12 ตุลาคม 2550 02:53 น.

สารภาพ: ขอโทษ

ยังเยาว์

ที่รัก...ไม่รู้ฉันจะยังใช้คำนี้ได้ไหม
แต่คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมหาก "ที่รัก" คำนี้หมายถึงเพื่อนที่รัก หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ได้หมายถึง "คนรัก"
ฉันขอเริ่มต้นเรื่องของ "เรา" ด้วยคำนี้
คำที่ฉันอยากบอกกับคุณมากที่สุด ...ขอโทษ...

คุณยังจำค่ำนั้นได้ไหม
วันนั้นที่ฉันนัดคุณมาทานอาหารเย็นที่บ้าน
ฉันบอกกับคุณว่า...

ถ้ามาหกโมงเย็น...เราจะช่วยกันทำอาหาร
ถ้ามาหนึ่งทุ่ม...อาหารฝีมือฉันจะเสร็จเรียบร้อย รอคุณมานั่งทานด้วยกัน
และถ้าคุณมาสองทุ่มครึ่ง...อาหารคงหมด แต่ฉันจะเหลือจานไว้ให้คุณล้างล่ะ

คุณหัวเราะอย่างเห็นขัน คงเริ่มชินกับคำพูดติดตลกของฉันซะแล้ว
คุณไม่ตอบ...

ฉันไม่ได้หวังว่าคุณจะมาช่วยทำ แค่ตั้งใจอยากทำให้คุณทาน
ฉันมีเพื่อนเป็นลูกมือในครัวถึงสามคน
เราไม่ได้ดินเนอร์กันสองคน แต่เราจะมีปาร์ตี้เล็กๆ ในหมู่เพื่อน
ไม่บอกก็คงรู้ คุณจะได้รู้จักเพื่อนฉัน แล้วฉันก็เต็มใจที่จะแนะนำคุณกับเพื่อนๆ

คุณมาถึงตอนหกโมงตรง จูงจักรยานเข้ามาในตึกอย่างคุ้นเคย
รอยยิ้มน่ารักปรากฏอยู่บนใบหน้า จักรยานคันเก่ากับเสื้อสีแดงตัวเก่ง
เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้... แต่วันนี้ฉันรู้สึกเศร้าจัง

คุณทักทายกับเพื่อนๆ ฉันอย่างสนิทสนม
เข้ามาช่วยทำอาหารในครัวแบบเป็นกันเอง
คุณอาจจะไม่รู้ตัวหรอกว่าวันนั้นคุณทำให้ฉันรู้สึกว่า...คุณน่ารักจัง...ตั้งหลายครั้ง

แล้วคุณยังจำได้ไหมที่รัก?
ตอนที่พวกเรากำลังขะมักเขม้นทำอาหารกันอยู่
ฉันเผอิญเดินไปเหยียบเท้าคุณเข้า
คุณไม่ได้ร้องหรอก แต่ฉันรู้ว่าคุณเจ็บเพราะตัวฉันก็หนักไม่เบา
ฉันตกใจทำอะไรไม่ถูก พร่ำขอโทษคุณซ้ำๆ
แล้วถามว่าคุณเป็นอะไรรึเปล่า
คุณก็มัวแต่อมยิ้มน่ารักน่าหมั่นไส้ ไม่ตอบสักคำ...

อย่าทำอย่างนี้อีกเลย อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณน่ารักไปมากกว่านี้
เพราะมันทำให้ฉันรู้สึก...ผิด...และ...เศร้า...

คุณไม่รู้หรอกคนดีชั่วขณะหนึ่งน้ำตาฉันมันจะไหล
ฉันโผเข้าไปกอดคุณแน่นๆ เอ่ยเบาๆ แต่หนักแน่น 

"ฉันขอโทษ"

...ขอโทษนะคนดี
ขอโทษที่ฉันไม่ได้รักคุณ
ขอโทษที่แกล้งทำเป็นรักคุณ
ขอโทษที่ฉันทำให้คุณรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้รักคุณมากพอที่คุณจะทุ่มเทให้
ขอโทษที่มองข้ามความจริงใจของคุณอย่างไม่น่าให้อภัย

และขอโทษที่คิดว่าคุณคงแทนเงาของ...ใคร...ได้
ทั้งๆ ที่ฉันไม่เคยทิ้งเงาเขาออกจากใจเลย

ฉันขอโทษ...

ได้แต่พร่ำบอกในใจอย่างนั้น
ฉันกลืนน้ำตาที่มันทำท่าจะเอ่อออกมา พร้อมกับกอดคุณแน่นๆ 
คุณเอ่ยปลอบและลูบหลังเบาๆ แล้วคุณกลับขำซะอีก
คุณคงคิดว่าฉันเป็นคนขี้แยมากใช่ไหมถึงหัวเราะอย่างนั้น
เพื่อนๆ ได้แต่หันมามองและอมยิ้ม

แต่ฉันสิ...
ไม่สนุกเอาซะเลย ไม่สนุกเลยที่จะล้อเล่นกับใจใคร

...ขอโทษ...ครั้งนั้นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ฉันมีโอกาสเอ่ยออกไป
เพื่อแทนความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจ
คุณรับรู้แต่คุณคงไม่เข้าใจ
จนถึงวันนี้ฉันก็ยังอยากจะเอ่ยคำนั้นอีกสักครั้ง 

อาจจะเพื่อบอกคุณว่า...ขอโทษฉันรักคุณเข้าซะแล้ว
แต่มันคงสายเกินไปที่จะเอ่ยคำนั้นอีก

"ขอโทษ"


				
25 กันยายน 2550 23:59 น.

เมื่อความรักมาทักทาย

ยังเยาว์

เมื่อก่อนถ้ามีคนถามฉันว่า...ความรักของคุณสีอะไร? ฉันคงไม่ลังเลที่จะตอบว่า...สีฟ้าค่ะ หัวใจฉันมันเป็นสีฟ้า 

ไม่รู้ตัวว่าชอบสีฟ้าตั้งแต่เมื่อไร ฉันมีผ้าปูที่นอนสีฟ้า หมอนสีฟ้า เสื้อสีฟ้า กระโปรงสีฟ้า กระเป๋าสีฟ้า แฟ้มสีฟ้า กล่องดินสอสีฟ้า ปากกาสีฟ้า ฯลฯ และฉันรู้สึกว่าหัวใจฉันมันเป็นสีฟ้า

เขาชอบสีฟ้า... เสื้อตัวเก่งของเขาสีฟ้า รองๆ มาก็เชิ๊ตตัวสีน้ำเงิน ไม่รู้สินะ ฉันว่าเขาดูดีเวลาเขาใส่เสื้อสีนี้ ทุกครั้งที่เจออะไรสีฟ้าก็นึกถึงเขาขึ้นมาทันที บางทีก็ทำให้อมยิ้ม แต่หลายครั้งมันก็ทำให้ฉันร้องไห้ 

คนเรานี่ก็แปลกนะ ก่อนหน้าเราเคยรู้สึกเจ็บปวดแทบตาย แต่พอเวลาผ่านไปเรากลับมองมันด้วยสายตาเฉยเมย ไม่เจ็บ ไม่ปวด แม้จะยังเหลือรอยเศร้านิดๆ แต่เรากลับหัวเราะให้มันแทนที่จะร้องไห้ ...อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว... เราจำอดีตได้สักแค่ไหนกัน ในเมื่อความรู้สึกของเพียงเสี้ยววินาทีที่แล้วเรายังตอบไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร น่าขำนะ 

	"Excuse Me" เขาเอ่ยอย่างสุภาพ ฉันหันมองซ้ายทีขวาที เอ...ไม่เห็นมีใคร ก็คงจะพูดกับฉันละมัง

"ค่ะ มีอะไรรึเปล่าค่ะ" ฉันตอบยิ้มๆ ด้วยภาษาเดียวกัน	

"เอ่อ เมื่อสุดสัปดาห์คุณไปเอกมัยรึเปล่ารึเปล่าครับ" ภาษาอังกฤษเขาชัดทีเดียว 

ฉันเดาว่าเขาเป็นคนเวียดนามหรือไม่ก็สิงคโปร์สำเนียงภาษาอังกฤษของเขาไม่ติดสำเนียงจีนเลยสักนิด ถึงหน้าตาเขาจะค่อนไปทางนั้นเมื่อเห็นแรกๆ 

เอกมัย เหรอคะ ไม่มังคะ

ไม่เหรอครับ ผมว่าผมเจอคุณที่เอกมัยนะ

คุณอาจจำคนผิดก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้โมเมซักนิด ก็เมื่อสุดสัปดาห์ฉันนั่งทำรายงานที่บ้านทั้งสองวัน

งั้นเหรอเหรอครับ ถ้าอย่างงั้นก็ขอโทษนะครับ

ฉันยิ้มตอบเป็นเชิงว่า ...ไม่เป็นไรค่ะ...

แต่ดูท่าทางเขายังพยายามชวนคุยต่อ แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้ามากนัก จึงกลายเป็นเขาถามคำฉันตอบคำซะส่วนใหญ่ ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้สึกว่าฉันไม่ค่อยใส่ใจตอบคำถามนัก เขาเลยรวบรัดเอาดื้อๆ ว่า

แต่ผมเจอคุณนั่งรถตู้ออกมาพร้อมกันบ่อยๆ ผมจำคุณได้

อ๋อค่ะ นั่นฉันแน่นอน ฉันหัวเราะเบาๆ

เราไม่ได้สนทนากันต่อหลังจากนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตารอรถเมลล์ต่อไป ส่วนฉันมีเวลานั่งคิด ให้ตายสิ... พอจะนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้เองที่ฉันเจอเขารอรถตู้ที่เดียวกัน แล้วเขายังนั่งรถเมลล์สายเดียวกันกับฉันมาเกือบครึ่งปี ส่วนอีกหนึ่งปีเต็มเราก็เจอกันที่ป้ายจอดรถตู้แทบทุกเย็น พอนึกได้จะเอ่ยปากเริ่มต้นสนทนาอีกที รถเมล์ก็จอดเทียบซะก่อน 

..............................

	.............................

เปล่า...เราไม่ได้นั่งด้วยกัน ฉันนั่งเบาะด้านหน้า ส่วนเขานั่งเบาะแถวหลังฉัน

...จำได้ว่า... ผู้ชายคนนี้เองที่ยืนคุยกับใครคนนั้นที่ฉันแอบเหล่ เอ๊ย มอง มาแรมปี เขาออกจะตัวสูงใหญ่ แต่ฉันไม่ยักกะจำได้แต่แรก (เพราะมัวแต่นึกถึงอีกคน) เขาขึ้นรถเมล์คันเดียวกันในวันที่ฉันเลิกเรียนค่ำ เขาลุกให้ผู้หญิงนั่ง และปฎิเสธที่จะนั่งเบาะว่างกับผู้ชายมีน้ำใจอีกคน สุดท้ายก็ไม่มีใครนั่ง ปล่อยที่นั่งว่างไว้อย่างนั้น (จำได้แม่นเพราะที่นั่งนั้นอยู่ฝั่งตรงข้าม และสองหนุ่มก็ยืนเกี่ยงกัน---ไม่มีใครนั่ง---อยู่ข้างๆ พอดี) เขาจะชอบนั่งเงียบระหว่างทาง เขาพูดไทยไม่ได้ แต่เขาบอกกระเป๋ารถเมล์ได้ว่า สนามบิน ตอนจ่ายเงิน (และฉันก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนไทยตั้งแต่ได้ยินคำว่า...สนามบิน...ของเขาครั้งแรก) เขาจะลงรถก่อนฉันสามป้าย พอตั้งใจนึก เรื่องราวปลีกย่อยมากมายก็ผุดขึ้นมาในสมอง เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้น เขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้านี่นา 

พอคิดจะทักอีกที เขาก็เดินไปกดกริ่งเตรียมลงจากรถซะแล้ว เฮ้อ ทำไมฉันคิดอะไรช้าจัง

ฉันเป็นคนที่ไม่เจอในรักแรกพบ แต่ฉันเชื่อว่าคนเราจะรักกันได้ ต้องเรียนรู้กันและกัน ต้องแบ่งปันความรู้สึกและบางช่วงเวลาร่วมกัน กว่าจะเรียน...รู้...และยอมรับ บางทีเราก็เห็นบางคนหมดแรงยกธงขาวไปซะก่อน แต่ไอ้ความรู้สึกหัวใจพองโต...นิดๆ แบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่น้า

ตั้งใจไว้ว่าหากพบเขาคราวหน้า จะเอ่ยทักเขาก่อน อาจจะ "Say Hi"อืม ไม่ดีๆ เอาเป็นว่า สวัสดี กันดีกว่า เอ หรือเราจะเอ่ย Excuse me" ก่อนดีน้า

คิดแล้วก็ขำตัวเองจริงๆ

แต่ไม่แน่นะ ถ้าคราวหน้ามีคนถามฉันว่า...ความรักของคุณสีอะไร? ฉันอาจจะตอบไปว่า...ความรักของฉันเป็นสีชมพูค่ะ และหัวใจฉันมันเป็นสีแดง!!!
				
23 มิถุนายน 2550 23:06 น.

หอบใจเมือบ้าน: Young Guides

ยังเยาว์

วันนั้นออกจะเงียบเหงา
หลานๆ ก็ดูจะหายหน้าไปในวันที่สาม
นัยว่าเริ่มหมดสนุกกับน้า กับของฝากเสียแล้ว

ขณะที่นั่งเหงาคนเดียวที่บ้าน
เสียงเฮฮาแสนสนุกของเด็กๆ จากบ้านใกล้ก็ดังแว่วมา 
หลานมีเพื่อนวัยเดียวกันอยู่ราว 4-5 คน
ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย เย็น 
เจ้าขบวนการสุดสนุก (และสุดแสบ) นี่ก็มารวมตัวกันได้ตลอด

เข้าใจว่าหลานก็คงสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกันมากกว่า
แต่ก็อดหงุดหงิดหัวใจไม่ได้
แหม หลานจ๋า น้ามาไกลเชียวนะ ทิ้งกันแล้วเหรอ

ชั่วแวบ ก็เกิดความคิดชั่วร้ายแบบบริสุทธิ์เล็กๆ

อะฮ้า เราชวนหลานกับเพื่อนๆ ไปเดินเที่ยวกันดีกว่า
				
6 พฤษภาคม 2550 17:37 น.

หอบใจเมือบ้าน: บ้าน

ยังเยาว์

ฉันออกเดินทางจากสถานีขนส่งหมอชิตตอน 3 ทุ่มเศษ
กับรถโดยสารเส้นทางกรุงเทพฯ  อุบลราชธานี
ระหว่างทางได้พบกับ 3 หนุ่ม (น้อย) เพื่อนร่วมเดินทาง
ที่กำลังเดินทางกลับอำเภอใกล้เคียง
หนุ่มคนแรกมีชื่อว่า (ชาวเขา) ต๊ะ  ฉันจดชื่อน้องลงพร้อมเขียนกำกับสั้นๆ ว่า 
can not communicate in any language	
เหตุผลก็คือพ่อหนุ่มคนนี้ไม่ยอมปริปากพูดด้วยเลย	
ทั้งที่ฉันถามด้วยภาษาไทย เว้าอีสาน แถมอู้เหนือ กะจะแหลงใต้ต่อแล้วด้วย
ส่วนสองหนุ่มถัดมามีชื่อว่ากอล์ฟ และปังปอนด์ตามลำดับ 

				
14 เมษายน 2550 23:46 น.

(จะ) พาหัวใจกลับบ้าน

ยังเยาว์


(จะ) พาหัวใจกลับบ้าน

อา ไม้แบดฯ นะอา น้ำเสียงออดอ้อนน้อยๆ ของเจ้าหลานชายยังย้ำเรื่องของฝากอยู่แทบทุกครั้งที่โทรศัพท์กลับบ้าน
จ้าๆ แล้วอาซื้อไปให้ แล้วฉันก็ตอบไปอย่างนี้ทุกที

ถ้าจำไม่ผิดฉันกลับบ้านแล้วตั้ง 2 ครั้ง ตั้งแต่นายตะวันลูกชายคนเล็กของพี่ชาย (ลูกผู้พี่ฝ่ายแม่) คนโต บ่นอยากได้ไม้แบดฯ 
และทุกครั้งของที่เจ้าตะวันอยากได้นักหนาก็ยังไม่ถึงมือสักที
หลานไม่บ่นนะ แต่มานั่งเฝ้าที่บ้าน จ้องเอาเป็นเอาตาย เหมือนจะตอกย้ำว่า อา ไหนไม้แบดฯ

ฉันกลับบ้านครั้งแรกเมื่อกลางเดือนมีนาฯ ปีที่แล้ว ตอนนั้นก็ฉุกละหุกพอสมควร 
รีบไปรีบกลับ เพราะต้องกลับมาเรียนเตรียมที่มหาวิทยาลัย
คราวนั้นกลับบ้าน 3 วัน เต็ม นอนเสียวันหนี่ง 
แบกเป้ไปใบเดียวได้เสื้อผ้าไปไม่กี่ชุด มีชุดสวยไปฝากหลานสาวเท่านั้น 

ที่หมู่บ้านดูแปลกหูแปลกตาไปมาก จากที่มีกันอยู่ราว 26 หลังคาเรือนเมื่อฉันจากบ้าน
ตอนนี้มีเพื่อนบ้านใหม่จากหมู่บ้านอื่นมาปลูกบ้านหลายหลัง
มีร้านค้าใหม่ 1 แห่ง เป็นของน้าสะใภ้นี่เอง
แล้วยังมีกองทุนขายสินค้าในหมู่บ้านใหม่ด้วย 

ที่ยังไม่เปลี่ยนคือถนนหน้าบ้าน ยังเป็นช่วงเดียวในหมู่บ้านที่เป็นถนนลูกรัง
(นอกนั้นเป็นถนนคอนกรีต)
ถนนเส้นนี้ยาวไม่เกิน 500 เมตร น่าแปลกใจที่งบ อบต. มาไม่ถึงเสียที
แต่หมู่บ้านใหญ่ๆ กลับสร้างถนนกันได้ทั้งปี
แต่นึกอีกที อยากให้ถนนสายนี้กลับไปเป็นถนนทรายต่างสนามเด็กเล่นของฉันกับเพื่อนอย่างเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมากกว่า

ฉันใช้เวลาสองวันที่เหลือกับการทำความสะอาดบ้านชั้นบน
พ่อแม่นอนห้องข้างล่าง จึงไม่ค่อยได้ขึ้นไปใช้สอย ปัดกวาดชั้นบนบ่อยนัก
ทำความรู้จักกับหมาตัวใหม่ (ชื่อว่าเจ้ากะปุ๊กลุก) เล่นกับหลานๆ อยู่กับครอบครัว
ได้ทำอาหารให้พ่อแม่กิน นี่แหล่ะ บ้านล่ะ

หลังจากนั้นอีกเดือนกว่าๆ ก็มีเหตุให้ต้องกลับบ้านอีกครั้ง
เพื่อไปทำธุระเรื่องสัญญาที่สำนักเขตพื้นที่การศึกษาที่จังหวัด
ครั้งนั้นพี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้านด้วย จึงได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
3 วัน ของครั้งนี้ ไปธุระกับพ่อแม่ 1 วัน
ไปอุบลฯ กับพี่สาว 1 วัน
แล้วก็ใช้เวลากับหลานๆ เสียวันหนึ่ง

แต่ที่น่าเจ็บใจตัวเอง
...ไม่ได้ไม้แบดฯ ไปฝากเจ้าตะวันอีกแล้ว...

เมื่อไม่นานมานี้โทรกลับบ้าน
แม่บอกว่าเจ้าหลานชาย สายัณห์ และ ตะวัน แวะไปขอไม้แบดเก่าของฉันที่บ้านมาเล่น
โถ หลานฉัน....
ก็จะอะไรเสียล่ะ ไม้แบดคู่นั้นมันสุดเก่า สุดเยิน ตาข่ายก็ขาดไปแล้วบางส่วน
แถมแม่ยังบอกอีกว่าลูกขนไก่ก็เยินไม่แพ้กัน
ปีกหลุดใกล้หมด...!
แต่หลานชายยังไม่เดือดร้อน คล้ายว่า...ถ้าอาไม่ซื้อมาคราวนี้ก็จะใช้ไอ้เยินนี่แหล่ะต่อไป...

เอ...ประชดเราเปล่าหว่า

น่าแปลกที่ตอนนี้ความรู้สึกคิดถึงบ้านมันดูเหมือนจะลดลง
กลับติดบ้าน (ห้องเช่า) ที่อยู่ตอนนี้เสียมากกว่า	
ไปไหนมาไหนไม่ได้นาน กังวล ห่วงห้อง อยากกลับมานอนที่ห้อง
สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือแม้คิดว่าไม่คร่ำครวญอยากกลับบ้านเกิดมากนัก
แต่จริงๆ แล้ว กลับโหยหา ที่จะกลับไป

นี่ก็เกือบปีแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน
ช่วงสงกรานต์คนกลับบ้านกับเยอะมาก เห็นหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า ของฝาก
ชาวชนบทที่ทิ้งไร่นามาทำงานในทุ่งคอนกรีต
น้อยนักจะได้กลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัว เห็นแล้วจึงน่าชื่นใจ
นึกถึงหนังสือชื่อ ถ้ามันเหนื่อยเกินไป...ก็พาหัวใจกลับบ้าน
อดนึกอยากกลับบ้าน (บ้าง) ไม่ได้
ตอนนี้ที่หมู่บ้านดูเงียบเหงาไปถนัดตา
ฉันก็มีแผนการกลับบ้านกับเขาเหมือนกัน
หลังสงกรานต์ ปลายๆ เมษาฯ รถราคงไม่แน่นเท่าไหร่
จะได้หอบใจกลับบ้านเสียที 

ไม่รู้ว่ากลับไปทำไม
ค่ารถกลับบ้านทีก็เฉียดพัน
กลับไปนั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะไร

แต่แปลกนะ
ฉันกลับไม่อยากหาเหตุผลว่ากลับไปทำไม
ไม่ได้กังวลเรื่องค่ารถมากนัก ขอให้ได้กลับ
ก็กลับไปนั่งๆ นอนๆ น่ะสิ จะทำไม

กลับบ้านมีอะไรมากกว่าเหตุผล และข้ออ้างอีกมากมาย

บ้านที่ไม่ใช่แค่บ้านแต่คือครอบครัว
มีพ่อ แม่ พี่สาว หมาน้อย และหลานๆ 

Its not just a house but its home.

และที่แน่ๆ คราวนี้ได้ไม้แบดฯ ไปฝากเจ้าตะวันแน่นอน
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟยังเยาว์
Lovings  ยังเยาว์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงยังเยาว์