11 กรกฎาคม 2548 18:14 น.

จาก "จุดหนึ่ง" ภาพวาดของพ่อ

vaproud

 

                    ทุกครั้งที่พาตัวเองนั่งเครื่องไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก  หากสมุดเรียนหน้าไหนมีพื้นที่เพียงพอต่อการหยิบดินสอขึ้นมานั่งวาดรูปก็ตาม  ฉันจะวาดความคิดและจินตนาการที่โลดแล่นอย่างอิสระลงบนพื้นที่ว่างเปล่านั้นทันที  จนบางครั้งจินตนาการของฉันแอบซุกซนจนเกินความพอดี  ตะเหลิดหลุดลอยออกนอกพื้นที่จนกลายเป็นจิตรกรรมประดับผนังห้องนอน

                    ยิ่งในช่วงใกล้วันเปิดเทอมที่จะต้องไปซื้อหนังสือและสมุดเรียนใหม่ด้วยแล้ว  กลับต้องเร่งวันเร่งคืนให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว  เป็นเพราะด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นว่า  ในหนังสือวิชาศิลปะนั้นมีคำสั่งอะไรใหม่ๆ ให้ได้ประลองฝีมือบ้าง  มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและค้นหาจริงๆ สำหรับเด็กอย่างฉัน จนวันที่เติบโตขึ้น ฉันได้เรียนรู้บางสิ่งที่ป๋า (คุณพ่อผมยาว) คอยบอกเอาไว้เสมอว่า มีโอกาสก็เรียนไปนะ  ป๋ากับแม่ไม่มีสมบัติอะไรมากพอจะมอบให้  ฉันพอจะเข้าใจในสิ่งที่ป๋าพยายามจะบอกกับฉัน  เพราะนั่นคือเรื่องจริง  การศึกษาเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ป๋ากับแม่จะให้ฉันได้

                    หลังจากนั้นผ่านไป  ผ่านไปจนกระทั่งวัยวันล่วงเลย  ฉันกลับค้นพบบางสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นอยู่  ฉันพบว่าในตู้หนังสือจากแต่ก่อนเป็นที่เก็บของเล่นชิ้นเล็กๆ  น้อยๆ   กลับถูกแทนที่ด้วยหนังสือหลากหลายประเภทที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  และเวลาในวันๆ หนึ่งจะถูกใช้ให้หมดไปกับการอ่านเขียน  จนทำให้ฉันกลายเป็นอีกคนที่หลงใหลในตัวอักษร  และหวงแหนหนังสือทุกเล่มของตัวเองเอามากๆ  จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อก่อน  เวลาที่วาดรูปเล่นลงบนพื้นว่างเปล่าในหนังสือของป๋า  จึงทำให้ต้องโดนบ่นโดนว่าทุกที

                    แล้ววันหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในชีวิต  เมื่อกำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดชั้นวางหนังสือ  ฉันได้พบกับสมุดวาดภาพสมัยที่ป๋ายังเรียนอยู่ที่เพาะช่าง  มันเก่าซะจนได้กลิ่นความเก่าของกระดาษ  และเมื่อพลิกไปทีละหน้า ทีละหน้า จนเดินทางมาหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง  มีข้อความและภาพประกอบเขียนด้วยดินสอรางๆ  ฉันคิดว่าป๋าคงจะสเก็ตซ์รูปภาพที่ดูแล้วเป็นประเภท Abstract Art และเขียนคำจำกัดของความหมายของภาพเอาไว้ข้างๆ ฉันอ่านมันด้วยความตั้งใจและตื่นเต้นเป็นที่สุด ราวกับว่าฉันค้นพบความลับของจักรวาลก็ว่าได้

 

                    จากจุดหนึ่ง ของมุมโลก เราได้เริ่มต้นขึ้น ณ ที่นั่น เป็นการยากมากที่จะบรรยายให้คนอื่นเข้าใจ แม้แต่ตัวเราเองบางครั้งอารมณ์มันก็ชักพาให้หันเห ความคิด ตลอดอารมณ์ทุกๆ วินาทีที่เปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งเวลานี้ อารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่เราได้ตั้งใจไว้ว่าจะทำอะไร พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ ให้บรรลุความตั้งใจ และแล้วเวลาของการเริ่มต้นก็ได้อุบัติขึ้น

                    จุดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งที่เขาสมมติว่าเป็นโลก ตัวของมันเองไม่สามารถที่รู้ว่ามันเกิดมาจากอะไร แต่มารู้เอาตอนที่มันโตขึ้นมาแล้ว มีการเรียนรู้ตามอย่าง ตลอดจนการฝึกหัด จนบัดนี้มันเริ่มมีความเข้าใจในวิชา แต่อวิชาก็มาบดบังความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้แต่ว่า เกิดมาจากอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องเกิด เกิดเพื่ออะไร เกิดไปทำไม เสมือนหนึ่งจุด ถ้ามันมีความรู้สึก มีความคิด มีการเจริญเติบโต มันก็จะถามตัวมันเองว่า ใครเป็นผู้ให้กำเนิดต่อมัน มันคงจะมองหาอยู่ มันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า มันมีความสำคัญต่อกรอบกระดาษที่ล้อมรอบมันอยู่อย่างไร ทำไมมันถึงต้องมาอยู่ในกรอบอันนั้นด้วย แล้วมันจะคิดต่อไปอีกว่า มันจะออกมาจากนั่นได้อย่างไร ทำไมมันถึงต้องอยู่ในกรอบอันนั้นด้วย ถ้ามันรู้จักต่อสู้ มันรู้จักคิด สักวันหนึ่งมันจะหลุดออกจากกรอบอันนี้ก็ได้ แล้วผมเองก็หวังว่ามันคงจะมาบอกด้วยนะ"

 

                    ฉันปิดสมุดลงพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้น ฉันก็คงไม่ต่างอะไรไปจากจุดในภาพที่ป๋าวาดไว้นั้น เพียงแต่ฉันเป็นจุดหนึ่งที่มีความคิดและความรู้สึก ที่ถูกจุดไว้ให้บนพื้นที่ว่างเปล่าโดยไม่ได้มีกรอบมาคุมขัง ฉันสามารถลากยาวต่อไป ต่อจินตนาการจนเกิดภาพวาดภาพใหม่ ตามแต่ใจของฉันต้องการ แต่ก็ใช่ว่าภาพทุกภาพจะประสบความสำเร็จและงดงามเสมอ เพราะว่าในบางเวลาก็อยากจะถอยกลับหลังเพื่อเริ่มต้นใหม่ยังจุดเดิมอีกครั้ง สิ่งนี้เองที่คอยสอนให้จุดจุดนั้นได้เรียนรู้ความหมายมากมายของชีวิต จากความพลาดพลั้ง การลองถูกลองผิด และจากประสบการณ์...

                    แล้ววันนี้ก็อยากจะบอกกับคนที่วาดจุดนั้นขึ้นมาว่า ขอบคุณที่ไม่เคยสร้างกรอบใดๆ มาล้อมรอบไว้ ดีใจที่ถูกจุดให้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ด้วยความตั้งใจและความรัก  ป๋าเป็นศิลปินเอกในดวงใจที่ทำให้เด็กคนหนึ่งฝัน ฝันที่อยากจะเดินตามรอยเท้าคู่นั้น...และสักวันจะทำให้ป๋าได้ภูมิใจ

 

 

18 มิถุนายน 2548 08:24 น.

ดอกไม้ของดินนา ๒

vaproud

ดอกไม้ของดินนา ๒ 

เมื่อลืมตาตื่น...ความโหดร้ายยังคงอยู่ข้างเราเสมอ


                    หนู...หนู   หญิงสาววัยกลางคนเจ้าของตึกห้องเช่าที่ดินนาพักอาศัย   พยายามเขย่าร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่หน้าประตูห้องอย่างห่วงใย   ดวงตาของหญิงสาวค่อยๆ   เริ่มปรับภาพอันเลือนรางให้ชัดเจนขึ้น...

                    ฉันเป็นอะไรไป  เมื่อหญิงสาวได้สติแล้ว   เธอจึงกวาดสายตามองไปโดยรอบ   เห็นกระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูปจำนวนมากล้มระเนระนาดอยู่ตามทางเดินเป็นบริเวณกว้าง

                    หนูเป็นลมล้มหมดสติไปหลายวันแล้วล่ะ   น้ำเสียงอันอ่อนโยนของเจ้าของตึก   ทำให้หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในอาการมึนงงพยักหน้ารับความช่วยเหลืออย่างยินดี   เธอค่อยๆ  พยุงร่างของหญิงสาวไปนั่งบนเตียงนอน  ก่อนที่บทสนทนาระหว่างหญิงสาวต่างวัยจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง...

                   หนูคงได้ข่าวหลานชายของฉันแล้วใช่ไหม หญิงสาวเจ้าของตึกเริ่มปรับน้ำเสียงของเธอลง   ภายในดวงตาคู่นั้นเอ่อท้นด้วยน้ำที่มาคลอกันบริเวณเบ้าตา   ก่อนทีเธอจะปาดมันทิ้งให้หมดไปแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ   ส่งให้หญิงสาวแทน

                    หลานชาย?   ดินนาทวนคำถามจากคู่สนทนา

                    เจ้าปอม...เด็กผมสีแดงๆ   ฉันคิดว่าหนูคงเคยเจอกับเขาแล้วนะ   ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาตื้อเพื่อขอกระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูปทุกวันหรอก...

                    กระป๋อง... ยังไม่ทันพูดจบหญิงสาวลุกเดินกลับออกไปยังประตูอีกครั้ง   เธอก้มลงหยิบกระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูปใบหนึ่งขึ้นมา

                    มันเกิดอะไรขึ้นคะ...  เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  พยายามเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด  คิดในใจขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย   เธอพยายามฝืนยิ้มขณะที่ความรู้สึกอันจริงแท้ของเธอพบเจอเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า  พลันเกิดภาพต่างๆ  มากมายของเด็กชายผมสีแดงคนนั้นขึ้นในหัวสมอง  และภาพทุกภาพพร้อมจะฉีกขาดเป็นเศษเสี้ยวไปพร้อมๆ  กัน  เมื่อหญิงสาวเจ้าของตึกเพียงหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้ดินนา

                    ฉันก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมเจ้าปอมถึงต้องเก็บกระป๋องพวกนี้ไว้ด้วย  เขาบอกไว้เพียงแค่ว่าเก็บไปให้พี่ผู้หญิงคนที่ปลูกต้นไม้  และนี่...หลานชายของฉันเขาคงอยากจะให้สิ่งนี้กับหนูเป็นครั้งสุดท้าย...





ดอกไม้ของดินนา


                    ดินนารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่บริเวณลำคอ   จนทำให้ถึงกับผงะ     แล้วภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเลือนหายไปกับสายลมที่พัดกระทบเข้ามาเพียงชั่ววูบทางหน้าต่าง   จนทำให้น้ำใสๆ  ในดวงตาแห้งไปพร้อมๆ   กับกลิ่นหอมของไอดินที่เจือจาง

                    หญิงสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูป  เป็นใบเดียวที่ไม่ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นกระถางดอกไม้เช่นใบอื่นๆ   ซึ่งมีข้อความเขียนติดข้างกระป๋องว่า  ดอกไม้ของดินนา...

                    จากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ  ที่มาจากความตั้งใจของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรู้จักเพียงแค่เสี้ยวนาที  จนบัดนี้ได้กลายเป็นดอกไม้สีขาวที่กำลังเบ่งบานและส่งกลิ่นหอมให้กับเช้าวันใหม่

                    ยังไม่ทันที่ความรู้สึกของหญิงสาวจะก้าวออกจากตรงนั้น   เจ้านกพิราบสีขาวตัวหนึ่งได้บินมาเกาะอยู่บนขอบบานหน้าต่าง   ด้วยแรงกระพือปีกของมันทำให้ดอกไม้ปลิดโรยลงสู่พื้นดินในกระถางแล้วเจ้านกพิราบสีขาวก็บินจากไปไกลสุดตา   หญิงสาวก้มลงเก็บดอกไม้สีขาวนั้นไว้ในมือก่อนจะหลุดออกจากโลกส่วนตัวสี่เหลี่ยมใบนี้

                    เธอก้าวเดินไปตามสายถนนท่ามกลางมหานครที่กว้างใหญ่   เดินผ่านตึกสูงระฟ้ามากมาย   ความทันสมัยคงถูกปลูกสร้างขึ้นมาจากมันสมองของมนุษย์ไม่มีวันหยุดสิ้น   ผู้คนยังคงหายใจร่วมกับหายนะที่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น   หญิงสาวยิ้มให้กับต้นไม้ต้นเล็กๆ   ที่เธอปลูกไว้ตามรายทาง  มันกำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ   ขณะที่จิตใจของคนบางคนลดถอยลง

                    หญิงสาวหยุดเดินแล้ววางดอกไม้สีขาวในมือลงบนผิวน้ำเบื้องหน้า   ดอกไม้ดอกนั้นค่อยๆ  ล่องลอยไปกับกระแสธารที่ไม่มีวันหวนกลับ   เธอนึกภาวนาถึงเด็กชายผมสีแดง   เขาจะรู้ไหมว่า   ดอกไม้ที่สวยที่สุด  หอมที่สุดและไม่มีวันตายเขา  กำลังเบ่งบานอยู่ในจิตใจของหญิงสาวตลอดไป...




วาพราว				
18 มิถุนายน 2548 08:24 น.

ดอกไม้ของดินนา

vaproud

ดอกไม้ของดินนา ๑ 

เช้า



                    ลำแสงสีทองตกกระทบลงบนเปลือกตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน    ราวกับจะปลุกปลอบความหม่นเศร้า    ซึ่งหลบเร้นอยู่ภายในดวงตาเธอให้พบความงดงามที่บรรจงสร้างอย่างตั้งใจ    ใครเล่าจะล่วงรู้สิ่งนี้อาจเป็นเพียงสิ่งสุดท้ายซึ่งหลงเหลืออยู่บนโลกใบคร่ำเก่า...

                    ท่ามกลางมหานครที่ถูกบ่มเพาะไว้ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ    ก่อเกิดเทคโนโลยีอันชาญฉลาดมากมาย   ล้วนแล้วคือผลผลิตจากมันสมองของมนุษย์   ทุกสิ่งเริ่มก้าวย่างสู่การแปรเปลี่ยนครั้งสำคัญ   อีกทั้งชีวิตผู้คน  ณ  เวลานี้ถูกกลืนไปกับกระแสนิยมที่ถั่งโถมเข้ามาอย่างรุนแรง   หายนะค่อยๆ   คืบคลานดั่งเงาตามตัวอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง   ธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณบางอย่างเตือนมนุษย์   ผู้หลงระเริงในสิ่งที่ตนเองเรียกว่า    ความสุขอันจริงแท้   

                    หากแต่ไม่ใช่กับหญิงสาวคนนี้...ดินนา   สาวน้อยวัยยี่สิบสามปี   ผู้หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเส้นสีเมื่อเวลาถูกปลดปล่อยจากปลายพู่กันอย่างเป็นอิสระ   เธอรักธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกับที่ธรรมชาติรักสรรพสิ่งบนโลก  เมื่อภายในจิตใจของเธอรู้สึกเปราะบางฝืนทนแบกรับแรงกระแทกจากสภาวะแวดล้อมภายนอกบีบบังคับ   ธรรมชาติ   คือ   เพื่อนที่คอยโอบกอดเธอไว้และพร้อมจะรับฟังหญิงสาวโดยไม่มีเสียงพร่ำบ่นเล็ดลอดออกมาสักครั้ง   ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้ผู้คนรอบข้างมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทำตัวลึกลับและแปลกแยกไปจากคนอื่นๆ

                    หลังจากหลุดลอยไปกับภาพฝันนานนับชั่วโมง   หญิงสาวคืนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง   ดวงตาสีเศร้าค่อยๆ   เปิดรับแสงอุ่นๆ   จากดวงตะวันพลันเกิดรอยยิ้มน้อยๆ   ส่งคืนกลับไปยังจุดกำเนิดของแสงที่มา   

                    วันนี้ฉันจะต้องพบเจออะไรอีก   หญิงสาวพร่ำบ่นเพียงลำพังในห้องเช่า   ถอนหายใจยาวๆ   ก่อนที่จะพาร่างตัวเองเดินไปยังกระถางดอกไม้เก่าๆ   ที่ดัดแปลงมาจากกระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูปเหลือทิ้ง   
 		
                    เธอตักน้ำรินรดลงไปทีละกระถางที่ตั้งวางเรียงรายเป็นแถวริมขอบบานหน้าต่าง   กลิ่นไอดินหอมฟุ้งขึ้นแตะจมูกของหญิงสาว   จนอดไม่ได้ที่จะพริ้มตาหลับใหลสักครู่หนึ่งแล้วสูดกลิ่นหอมเย็นๆ   ของอากาศเข้าไปลึกๆ   จนเต็มปอด   หยดน้ำใสไหลตามกลีบดอกไม้สีขาวสะพรั่งบาน   ร่วงหล่นกระทบลงกับกันสาดของห้องเช่าชั้นล่างที่ยื่นออกไป   จนทำให้เกิดจังหวะเสียง   เปาะแปะ   เปาะแปะ   เปาะแปะ... ก่อนละอองเล็กๆ  น้อยๆ   จะกระจัดกระจายไร้ทิศทางสู่พื้นดินเบื้องล่าง   ทำให้หญิงสาวนึกถึงเด็กผู้ชาย คนหนึ่งขึ้นมาในความรู้สึกอย่างชัดเจน




ความทรงจำที่ยังชัดเจน


                     ระหว่างเดินทางกลับห้องพักเมื่อหลายเดือนก่อน   หญิงสาวได้พบเห็นเด็กผู้ชายผมสีแดงอายุราวๆ   สิบสองปี   เขากำลังมีความสุขอยู่กับการเล่นกระโดดเหยียบกระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูป   เสียงแรงอัดกระแทกดังขึ้นจากริมถนน    เป๊าะ   เป๊าะ...เป็นระยะๆ  และก่อนที่กระป๋องใส่อาหารสำเร็จรูปใบอื่นๆ   ที่เหลืออยู่จะกลายเป็นเพียงของเล่นไร้ซึ่งคุณค่า   นอนเกลื่อนกลาดเป็นขยะอยู่บนท้องถนน   เธอจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาเด็กผู้ชายคนนั้น

                    น้องคะ...น้อง   เด็กน้อยลดระดับเท้าให้สัมผัสกับพื้นดินก่อนมองหาที่มาของต้นเสียง

                    มีอะไรหรือเปล่าครับพี่...

                    พี่ขอกระป๋องที่เหลือนี้ได้ไหมคะ? หญิงสาวกล่าวจบ   เธอจึงโปรยยิ้มให้เด็กผู้ชายผมสีแดงคนนั้นอย่างเป็นมิตร   เด็กชายผมสีแดงทำหน้างุนงงแต่ไม่ลืมที่จะถามคำถามกลับมายังหญิงสาว

                    แล้วพี่จะเอาเศษกระป๋องพวกนี้ไปทำอะไรล่ะครับ

                    พี่จะเอาไปปลูกต้นไม้ค่ะ

                    ปลูกต้นไม้?

                    พี่ยังปลูกต้นไม้อยู่อีกเหรอครับ!  แล้วเสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบนั้นออกจากปากของหญิงสาว

                    พี่นี่แปลกจังนะ  ผมไม่เห็นใครคิดแบบพี่เลย

                    แล้วที่บ้านน้องไม่มีใครปลูกต้นไม้เหรอ

                    อืม...  เขาครุ่นคิดก่อนตอบ

                    ก็มีครับ...ผมนี่ไง   พี่อยากเห็นต้นไม้ของผมหรือเปล่า  กำลังออกดอกเชียว   เด็กชายยื่นคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วรุ่นใหม่ล่าสุด  ที่กำลังเป็นนิยมในมือส่งให้หญิงสาวดู

                   พี่ลองกดปุ่มนี้สิครับ   แล้วเอาจมูกมาใกล้ๆ   แบบนี้  เขาสาธิตวิธีการใช้งานเครื่องเล่นชิ้นใหม่อย่างคล่องแคล่วและเชื้อเชิญหญิงสาวให้ลองทำตาม   แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ   โต้ตอบจากหญิงสาวเลย

                   ดอกไม้ที่สวยที่สุด   หอมที่สุดและไม่มีวันตายของผม...  น้ำเสียงบ่งบอกความภาคภูมิใจของเด็กชาย   ทำให้หญิงสาวรู้สึกชาไปทั้งตัวกับคำที่ออกจากปากของเด็กชายผมสีแดงคนนั้น   ก่อนที่เธอจะเดินจากมาโดยไม่กล่าวลาใดๆ  ทั้งสิ้น

                    คืนนั้นทั้งคืนดินนานั่งมองดูดอกไม้ที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงความมืดมิดแล้วพยายามตอบคำถามให้กับตัวเอง   ทำไมถ้อยคำของเด็กชายผมสีแดงที่เธอบังเอิญพบเจอในวันนี้ถึงมีอิทธิพลมากมายต่อความรู้สึก...




ในความฝันเสมือนจริง


                    เด็กคนนั้นเขาไม่ได้ทำผิดอะไร   ใช่! เขาไม่ได้ทำผิดอะไร   เขาเป็นเพียงเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ของโลกคนหนึ่ง   ที่กำลังถูกยัดเยียดในสิ่งที่ไม่สมควรก็เท่านั้น

                    เมฆสีคล้ำลอยเกลื่อนไปทั่วสารทิศ   ความเงียบถูกละลายหายไปกับลมโหมแรงกรรโชกดังมาเป็นจังหวะ   ฉุดกระชากร่างบอบบางของหญิงสาวให้ตื่นขึ้น   ในเสียงของสายลมคล้ายจะบอกอะไรบางอย่างให้หญิงสาวรับรู้   ดินนาลุกยืนขึ้นมองฟ้าผ่านบานหน้าต่างบานเดิม   แล้วทันใดนั้นเธอเห็นกลุ่มควันมหึมาพวยพุ่งขึ้นจากยอดตึกสูงที่เบียดเสียดสะท้านสู่ฟ้า   แล้วดวงไฟเล็กๆ   ลุกเป็นประกายเข้ามาในดวงตาทั้งสองข้างของเธอ...หญิงสาวรู้สึกถึงความร้อนที่วูบวาบแผ่ซ่านไปทั่งร่างกายจนทำให้เธอสะดุ้งตกใจอย่างแรง   เนื้อตัวของเธอสั่นเทาไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

                    เกิดอะไรขึ้น...นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย!   เสียงภายในใจของหญิงสาวตะโกนก้องดัง

                    มีเสียงร้องโหยหวนแว่วดังมาจากที่ตรงนั้น   เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงชายแม้กระทั่งเด็กเล็กๆ   จำนวนนับร้อยนับพัน   พวกเขาติดอยู่กับกองเพลิงที่กำลังโหมพัดลามไปยังตึกข้างๆ   ทุกวินาที   ร่างบางร่างปลิดปลิวสู่พื้นดินอย่างกับเศษใบไม้ที่แห้งตายแล้วร่วงหล่นจากต้นอย่างไร้คุณค่าท่ามกลางผืนแผ่นดินที่กลายเป็นสีแดงแห้งผาก   หญิงสาวพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนเองเอาไว้   ทั้งๆ   ที่รอบดวงตาคู่นั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำใสๆ   ที่ไหลอาบออกมาไม่หยุด   เธออยากกล่าวอะไรออกมามากมายกว่านี้   นอกเหนือจากการที่ยืนแน่นิ่งดูความหายนะขย้ำทำลายล้างทุกสิ่งไปต่อหน้าต่อตา   เธอทรุดกายอันอ่อนล้าของเธอลงกับพื้นห้อง   โดยไม่มีเรี่ยวแรงใดมากพอที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว

                    หยุด...หยุดเสียทีเถิด

                    ได้โปรด
                    
                    นี่เป็นความฝันใช่ไหม...ใช่ไหม  หญิงสาวสะอื้นไห้ไปพร้อมๆ  กับมองไปที่ภายนอกหน้าต่าง   สายฝนเริ่มพรูพรายลงมาอย่างหนัก   เปลวเพลิงอันโชติช่วงค่อยๆ   พร่าเลือนไปกับสายฝน
                    
                    เธอเห็นแสงสีขาวนวลสะท้อนมาจากเบื้องหลังประตูห้อง   เธอพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงเดินโซเซไปเปิดประตูบานนั้น   ก่อนล้มลงอีกครั้งบนผืนหญ้าสีเขียวที่มีดอกไม้สะพรั่งบาน
                    
                    หญิงสาวเห็นชายคนหนึ่งในชุดสีขาวทั้งชุด  เข้ามาโอบกอดร่างของเธอไว้ในอ้อมแขน   ความอบอุ่นจากชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึกว่าเหมือนกลับไปเป็นเด็กๆ   อีกครั้ง  ดั่งมีพลังพิเศษบางอย่างที่ถูกถ่ายทอดให้กับเธอ  เธอช่างมีความสุขเหลือเกิน  หญิงสาวพยายามจะมองชายผู้นั้นอีกครั้ง เขาเพียงหันกลับมาส่งยิ้มให้และวางดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ลงบนฝ่ามือของเธอ  ก่อนที่ชายผู้นั้นจะกลายร่างเป็นนกพิราบขาวโบยบินอยู่น่านฟ้าอย่างอิสระเสรี...				
15 มิถุนายน 2548 20:51 น.

อาม่า/ฉัน/วันเสาร์

vaproud

อาม่า - หญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่า  นั่งนิ่งเงียบ
อยู่ภายในบ้านของตัวเองที่ประตูเปิดกว้าง

ฉัน - คนเดินทางผ่านมา
ที่ชอบฝากสายตาไว้กับบ้านหลังนี้

วันเสาร์ - วันที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับชีวิต
แต่เป็นวันที่เรื่องราวดีๆ มักเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว



     ในวันที่น่าเบื่อหน่าย  ลืมตาตื่นหลังดวงตะวันส่องฟ้า วันเสาร์  วันเสาร์  วันเสาร์  และก็วันเสาร์...
   
     พยายามแสวงหาสิ่งที่ทำให้ชีวิตเบิกบาน  ออกจากบ้านเดินไปซื้อมติชนสุดสัปดาห์มาอ่าน  ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะฝากสายตาไว้กับบ้านหลังนี้   อาม่าหญิงชราวัยเจ็บสิบกว่าที่ฉันรู้จักกำลังนั่งอยู่ภายในบ้านที่ประตูเปิดกว้าง
     
     ฉันเดินเข้าไปทักทายอย่างเคยเช่นทุกครั้ง  สิ่งหนึ่งที่คนผ่านทางอย่างฉันจะได้กลับคืนมาตลอดก็คือ  รอยยิ้ม  และคำถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบของคนที่บ้านตั้งแต่แม่  ป๋าและอีกหลายๆ  คนที่อาม่ารู้จัก  ล้วนแล้วคือความห่วงใยที่ยังคงมีแก่กันเสมอมา

     ช่วงวัยและวันคืนของคนเรามักจะพ้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย  จำนวนเส้นผมสีขาวบนศีรษะ  อาจจะไม่สามารถบ่งบอกถึงเรื่องราวของชีวิตคนๆ  หนึ่งได้ทั้งหมด  อาม่าพร่ำบอกถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร  และอาการความเจ็บปวดตามร่างกาย  ทานข้าวไม่ค่อยลง และอาการปวดหัวเข่ายังคงเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้เดินเหินอย่างก่อนเก่าไม่ค่อยได้  ฉันจึงมักจะเห็นอาม่านั่งอยู่ตามลำพังอย่างเดียวดาย

     อาม่าชวนเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่  คนสองวัยจึงเริ่มสนทนาในเรื่องต่างๆ ตลอดจนเรื่องสัพเพเหระ  เป็นเวลานานพอดูที่ได้พบเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เรื่องเก่าถูกนำมาเล่าใหม่ให้รำลึกถึง "ตุ่ม" เรื่องที่อาม่าถูกขโมยยกตุ่มปลาขึ้นรถไฟหายไปจากหน้าบ้าน  ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน  เพราะตอนนั้นฉันมีโอกาสมาช่วยดักจับขโมยที่ขโมยตุ่มกับหลานของแก
ในที่สุดแล้ว...ก็ไร้ร่องรอยของหัวขโมยและตุ่มใบนั้น  

     หลังจากเหตุการณ์ได้ผ่านไป  ฉันจึงเห็นตุ่มใบใหม่ที่เล็กกว่าเดิมหลายเท่าถูกนำมาแทนที่  แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะยังไม่จบเพียงแค่นั้น  อาม่าเลี้ยงปลาไว้ในตุ่มแต่ปลาก็ถูกมือดีขโมยตักไปอีก  ฉันจึงคิดว่าเย็นๆ จะแอบเอาปลาหางนกยูงที่บ้านมาปล่อยไว้ในตุ่มของอาม่าเผื่อแกจะได้ดีใจ   และคอยเป็นเพื่อนคุยยามที่เหงา
     
     แต่ก็คงไม่มีโอกาสแล้วเมื่อวันหนึ่งฉันเดินผ่านมาแต่บ้านกลับถูกปิดสนิท  จนได้มารู้ความจริงว่าอาม่าย้ายบ้านไปแล้ว

     ฉันยังคงนึกถึงอาม่าหญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่า  นั่งนิ่งเงียบอยู่ภายในบ้านที่ประตูเปิดกว้าง  ครอบครัวของอาม่านั้นอบอุ่น  แต่ทุกครั้งที่ฉันเป็นเพียงคนเดินทางผ่านมา  มักจะมองเห็นดวงตาคู่นั้นมองเหม่อไปบนฟ้าไกลแสนไกล  จนบางครั้งที่ฉันมองตามไปยังจุดหมายของสายตาคู่นั้นกลับไม่พบจุดสิ้นสุด

     บางทีเวลานี้ฉันอยากให้สายตาคู่นั้นมองผ่านฟากฟ้ามาถึงฉันบ้าง...				
8 มิถุนายน 2548 20:38 น.

นิทานดวงอาทิตย์

vaproud

เพราะฉันเป็นดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์กลมโต...
และขี้อาย

บางที
ฉันก็อยากให้ใคร ใคร
หันมายิ้มให้กับดวงอาทิตย์อย่างฉันบ้าง
แต่ทำไมบ่อยครั้ง...
ยิ่งกลับทำให้ฉันรู้สึกเหว่ว้า เดียวดาย บนโลกใบนี้ อย่างประหลาด
เมื่อเวลาที่ฉันเห็นหลาย หลาย คนจ้องมองมาที่ฉัน
และฉันก็มักจะเขินอาย จนหน้าแดง
คอยเปล่งแสงและความร้อนออกมามากมายมหาศาลเป็นนิสัย
สิ่งนี้เองใช่ไหม?  ที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องหลบสายตาจากฉันไป
ฉันสัมผัสในสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น...
พวกเขาอาจจะไม่ชอบดวงอาทิตย์อย่างฉันเป็นแน่

ฉันมักจะได้ยินเสียงของเด็กๆ สนใจฟังเรื่องราวของฉัน ยามที่คุณครูได้เล่าขานในชั่วโมงเรียน
เอ...ฉันจำไม่ได้หรอกว่าเป็นวิชาอะไรนะ
แต่ในหนังสือของเด็ก เด็ก มีรูปถ่ายของฉันด้วย
เอาอีกแล้ว...อายจัง
มันทำให้ฉันอยากจะเปล่งแสงอีกแล้วเนี่ย

เด็ก เด็กต่างชอบล้อฉันว่า  "ฉันเป็นพระอาทิตย์พุงกลม"
ก็เพราะฉันอ้วนนี่เอง
แต่ฉันก็ไม่เคยโกรธเลยนะ  เพราะในความจริงมันเป็นอย่างนั้น
กลับทำให้ฉันรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาดัง ดังมากกว่า...
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีคนไม่ชอบฉัน
เพราะฉันทำให้เขาร้อน หงุดหงิด ไม่สบายตัว
และแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวของฉันนั้น อาจไปทำลายผิวหนังของพวกเขา
ให้กลายเป็นมะเร็งได้
อาจทำให้ดวงตาของพวกเขามืดบอดเวลาที่จ้องมองฉันนาน นาน

...ฉันเสียใจ
ที่เป็นสาเหตุทำร้ายพวกเขา
...ฉันขอโทษ
ที่ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้า และต้องลำบากใจ
...บางทีฉันควรจะหลบไปที่ไหนซักแห่ง  ที่ที่ไม่ต้องมีดวงอาทิตย์อย่างฉันคอยกวนใจ

แต่ก่อนที่ฉันจะไป ก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอก...
ฉันไม่เคยโกรธเคืองเลย เวลาที่พวกคนเหล่านั้นได้ทำร้ายฉันกับเพื่อน
โดยการปลดปล่อยควันพิษสีคล้ำลอยเกลื่อนออกจากท่อไอเสียนั่น หรือวิธีต่าง ต่าง 
ฉันรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นคือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ใช่ไหม
ฉันให้อภัย...
และก่อนที่ฉันจะจากไป ฉันก็ยังรักรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ได้มาจากคนบางคนเสมอ
เวลาที่เขามองเห็นแสงดวงอาทิตย์ของยามเช้าผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง
ในทุกฤดูกาล มันเหมือนกับว่า "ฉันมีคุณค่าสำหรับพวกเขาเสมอ"

หากวันหนึ่งวันนั้นมาถึง...วันหนึ่งที่ไม่มีดวงอาทิตย์อย่างฉัน
วันที่โลกทั้งใบมืดมิดราวกับว่าดวงตามืดบอด
ก็โปรดจงรับรู้ว่า...ฉันจะคอยส่องแสงนำทางให้ก้าวเดินไป  อยู่ในใจตราบนานเท่านาน... 




วาพราว
เขียนเมื่อ : 8 April,05				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟvaproud
Lovings  vaproud เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟvaproud
Lovings  vaproud เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟvaproud
Lovings  vaproud เลิฟ 0 คน
  vaproud
ไม่มีข้อความส่งถึงvaproud