสน่ห์บ้านสวนยังมีอีกมากมายที่แอบซ่อนอยู่  เหมือนกับความล้ำลึกของอารมณ์ที่เราไม่ค่อยจะทำความรู้จักกับมัน
แซมเกิดเป็นสาวชาวสวนแท้ๆ..แต่กลับตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่ง ที่แซมได้มาสัมผัสในครั้งนี้
แซมคงจะลืมไปว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น อยู่ตรงหน้า..แต่กลับถูกบดบังด้วยม่านหมอกที่เติมแต่งจนไม่เห็นภาพจริง
อีกไม่กี่วัน  แซมก็คงกลับไปสู่วิถีชีวิตเดิมที่แซมคุ้นเคยมานานปี...แซมเองก็ยังไม่แน่ใจว่า นี่เป็นเส้นทางที่แซมต้องการจริงๆหรือไม่...
วันนี้..ณ ปลายสวน  จุดหนึ่งที่แซมเดินมาหยุดมอง  เป็นอีกหนึ่งในหลายๆช่วงชีวิตของแซม ที่แซมจะจดไว้ในห้วงทรงจำที่สวยงาม
ขอบคุณนะคะ..ปลายสวน

   
และวันเดียวกันกับที่แซมเขียนบันทึกบทนี้..ตอนพลบค่ำ..แซมลงไปเอาของจากแคร่ใต้ถุน...ตอนจะกลับขึ้นเรือน ได้ยินเสียงพี่เขยแซมตะโกนดังลั่นว่า .."หัว ๆๆๆๆ"
"เปรี้ยง..." แซมคิดว่าใครมาทุบมะพร้าวแถวๆนี้นะ...แซมลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นไม้สะพาน..แซมก้าวขึ้นกระไดก่อนที่หัวแซมจะพ้นออกมาจากขื่อใต้ถุนเรือน...ฟ้าที่จวนพลบค่ำ มืดสนิทไปชั่วขณะ...แซมกอดข้าวของแน่น  ไม่มีตกซักกะชิ้น..
(พี่สาวบอกว่า แซมงก..จริงๆ แล้ว แซมเป็นคนรักจริง  ไม่ปล่อยง่ายๆ..)  แซมหัวปูดเลย...นึกแล้ว ว่า เจ้านกกะปูดมันร้องแช่งอยู่เมื่อเช้านี้..ยังประมาท  เจ็บมากเลย  แซมยังปวดหัวอยู่เลยนะคะเนี่ยะ...				
  cicada
ไม่มีข้อความส่งถึงcicada