::อุ้มเจ้ากะเปี๊ยกกระเตง- ต่างเดิน::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

น้ำตาของผมและน้องรินอาบแก้ม  เมื่อได้ยินคำถามว่าใครจะเลือกไปกับใคร ระหว่างพ่อกับแม่   นาทีนั้นผมรู้สึกว่าคงไม่มีความขมขื่นใดโหดร้ายเท่านี้อีกแล้ว    พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันหรือครับ  หรือว่าจริง ๆ แล้วความรักที่พ่อกับแม่มีต่อเราน้อยนิดกว่าความเกลียดชังที่มีต่อกัน จนต้องหันหลังแยกทางให้เราเลือกในสิ่งที่เราไม่ต้องการ
   
    พ่อแต่งงานกับแม่แต่ยังต้องอยู่บ้านพ่อตา    ตามีลูกเขยหลายคน   ในบ้านนั้นพ่อเป็นลูกเขยที่จนที่สุด  มาจากครอบครัวชาวนาผิดกับลูกเขยใหญ่และลูกเขยรองที่ทำมาหากินโดยการรับเหมาและค้าขาย  
    ผมโตขึ้นมาท่ามกลางการเหยียดเย้ยหยามหยันด้วยหางตาและถ้อยคำของลุงใหญ่และคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะเป็นหลานที่ตารักมากก็ไม่ใช่สิ่งที่จะชดเชยความเกลียดชังที่คนอื่น ๆ มีต่อผมได้ ทุกคนในบ้านหวาดระแวงผมกลัวผมจะหยิบฉวยเอาข้าวของเงินทองที่พวกเขาบอกว่าผมและพ่อเป็นคนอื่น  ถ้อยคำที่ผมจดจำได้คือถ้ามึงจะไปอยู่กับพ่อก็อย่าได้กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก  ตอนนั้นผมงุนงงสงสัยว่าทำไมเขาจึงอยากให้พ่อไปในขณะที่เหมือนอยากให้ผมอยู่  ตอนหลังผมรู้ว่ามันคือข้อต่อรองของผู้ใหญ่เพื่อจะได้เป็นฝ่ายไม่เสียเปรียบ
    เวลาตาไปเที่ยวไหนมักได้ของเล่นชิ้นเล็ก ๆมาฝากผมเสมอ แต่ว่า..  สิ่งของที่ตาซื้อให้ผม หลานของตาคนอื่น ๆ จะมาแย่งเอาคืนหมด หรือไม่ก็ทำให้มันแตกพังแล้วหัวเราะเสียงดังสาใจ ผมไม่อาจโต้ตอบ ผมไม่ชอบการต่อยตี  และที่สำคญผมเป็นแค่คนอาศัยในบ้านนั้น  ผมไม่มีบ้านที่จะอยู่ได้ยืนยืดไหล่เหมือนใครเขา
    พ่อสร้างเรือนหลังใหม่โดยต่อออกมาจากยุ้งข้าวที่บ้านของปู่  ผมเทียวแวะเวียนไปหาพ่อเพราะอยากจะอยู่กับพ่อคุยกับพ่อแต่ผมก็กลัวกลัวคนในบ้านแม่จะเห็น ผมหวาดกลัวต่อภัยจากน้ำเสียงแลสายตาของพวกเขาที่ทำให้ผมรู้สึกราวเป็นสัตว์ที่รอเศษก้างที่เขาโยนให้กิน
      สิ่งที่ทำให้เขาจงเกลียดจงเกลียดชังพ่อและผมถึงขั้นทนกันไม่ได้คือเขากลัวว่าพ่อจะแย่งชิงทรัพย์สินมรดกที่เขาสมควรได้  เขาอาจไม่แสดงต่อผมต่อหน้าตาด้วยสีหน้าหรือคำด่าทอรุนแรงก็เพราะเขาเกรงใจตา   แต่เมื่อถึงวันที่เขาได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างตาก็หมดความหมาย  ผมโดนเขาดุด่าที่เอาของกินในบ้านไปให้พ่อ  ผมไม่มีอะไรที่จะสื่อให้พ่อรู้ว่าผมรักนอกจากเศษขนมที่ผมมี   ตาให้ขนมแก่ผมแต่เมื่อผมเอาขนมไปให้พ่อทุกคนในบ้านก็รุมด่าว่าอ้ายขี้คอก พวกคนทุกข์   นั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจที่จะออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่บ้านต่อยุ้งกับพ่อ
   
     ผมไม่รู้ว่าแม่รักพ่อหรือไม่    เพราะทุกถ้อยคำที่คนบ้านใหญ่พูดถึงพ่อในทางไม่ดี  แม่ไม่เคยแก้ต่าง   หลานตาคนอื่นว่าผมว่าเป็นหมาหลายเจ้ากินข้าวหลายเรือน  เพราะผมแอบไปหาพ่อแอบคืนเรือนมาหาแม่  ถ้าตาไม่อยู่ผมไม่กล้าที่จะกลับบ้านหลังใหญ่   วันที่ผมเสียใจที่สุดก็คือวันที่แม่ดุผมว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลา เถลไถลไม่อยู่บ้านอยู่ช่อง  ผมเสียใจเพราะผมไม่ได้เถลไถล  ผมไปหาพ่อ  ผมมีความสุขที่จะอยู่บ้านหลังเล็กๆกับพ่อ
     ผมได้อยู่กับพ่ออย่างจริงจังในไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อตากับยายเสียลงในเวลาไล่เลี่ยกัน  บ้านหลังใหญ่เปลี่ยนชื่อเจ้าบ้านเป็นคนใหม่  ผมเป็นคนไปชวนแม่มาอยู่ด้วย   แม่ร้องไห้ คล้ายกับนึกอับอายที่ได้ทำบางอย่างไว้กับพ่อ   ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญในตอนนั้น  ตอนที่ผมขอให้พ่อรับแม่มาอยู่ด้วย   พ่อพูดเพราะมากว่า  ไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าของแม่มาเถิด
=========================================
000
    
     แม่ก็อาจเหมือนผม ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านนั้น  แม่จึงจากมันมาง่ายดายกว่าที่ผมคาด   ญาติของแม่แทบจะไม่สนใจตอนที่แม่กับผมหิ้วกระเป๋าเดินจากมา  ผมถามแม่ว่าแม่สบายใจไหม   แม่ไม่พูดแต่พยักหน้าน้อย ๆ 
     ที่บ้านของปู่   พ่อกลับไปใช้ชีวิตแบบปู่  คือปลูกอยู่ปลูกกิน   ช่วงแรก ๆ ในชีวิตการมีครอบครัวของพ่อ ผมคิดว่าพ่อไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้   เพราะพ่อตาและเขยใหญ่เป็นฝ่ายกำหนดให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้  เมื่อพ่อมาทำตามแบบของตัวเองผมเห็นพ่อยิ้มอยู่ภายในใจ
     งานบ้านในบ้านต่อยุ้งไม่ยุ่งเหยิง  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรามีข้าวของน้อย  มีห้องที่ต้องปัดกวาดเช็ดถูน้อย  มีภาระที่ต้องรับใช้คนอื่นน้อยลง  ผมเองได้แบ่งเบาภาระของแม่เต็มที่ไม่ต้องคอยผละไปทำงานที่คนอื่นบอกว่าเร่งด่วนกว่า   เมื่องานบ้านมีน้อยผมก็มีเวลาที่จะทำงานกับพ่อมาก   ผมชอบงานที่ก้าวหน้าของพ่อ
     ผมเห็นพืชผักของพ่อตั้งแต่มันแทงยอดพ้นขึ้นมาจากดินอ่อนนุ่ม มันยิ้มรับแสงและยิ้มให้ผม  ผักในสวนมีหลายอย่างทั้งรสจืดและข้นขม กลิ่นก็มีหลายแบบทั้งฉุนกึกและจางกว่า  ผมไม่ค่อยเห็นมดแมลงกวน  พ่อไม่ใช้ยาฆ่าแมลง พ่อเพียงจัดการมันด้วยมือกับปลูกพืชผักพวกนั้นคละกันจนแมลงมันมึน   ผมแอบยิ้มและมีความสุขที่สุดในวันที่แม่เดินเข้าไปเก็บผักในสวนมาทำกับข้าวให้พวกเรากิน   น้องของผมชอบคะน้าผัดปลาเค็มฝีมือแม่  ส่วนผมชอบต้มจืดมะระฝีมือพ่อ   ความจริงผมแทบเกลียดรสขม  แต่เมื่อพ่อว่าค่อย ๆ กินทีละน้อย  ของขมมักเป็นยาทำให้ชีวิตยืนยาวผ่องใสผมจึงทำใจยอมกินและรู้สึกกับมันดีขึ้น  
    เมื่อผักของพ่อมีมากและหลากหลายขึ้นก็มีคนจากตลาดมาซื้อผักที่บ้านต่อยุ้งของเรา   ตอนหลังพ่อบอกเขาว่าจะเอาไปส่งให้ก็ได้  ผมเลยมีงานหลักอีกอย่างเพิ่มขึ้นมาคือส่งให้เจ้าประจำ    คนทำงานในอำเภอที่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบ้านของปู่มีเยอะแยะมากที่อุดหนุนพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอัธยาศัยดีกับผักของเรามีความปลอดภัย  ผมได้เห็นแม่ยิ้มอีกครั้งหลังจากที่แม่ไม่ได้ยิ้มมานานมากในวันที่ผมเอาตังค์ค่าผักให้แม่เก็บ
    ผมอดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่บ้านหลังใหญ่  ผมอยากเอาผักไปให้เขากิน  แต่กลัวเขาจะเหยียด   ผมอยากจะบอกว่าผักของผมอวบ ผมก็กลัวเขาจะหยัน  รอยจำภาพหยามเย้ยด้วยหางตามันไม่เคยลบออกไปได้
    แต่ในที่สุดพ่อก็ให้ผมเอาผักไปให้ลุงใหญ่  เลือกคะน้าที่อวบที่สุด   เลือกฟักทองที่สวยที่สุด   เลือกถั่วฝักยาวที่กรอบที่สุด  เลือกมะเขือที่หวานที่สุดใส่ตะกร้าใบใหม่ที่สุดให้แม่พาไป  บ้านนั้นรับ   แต่ไม่ยิ้ม   แต่เท่านั้นผมก็รู้สึกว่าตนเองมีความสุขล้นเหลือ   แม่ก็คงเหมือนกัน   ป้าแอบหยิบของที่ขายอยู่หน้าร้านให้เรา เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง    นั่นก็ทำให้ผมได้คิดถึงคำพูดของพ่อที่ว่าอย่างไรเสียคนในสายเลือดเดียวกันก็มีเยื่อใยต่อกัน
    ที่บ้านต่อยุ้งของพ่อ มีต้นไม้ค่อยโตขึ้นหลายต้น  ส่วนมากเป็นไม้ผลพันธุ์แปลกที่มีคนเอามาฝากพ่อ   ไม้ผลธรรมดาพื้นบ้านก็มี  แต่ที่มีมาก ๆ คือกล้วยที่เรากินเองไม่หวาดไม่ไหว  พืชชนิดนี้เองที่ทำให้แม่ได้รายได้เป็นกอบเป็นกำ   ผู้หญิงจากบ้านหลังใหญ่ที่หม่นหมองซึมเศร้ามาค่อนชีวิต   มายิ้มสดใสได้บ้างก็ตอนที่มาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยังไม่เป็นบ้านดี  ผมนึกแล้วก็หัวเราะในความช่างสังเกตของตัวเอง
============================
000
      เมื่อชีวิตมีความสงบสุข ผมก็มีเวลาสังเกตสิ่งรอบตัวที่งามง่ายมากขึ้นแทนที่จะต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาจะด่าหรือพูดกระทบกระเทียบอย่างไร   ผมเพิ่งสังเกตเห็นนกตัวเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือของเด็ก ๆ  ตัวสีดำ ๆ ปีก มีแถบสีแดง ๆ  ส่งเสียงจิ๊บ ๆ  บินมาจับร้านฟักทอง กระโดดไปกระโดดมา   ผมเห็นแล้วว่านกคู่นั้นทำรังน้อย ๆ ไว้ที่กิ่งกระโดงคู่ของต้นทับทิม  ที่เพิ่งสูงท่วมหัวของผม  นอกจากนก ผมยังได้เห็นผึ้ง ทั้งผึ้งหลวงและผึ้งมิ้ม  บินมากินน้ำหวานและเคล้าเกษรดอกไม้  แต่ก่อนผมไม่ได้ยินเสียงผึ้ง  คงเป็นเพราะหูผมคอยแต่จะฟังว่าเขาด่าหรือนินทาอะไร  เสียงผึ้งนั้นเพราะ เหมือนตาปะขาวเป็นหมู่สวดมนต์อยู่งึม ๆ  และนานแล้วที่ผมไม่ได้ยินพ่อเป่าขลุ่ย  วันนี้ได้เห็นและได้ยินเพลงลูกทุ่งจากขลุ่ยของพ่อกับได้เห็นแววตาชื่นชมที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากดวงตาของแม่    สิ่งที่ผมได้เห็นวันนี้   แหม..ทำให้ผมมีความสุขมากแท้
      ไม่นานเลย ขณะที่บ้านของเราเงียบลงอย่างกับวัด  บ้านหลังใหญ่กลับมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นดังขึ้นแทน  เจ้าบ้านคนใหม่คงเมามาย  เสียงตะคอกขู่จึงดังยิ่งกว่าดังเหมือนเสือคำราม   มือที่เงื้อง่าออกท่าจะตบตีไม่ต่างจากอุ้งเท้าสัตว์ที่เตรียมตะปบสัตว์อ่อนแอกว่า  เขามีเรื่องอะไรต้องทะเลาะกันอยู่หรือครับ  ใคร ๆ ในหมู่บ้านก็รู้ว่าเรือนหลังใหญ่นั้นมีอะไรทุกอย่าง  สมบูรณ์พร้อม   คุณคงไม่เชื่อเด็กอย่างผมดอกครับ  ถ้าผมจะพูดว่า  บ้านนั้นขาดความรัก
    ทะเลสงบเพราะพายุไม่ปรากฏตัว   ครั้นเมื่อฟ้าคลั่ง  ทะเลก็ประดังคลื่น  บ้านใหญ่เกิดเรื่องระหองระแหงมีปากเสียงเพราะป้ารู้ว่าบ้านเล็กบ้านน้อยที่บัดนี้กำลังท้องอ้างความเป็นเมียอีกคนอยู่ด้วย   ความหึงหวงได้ทำให้ความเงียบดังทะเลเรียบกลายเป็นคลื่นทะเลใหญ่ที่กำลังโถมเข้าใส่กองทรายปากอ่าว  เด็ก ๆ บ้านนั้นร้องไห้กระจองอแงเมื่อเห็นพ่อแม่ของเขาทะเลาะกัน  ถ้าตากับยายอยู่คงได้เป็นคนห้ามทัพ   แต่นี่คนตัวใหญ่เสียงดังที่สุดในบ้าน  ไม่เป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใครเสียแล้ว  ใครจะห้ามสงครามในครอบครัวนี้ได้หรือครับ  นอกจากพวกเขาจะห้ามใจตัวเอง   ผมไม่อยากเล่าต่อ  เพราะมันไม่ต่างจากหนังที่ฉายทางทีวี
    ผมได้เห็นน้ำตาของลูก ๆ ของลุงรินอาบแก้ม เมื่อเห็นพ่อแม่ของตนตีและด่ากัน     พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไหมครับ   บางทีความรักที่พ่อกับแม่มีต่อกันอาจะน้อยกว่าความเกลียดชังที่กำลังเพิ่มขึ้นเมื่อรู้เต็มอกว่าอีกคนหนึ่งกำลังโกหกและนอกใจ   ก่อนการแยกทางจะเริ่มต้นขึ้น  ผมได้ยนเสียงพวกเขาเถียงแบ่งสมบัติและแบ่งลูกกัน
     เสียงร้องไห้ยังดังระงม
     ผมก็ได้แต่คาดหวังว่าพวกเขาจะกลับคืนหากัน
     ด้วยความรัก				
comments powered by Disqus
  • ดอกบัว

    11 มีนาคม 2551 16:49 น. - comment id 99443

    สวัสดีค่ะ พี่ก่อพงษ์
    
    ดอกบัวกราบงามๆพี่ก่อพงษ์ค่ะที่เขียนเรื่องนี้ให้บัวอ่านแนวนี้
    
    ปัจจัยในการครองคู่นี้มีหลายสาเหตุจังเลยค่ะ
    ไม่เรื่องฐานะ ก็ เรื่องการศึกษา  ไม่ก็เรื่องญาติพี่น้องมาเกี่ยวข้อง
    ถ้ามีการศึกษาระดับเดียวกันก็ต่างคนต่างแน่ ยอมแพ้กันไม่ได้
    แต่ถ้าผู้หญิงมีฐานะเหนือกว่าก็ประดุดผู้ชายตกถังข้าวสาร ถ้าผู้หญิงดูแลสามีมากไปก็ว่าหลงสามี
    ถ้าผู้ชายฐานะต่ำกว่าโดนญาติผู้หญิงถากถางต่างๆนาๆเหมือนที่พี่ก่อพงษ์เขียน
    
    แล้วเรื่องการศึกษาอีกบัวเห็นญาติบัวท่านหนึ่งมีการศึกษาน้อยกว่าสามี
    เวลาทะเลาะกันสามีก็จะด่าว่า  (บัวขอโทษนะค่ะที่ใช้คำประมาณนี้ค่ะ)
    พอทะเลาะกันสามีก็จะด่าว่าภรรยาโง่เป็นกระบือ ส่วนภรรยาก็ได้แต่ร้องให้
    บัวเห็นแล้วก็สงสารจะยุ่งก็ไม่ได้พูดอะไรมากก็ไม่ได้ก็ได้แต่ปลอบไปว่าต้องอดทนเอาเลือกแล้วนี้ พอบ่อยเข้าจนภรรยาเครียดมากบัวก็เป็นห่วง
    บัวก็เลยแนะนำว่าถ้าเขาด่าว่าเราเป็นกระบืออีกให้บอกไปเลยว่า
    ดีใจจังที่คนรู้ทั้งรู้ก็ยังโง่มาเอากระบือไปเป็นภรรยาอีก  แต่ก่อนย้อนต้องตั้งถ้าหลบก่อนนะ   ตั้งแต่นั้นมาคำพวกเนี่ยญาติบัวก็ไม่ไปยินอีกเลย
    
    ก็อย่างละครหลายๆเรื่องปัญหาประมาณเนี่ยที่เขาแสดงกัน
    พอจบเรื่องก็คือจบ แต่ชีวิตจริงไม่ใช่แบบละคร
    ต้องประคับประครองให้ครอบครัวอยู่รอดและผู้รับช่วงต่อไปก็คือรุ่นลูก
    ต้องปูพื้นฐานให้ลูกดูการดำเนินชีวิตเป็นครอบครัว
    เป็นแบบอย่าง เป็นพ่อให้ดี เป็นแม่ให้ดี ลูกจะซึมซับตรงนี้เป็นแบบอย่าง
    
    พี่ก่อพงษ์ค่ะหรือว่าจริงๆบัวคิดมากเกินไป เพราะวิถี กรรม
    ของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรือเปล่าค่ะ
    
    บัวกราบขอบคุณจริงๆค่ะ 
    พี่ก่อพงษ์เขียนสื่อได้เหมือนเรื่องจริงค่ะ
    
    บัวขอให้พี่ก่อพงษ์พร้อมครอบครัวมีความสุขมากๆค่ะ
    
    36.gif46.gif
  • รอยทาง

    10 มีนาคม 2551 21:27 น. - comment id 99458

    สวัสดีคะ  คุณก่อพงษ์
    
    ฮ่า  ฮ่า   มาทักทายคนแรก   เขียนต่อซิคะ  กำลังติดตาม  ช่วงนี้ขออ่านก่อนแล้วกัน   เพราะยังทราบจะเขียนอะไรดี
    
    โชคดีคะ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    10 มีนาคม 2551 21:40 น. - comment id 99459

    สวัสดีครับคุณรอยทาง
    
    ผมเขียนเรื่องนี้ตามที่ได้รับปากกับน้องดอกบัวไว้นะครับ
  • การัณยภาส

    11 มีนาคม 2551 01:30 น. - comment id 99460

    สวัสดีตอนดึกค่ะ
    เรื่องนี้สนุกดีค่ะ อ่านแล้วทั้งเศร้าทั้งซึ้ง น้ำตาพาลจะไหลให้ได้
    ถึงยังไงคุณก็ยังสื่อความหมายให้เห็นว่าครอบครัวนั้นสำคัญที่สุดใช่มั๊ยคะ ดูจากตอนท้ายที่ลูกยังชวนแม่ไปอยู่ด้วย ทั้งๆที่แม่ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าไหร่ในตอนแรก
  • มายอามีน

    11 มีนาคม 2551 22:15 น. - comment id 99465

    จะรอติดตามผลงานตอนต่อไปค่ะ
    
    11.gif11.gif
  • อัลมิตรา

    11 มีนาคม 2551 23:13 น. - comment id 99466

    แม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำที่บริษัท
    ยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาทำงาน บรรยากาศห้องน้ำไม่น่ากลัวอย่างตะก่อน
    
    แม่บ้านคนที่เอ่ยถึง เรียนมาน้อย แค่ประถมสอง
    มีลูกชายสองคน คนโตเป็นนายแพทย์ คนที่สองเรียนอยู่ปีสามวิศวะ
    น่าทึ่งกับการประคับประคองครอบครัวและการเลี้ยงดูบุตรชาย
    
    แม่บ้านยังคงทำงานอย่างเต็มใจและเต็มกำลัง 
    ทั้งที่สามารถมีชีวิตอย่างสบายได้แล้ว
    แม่บ้านเล่าให้ฟังว่า โชคดีที่ลูกสองคนรักการเรียน
    และเอาเยี่ยงพ่อ .. พ่อของเขาเรียนสูง ทีเดียว
    ถ้าจะบอกว่า เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย คงแปลกใจกันไปตาม ๆ กัน
    
    ทำไมยังคงทนขัดถูห้องน้ำ คอยใส่กระดาษทิชชู่
    เทขยะและดูแลความสะอาด และต้องผจญกับพวกโรคจิตที่ชอบทำเขรอะ
    
    เป็นคนที่น่าทึ่งจัง  น่านิยมยกย่องด้วย
    ตอนที่กำลังเขียนอยู่นี่ ก็นึกหน้าตามไปด้วย
    แม่บ้านจะมีรอยยิ้มเสมอ สงบเสงี่ยม และสุภาพ
  • รอยทาง

    12 มีนาคม 2551 00:40 น. - comment id 99467

    สวัสดีคะ   ถึงทุกๆ คนที่ออกความเห็น    
    
    อ่านข้อคิดของน้องดอกบัวแล้ว   รู้สึกว่าจะค่อนข้างจริงในสังคมไทย   ไม่ว่าจะสังคมครอบครัว   การทำงาน  มักหาความสมดุลย์อะไรไม่ค่อยได้   ก็เพราะคนไม่เข้าใจและกล้ายอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่  ขาดจิตสำนึกความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจ
    
    บางครั้งก็เหนื่อยปวดหัวกับคนรอบข้างๆ  ในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนกระทำ   ผลแห่งกรรมก็มีส่วน  แต่ทุกอย่างรอยทางว่าอยู่ที่การกระทำของเรามากกว่า  เมื่อเราเจอปัญหาตั้งสติ  แล้วเอาปัญหามาเป็นเครื่องผลักดันตัวเราเอง  สร้างตัวเราให้มีคุณค่าให้เกิดผลที่ชัดเจน   ก็ไม่มีใครมาว่าเราได้
    
     เคยทำงานกับบริษัทต่างชาติแต่คนไทยบริหาร   หนีจากปัญหาสังคมไทย ตอนนี้รอยทางทำงานอยู่ต่างประเทศ  แนวความคิดมันสวนทางกันจริง  มองกลับไปก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรคนไทยบางส่วน  จิตใจจะพัฒนาเสียที  15.gif
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    12 มีนาคม 2551 21:52 น. - comment id 99478

    สวัสดีครับคุณการัณยภาส
    
         ครอบครัว คือการอยู่ด้วยกันและดูแลกันของสมาชิก สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นครอบครัวได้คือความรักความใยดีต่อกัน พื้นฐานสำคัญที่ทุกคนต้องมีคือความรับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ และนอกเหนือจากนั้นคือการเสียสละให้อภัยความจริงใจซื่อสัตย์  หาไม่แล้วครอบครัวก็จะล่มสลาย   บ้านจะไม่ต่างจากขุมนรก  เรือนหลังใหญ่ปานใดก็ไร้สุข
    
          ผมเชื่อว่า  เมื่อลูกมีครอบครัว  เขาจะจดจำสิ่งดี ๆ ที่พ่อแม่แสดงออกต่อกันและแสดงออกต่อเขาเอาไปใช้  สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องสอนแต่เขาจะซึมซับเอง   ถ้าพ่อแม่ชื่นชมกัน รักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน  เขาก็จะเป็นอย่างนั้น
    
          ขอบคุณครับคุณการัณยภาส ที่เข้ามาอ่านและพูดคุยด้วย   
    
    ------------------------------------
    
    สวัสดีครับน้องดอกบัว
    
       อ่านที่น้องเขียนแล้วก็ได้คิดนะครับ  ว่าสิ่งที่จะทำให้ชีวิตคู่ไม่หม่นหมองคือความเคารพนับถือไว้เนื้อเชือใจกันซื่อสัตย์ต่อกัน   ถ้าคู่ครองขาดสิ่งเหล่านี้แล้ว ต่อให้มีทรัพย์มหาศาลก็หมองหม่น  แม้จะปิดบังผู้คนอย่างไรก็ตาม
    
       พี่เห็นด้วยว่า  ลูกจะซึมซับเอาวิถีการใช้ชีวิตของพ่อแม่   การแสดงออกต่อกันของพ่อแม่ และการแสดงออกต่อเขาของพ่อแม่   เป็นสิ่งที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเขาเมื่อเขามีครอบครัว
    
       เรื่องเวรกรรมของแต่ละคนพี่ก็เคยได้ยินพ่อสอน แต่พี่ก็เอาไว้ช่วยทำใจเท่านั้นเพื่อไม่ให้เจ็บช้ำเกินไปในสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง
    
       ขอบคุณมากครับน้องดอกบัว
    
    ------------------
    
    สวัสดีครับอัลมิตรา
    
       ได้อ่านเรื่องที่คุณอัลมิตราเขียนแล้วก็ได้ยิ้ม อิ่มเอมใจ  ดีใจด้วย ในความสุข  ในความรู้จักชีวิต เข้าใจชีวิตของท่านนะครับ  คนมีความสุขในตัวเอง  บางทีก็อยู่ใกล้ๆเรา  แต่เราไม่รู้  เพราะบางทีเราเองก็หาความสุขในตัวเองไม่เห็น-ฮา
    
        ที่ผมสังเกต และได้ข้อสรุปสำหรับผมเองคือ คนมีความสุขในตัวเอง  เมื่อเราอยู่ใกล้เราก็พลอยมีความุขด้วย  ส่วนคนที่หาความสุขในตัวเองไม่เจอ อยู่ใกล้ใครเขาก็พลอยรุ่มร้อนใจไปด้วย
    
         ผมอ่านข้อเขียนของคุณอัลมิตราแล้วมีความสุข  ผมจึงสรุปว่าคุณอัลมิตราเปี่ยมไปด้วยความสุขในตัวเอง  ถูกต้องไหมครับ
    
    -------------------------------------
    
    สวัสดีครับคุณรอยทาง
    
    ผมได้แต่ยิ้มครับในถ้อยคำของคุณ
    
    สังคมประเทศของเราเป็นสังคมที่นึก ๆ ก็น่าสงสารครับ   แต่ละคนดิ้นรนปากกัดตีนถีบ  หลายคนเลือกที่จะโกง  หลายคนเลือกที่จะติดสินบนเพื่อจะมีโอกาสเหนือคนอื่น หลายคนฉ้อฉลจนเป็นนิสัยถาวร น้อยกว่านั้นคือไม่รับผิดชอบการกระทำและคำพูด   ผมคิดว่าเบ้าแบบมาจากการที่คนผู้เกิดก่อนเห็นแก่ตัวเกินไป กับสร้างมายาคติให้คนเห็นว่าต้องรวยเท่านั้นจึงถือว่ามีสุข น่านับถือ  แม้ความรวยนั้นจะมาจากการฉ้อฉลเพียงใดก็ตาม
    
    เป็นเวรกรรมของประเทศเรามั้งครับ
    
    แต่ที่ไม่แย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนดี ๆ ที่โอบอุ้มสังคมไม่ให้ตกต่ำซ้ำร้ายมีอยู่เยอะกว่า
    
    
    เวลานี้ผมไม่คาดหวังคนอื่นเท่าไหร่
    ผมคาดหวังผมเอง  ที่จะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น
    
    อย่างน้อยคนอื่นก็จะไม่เดือดร้อนเพราะผม-ฮา
  • คนบนเกาะ

    13 มีนาคม 2551 09:33 น. - comment id 99484

    36.gif   สวัสดีครับ  แวะมาชื่นชมผลงานอีกครั้ง   สังคมไทย ละครไทย มีแต่สังคมเน่า  ละครน้ำเน่าไม่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์  และเป็นละครที่ขายดีทั้งในจอแก้วและจอใหญ่  สิ่งเหล่านี้นักปกครองหารู้ไม่ว่ามันทำให้สังคมไทยเน่าลงทุกวันๆ   นักปกครองกลับไปคิดว่าเด็กเล่นเกมทำให้มีปัญหา ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของตัวเขาเองและละครน้ำเน่าน่าจะมีปัญหามากกว่าเสียอีก
         ท่านก่อพงษ์ มีแนวคิดที่ดี  และมีแนวการประพันธ์ที่ชวนอ่าน อ่านแล้วทำให้ผู้อ่านมีความคิดสร้างสรรค์  เป็นการรักษานิสัยใจคอให้หายจากการป่วยเป็นอย่างดี  คิดว่าถ้ามีคนแบบท่านในเมืองนี้มากๆ ประเทศเราคงเจริญกว่านี้ครับ  ขอบคุณมากครับในผลงานของท่านที่ให้ผมได้อ่านฟรี 555
        
        
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    13 มีนาคม 2551 12:00 น. - comment id 99489

    สวัสดีครับคุณคนบนเกาะ
    
    
    
    ขอบคุณมากครับที่แสดงความเห็นให้ผมได้รับรู้
    
    ในข้อที่คุณคนบนเกาะว่า  ผมเห็นด้วยมาก
    ละครก็คือสิ่งที่จะซึมลงไปในใจของคนดู ตบกันง่าย ๆ  ตีกันง่าย  ยิงกันง่าย  ด่าทอกันง่ายๆ   ทำร้ายกันเหมือนไม่รู้จักยั้งคิด   ผิดลูกผิดเมียกันอย่างไร้หิริโอตตัปปะฯลฯ  เหล่านี้ในละครมันซึมลงไปในใจคนดูทีละนิด   จนเห็นเป็นธรรมดาที่น่ากลัวว่าอีกหน่อยคนก็จะทำร้ายกันง่าย ๆ โดยไม่ต้องเกลียดชังเป็นส่วนตัว ให้ใครตกเป็นที่รองรับอารมณ์แทนก็ได้  เหมือนที่ได้ฟังจากข่าวเรื่องคนเอาหินขวางปาใส่รถที่กำลังแล่นมาจนเด็กในรถเสียชีวิต อะไรแบบนี้
    
    ถ้าจะให้โทษใคร
    ผมโทษผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวทั้งหมดนะครับ
  • รอยทาง

    13 มีนาคม 2551 19:06 น. - comment id 99498

    สวัสดีคะ  คุณก๋อพงษ์  
    
    "เวลานี้ผมไม่คาดหวังคนอื่นเท่าไหร่
    ผมคาดหวังผมเอง  ที่จะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น"
    
    ชื่นชมความคิดนี่จริงๆ  คะ  รอยทางก็คิดเช่นคุณนี่แหละ  ทำตัวเราให้ดีที่สุด  การคาดหวังกับคนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์  เชื่อมั่นทุกคนต่างมีวิถีชีวิตของตนเอง  
    
    ย้อนกลับไปอ่านข่าวเมืองไทย  หดหู่ใจคะ  มีแต่แก่งยิ่งชิงดีชิงเด่นกัน  ตั้งแต่ระดับล่างสุดจนถึงสูงสุด  แล้วอะไรคือแบบอย่างที่ดีของเยาวชนรุ่นหลัง   รอยทางคิดว่าแบบอย่างที่ดีก็คือการเริ่มต้นของครอบครัว
    
    ขอชื่นชมในความคิดและความเป็นผู้นำของคุณก่อพงษ์  จงทำต่อไปนะคะ
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    13 มีนาคม 2551 20:45 น. - comment id 99500

    สวัสดีครับคุณรอยทาง
    
    
    ผมนึกถึงคำนี้ครับ
    
    คนดีอย่าท้อแท้ที่จะโอบอุ้มสังคมนะครับ
    
    ฮา
  • -ร้อยแปดพันเก้า-

    14 มีนาคม 2551 09:43 น. - comment id 99513

    อ่านเรื่องนี้จบ
    เห็นภาพ รายละเอียด
    โดนใจไปเต็ม ๆ 
    ตะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเขียน 
    ชอบเรื่องนี้มาก เปรียบเทียบจนรู้สึก
    
    ยังรออ่านตอนต่อไป
    แต่แอบเห็น พี่เขียนคำว่า ผึ้งหลวงหรือผึ้งมิ้ม
    มันหล่นตัว"ง"นะพี่
    
    
    ด้วยมิตรภาพและความจริงใจนะครับพี่
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    14 มีนาคม 2551 17:31 น. - comment id 99520

    สวัสดีครับ-ร้อยแปดพันเก้า-
    
    
    
    ขอบคุณมากที่บอกจุดที่ผิดครับ
    
    เมื่อถึงเวลาอันควร
    จะเอาเรื่องพวกนี้ไปปรับปรุงแล้วทำเป็นรูปเล่มเผยแพร่ครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน