กลิ่นกลอนสาบโคลน
เป็นนักกลอนรากหญ้าจากฟ้าทุ่ง
หมายผดุงถิ่นฐานแดนบ้านป่า
บ่มีเกียรตินักกวีให้ตีตรา
คงคุณค่าเพียงดินโคลนกลิ่นกลอน
อาบน้ำคลองประจำผิวคล้ำหม่น
ตากแดดฝนพึ่งพิงธารสิงขร
ขาดคำรุ้งละมุนรสสุนทร
ทุกอักษรวกเข้าลำเนาไพร
เขียนกลอนหวานกลับนึกถึงพฤกษา
แต่งปรัชญากระหวัดเรื่องสัตว์ใหญ่
มองโลกตื้นบางเบามิเข้าใคร
แง่คิดไหนใครเห็นประเด็นคำ
เพียงเขียนได้ ใช่เป็นดั่งเช่นเขา
สาบโคลนเคล้าแทรกซึมไม่ดื่มด่ำ
กลิ่นกลอนจึงโชยมาให้ระกำ
หวานเลิศล้ำชาตินี้ไร้วี่แวว!ฯ
อริญชย์
๒๙/๑๐/๒๕๕๕
29 ตุลาคม 2555 10:38 น. - comment id 1249954
เป็นตัวของตัว ดีที่สุดแล้วครับ

29 ตุลาคม 2555 11:20 น. - comment id 1249959
ชอบแบบไหนก็แต่งแบบนั้นเถิดค่ะ อนงค์นางชอบกลอนครอบครัว ก็แต่งตามปรารถนา จะมีคนอ่านหรือเปล่าก็ไม่เป็นไร เพราะเวลาที่ตามใจตัวเองได้นั้นมันน้อยลงไปเรื่อยๆ สมองก็จะฝ่อลงตามอายุ การได้ขีดได้เขียนอะไรเป็นความสุขอย่างหนึ่งค่ะ เมื่อหมดลมหายใจคงไม่มีโอกาสได้ทำอีก

29 ตุลาคม 2555 16:45 น. - comment id 1249983
เขียนดีแล้ว ละมุน สมคุณค่า พรรณนา สรรค์สร้าง อย่างตาเห็น ให้ประโยชน์ มากมาย หลายประเด็น สมแล้วเป็น วิญญู คู่บ้านกลอน

29 ตุลาคม 2555 18:58 น. - comment id 1249998
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยือน บางครั้งรู้สึกเนือย ๆ ว่าทำไมเราถึงแต่งกลอนไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน แข็งทื่อดุจค้อนทั่ง เพื่อน ๆ เข้ามาให้กำลังใจเช่นนี้ สดขื่นขึ้นเยอะ ขอบคุณ ๆ

1 พฤศจิกายน 2555 10:34 น. - comment id 1250165
ไม่ว่ากินไหนๆ ก็งามเหมือนกันครับ เมื่อคนเขียนตั้งใจ และเขียนด้วยความรัก
