20 เมษายน 2550 18:55 น.

::แรงบางแรง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::แรงบางแรง::
	ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
	20  เมษายน 2550



	โฉมเฉลา  กับผม   แม้จะมีวัยไล่เลี่ยกัน  บ้านอยู่ใกล้ชิดติดกัน เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาว ผมกับเธอกลับไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก   อาจเป็นเพราะกำแพงบ้านของเธอและกำแพงหัวใจของผมกั้นเธอกับผมไว้คนละด้าน

	โฉมเฉลาอยู่บ้านทรงสเปนสีขาว  บังไว้ด้วยกำแพงปูนสีเดียวกันสูงเพียงตา    บ้านนั้นสง่างามในความรู้สึกของคนร่วมชุมชนหมู่บ้านชานเมืองต่างจังหวัด   บ้านของผมเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง  มองเห็นความโล่งโปร่งของพื้นที่บ้านได้ถนัดจากทุกมุม

	หญิงสาวคนข้างบ้านของผมเธอมีผิวเนียนขาว ใบหน้าของเธอเรืองงามด้วยเครื่องสำอางราคาแพงหลากชนิด เสื้อผ้าอาภารณ์และเครื่องประดับล้วนเป็นของมียี่ห้อหรู   ทุกครั้งที่ผมพบเธอในห้าง   ผมไม่เคยกล้าที่จะเข้าไปทัก   ผมน่าจะต่ำต้อยและมอซอเกินไปในแววตาที่ผมเองหลีกและหลบ

	ความแตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างเธอกับผมเป็นเหมือนบางอย่างที่ผลักผมอย่างไร้เหตุผลให้ออกจากบ้านไปที่ไหนก็ได้ที่ไกลแสนไกล

	ช่วงวัยเยาว์ที่ผมกับเธอเรียนชั้นประถมด้วยกัน  ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าผมชอบผู้หญิงคนนี้    นัยน์ตากลมโตคู่นั้นเคยสะกดผมและคนอื่น ๆ ให้อยู่ใต้อำนาจมานับครั้งไม่ถ้วน   อ้ายแดงหัวดื้อหลังห้องยังต้องยอมขโมยดินสออย่างดีของเด็กห้องอื่นมาให้เธอ  อ้ายเขียวจอมโวยังแอบลักยางลบของครูมาเสนอสนอง   คนอื่น ๆ อีกที่ก่อวีรกรรมหลากหลายเพื่อเอาใจเธอ    แม้ผมเองก็เถอะยังยอมวาดรูปให้เธอส่งได้คะแนนมากกว่าที่ผมวาดให้ตัวเองอีก

	ในห้อง เพื่อน  ๆ เรียกผมว่าอ้ายก่ำซื่อบื้อ  เธอเองก็พลอยเรียกผมอ้ายก่ำ  ๆ  ตามสีผิวออกคล้ำของผม ด้วย      ในห้องเรียนโฉมเฉลาวางตัวไม่แตกต่างจากเพื่อนผู้หญิงคนอื่น ๆ แต่นอกห้องเรียนเธอผิดไปเป็นคนละคน   วาจาฉาดฉาน  ทันคน  โต้ตอบผู้ชายได้ทุกวัย   ตั้งแต่อ้ายป๊อดรุ่นน้องยันลุงมาและตาเม่า    บางทีผมสังเกตเห็นเธอส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับเพื่อนของผมหลายคนเกือบจะพร้อมกัน   มากกว่านั้นก็คือเธอไม่ค่อยหวงตัว   นั่นแหละคือเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้ผมที่ก็แอบรักเธอเจ็บปวดหัวใจ  กลายเป็นคนจรจัด แบบที่เป็นอยู่

	 ผมเริ่มนุ่งขาวห่มขาว ฝึกตน  เพื่อรอบวชมานานแล้วครับ   แต่พระสงฆ์ไม่ยอมบวชให้เสียที  พระท่านว่าผมยังมีกรรมใหญ่ที่ต้องชดใช้อยู่จึงยังไม่ให้ถือเพศบรรพชิต   เกรงว่าจะทำให้ศาสนามัวหมอง   ผมยอมปฏิบัติตามระเบียบวินัยของวัดอย่างเคร่งครัด  โดยหวังว่าซักวันหนึ่งผมจะได้ฝึกตนอย่างนักพรตผู้องอาจทั้งหลาย

	
	ผมถือวัตรอย่างพระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งปวงที่ต้องตื่นแต่ตี 3  ทำกิจส่วนตัวแล้วครองผ้าออกมาทำวัตรเช้า โดยสวดมนตร์ยาวแล้ว นั่งสมาธิ เดินจงกรม  แล้วแผ่เมตตาแด่สรรพสัตว์ และเทพาอารักษ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ เรือนโพธิ์และวิหารน้อย สถูปใหญ่ ก่อนติดตามพระสงฆ์ ออกรับบิณฑบาต  เมื่อแสงเงินฉายเห็นลายมือ

	ผมว่าผมหนีมาไกลแล้ว  แต่ที่ไหนได้ครับ   ผู้หญิงคนที่ผมเกริ่นถึงในตอนต้นเรื่องกับเพื่อนสาวของเธอมาจอดรถคันหรูรอดักตักบาตรให้ผมเหลือบชำเลืองเกือบทุกวัน   เธอยังสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนดังเดิม  แต่งหน้าตา เหมือนดังเดิม   กิริยาเท่านั้นที่ดูสำรวมขึ้นบ้าง   ผมได้ยินเธอพูดว่า  เธอมาทำงานต่างจังหวัดเมื่อไม่นานมานี้   ทำบาปทำกรรมมาเยอะ  อยากจะทำบุญบ้าง   หลวงพ่อแย้มอย่างสำรวมและกล่าวอนุโมทนา

	ภาพเดิม ๆ ที่เคยติดตาผม ตามมารบกวนจนผมไม่เป็นอันท่องบ่นมนตร์คาถา  สมาธิและจงกรมนั้นไม่ต้องพูดถึง   ภาพยิ้มอันหวานเยิ้มยั่วยวนใครต่อใคร  มันรบกวนหัวใจของผมจนนึกหน่ายชังตนเอง  เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด  นี่กระมังที่พระท่านเรียกทุกข์   แล้วผมจะหนีมันไปที่ไหนได้อีกล่ะนี่

	สิ่งที่เกิดกับผมเหมือนอยู่ในสายตาของหลวงพ่อ  เช้าหนึ่งในขณะผมนั่งนิ่งหลับตาเหมือนอยู่ในสมาธิ  หลวงพ่อก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าและว่า  โยม  เห็นทุกข์ไหม   มันแผดเผา  และรุ่มร้อนมากใช่ไหม  พิจารณาตัวทุกข์นั่นแล  สังเกตมัน  พอจับตาดูมันมากเข้ามันก็จะเปลี่ยนแปลง   แม้แต่ตัวทุกข์มันก็ไม่ตั้งอยู่นาน   พระสงฆ์เดินเบาและช้าจากไปแล้วแต่เสียงของท่านยังก้องสะท้อนราวคนตะโกนโต้ตอบกันใกล้หน้าผาหินเปลือย   จุดที่หัวใจของผมเจียนสงบลง  สันหลังของผมก็เย็นวาบขึ้น  ในที่สุดก็รู้สึกเอิบอิ่ม   น้ำตาปริ่มขอบตา    เวลานั้นผมอยากถือครองจีวรอย่างนักบวชทั่วไปอย่างสุดหัวจิตหัวใจ   แต่ไม่ถึงเสี้ยวนาทีต่อจากนั้นผมก็รู้สึกธรรมดา ๆ  บางทีบุญของผมอาจไม่ถึงผ้ากาสาวพัสตร์   แต่อย่างไรก็ตามผมก็จะปฏิบัติตนอยู่ในศีลอย่างเข้มข้นแม้ได้ซักเสี้ยวธุลีของศีลบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ก็ตาม

	หลายเดือนต่อมาที่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมสบายขึ้นแล้ว  หลวงพ่ออนุญาตให้ผมกลับไปเยี่ยมพ่อแม่   โดยให้รถปิ๊คอัพของวัดไปส่งและรับกลับ   ในห้วงนั้นเอง  ผมได้พบกับโฉมเฉลาและรู้ข่าวคราวของเธออีกครั้ง  เธอว่าเธอเลิกกันกับฝรั่งเยอรมันคนนั้นแล้ว  และต้องการบวชชี และว่าชีวิตอย่างนักพรตของผมน่าจะสงบสุข   ผมไม่สามารถให้คำตอบและคำอธิบาย ๆ  ใด ๆ แก่เธอเลยครับ    ความเบาสบายในหัวใจ  ผมรู้  ผมรู้สึกได้   แต่ผมอธิบายไม่ได้  ได้แต่นึกอนุโมทนาในใจ

	ดิฉันขอกราบ...จะให้เรียกว่าหลวงพี่ได้หรือเปล่าคะ ดิฉันอยากบวชจริง ๆ ค่ะ

	เอ่อ..ครับ   เอ่อ..ขี้กรากคงกินหัวผมล่ะ ถ้าเรียกอย่างนั้นเพราะผมยังไม่ได้บวช  เรียกอ้ายก่ำซื่อบื้อเหมือนเดิมก็น่าจะได้ครับ  เรื่องบวชชี  คงต้องไปกราบถามหลวงพ่อโน่นแหละครับ

	โฉมเฉลาเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ผมฟังไม่หยุดเมื่อเห็นท่าทีนิ่งฟังและรับรู้ของผม  เธอว่าไปร้องไห้ไปที่ใต้ถุนบ้านของผมนั่นเอง  ผมยิ้มอย่างปลอบ   แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านั้น

	เมื่อกลับไปที่วัด  หลวงพ่อถามคำถามแรกว่า  รู้จักทุกข์หรือยัง  ผมตอบไปว่า   มันไม่มีสิ่งใดเที่ยงเลยครับ   หลวงพ่อยิ้ม  และว่า   ตอบมาตรงคำถามนี่   ท่านถามอีกว่า  ยังอยากบวชอยู่ไหม   ผมว่าแล้วแต่บุญกรรมครับ    หลวงพ่อบอกผมว่า   ขอให้โยมฝึกฝนต่อไปอีกหนึ่งเดือนถ้าบุญถึงก็จะได้บวชสมใจ  ผมยอมตามแต่โดยดี   แต่คุณครับ  คงเหมือนกรรมเก่าของผมตามมาถึง  โฉมเฉลาซิครับเขียนจดหมายมาถึงผมขอให้ไปพบ  เธอบอกว่ารักผม   และรู้ว่าผมก็รักเธอ

	หัวใจของผมเต้นตูมตาม	โอ้ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วหนอ  ๆ   ผมนิ่งแล้วพยายามพิจารณาทุกข์นี้อีกครั้ง  ขณะที่กำลังพิจารณาทุกข์ รอยยิ้มยั่วยวนและตาอันหวานเยิ้มของโฉมเฉลาก็วูบเข้ามากระตุกต่อมสัญชาตญาณสัตว์ป่าของผม


	ผมถอนหายใจยาว    สำนึกบางฝ่ายดีเท่าที่มีอยู่ถามตัวเองขึ้นมาว่า..

	อ้ายก่ำซื่อบื้อเอ๋ย     มึงจะมีวาสนาได้บวชไหมหนอ  !				
15 เมษายน 2550 11:36 น.

::คนหนุ่มสองคนที่ผมรู้จัก::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::คนหนุ่มสองคนที่ผมรู้จัก::
	ก่อพงษ์   พงษพรชาญวิชช์
	14 เมษายน 2550

                     (เผยแพร่ครั้งแรกในpraphansarn.com)
	
	

	ผลา   เป็นหนุ่มใหญ่   ร่างหนา  ตัวสูง ผิวคล้ำ หน้าตาคมคาย  ตัดผมเกรียน  ผมเพิ่งรู้จักเขา   ส่วน  ดลบุญ   เป็นเด็กหนุ่ม  ผิวขาว  ร่างเล็ก ผอม ไว้ผมยาว   ผมรู้จักเขามานาน

	ผลาเป็นเจ้าของที่ดินร้อยไร่เศษ  ที่ปล่อยให้ไม้ขึ้นเองตามธรรมชาติเบียดแทรกกันราวกับป่า   ผืนดินรอบ ๆ ที่ของเขาเป็นทุ่งอันกว้างใหญ่ของคนอื่น ๆ ที่ทำการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อขาย  ในสวนป่าของผลามีวัวขาวฝูงใหญ่เกือบร้อยตัวกินใบไม้ใบหญ้าอยู่ในนั้น   เขาแบ่งที่ออกเป็นล็อค กั้นไว้ด้วยลวดหนามเพื่อให้วัวเข้ากินหญ้าและใบไม้วันละแปลง  ภายในพื้นที่ที่มองจากข้างนอกเข้าไปเหมือนป่ากลางทุ่งแห้งแล้งมีบ่อน้ำขนาดใหญ่สำหรับวัวและปลา มีลอมฟางใหญ่หลายลอมสะสมไว้สำหรับช่วงที่หญ้าและใบไม้ร่อยหรอหน้าแล้ง   ผมได้รู้จักกับผลาเพราะดลบุญ

	ดลบุญ เป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องจากโรงเรียนในหมู่บ้านเดียวกับผม  เขาเป็นคนเรียนเก่ง  ออกจากบ้านตั้งแต่อายุยังน้อยได้ทุนเรียนต่อจนจบระดับปริญญาโท   นาน ๆ เขาจึงกลับบ้าน  แม้จะไม่ค่อยได้เจอหน้ากันผมก็เห็นความเคลื่อนไหวของเขาจากการติดตามอ่านข้อเขียนในนิตยสารวรรณกรรมที่เขาทำ
	ตอนที่เรียนมัธยมด้วยกันดลบุญเคยแข่งขันแต่งกลอนแปดวันสุนทรภู่อยู่คนละทีมกับผม   ทีมอายุน้อยทีมนั้นชนะทีมรุ่นใหญ่อย่างทีมของผมไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด  เขานับถือฝีมือผมและผมก็นับถือฝีมือเขามาตั้งแต่ตอนนั้น     เราทั้งคู่นับถือครูที่พยายามปลุกปั้นให้เราเป็นนักนิยมวรรณกรรมมาตั้งแต่เยาว์วัย     ดลบุญชวนผมไปทำหนังสือด้วยแต่ผมปฏิเสธ   โดยเลือกที่จะใช้ชีวิตราวกับนักบวชไม่ถือครองจีวร

	ผลาแกร่งมาตั้งแต่ อายุไม่ถึง 12   ปีดี  เขารู้หลักในการครองชีวิตมาตั้งแต่วัยที่พ่อแม่ยังไม่แบ่งทรัพย์สินมรดกให้   เขาชอบปลูกและดูแลต้นไม้   ชอบเลี้ยงสัตว์  เขาเริ่มเป็นเจ้าของวัวและแพะมาตั้งแต่อายุ 15 ปี  ต้นไม้ใหญ่ในแปลงของน้าของอาก็เป็นฝีมือการเพาะเมล็ดและปลูกของเขาทั้งนั้น  เวลานี้ไม้พวกนี้โตพอที่จะทำเสาเรือน ทำพื้น ทำฝาบ้านได้  นั่นเป็นสิ่งที่คนมีอายุหลายคนคิดได้แต่ทำไม่ได้  เพราะมาคิดเอาตอนที่อายุมากแล้ว
	
	ดลบุญ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ตั้งแต่อายุไม่ถึงวัยเบญจเพส   เขาพิมพ์หนังสือและออกเร่ขายตามโรงเรียนต่าง ๆ นานหลายปี  จนสะสมทุนมากพอที่จะออกนิตยสารวรรณกรรมได้ด้วยตัวเอง  โดยส่วนตัวดลบุญชอบการเขียนร้อยกรองและเรื่องสั้น เขาเขียนโดยใช้นามปากกาหลายนามปากกา  ในที่สุดเมื่อมีที่อยู่ที่ยืนเป็นของตนเองเขาก็หันไปใช้ชื่อและนามสกุลจริงในการเขียนและทำงานบรรณาธิการกิจ  ในวันที่ผมพบกับดลบุญในงานชุมนุมศิษย์เก่าหนหนึ่ง เขาให้ผมดูต้นฉบับบทสัมภาษณ์ผู้คนที่รอการตีพิมพ์อยู่ไม่น้อยกว่าร้อยสกู๊ป   เป็นผู้คนที่เหมือนเพชรรอการเจียระไนย ทั้งนั้น  ในนั้นมีเรื่องของผลา ที่ดลบุญออกปากชวนผมไปเยี่ยมเยียนด้วย

------

เดี๋ยวมาต่อครับ				
12 เมษายน 2550 21:59 น.

::ถึง-ถึงกว่า-ถึงที่สุด เศรษฐปรัศนี ของ ป.4::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::ถึง-ถึงกว่า-ถึงที่สุด::
ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
12  เมษายน 2550


	ผมเป็นชนชั้นหาเช้าแล้วกินค่ำครับ  แม้อาชีพของผมไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยถึงกับต้องแบก  หาบ  คอน หาม  แต่ก็อยู่ในสังกัดของคนไม่ค่อยมีอันจะกินเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ  

	ของขายที่ผมเอาไปตลาดทุกวันเป็นพวกดอกกระเจียว  ไข่มดแดง  แมงแคง จักจั่น กุ๊ดจี่  อีนูน   กะปอม  แย้ และผักป่า  ของพวกนี้ยังมีหามาขายได้ทุกวันครับ  ลูกค้าขาประจำของผมมีทุกระดับ  ตั้งแต่ปลัด อำเภอ   กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  ครู  ตำรวจ  และแม่บ้าน 

	ผมจ่ายค่าแผงขายของวันละ 2 บาททุกวัน  ทุกคนที่เอาของมาขายจ่ายเท่ากันหมดสำหรับเนื้อที่ 1 ตารางเมตรเท่ากัน   ผมไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะเป็นพ่อค้า  แต่เหตุการณ์ก็ผลักและดันให้ผมเปลี่ยนเส้นทางจากชาวนาธรรมดามาเป็นนักขายเมื่อผมโชคดีได้คาถาวิเศษมาจากชีปะขาวตนหนึ่ง  ทำให้ผมเก่งทั้งค้าขายหงายมือและหาของมาขาย

	เมียของผมเป็นผู้จัดการนะครับ  เธอจัดแต่งข้าวของที่ผมหามาได้ลงในถุงใส รัดร้อยด้วยหนังยางหรือไม่ก็ห่อใบตอง แล้วจัดลงตะกร้าให้ผมใส่ท้ายรถเครื่องไปตลาด   เงินคำกำแก้วที่เป็นผลจากการค้าเธอเป็นคนเก็บเอง  ของใช้จำเป็นอันใดที่ต้องซื้อเธอบอกค่อยเบิกเอาจากเธอ ตั้งแต่แต่งงานกันมาผมไม่เคยเบิกเลย  เพราะทุกครั้งที่เบิกเธอบอกว่า ใช้อันเก่าไปก่อน   ผมนุ่งสวมกางเกงเก่า ๆ เสื้อผ้าปะผุจนชินเสียแล้วครับ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ  เป็นคนหาเช้ากินค่ำแล้วหล่อ เดี๋ยวเสียยี่ห้อคนชั้นล่าง

	อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงจะงงล่ะซีครับ ว่าชั้นล่างอะไรแวะ ใช้คำสูง ๆ ทั้งนั้น   ผมมันเป็นประเภทอ่านดะไงครับ  หนังสือพิมพ์ห่อของไม่มีฉบับไหนผ่านมือผมไปเฉย ๆ   ต้องเสร็จสายตาของผมแล้วทั้งนั้น  บางคนเรียกผมว่าพ่อค้านักอ่าน     ก็แปลกดีครับ

	พูดมาตั้งนานผมยังไม่เข้าเรื่อง "ถึง-ฯลฯ "   นั่นเลย



	ตลาดสดประจำอำเภอเป็นสถานที่ที่จอกแจกจอแจกว่าทุกที่   ที่นั่นมีคนขายมากกว่าคนซื้อ   บางครั้งพ่อค้าแม่ค้าก็ซื้อของกันและกันใกล้เคียงกับการค้าขายแบบโบราณในหนังเกาหลี      พ่อค้าแม่ขายขาประจำก็มาก  ขาจรก็ไม่น้อย   มาจากต่างถิ่นเลยก็มี   ล่าสุดนี่มาจากธนาคารใหญ่ครับ   การค้าของเขานี่แปลกจริง  ๆ    ขณะที่พวกผมขายของเป็นชิ้นเป็นอัน  พวกนั้นขายกระดาษครับ     พูดให้ตรงหน่อยก็คือขายใบเสร็จ  ใบเสร็จที่เขาขายให้พ่อค้าแม่ค้าฉีกออกมาจากเล่มเดียวกันนั่นแหละแต่ราคาไม่เท่ากัน   บางคนซื้อ 50 บาท  บางคนซื้อเป็นร้อยสองร้อย  มากกว่านั้นก็มีคนซื้อครับ   

                       รถธนาคามาจอดหน้าตลาดสดครับ  แล้วคนธนาคารก็ลงมาหาพวกเราอย่างเป็นกันเอง   แหมเข้าถึงจริง ๆ


	ธนาคารของผมนี่มารับใช้ใกล้ชิดพ่อแม่พี่น้องครับ  เรามาตั้งเอทีเอ็มไว้นี่   ในตลาดนี่เอง  อยากถอนเมื่อไรก็ได้  ค่ำมืดดึกดื่นก็ไม่มีปัญหาครับ  ทุกคนมองตามมืออวบอูมที่เขาผายไปยังปั๊มน้ำมันที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดสดนัก


	ผมเอาเครื่องทำสมุดฝากและทำบัตรเอทีเอ็มมาบริการด้วย  ทำตอนนี้ ฝากได้ตอนนี้  ถอนได้ตอนนี้ รถโมบายของเราทำได้ทุกอย่างทั้งฝากและถอน  ก็เหมือนกับในธนาคารทุกอย่าง  แต่ผมจะเป็นออกมารับเงินจากท่านเองทุกวันพฤหัสบดี  ถ้าเอารถคันนี้ออกมาด้วยก็เช็คยอดได้เลย   แต่ถ้าผมออกมาเองผมก็จะออกใบเสร็จให้ทันที  เช็คยอดได้ที่ตู้เอทีเอ็มตรงนั้นได้เลย
  

	ผมอ้าปากหวองงงันกับธุรกิจธนาคารถึงลูกถึงคนนี้    ก็ไม่รู้ว่ามีหน้าม้าหรือเปล่า  แต่แม่ค้าในตลาดสมัครเป็นลูกค้าของธนาคารที่มีโลโก้ห้าห่วงนั้นไปแล้วครึ่งตลาด  ทุกคนได้บัตรเอทีเอ็มฟรี กดดูยอดเงินที่ฝากได้จริง ๆ ด้วย  ดังนั้นทุกวันพฤหัสผมจึงได้เห็นพ่อค้าฉีกใบเสร็จเดินเก็บเงินคนนั้นคนนี้ในตลาดคนละมากบ้างน้อยบ้าง อย่างชินตา อย่างที่ผมพูดไปแล้ว  แหมค้าขายสบายกว่ากูเยอะเลย    ผมคิด


	เฮีย  ไม่สมัครหรือผมทำบัตรเอทีเอ็มให้ฟรีนะ  พ่อค้าใบเสร็จตื๊อผมทุกครั้งที่เจอกันวันพฤหัสบดี ถ้ายอดเงินฝากของเฮียสูงถึงเพดาน ผมทำบัตรเครดิตให้ฟรีอีก   คราวนี้เฮียมีเงินหมุนเยอะขึ้นเลยนะ  จะทำมาค้าขายอะไรก็มีช่องทางง่ายดายหมดแหละ


	ผมใจแข็งไม่ยอมสมัครเหมือนคนอื่น ๆ เหตุผลก็คือเมียเป็นหมดใดทุกอย่างของผมแล้วทั้งธนาคารที่ฝากได้แต่เบิกไม่ได้  เป็นเอทีเอ็มที่คอยกดขี่ข่มเหงผมไม่ใช่ให้ผมกดและอื่น ๆ   ดังนั้นผมจึงยังไม่มีทั้งเอทีเอ็มและบัตรเครดิตเหมือนเพื่อนพ่อค้าแม่ค้าในตลาด  พวกนั้นมีเงินที่จะหมุนทำการค้าได้อีกตั้งหลายตั้งค์เพราะธนาคารทำบัตรเครดิตให้จริง  โดยพ่อค้าใบเสร็จอธิบายเหตุผลรองรับว่าทุกคนมีวินัยทางเงินยอดเยี่ยม   ฝากเงินสม่ำเสมอ  ธนาคารเชื่อมั่นในเครดิตนั้นจึงให้สินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน


	ทิดมีน่าจะทำนะ  เอาเงินมาหมุนค้าขายได้ตั้งแยะ  ยายเพ็งที่ทำบัตรเอทีเอ็มกับคนขายใบเสร็จเป็นคนแรกเชียร์ผมให้สมัครบัตรเครดิต   จารย์เภาแกบยังออกรถได้เลยจากการรูดบัตรง่ายบัตรนี้


	ผมได้ยินแล้วก็หัวเราะ   เพราะหัวสมองของผมนึกไม่ออกดอกว่าจะขี่รถคันโก้ไปหาขุดแย้ตรงไหนมาขายเพิ่มขึ้น   และคนที่จะกินแย้ของผมจะเพิ่มขึ้นจะผุดขึ้นมาจากตรงไหน   

	ผมขอสละสิทธิ์เน้อ   เมียไม่อนุญาต  นั่นเป็นทางออกง่าย  ๆ ที่ใช้ได้ดี    ที่ต่อให้มาตื๊อกันกี่คน  ตื๊อถี่อย่างไรก็เปลี่ยนแปลงเมียผมไม่ได้  เพราะเธอไม่ได้มาตลาด  (ฮา)


	เวลาผ่านไปไม่ถึงปีดี  ธนาคารที่ผมพูดถึงก็ได้ลูกค้าพวกแม่ค้าพ่อค้าไปหมดตลาดยกเว้นยายแก่ ๆ กับทิดหัวทึ่มอย่างผมเท่านั้น    ทุกวันพฤหัสบดี รถธนาคารก็จะออกมาเก็บเงินจากแม่ค้าพ่อค้าในตลาดสด ขนเงินออกไปเป็นถุงเป็นถุง   ผมคิดในใจว่า ชาติหน้าหรือชาติไหนวะข้าพเจ้าจึงจะมีวาสนาขายกระดาษเป็นเงินเป็นทองแบบนี้  แต่ผมก็คิดไปอย่างนั้นแหละครับ  เพราะไม่เคยมีใครกลับมาบอกได้ซักคนว่าชาติหน้าของเขาแต่ละคนที่ตายไปนั้นชีวิตพวกเขาเป็นอย่างไรจริง ๆ ยังจนหรือมั่งมีกันหมด   หรือว่าพรรคพวกที่นั่งขายอยู่ในตลาดตอนนี้คือพวกที่อดีตชาติเคยอธิษฐานให้เป็นคนมีเงินมีทอง  ก็พวกเขามีบัตรเครดิตให้รูดคนละใบสองใบกันทั้งนั้น   แถมมีรถใหม่คันโก้นั่งไปซื้อของจากในเมืองมาขายไม่ต้องอาศัยรถประจำทางแออัดเบียดเสียดยัดเยียดอีกต่อไป


	ทำไมมึงโง่แท้อ้ายทิด  เงินที่มึงขายของได้ก็แบ่งเอาไว้ซี  อยากจะทำบ่งทำบัตรอะไรมึงก็ทำได้หมดแหละ   ตลาดสดบ้านอื่นเมืองอื่น  ตำบลอำเภออื่นเขาก็ทำกันหมดแล้ว   ยายเพ็งคงจะหมดความอดทนต่อความเขลาและไม่ทันสมัยของผมที่แกดันแล้วไม่ได้ผล


	ปล่อยผมเถอะครับย้าย   ผมเป็นคนเกิดมาไม่มีวาสนาที่จะเป็นคนมีเครดิตแบบคนอื่น ๆ เขา


	เชื่อไหมครับ   ตอนนี้บริษัทรถเครื่อง  รถจักรยาน  รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเขาเข้าถึงคนระดับพวกผมด้วยวิธีการแบบเดียวกัน หรือคล้ายกันนี้จนพรุนไปทั้งอำเภอ ตำบล หมู่บ้านแล้วนะครับ   เราเป็นพลเมืองเงินผ่อน   ผ่อนส่งเงินต้นของตนเองเกือบทุกคน


	แล้วถึงที่สุดประเทศเราจะเต็มไปด้วยพลเมืองแบบกู้เงินตัวเองใช้และส่งดอกเงินต้นของตัวเองหรือเปล่าครับเนี่ย   หรือมันจะเป็นแบบไหน   ไหน   ใครเป็น มหาบัณฑิตมาตอบคำถาม ป.4 อย่างผมหน่อยซีครับ				
11 เมษายน 2550 14:34 น.

::คำขอของผีและการปิดการขายของเขา::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::คำขอของผีและการปิดการขายของเขา::
			ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
				11  เมษายน  2550

	ผีในคำเรียกขานของคนในธุรกิจMLM หมายถึงใครก็ได้ที่เริ่มต้นธุรกิจเครือข่ายแล้วไปไม่รอด  จอดกลางครัน กลายเป็นผีหลอกหลอนแม่ข่าย หรือคนในเครือให้ขยะแขยงด้วยเกรงว่าจะเป็นแรงเสียดทานในการไปสู่เป้าหมายในธุรกิจที่โยงเป็นเส้นใยไม่รู้จบ


	ผมเป็นผีมาตั้งแต่ปี 2545  ปีนั้นผมเริ่มต้นเป็นลูกข่ายธุรกิจขายประกัน  ความล้มเหลวของผมคือไม่กล้าเอ่ยปาก  ผมเข็ดขยาดการปฏิเสธอย่างเข้ากระดูกแดง  ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงของผมมาจากการที่ผมเคยถูกปฏิเสธเมื่อสมัยเป็นเด็กที่เอ่ยปากขอข้าวสารเขามานึ่งจี่    ช่วงนั้นบ้านเกิดของผมแห้งแล้งมาก  แล้งต่อกันหลายปี  ผมต้องดื่มน้ำขุ่น ๆ จากบ่อที่ไปรอขอดเอาหลายหมู่บ้าน  น้ำอาบพอมีบ้างแต่รสเค็มออกขมถูกสบู่เป็นคราบขาวเพราะน้ำใต้ดินแถบนั้นเป็นน้ำเค็มทั้งนั้น  เมื่อทำนาไม่ได้เราก็ต้องออกขอข้าวเปลือกข้าวสารเขามากินครับ  การเป็นผู้ขอนี่ต่ำต้อยเหลือเกินในความนึกคิดเบื้องลึก  ธุรกิจขายประกันของผมก็ล้มเหลวลงเพราะสวนความรู้สึกผู้ขอของตนเองไม่ได้


	สองปีต่อมาผมสมัครเป็นลูกข่ายธุรกิจขายตรงสินค้าอุปโภคบริโคนามอุโฆษสามบริษัท  ผมกินเองใช้เองสินค้าราคาสูงเหล่านั้นอย่างกับคนมีกะตังค์ทั้งหลาย  ในขณะกินผมท่องคาถากินแล้วรวยทุกวันทั้งเช้าเที่ยงเย็นโดยติดยันต์กันจนไว้หน้าบ้านด้วย ยันต์นั้นมีเนื้อความว่า กูให้มึงมีอิสระทางการเงินและเวลา  เวลาผ่านไปหนึ่งปีที่ผมออกหาลูกค้าและลูกข่ายได้เครือนั้นสามสายเห็นเงินขึ้นในบัญชีทั้งสิ้นหมื่นกว่าบาทแต่ผมก็ได้กินและใช้สินค้าไปหลายหมื่นบาทเช่นกัน     คุณเชื่อไหมครับ  ตอนนี้คนที่เริ่มธุรกิจพร้อมกับผมขึ้นฝั่งฝันของเขากันเกือบหมดทุกคน   แต่ผมยังตกตะกอนนอนก้นอยู่ในเมรุสำนึกแห่งผู้กลัวการขออย่างไม่รู้ผุดรู้เกิด  กลายเป็นผีหลอกวิญญาณหลอนสำหรับใครต่อใครอยู่เกือบตลอดนาทีที่ผมเดินออกไปนอกเรือนชาน  


	ผมเขียนวงจรMLMและวิถีของมันได้นะแต่ผมเข้าไม่ถึงวิญญาณของมัน    จึงเป็นเพียงภูติทางธุรกิจที่อาจจะหลอกหลอนเพื่อนพี่ป้าลุงหรือคนรักที่อยู่ในสายอมตะMLMทั้งหลายนั้น  


	เมื่อวานเพื่อนของผมโทรศัพท์มาหาและชักชวนผมให้เริ่มต้นธุรกิจMLMของธุรกิจน้ำมัน   ก่อนหน้านั้นสามวันหนังตาซ้ายของผมกระตุกเต้นอย่างแรง   เขามาหาผมพร้อมแผนการตลาดและเครือข่ายที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เขาบอกว่านี่เป็นธุรกิจที่ใหม่สุด MLM สายอื่นทำเงินจากรายจ่าย  แต่MLMของเขาทำเงินจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง   ผมฟังวิถีการตลาดและเครือข่ายใหม่นี้อย่างตื่นเต้น  เสียงหัวใจตีซี่โครงตึงตูมเลยทีเดียว  ถ้าเป็นเมื่อปี2545 ตาของผมคงลุกวาวด้วยความอยากรวยและมีอิสระทางเวลา   แต่ตอนนี้หัวใจของผมกระตุกเต้นครับ ว่าจะปฏิเสธเพื่อนคนนี้อย่างไร   


	สมัครเลยนะ   เพื่อนของผมปิดการขายทันที

	ขอบคุณมากเพื่อนรักที่นำสิ่งดี ๆ มาแนะนำ  ผมบริจาคเงินให้วัดไปหมดแล้ว  เพื่อจะมั่งมีในชาติหน้า  ตามที่MLMศาสนพานิชย์แห่งหนึ่งสะกดจิตของผมให้เข้าMLMบุญของเขา  ผมพูดแบบกึ่งหัวหมอและหัวหมู


	งั้นก็..ไม่เป็นไรเพื่อน  นายเชื่อไหมว่าไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

	อ๋อ..ผมเชื่อไตรลักษณ์

	นั่นแหละ  ถ้านายมีคนรู้จักอยากทำธุรกิจน้ำมันMLM บอกผมนะ ผมจะแนะนำเขา  แค่นี้นายก็มีรายได้แล้ว เราจะให้นายเป็นแม่ข่ายปริยาย รอรับรายได้จากการเผาไหม้ไม่รู้จบ  เพื่อนของผมปิดการขายครั้งที่สองสำเร็จอีก
	ได้เพื่อน  แต่ผมขออย่างหนึ่งได้ไหม

	อะไรหรือเพื่อน  เขาจ้องตาของผมไม่กระพริบ ถ้าไม่เกินความสามารถเราจะทำให้

	ไปเปลี่ยนอนาคตหรือชาติหน้าที่ผมเคยปรารถนาเอาไว้ต่อMLMศาสนพานิชย์ให้หน่อย  คราวก่อนโน้นผมอธิษฐานว่าให้เกิดบนกองเงินกองทอง อย่าอดอยากยากจน อย่าได้เป็นผู้ขอ 


	ได้เพื่อน  แต่เขียนใบสมัครนี้ก่อนนะ				
7 เมษายน 2550 01:21 น.

::โศกพิรี้พิไรรำพัน::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::โศกพิรี้พิไรรำพัน::
ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
6 เมษายน 2550 

                                     (      เผยแพร่ครั้งแรกในpraphansarn.com
                                           ในกระทู้ของวิวรรธน์ )


	ฟ้ากำหนดให้จันทร์บัง  มาเป็นคนเลี้ยงเป็ด  เขาเช่าพื้นที่ริมหนองน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงเป็ดแบบกึ่งปล่อยกึ่งขัง  ทุกเช้าเขาจะขี่รถเครื่องคันเก่าต่อท้ายสองข้างเพื่อวางแผงไข่ออกขายไข่ตามหมู่บ้าน  ไข่เป็ดของจันทร์บังขึ้นชื่อมากในเรื่องความใหญ่และไข่แดงเข้ม  จันทร์บังไม่ใช่คนธรรมดาครับ   เขาขยันชนิดหาตัวจับยาก  ทำโน่นทำนี่สารพัด   แต่ที่ผมนิยมเขาไม่ใช่ขนาดของไข่และอะไรที่เขาทำเปื้อนเหงื่อได้ทั้งวันนะครับ   ผมนิยมโคลงของเขา   ใช่แล้วครับโคลงสี่สุภาพนั่นแหละ  จันทร์บังเขียนโคลงได้เป็นเล่ม ๆ ถ้อยคำเพราะพริ้งกินใจ

	
	ผมได้รู้จักความชำนาญเชิงโคลงของจันทร์บังในวันหนึ่งที่ไปซื้อไข่เพื่อให้ลูกชายเอาไปทำไข่เค็มที่โรงเรียน   หนนั้นผมเหมาไข่เป็ดของจันทร์บังไป 30 ฟอง เขายิ้มแย้มดีใจและเอาสมุดจดโคลงมาให้ชม  ปกติมือโคลงคนนี้ไม่เปิดเผยตัวเองต่อใครง่าย ๆ นอกจากจันทร์บังแล้วคงมีผมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งมั้งครับที่รู้ว่าโคลงกูรูได้มาเกิดผิดที่อยู่ที่นี่


	จันทร์บังบอกเคล็ดลับในการขุนเป็ดว่าต้องให้เปลือกหอยคลุกกับข้าวเปลือก ในนาข้าวของชาวบ้านรอบหนองน้ำมีหอยเชอรี่อยู่เต็มไปหมด  หอยชนิดนี้ออกไข่แดงเถือกเห็นลานตาอยู่ตามกอข้าว คนปลูกข้าวถือว่าหอยเชอรี่คือศัตรูพืชหมายเลขสองรองจากปูนานะครับ  สัตว์สองชนิดนี้ปราบอย่างไรก็ไม่หมด  แต่เมื่อจันทร์บังมาอยู่ที่นี่ดูเหมือนหอยและปูบางตาลงไปมาก ด้วยหนุ่มใหญ่มือโคลงเก็บมาเลี้ยงเป็ดซะเกือบเกลี้ยง  ถ้าปูกับหอยหมดนา บางทีจันทร์บังคงย้ายที่ไปเลี้ยงเป็ดในถิ่นใหม่ต่อไปอีก


	หญิงสาวคนที่ผมพูดถึงเป็นคนผิวขาวหน้าตาเกลี้ยงเกลา  ผมเข้าใจว่าเธอเป็นนักศึกษาที่มาเก็บข้อมูลชุมชนเพื่องานวิจัยของอาจารย์ เธอไม่ได้สัมภาษณ์ผม เธอสัมภาษณ์จันทร์บัง ส่วนเพื่อน ๆ ของเธอสัมภาษณ์ชาวบ้าน รวมทั้งตัวผมด้วยเรื่องรายได้และรายจ่ายในครัวเรือน  พวกเธอมาอยู่ในหมู่บ้านหลายวัน  โดยพักอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านกลางหมู่บ้าน


	มีใครได้เคยดูสมุดจดโคลงของจันทร์บังไหม  ผมถามขณะหย่อนก้นลงม้านั่งยาวใกล้เพิงที่พักของเขา  กลิ่นสาบของเป็ดโชยมารุนแรง     หน้าผมคงเริ่มเหยเกให้คู่สนทนาเห็น  เขาว่า

	
	กลิ่นแรงไปหน่อย  ผมอยู่นี่จนชิน  คุณคงไม่ชิน เออ ก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งได้อ่าน   เธอขอยืมไปถ่ายเอกสารด้วย


	อืม..ครับ..ไม่เป็นไรครับ  ผมก็อยู่กับกลิ่นเหมือนกัน  คงชินกลิ่นวัวและขี้ของมันจนไม่รู้สึกอะไร    แล้วน้องคนนั้นว่าอย่างไรบ้างครับ


	เธอเทียวพูดว่า  วิเศษ วิเศษ อยู่เกือบตลอดเวลาที่เปิดอ่าน  ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยมากอย่างนี้มาก่อน เวลาอ่านหนังสือมีเสน่ห์ เหมือนผู้หญิงในวรรณคดี


	ผมเห็นด้วยมากทีเดียวครับจันทร์บัง  เห็นด้วยเรื่องหญิงสาวคนนั้นและคำว่าวิเศษของเธอ   โคลงนี้ขึ้นสูงลงสูง เขียนได้ยาก  อ่านได้ง่าย  วิเศษจริง ๆ ครับ 


	ขอบคุณมาก  ขอบคุณมาก   ตั้งแต่เป็นคนมา  ผมไม่เคยได้รับคำชมจริงใจอย่างนี้จากใครเลย  ส่วนมากคนมองผมอย่างเย้ยหยัน  ทำนองอ้ายดำจอมงกอะไรทำนองนี้


	ม่าย  ๆ จันทร์บัง ไม่ใช่คนอย่างนั้น  จันทร์บังเป็นคนจริงผู้สร้างตัว   ผิดกับผมที่เหลาะแหละเหลวไหล   จันทร์บังเชื่อไหม  ผู้หญิงทุกวันนี้เขาเกลียดผู้ชายเหลาะแหละเหลวไหลนะ   บางคนไม่ยอมแต่งงานเพราะกลัวจะถูกเกาะ  คนอย่างจันทร์บัง  ผมว่าผู้หญิงต้องชอบมากแน่ๆ  มีทุกอย่างทั้งเงินและพลัง


	ฮ่า ๆ  เข้าใจพูดนะ  เดี๋ยวรออยู่นี่  ผมจะเอาน้ำในตู้เย็นมาให้กิน


	เมื่อจันทร์บังอ้อมเพิงไปที่ใต้ถุนบ้าน  ที่อยู่ห่างไปซักสิบก้าว ผมก็ถือโอกาสสำรวจสมุดโคลงต่อ   ผมจะอ่านให้ฟังซักบทนะครับ

	
                           ๒๓๓ แรมรอนมาเหนื่อยแล้ว....เรียมเอ๋ย
	               ยังโศก บ สร่างเลย............ชีพข้า
	               วนเวียนหวั่นทรวงเหวย...ยังหวั่น อยู่นอ
	               พอเถิดแนวโศกล้า.............ผ่อนเช้าโรยสาย  ๚

                           ๒๓๔  ....


	เสียงเจ้าของฟาร์มเป็ดเดินแกรก ๆ มาแล้วครับ  ผมหันไปทางนั้น  เจ้าของเสียงเดินลากเท้าถือแก้วน้ำสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้งมา 2 เขายื่นให้ผมหนึ่ง

	
	ได้แล้วครับ  น้ำเย็น  แม้ผมจะอยู่ดูสกปรก  แต่น้ำดื่มและของกินของผมมาจากห้างนะ


	ครับผม  ขอบคุณครับ


	    เขาดื่มน้ำให้ดู  ทำให้ผมต้องดื่มตาม เพื่อแสดงว่าผมเชื่อในความสะอาดของน้ำแก้วพลาสติกสำเร็จรูปตามที่เขาพูด


	เป็นไงคุณชอบไหม


	น้ำนี่หรือโคลงครับ


	ฮ่า  ๆ โคลงสิ


	ชอบมาก  ผมไม่แปลกใจเลยที่น้องคนนั้นขอไปถ่ายเอกสาร  แต่ว่าจันทร์บังไม่หวงหรือถ้าเขาเอาไปพิมพ์ขาย ผมจ้องหน้าและปิดสมุดโคลงแต่ยังถือไว้


	ถ้าน้องเขาเอาไปพิมพ์  ผมยินดี   แต่ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่ให้



	ผมอยู่คุยกับจันทร์บังเรื่องโคลง ฉันท์ กาพย์กลอน  หลายนาทีจนแฟนโทรตาม จึงลาจากโคลงกูรูออกมา  เจ้าของฟาร์มแถมไข่ให้อีกหลายฟองโดยบอกว่าสนับสนุนการศึกษาการทำไข่เค็มของลูกชายของผม  


	หลังจากวันนั้นแล้วผมไม่ได้ไปอ่านโคลงของจันทร์บังอีก   เพราะมีธุระเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพื่อติดต่อเรื่องการเรียน  ไม่อยากเชื่อสายตาเลยครับ  ผมได้เห็นจันทร์บังนั่งเหมือนรอใครอยู่ที่ซุ้มกิจกรรมของนักศึกษา ใกล้อาคารสโมสรนักศึกษา    ผมนึกภาพนิยายขึ้นในใจ  แต่มันเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้นเองว่า   จันทร์บังอาจจะมีใจปฏิพัทธ์กับน้องนักศึกษาคนนั้น  แล้วตามเธอมาเพื่อพูดคุยเรื่องพิมพ์หนังสือคำโคลงของตนเอง     เมื่อติดต่อเรื่องการเรียนจนแล้วเสร็จกลับออกมาจากสำนักงานอธิการบดี  ผมก็ยังเห็นจันทร์บังนั่งอยู่ที่เดิม   ผมเดินเข้าไปทักตามประสาคนที่เคยรู้จักกัน   ฝ่ายนั้นมีท่าทีอาย ๆ ครับ   เมื่อจับท่าทีของเขาได้ว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวผมก็ขอตัวลาจากมา


	เพื่อนของแฟนผมที่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเล่าให้ฟังว่าคนเลี้ยงเป็ดคนนั้นแวะเข้าไปที่ตึกอาคารสโมสรนักศึกษาบ่อย ๆ  แรก ๆ ก็มีคนมาพูดคุยด้วยหลายคน  หลัง ๆ มา  ไม่มีใครมาพูดคุยด้วยเลย   ได้ยินเรื่องเท่านั้นผมก็ปะติดปะต่อนิยายของผมจนจบเรื่อง   และแวะไปพิสูจน์สมมติฐานของตัวเองอีกครั้งว่าจริงหรือไม่จริง   การกลับไปที่ฟาร์มเป็ดของกูรูโคลงหนหลังนี้ผมต้องนั่งจิบวิสกี้ข้าวเหนียวแนมโคลงอยู่เป็นเพื่อนของจันทร์บังอยู่นับช่วงโมง    และได้รู้ว่าจันทร์บังหลงรักน้องนักศึกษาสาวคนนั้นอย่างหัวปักหัวปำ  แต่เธอไม่ได้สนใจจันทร์บังจริง ๆ หรอก   นั่นแลผมจึงได้มีโอกาสฟังโคลงสดของจันทร์บัง  ในบทที่ชื่อว่า โศกพิรี้พิไรรำพัน    เสียดายที่ไม่ได้เอาเครื่องบันทึกเสียงจิ๋วไปด้วย ไม่งั้นผมต้องได้หนังสือหนึ่งเล่มส่งประกวดรางวัลเซเว่น    บุ๊ค อวอร์ดปีนี้อย่างแน่นอน


	หลังจากนั้นไม่นานนักจันทร์บังก็ได้ย้ายถิ่นไปตั้งฟาร์มที่หนองน้ำแห่งใหม่   ก่อนไปเขาบริจาคเงินให้หมู่บ้าน 100,000 บาท เป็นกองทุนหมุนเวียน โดยขอให้ตั้งชื่อหนองน้ำที่เคยเป็นฟาร์มของเขาว่า  หนองพิริ้พิไร



	โชคดีในความรักนะครับจันทร์บัง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์