26 กรกฎาคม 2551 16:10 น.

นาฏกรรมชีวิต บทที่2 ฉากที่4

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ฉากที่ 4 โรงสียักษ์ 


กระสอบข้าวถูกขนลงจากรถ		
ซึ่งทั้งหมดคือเงินมาแนบหนุน
ตาคำสอนวาดหวังจากนายทุน			
ผู้ใจบุญการค้าวานิชไทย

 
แต่โรงสีท่านหักค่าอัตราชื้น		
คำเหมือนฝืนกลืนจินต์พอรับไหว
แม้นมิอาจคาดหวังผลกำไร			
ชื้อน้ำใจแค่นี้ก็เพียงพอ


ตาคำสอน


ข้าวโดยหักความชื้นก็ช่างข้าว		
เรามันลาวกดขี่ไม่ร้องขอ
อยากจะย่ำเหยียบขยี้อย่ารั้งรอ			
ให้มันพอเถิดพ่อผู้เงินมี


ได้เงินมาค่าแรงทั้งชีวิต			
แม้น้อยนิดเลี้ยงชีพไม่หน่ายหนี
จับกบเขียดผักปลาเลี้ยงชีวี			
ความสุขนี้พอใจชาวภูธร


ยายคำสี


ที่พ่อว่ามันเป็นเรื่องความหลัง	
กาลนี้ยังสิ่งใดเล่าพ่อสอน
กบเขียดฤาจะมีเหมือนกาลก่อน			
ลำน้ำหนองก็ร้อนแล้งแห้งอีกนาน

		
ทั้งหนี้สินกู้มาทำนาไร่				
ดอกกำไรคืนต่อพ่อสมาน 
ต้นดอกออกผลเสียเบ่งบาน			
ไม่ช้านานต้องตายวายชีวา


สองชีวิตครุ่นคิดหนทางเดิน		
ไม่อาจเพลินเดินไปในภายหน้า
แสงละห้อยคล้อยมองยังท้องนา			
ประดุจว่าพรุ่งนี้จะจากกัน


ใบหน้าสองหมองเศร้าเร้าใจคิด		
ว่าใครผิดใครถูกฤาสวรรค์
ถึงได้ปล่อยอสูรร้ายมาฟาดฟัน			
พร้อมลงทัณฑ์ด้วยทัณฑ์สถานแรง


ทั้งผืนป่านาดินจะสิ้นสุด			
ด้วยมนุษย์รุกผลาญราญทุกแห่ง
สัมปทานป่าไม้เริ่มสำแดง			
ภัยมาแว้งทำร้ายได้ทุกคน


แปลกที่ว่านายหน้าไม่รู้สึก		
ฤาสำนึกในกรรมที่ทำผล
เสวยสุขลอยหน้าเมืองอำพล			
ไม่เคยสนทุกข์สุขของผู้ใด


นี้คือชีวิตของกสิกร			
ผู้เดือดร้อนในสังคมที่ยากไร้
ด้วยวิญญาณของชื่อชาวนาไทย			
เป็นอย่างไรต่อไปพิจารณา				
26 กรกฎาคม 2551 10:15 น.

สมรภูมิรบ

กฤตศิลป์ ชินบุตร

จงอย่าลืมเมื่อครั้ง..................................กาลเก่า
ความรักของผองเรา..............................โอบเอื้อ
ภาพนั้นจะคงเงา...................................กาลใหม่
วอนเถิดลดเติมเชื้อ..............................มอดไหม้กันเอง


ศึกในศึกนอกนั้น..................................ประชิด
หั้มหั่นขาดน้ำมิตร...................................ต่อสู้
เพื่อชนะตรองนิด...................................แพ้พ่าย
เถิดไทยจงรับรู้...................................... กอบกู้อารี


ชัยชนะแต่เลือดฟุ้ง..................................ซากศพ
ในสมรภูมรบ..........................................เพื่อนพร้อง
ล้วนกองก่ายทับกลบ................................ร่างมิตร
ธงชาติสะบัดร้อง......................................กู่ก้องอันใด


บาดแผลย่อมติดเชื้อ...............................เป็นพิษ
โรคย่อมระบาดทิศ..................................แผ่ร้าย
เปลวเพลิงย่อมผลาญมิตร.......................สูญเสื่อม	
แตกต่างแตกแยกคล้าย.........................แตกได้ควรฤา


ประเทศไทยหนึ่งนั้น..............................แผ่นดิน
เข่นฆ่าเป็นอาจิณ...................................ไป่ได้
อายวีระชนสิ้น.......................................พิภพ
เถิดรักประจักษ์ไซร้..............................อย่าคล้ายแก้วสลายฯ

กฤตศิลป์ ชินบุตร
26 กรกฎาคม 51				
26 กรกฎาคม 2551 01:48 น.

นาฏกรรมชีวิต บทที่2 ฉากที่3

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ฉากที่ 3 กระท่อมน้อยชายป่า 


ด้านองค์อินทร์ทรงเสด็จเมืองมนุษย์	
มุ่งหมายสุดคือการมาสั่งสอน
ให้สังคมวุ่นวายมีอาทร				
เหมือนกาลก่อนอย่างเยี่ยงบรรพชน


จึงเริ่มต้นภารกิจจากชายป่า		
ถามชาวนาเรื่องดินฟ้าอากาศฝน
จึงรู้เรื่องความทุกข์ยากลำบากทน			
ของผู้คนที่ชื่อชาวนาไทย
	

ตาคำสอน


กว่ากล้าข้าวขาวสวยในถ้วยจาน		
คือแรงงานผสานเหงื่อที่รินไหล
คือชีวิตคือวิญญาณที่ทุ่มไป			
คือหัวใจในข้าวทุกรางรวง


มีชีวิตลำเค็ญเป็นเพื่อนยาก		
ความลำบากเป็นเพลงจากแดนสรวง
รอยบาดแผลเด่นชัดในนัยน์ดวง			
ล้วนถึงทรวงประทับรอยทรงจำ


พระอินทร์จำแลง


แล้วใยท่านต้องทนให้ตนเจ็บ		
ใยต้องเก็บบาดแผลมาตอกย้ำ
ใยต้องทนเป็นเพียงผู้รับกรรม			
ใยไม่ทำวีรกรรมของชาวนา


พวกท่านคือผู้กุมชะตาชีวิต		
ประกาศิตดุจเทพบนฟากฟ้า
ไม่มีท่านไม่มีพวกธัญญา				
คุณจึงกว่าจินดาตราสังคม


ตาคำสอน


จริงแท้ว่าเราผู้ผลิต			
เลี้ยงชีวิตมากมายให้สุขสม
จริงแท้ที่เราในปลักตม				
ที่ขื่นขมระทมในเวลา


แต่เราก็มิหาญจะราญรบ			
ให้ซากศพเพื่อนผองเกลื่อนทิศา
ด้วยปณิธานแรงกล้าของชาวนา			
มรณาเพื่อว่าประชายัง


พระอินทร์จำแลง


หวังเถิดสักวันที่จะถึง			
ชาวนาพึงได้ดีกว่าความหลัง
มั่นเถิดมั่นจิตว่าฟ้าฟัง				
และก็ยังเมตตาและการุญ				
23 กรกฎาคม 2551 20:42 น.

วรรณกรรมคัดสรร(ต้อนรับซีไรต์)

กฤตศิลป์ ชินบุตร

เนื่องจากเดือนหน้านี้ ซีไรต์ปี51ก็จะประกาศผลแล้ว จึงขอทบทวนรอยเท้าซีไรต์เพื่อเตือนความทรงจำครับ



ดวงดาวพร่างพราวในเวิ้งฟ้า		
มีจันทราดวงแจ่มรังสีฉาย
ข้ามคืนอุษาสางมาย่างกราย			
ความพร่างพรายของคืนจึงร้างลา


เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วแตกดับ			
ดั่งดาราล่วงลับในฟากฟ้า
แต่วรรณกรรมสรรขึ้นในโลกา			
จักชาลาคงอยู่คู่มวลชน

	
วรรณกรรมคืองานสะท้อนชีวิต		
คือลิขิตคือแง่คิดนฤมิตผล
คือความงามอันวิจิตรที่บันดล			
ให้ปุถุชนเสพซึ้งวรรณคดี
	

วรรณกรรมคัดสรรสื่อความนัย		
สรรงานไปเพื่อสร้างทางวิถี
มีคุณค่าวรรณศิลป์อันเปรมปรีดิ์			
สุดรดีในถ้อยรจนา

	
นัยหนึ่งคืองานผ่านการสรร		
ในวงศ์วานวรรณศิลป์ทั่วทิศา
ทุกแหล่งหล้าทั่วฟ้าวสุธา				
คือที่มาของวรรณกรรม-คัดสรร
	

ด้วยเหตุนี้ครูไทยควรรับรู้			
นำวิญญาณของครูผู้สืบสาน
เลือกสรรวรรณกรรมมาใช้งาน			
อนันตกาลจวบสิ้นทั้งภพไตร

     		
ด้วยเหตุเพราะวรรณกรรมมีมากล้น 	
จนปัญญาของคนจะรับไหว
จึงเลือกสรรที่ดีที่เด่นไว้				
เช่นซีไรต์ - โนเบลวรรณคดี


โนเบลคือวรรณกรรมชั้นเอก		
ที่สรรเสกกระจกเงาฉายรังสี
กอปรคุณค่าชั้นเทพประดามี			
สดุดีวีรชนล้นคณา


รพินทรนาถฐากูร			
คุรุเทพในตระกูลพราหมณ์วรรณา
พรั่งพร้อมด้วยสินทรัพย์เลิศปัญญา		
ให้กำเนิดคีตาลชลีขจรไกล


ผลงานจึงประจักษ์ไปทั่วทิศ		
ราชบัณทิต(สวีเดน)เอ่ยนามขานไข
รพินทรนาถผู้นั้นไซร้			
วรรณกรรมโนเบลวัย 52 ปี

	
ด้วยสังขารเกิดจากวัตถุธาตุ	
80 ปีจึงไม่อาจคู่ปฐวี
ร่างได้ม้วยคืนสู่ธรณี				
แต่ความดีจักอยู่ชั่วฟ้าดิน


ไพรสัณฑ์พรรณพฤกษ์ใหญ่กว่ากว้าง	
ภาพลายลวงด้วยลมเคล้าประทิน
นกน้อยแรงอ่อนจะร่อนบิน			
โฉบวารินกินมัจฉาประทังตัว

	
แม้ไม่เด่นก็จัดเป็นเช่นโคลนตม		
ที่หมักหมมปทุมมาผลิยอดบัว
นภาสวยสดใสมีหมองมัว				
ชั่วชีพนี้คงมีวันพรรณราย

	
ในอาเซียนมีทศมหาชาติ			
ร่วมสืบสานศาสตร์ศิลป์อันเฉิดฉาย
เชิดชูเกียรติผู้ประพันธ์ชั้นแพรวพราย		
มิวางวายหายลับในจักรวาล


เดือนสิงหาเวียนมาใบไม้ไหว		
ลุ้นระทึกสุดใจหาใดปาน
สิ้นเสียงตัดสินคณะกรรมการ			
คือตำนานเล่าขานซีไรต์เวียน

	
50 ศกโลกในดวงตาข้าพเจ้า		
มนตรีชาวสงขลาเป็นผู้เขียน
แทรกข้อคิดในดวงตาที่พร่าเลือน			
หรือสังคมได้เคลื่อนแปรเปลี่ยนไป


ปี 49  ความสุขของกะทิ			
คือกะทิชั้นเลิศเปรมฤทัย
งามพรรณงามเลิศงามวิไล			
งามอย่างไทยงามแท้งามระบิล


ปี 48 ดินแดนในหุบเขา			
บินหลาบินเราคือเจ้าหงิญ
ร้อยนิทานสานเรื่องให้ยลยิน			
เป็นนิทานอินนิยามของปุถุชน

	
แม่น้ำรำลึกถึงช่างสำราญ			
ความน่าจะเป็น บ้านเก่า สัมฤทธิ์ผล
อมตะยิ่งยงไม่อายชน		    		
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนวินทร์เลียววาริณ

	
ในเวลา แรคำประโดยคำ			
ประกรองคำรจนาพาโผผิน
ประชาธิปไตยบนเส้นขนานของวินทร์		
สู่แผ่นดินอื่นกนกพงศ์

	
ปี 38 ควบม้าก้านกล้วยย่ำกรุง		
ไพววินทร์รุ้งงามจากดอนคง
เบนหน้าจากทุ่ง(กุลาร้องไห้)อันปลิดปลง		
ตัวเจ้าคงไม่รู้ซึ่งเวลา

	
มุ่งมาเป็นครอบครัวกลางถนน		
มีโคมฉายสาดส่องบนศิลา
ยืนหยัดทระนงดั่งหินผา				
ทุกธิวาราตรีบนฟ้าพราว
	

ปี 35 ศักดิ์ศรีมีสมสืบ			
ทุกซอกหลืบมือนั้นสีขาว 
เจ้าจันทร์ผมหอมของมาลาคำจันทร์กล่าว		
เป็นเรื่องราวอัญชันคืออัญมณีแห่งชีวิต

	
จิระนันท์ทำใบไม้ที่หายไป		
พนาไพรคงร้างมิมีผิด
ตลิ่งสูงซุงหนักยังย้ำคิด				
ก่อกองทรายจะติดอยู่ได้อย่างไร

	
ด้วยปณิธานกวีศรีสยาม			
ดาวอังคารเด่นงามเห็นสดใส
แม้มีปูนปิดทองยังยองใย				
เพราะมีใจใฝ่หาซอยเดียวกัน

	
นาฏกรรมบนลานกว้างเกิดมา		
คำพิพากษาของชาติไม่ผกผัน
ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสางพลัน			
อย่าปิดกั้นเพียงความเคลื่อนไหว


ลูกอีสานตำนานเด็กชายคูณ		
นามคำพูนบุญทวีแห่งดงไพร
ซีไรต์จักยืนอยู่คู่ชนไทย				
ระบือไกลทั่วทิศสถิตนิรันดร์

					
7 พฤศจิกายน 255				
22 กรกฎาคม 2551 22:00 น.

นาฏกรรมชีวิต บทที่2 ฉากที่2

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ฉากที่ 2 ข้าวลอยน้ำ


อรุณรุ่งทุ่งทองรับตาวัน		
เหล่านกกาพากันบินไหวไหว
ข้ามสันฟ้ามุ่งหน้ายังถิ่นไกล		
คือวันใหม่ของวันที่ลับลา


กระท่อมน้อยไร้แววของควันไฟ	
ผู้อาศัยหลับใหลเหมือนสังขาร์
แสงทองส่องฟ้าประกายมา		
สองชราลืมตารับความจริง


ตาคำสอน

		
ฝนหยุดแล้วแคล้วภัยที่กรายกล้ำ	
เสียงฝนพรำเหมือนฝันมาสู่สิง
ยามนี้ชีวิตเป็นทุกสิ่ง			
มัวประวิงวิ่งหนีก็ป่วยการ


แม่เอ๋ยเผยตาออกดูเถิด		
มันจะเกิดสิ่งใดต้องกล้าหาญ
แล้วเราสองต้องแก้อย่ารนราน		
ไม่ช้านานทุ่งทองจะเป็นทอง


ทั้งสองร่างหมวกเก่าก้มก้มเงย	
ไอระเหยไคลเหงื่อใบหน้าหมอง
 ช้อนรวงข้าวจากน้ำที่เจิ่งนอง		
วางเป็นกองบนคันนาอันเคี้ยวคด 


แดดกล้าสองชรายังมุงาน		
แม้อาการอ่อนล้าจะปรากฏ 	
ร่างผอมเกร็งเคี่ยวงานไม่ลาลด		
แทบเหงื่อหยดทดน้ำที่เจิ่งนอง


บ่ายคล้อยตะวันย้อยอีกฟากฟ้า	
จึงมุ่งหน้าสู่กระท่อมชราสอง		
ตามคันนามากมีเรียวข้าวกอง		
เหลือเพียงฟองน้ำขุ่นในท้องนา


ตาคำสอน


ข้าวเปียกน้ำตากลมและผึ่งแดด	
ร้อนที่แผดคงช่วยมารักษา
ต่อแต่นี้เหลือเพียงการเยียวยา		
คือเมตตาจากฟ้าหยุดแปรปรวน


เหมันต์วสันต์และคิมหันต์	
ต้องตามกันด้วยวิถีอย่าผันผวน
ปลดชะตาชาวนาอันรัญจวน		
ก็เราล้วนเป็นคนที่เท่าเทียม


ฤาว่าเราเพียงควายไร้สมอง	
ชนชั้นรองมิหมายไปใฝ่เอื้อม
เช่นนั้นหยาบหยามน้ำใจเรียม		
ก็ต้องเตรียมเจียมใจไว้หนอตน


ข้าวตากแดดแผดมาเพลานี้	
ถึงเวลาขัดสีทยอยขน
ฟ้าเมตตาไร้ฝ้ามามัวปน			
เหมือนเวทมนตร์จากฟ้าประทานพร				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกฤตศิลป์ ชินบุตร