19 มีนาคม 2551 18:59 น.

หญิงขายผลไม้กับเด็กชายพิการ

รอยทาง

หญิงวัยกลางคนผิวกายคล้ำดำกร้านสวมเสื้อผ้าเก่าๆ   ไรผมสีขาวดอกเลา  เดินเข็นรถขายผลไม้พร้อมกับเด็กชายพิการ    เป็นภาพที่ฉันมักเห็นเป็นประจำตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งจบปริญญาตรีและทำงาน    ฉันเรียกแกว่า   "ป้านวล"

ป้านวลมีอาชีพขายผลไม้รถเข็น  รถของแกจะมีสองชั้น   ชั้นบนจะขายผลไม้ตามฤดูกาลแบ่งเป็นกองๆ  แล้วแต่ละชนิด   ชั้นล่างจะทำเป็นกรงไว้สำหรับเลี้ยงและขังลูกพิการ    อาการลักษณะยิ่งกว่าชายน้อยแห่งบ้านทรายทอง   

ฉันขอเรียกว่าชายน้อย..    บางครั้งก็เห็นชายน้อยร้องโยเย   เดินไปด้วยกับแม่  มือหงิกงอ  ขาเป๋  ปากเปี้ยว  น้ำลายฟูมปากยืดไหลอยู่ตลอดเวลา  พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ   บางครั้งมือหนึ่งของป้านวลจูงลูกอีกมือเข็นรถผลไม้ไปด้วย   คนเดินผ่านไปมามองด้วยความสมเพชเวทนา   บ้างก็แสดงอาการน่าขยะแขยงใส่     
 
เพราะความไร้เดียงสาและเป็นเด็กพิการที่พิเศษไปกว่าคนอื่น   ซนไม่อยู่นิ่งต้องคอยดูแลระมัดระวังอย่างใกล้ชิด  บ้างเข้าไปหยิบข้าวของคนอื่นทำกระจุยกระจาย  ฉันมักจะเห็นป้านวลวิ่งไล่ป้ำจับลูกเป็นประจำ    จนทำให้รถจะชนแกและลูกก็หลายครั้ง   บางคนก็ตะโกนด่ามาดังๆ  หยาบๆ คายๆ    ป้าแกไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆ  ได้แต่ยอมรับสภาพ     

จนกระทั้งฉันทำงานเห็นป้านวลที่ไหนอดไม่ได้ที่จะอุดหนุนผลไม้ของแกด้วยความเห็นใจและสงสาร   บ้างก็ซื้ออย่างไม่มีเหตุผลหรือเอาไปแจกฝากคนอื่น  ทักทายคุยกันบ้างตามสมควร 

"ขายดีมั๊ยป้า"   เป็นคำถามเดิมๆ  ทุกครั้งที่ได้เจอ
"ก็พอขายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง"  
"เจอที่ไรก็ซื้อของฉันทุกที   ถ้าซื้อเพราะความสงสารก็อย่าทำให้ฉันลำบากใจเลยนะ  แค่คุยกับฉันเฉยๆ ก็ได้"  ป้านวลบอก

"ไม่หรอกป้าของกินของใช้ทุกวันอยู่แล้ว"   ฉันพูดให้แกสบายใจ

ป้านวลพูดต่อ   "คนในตลาดไม่มีใครอยากคุยกับฉันหรอกเขารังเกลียดลูกของฉัน   อยู่กับลูกสองคนมาตลอดหลังจากที่คลอดออกมา   พอรู้ว่าลูกพิการพ่อของเขาก็ไม่เอาหนีไป  ปล่อยให้อยู่เลี้ยงดูกันตามมีตามเกิด  ฉันสงสารลูก"   

ป้านวลจะแทนตัวแกเองว่า "ฉัน"  พูดเล่าเรื่อยไปไม่ได้แสดงถึงอารมณ์เศร้าเสียใจให้น่าสงสาร    และไม่อายที่จะเลี้ยงดูมือหนึ่งใช้ผ้าเช็ดน้ำลายที่ไหลยืดยาวของลูก    ฉันรู้สึกดูเหมือนป้าแกมีความสุขที่ได้ปฏิบัติต่อลูกเช่นนั้น   

บางครั้งคนเราเงินทองวัตถุสิ่งของก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญยิ่งใหญ่นัก   หากแต่มีใครสักคนที่ได้พูดคุยรับรู้ฟังเรื่องราวของเขาเพียงเท่านี้ก็คงเป็นสุขไม่น้อย   ฉันก็หวังว่าป้านวลก็คงเป็นเช่นนั้น    ฉันเคยนั่งรถโดยสารผ่านสถานที่แถบชาญเมืองกับเห็นป้านวลและลูกกำลังเข็นรถคู่ชีพออกมาจากบ้านเพิงสังกะสีเก่าๆ

เช้ามืดจะมีรถจากชาวสวนมาส่งผักในตลาด   ป้านวลจะมารอรับซื้อผักผลไม้และจะมานั่งขายตามริมถนนฟุตบาทแต่ก่อนฟ้าสางและมีชายน้อยนอนหลับคลุมโปงอยู่ข้างๆ    สายหน่อยก็จะเข็นรถขายผลไม้ไปเรื่อยอย่างไม่มีความย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยและลำบาก   ฉันยังคิดว่าแกเอาเวลาไหนนอนกันแน่

เมื่อไรที่พบเจอป้านวลก็จะเห็นชายน้อยเสมอ    ฉันเห็นเขาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  แต่ความพิการของเขาก็ยังติดตัวเสมอมา  

 "นี่ฉันก็ไม่กล้าปล่อยลูกไว้ตามลำพัง   เพราะเคยมีคนจะมาจับเอาไปขอทาน"   แกเล่าต่ออย่างซื่อๆ    

ฉันมองดูด้วยความสังเวทและเห็นใจไม่น้อย    แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร   ผมที่สั้นเกรียนเหมือนเด็กผู้ชายแต่งกายมิดชิด   ป้านวลกระซิบบอกฉันเบาๆ อีกว่า 

"จริงๆ แล้วลูกฉันเป็นผู้หญิง  ไม่กล้าบอกให้ใครรู้กลัวว่าอันตรายจะมาถึงตัว  ทุกคนที่นี่คิดว่าเป็นผู้ชายกันทั้งนั้น  ฉันจับเขาแต่งตัวเป็นผู้ชายตั้งแต่เกิด"   แกพูดอย่างช้าๆ  เนิบๆ

 "โฮ้  ป้านวล   ป้านี่ฉลาดจริงๆ"    ฉันอุทานเบาๆ  และอดขนลุกไม่ได้กับสิ่งที่แกเล่าให้ฟัง  เพราะบริเวณที่ป้าแกอยู่มีแต่พวกขี้เหล้าเมายา  สามล้อ  อยู่กันทั้งนั้น

ฉันรู้สึกชื่นชมในตัวป้านวลไม่น้อย     นี่นะหรือหัวอกของคนเป็นแม่ที่สุดแสนประเสริฐยิ่งนัก    ต่อให้ลูกจะเป็นคนเลวหรือพิการซ้ำซ้อนอย่างไรก็ยังรักและพร้อมที่จะปกป้องคุ้มครองตลอดเวลา  "คนเราเลือกเกิดไม่ได้   แต่เลือกที่จะมีชิวิตให้อยู่ได้"     ขอให้ป้านวลโชคดีตลอดไป				
13 มีนาคม 2551 22:47 น.

ส่วนเกิน

รอยทาง

"จะคบกับผู้ชายคนนี้จริงๆ หรือ  พี่เป็นห่วงจิ๊บนะ" 

 ฉันพูดบอกจิ๊บด้วยความห่วงใหญ่    เธอเป็นรุ่นน้องจบจากสถาบันเดียวกัน   เป็นคนน่ารักผิวขาว  กริยามารยาทมนุษยสัมพันธ์ดี   จึงเป็นที่รักชื่นชอบของคนทั่วไป   จิ๊บมีหนุ่มๆ มาจีบเยอะ   เราพักอยู่ด้วยกันสนิทสนมรักจิ๊บเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง   คุยกันได้ทุกเรื่อง  จิ๊บมักมีเรื่องมาเล่าคุยปรึกษากันตลอด    แต่ด้วยเพราะเวรกรรมอะไรไม่ทราบ   จิ๊บต้องไปรักคนมีเจ้าของ   
 
 "เขาดีกับจิ๊บมากเลย"
" พี่เข้าใจ   แต่เขามีลูกมีเมียแล้วนะ"   ฉันพูด
"เขาบอกว่ารักหนู   เขาพร้อมที่จะดูแลหนูทุกอย่าง"

"เรายังโสด ยังสาว ยังสวย  พี่อยากให้จิ๊บเจอคนที่เขาไม่มีภาระทางครอบครัว"   ฉันออกความเห็นดูท่าทีจิ๊บ

"ตอนนี้ก็รักกันดีอยู่  แต่อนาคตข้างหน้าละ  หากภรรยาเขารู้ขึ้นมา" ฉันถามซ้ำ

"ทำงัยได้พี่   รักเขาเข้าไปแล้ว   เขาบอกว่ายอมรับทุกอย่างหากมีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกภรรยาเขาไม่สบาย   ไม่ค่อยมีอะไรกัน   เข้าออกโรงพยาบาลประจำ   วันๆ  เขาต้องทำงานเหนื่อยหนัก  อยากหาคนมาช่วยกิจการธุรกิจ  เขาบอกเจอหน้าจิ๊บครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาและชอบ    ยังงัยผู้หญิงคนนี้ก็ต้องตามจีบเอาให้ได้ หนูก็หนีปฏิเสธเขามาตลอด    แต่เขาก็ยังตาม  เขาให้การช่วยเหลือหนูทุกอย่าง"   

นั่นเป็นคำพูดของจิ๊บ  บรรยายคุณสมบัติของเฮียชัยให้ฉันฟัง   ฉันเองได้แต่อึ้งกับคำพูด     ฉันไม่ค่อยพอใจเฮียชัยที่มาตามจีบจิ๊บนัก   รู้สึกมีอคติในใจ   และยอมรับไม่ได้กับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว   ไม่มีความซื่อสัตย์จริงใจ     แต่ก็ดูท่าทางเขาจะรู้ตัวว่าฉันไม่ชอบ  

"จิ๊บคิดอย่างไรถ้าวันหนึ่งต้องตกไปเป็นที่ 2"
"ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง"   
"จิ๊บยอมรับได้จริงๆ นะ  ไหนเราจะต้องถูกคำครหามากมาย"  จิ๊บนิ่งเงียบไม่พูดอะไร   

"จิ๊บไม่ลองมองคนอื่นๆ ที่มาตามจีบจิ๊บบ้างละ"  ฉันออกความเห็น

"เฮียเขาเป็นผู้ใหญ่และให้คำปรึกษาหนูได้ทุกเรื่อง"
 จิ๊บพูดดู  ท่าทางจิ๊บเองก็คงรักผู้ชายคนนั้นไม่น้อยเช่นเดียวกัน  

ฉันไม่กล้าพูดอะไรต่อ........

จิ๊บย้ายที่พักไปอยู่อพาทเม้นท์ส่วนตัว   ฉันไม่พูดและยุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวของจิ๊บอีก  เดี๋ยวได้ผิดใจกันเพื่อรักษามิตรภาพไว้    ฉันไม่เคยถามถึงเฮียชัยจิ๊บก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง   เราจะคุยกันเรื่องอื่นเสียมากกว่า     

ฉันเฝ้าสังเกตดูการคบกันของทั้งสองคนอยู่หลายปี   ในที่สุดฉันก็พยายามทำใจยอมรับในตัวเฮียชัยได้บ้าง   จุดหนึ่งคือเขาสม่ำเสมอ  ดูจริงใจ   สามารถดูแลจิ๊บได้    สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ขาดที่พึ่ง    ครั้งหนึ่งจิ๊บได้รับอุบัติเหตุต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน  มีฉันคอยดูแล    หนึ่งในนั้นเฮียชัยไม่เคยห่างจิ๊บดูแลอย่างใกล้ชิด   ยังตามดูแลปฐมพยาบาล

"ผมรักจิ๊บจริงๆ นะครับ  ไม่ได้หวังหลอกอะไรเลย"     เฮียชัยพูดกับฉัน
"เสียดายจริงๆ   ที่ผมมารู้จักเขาช้าไป  ผมอยู่มานานก็เลยตัดสินใจอยู่กินกับแม่หม้ายคนหนึ่งและช่วยเขาทำธุรกิจจนขยายเติบโต"     เฮียชัยเปิดเผยเล่าชีวิตครอบครัวให้ฉันฟัง   ฉันได้แต่รับฟังไม่ออกความเห็นอะไร

"หากวันใดทางบ้านเฮียรู้ความจริงขึ้นมา  เฮียจะทำอย่างไร"  ฉันถาม
"ผมยังนึกไม่ออก   แต่คิดว่าผมมีวิธีการของผม"  ในใจฉันก็ยังคิดว่าเขาเห็นแก่ตัวอยู่ดี 

 "ไม่อยากให้น้องเขาผิดหวัง  เสียใจ  อยากเห็นเขามีความสุข  ครั้งหนึ่งชีวิตลูกผู้หญิง"   ฉันพูด

"ผมสัญญา   ว่าผมจะดูแลเธอเป็นอย่างดี"
"ขอบคุณเฮียแทนน้องเขาด้วยที่พูดเช่นนี้"  วันนั้นฉันยังกับเป็นญาติผู้ใหญ่ของจิ๊บ

เฮียชัยกลับไปจึงเป็นหน้าที่ฉันต้องดูแล      สุขภาพของจิ๊บดีขึ้นเรื่อยๆ    ฉันยังห่วงความรู้สึกของจิ๊บจนอดถามไม่ได้

"หากทางบ้านเขารู้ความจริง  จิ๊บจะทำอย่างไร"
"เฮียก็บอกจะไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น  เฮียจะจัดการเอง  เขาเคยเกริ่นๆ ว่าอยากหาใครสักคนมาช่วยกิจการ  แฟนเขาก็ไม่ว่าอะไร"
 
"จิ๊บยอมรับได้ใช่มั๊ย" ฉันถามย้ำ
"ถ้าเขายอมรับได้  ไม่มีปัญหาก็ดีไป  พี่ก็ขอเอาใจช่วย"   ฉันรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงยิ่งนัก   

/////////

"จิ๊บอยากให้พี่มีใครสักคนไว้คอยดูแลเหมือนกันนะ"
  ฉันอมยิ้ม เธอแสดงความห่วงใยฉันที่เห็นยังไม่มีแฟน   

"ขอบคุณมากที่เป็นห่วงพี่   ยังไม่เห็นใครเดินเข้ามาในชีวิตเลย   มีแต่เดินผ่านไปผ่านมา" ฉันพูดแกรมตลก

  "ก็พี่ไม่สนใจเอง"  
"อะไรมันก็เอาแน่ไม่ได้"   ฉันพูดขึ้น

"หนูเคยถามเฮียนะว่า  พี่ก็หน้าตาดี น่ารัก พูดก็ดี แต่ทำไมไม่มีคนมาจีบ"  

"แล้วเฮียเขาว่ายังงัยละ"  ฉันถามต่ออยากรู้ทัศนะ
 "เขาบอกว่าพี่ดูมั่นใจตัวเองเกินไป   ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่เก่งกว่า" 

 "เอ้างั้นหรือ  การที่คนคิดว่าเราเก่ง  ทำงานช่วยเหลือตัวเองได้  ไม่ต้องเป็นภาระใครนี่กลายเป็นว่าไม่ดีสำหรับผู้ชายใช่มั๊ย" 
ฉันหัวเราะ

จิ๊บจะเป็นผู้หญิงดูอ่อนหวานสมกับความเป็นหญิงทุกอย่างจะตรงกันข้ามกับฉัน    เพียงแต่ฉันไม่ค่อยพูดจานัก  คนก็มักจะมองว่าฉันหยิ่งเข้าหายาก   แต่ถ้าเจอคนคุยถูกคอก็หยุดยากเหมือนกันนะคะ

แต่จริงแล้วฉันก็อยากมีแฟนนะคะ  เอิร์ก  เอิร์ก   ด้วยงานที่ต้องพบปะผู้คน   ลูกค้ามากหน้าหลายตา   ต้องดูแลองค์กร   เป้าหมายก็เลยไปทุ่มกับอย่างอื่นแทน    ต้องมีการแลกเปลี่ยนนามบัตรกันอยู่เรื่อยเพราะเรื่องงาน    ฉันมักจะได้รับเสียงโทรศัพท์จากคุณภรรยาทั้งหลายของลูกค้าไม่ขาดระยะ   จึงต้องรีบตัดบทหนีความรำคาญก็บ่อย    บ้างสามีต้องโทรศัพท์มาหาฉันให้คุยกับภรรยาเพื่อความกระจ่าง   บ้างกลายเป็นที่ปรึกษาปัญหาครอบครัว   การเป็นสามีภรรยากันนี่ดูมันยากจริงๆ   ฉันคิดจนรู้สึกหวาดหวั่น  

ฉันถูกย้ายงานไปอยู่ต่างจังหวัด    ได้รับโทรศัพท์จากจิ๊บ 
 "พี่หนูจะแต่งงานแล้วนะ"     ฉันแปลกใจ  
 "แต่งกับใครละ"  
"ก็กับเฮียชัยนั่นแหละตอนนี้จิ๊บท้อง"   ฉันนิ่งเงียบ   แต่จริงแล้วเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี

 "พี่ดีใจด้วย"     ฉันไปช่วยงานแต่งงานจิ๊บจนเสร็จสิ้นภาระ    แล้วเดินทางกลับต่างจังหวัด  เราได้แต่โทรศัพท์คุยกันไม่ขาดระยะเป็นกำลังใจเรื่อยมา   จิ๊บลาออกจากงานประจำมาเปิดกิจการส่วนตัวค่อนข้างไปได้ดี    จนกระทั่งกิ๊บคลอดลูกเป็นผู้ชาย  
  
หลายเดือนฉันมีโอกาสขับรถแวะเยี่ยมจิ๊บกับลูก   ลูกโตกำลังน่ารักน่าชัง  มีพี่เลี้ยงคอยดูแลหนึ่งคน   คืนนั้นเรานอนคุยกัน   ลูกตื่นขึ้นร้องตอนดึกจิ๊บเอานมให้ลูกดูด  

สาวสวยน่ารักที่ฉันเคยเห็น   ตอนนี้ต้องมาเป็นแม่ของลูก  มีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นของตนเอง  สถานะภาพเปลี่ยนไป      ฉันมองดูและคิดไปด้วยความตื้นตันใจ   

 "เฮียยังมาหาบ้างมัย"     ฉันถาม    จิ๊บนิ่งเงียบน้ำตาซึมแล้วก็เล่าให้ฟังด้วยเสียงสั่นเครือ

"เฮียมาดูลูกครั้งหนึ่ง   หลังจากนั้นก็เอาความจริงไปเล่าให้ที่บ้านหวังว่าเขาจะยอมรับ   เขาตามมาดูถึงที่ว่าใช่ลูกของเฮียจริงๆ มั๊ย   ซื้อข้าวของเครื่องใช้มาให้   หนูยกมือไหว้เขา  แต่เขาไม่พูดจาอะไรแล้วก็พากันกลับไป  และได้ข่าวทะเลาะกันยกใหญ่    ไม่ยอมให้เฮียมาหา   แต่ยังโทรมาสม่ำเสมอส่งค่าเลี้ยงดูลูกมาให้บ้าง  เขาก็บอกให้หนูอดทนรอคอยเขา  ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องกระเตงวิ่งพาลูกไปหาหมอเอง  เอาลูกกินนมแต่ละครั้งก็อดน้ำตาไหลไม่ได้  ไม่รู้จะต้องทนรอนานแค่ไหน"    
 
ฉันฟังคำพูดของจิ๊บอดสะอื้นในอกน้ำตาคลอเบ้าตาม    ฉันอยากเห็นภาพพ่อแม่ลูกนอนอยู่ด้วยกันเขาคงมีความสุข   ทำไมต้องรอคอยแบ่งความรักจากคนอื่นเช่นนี้     ฉันไม่กล้าถามซ้ำเกรงจะสะเทือนใจมากกว่านี้

ฉันเห็นจิ๊บและอดคิดใจหายไม่ได้   กับครั้งหนึ่งฉันเอารถเข้าอู่ซ่อม  ภรรยาเจ้าของอู่ก็มาต้อนรับเชิญฉันเข้านั่งห้องรับรอง  เขาเห็นทะเบียนรถคงไม่ใช่คนจังหวัดนี้แน่   เขาชวนฉันคุยเรื่องทั่วไป  จนกระทั่ง

"แต่งงานหรือยังคะ" เธอเอ่ยปากถาม  ฉันทำหน้างงๆ 
"ยังคะ"ฉันตอบ
"มีหน้าที่การงานดี  อยู่เป็นโสดก็ดี   ยังงัยๆ  ก็อย่าไปเจอคนมีเจ้าของนะ"    ฉันรู้สึกฉงนกับคำพูดเล็กน้อย
  
"คนมีเจ้าของเป็นอย่างไรหรือคะ"   ฉันถามอยากรู้ต่อ
 "โอ๊ยก็ตัวอย่างพี่นี่งัยได้พาลทะเลาะกับลูกกับญาติทางเมียเก่าทุกวัน  ทั้งที่เมียตายไปแล้ว กลัวแต่พี่จะมาแย่งสมบัติ"   ฉันคิดไม่กล้าพูดอะไรต่อ  ได้แต่เก็บไว้เป็นกรณีศึกษา


พี่ติ๋ม:   เป็นเจ้าของร้านอาหารฉันเป็นลูกค้าประจำ  มุมมองของพี่ติ๋ม "พี่ทำงานลี้ยงลูกเองจนเข้ามหาวิทยาลัย  พี่ไม่ต้องการให้เขาบอกบ้านใหญ่  จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับชีวิตพี่   วันที่เขามาก็คือสามี   วันเขาลงเรือนไปก็คือคนอื่น"   น่าคิด

คุณหน่อย:  "หาสามีดีๆ สักคนมันยากยิ่งนัก   แต่การรักสามีไว้กับตัวเรานี่ยากยิ่งกว่าน้องเอ้ย"   เอ้อ  เป็นอย่างงั้นไป 

คุณหมวย:   "สามีออกทำงานนอกบ้าน  พี่จัดเตรียมกระเป๋าไม่เคยขาดตกบกพร่อง  และไม่ลืมที่ใส่กล่องถุงยางอนามัยเข้าไปด้วย  มีได้แต่อย่าเอาโรคมาติดพี่"   พี่แกใจกว้างดีแฮะ  

ทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจจิ๊บยิ่งนักเพราะเป็นน้องที่รักกัน  ภาพเหตุการณ์ต่างๆ  เหมือนคอยเตือนใจคนโสดอย่างฉันหรือไร นา นา จิต ตัง"

 "ในเมื่อเดินมาแบบนี้แล้วก็ต้องยอมรับ      หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเป็น  ส่วนเกิน  ของใครเลย"    จิ๊บพูดแบบน้อยใจและช่างสะเทือนใจยิ่งนัก      
 
 "อย่าไปเสียใจเลย   ที่ผ่านมาก็ปล่อยไปเถอะ  ดีแล้วที่เรายังมีลูกมาเติมเต็มชีวิตดีกว่าไม่มีใครเลยเลี้ยงเขาให้ดีๆ "     ฉันตบไหล่เบาๆ  พูดให้กำลังใจ

เธอขอบคุณฉัน "ถ้าไม่มีพี่หนูไม่รู้จะคุยกับใคร"
จิ๊บไม่เหลือใครเลยพ่อแม่เสียชีวิตหมด   ฉันจึงรู้สึกผูกพันเหมือนน้องคนหนึ่ง "ถ้าพี่ไม่มีใครก็มาอยู่กับหนูนะ" 

ฉันยิ้ม   รุ่งเช้าฉันขับรถเดินทางต่างจังหวัดต่อและยังเฝ้าติดตามดูวิถีชีวิตของจิ๊บต่อไป

๑๑๑๑๑				
8 มีนาคม 2551 06:20 น.

มีแฟนกับไม่มีไม่มีแฟน.. อย่างไหนดีกว่ากัน

รอยทาง

"วันนี้ครูตั้งใจอยากจะให้พวกเราทุกคนในห้องหากิจกรรมอะไรทำสักอย่างดีมั๊ย"  ในชั่วโมงวิชาการตลาดอาจารย์สมปองพูดขึ้น  ขณะถือแฟ้มเอกสารเตรียมการสอนเข้ามาในห้อง  

"ในห้องนี้ใครมีแฟนแล้วบ้าง"   อาจารย์สมปองถามขึ้นมาลอยๆ     ทำเอานักเรียนทั้งห้องเป็นงงหันหน้ามามองกัน  ไม่เคยเห็นอาจารย์สมปองเป็นแบบนี้มาก่อน    บางครั้งก็อารมณ์เสียกับความทะโมนของลูกศิษย์   แต่จริงแล้วอาจารย์สมปองแกสอนวิชาการตลาดได้สนุกลุกนั่งสบายได้ยอดเยี่ยมมาก  ลูกศิษย์จะรักชอบ

ทุกคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไรได้แต่สงสัยว่า  เอ...    วันนี้อาจารย์มาแปลกแฮ๊ะ   แต่แกก็มีอะไรแปลกๆ  ใหม่ๆ  มาเซอร์ไพร์ลูกศิษย์ของแกเสมอๆ ไม่ซ้ำแบบ   

"ไหนใครยังไม่มีแฟน"   อาจารย์สมปองกระแทกเสียงขึ้นจนสะดุ้ง  พวกไม่มีแฟนกับเขาก็ได้เฮ..ยกมือ บางคนยกสองมือเลย  "หนูคะๆ  จานมีรายมาแจกคะ"  พูดกวนๆ ออกจะแนวๆ ไปหน่อย    ไอ้เขี้ยวจอมซ่าขาโจ๋ประจำห้องพูดขึ้น    ไอ้เขี้ยวพ่อมันเป็น ส.ส. ประจำจังหวัดหลายสมัย  บางครั้งมันก็ยังแอบเอาของกินของใช้ที่บ้านมาแจกเพื่อนๆ  ฟรี   จากพ่อค้า  นายทุน  มาเส้นไหว้พ่อมัน.  ในห้องเรียนมีแต่หญิงล้วน   ไม่มีหนุ่มๆ  มาให้ได้กระชุ่มกระชวยหัวใจ   ในห้องจึงมีครบทุกรสชาติ  เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ทะโมน สุดแสบที่จะทนของบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย.

อาจารย์สมปองให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม  โต้วาทีในหัวข้อ  "มีแฟนกับไม่แฟนอย่างไหนดีกว่ากัน"    พวกเราได้เฮ  กันอีกครั้งในห้องเต็มไปด้วยความ สนุกสนานที่ไม่ต้องเรียนในชั่วโมงโดยไม่รู้ว่าอาจารย์สมปองแกมีแผนมาเหนือเมฆปราบพวกเราอย่างไร

แต่ละกลุ่มคัดเลือกหัวหน้าทีมคือ ทีม "มีแฟน"  และ "ไม่มีแฟน"   หัวหน้าทีมทั้งสองจับฉลากเลือกหัวข้อ   แต่ละกลุ่มระดมความคิด   ต่างเตรียมงัดกลยุทธมาสู้กันต่างฝ่ายต่างมองหาแนวร่วม 

ไอ้เปิ้ล  ไอ้นี่มันกระเปิ๊บกระป๊าบสวยก็ไม่สวย  น้อยนักที่จะเห็นมันเดิน  วิ่งเสียงดังตึกแทบสะเทือนไปเลย  แต่ไอ้เปิ้ลมันมีแฟน ไม่น่าเชื่อว่าเวลาอยู่กับแฟนเห็นมันนี่กระหนุ๋งกระหนิ๋งสวีทหวานแหว๋วทำให้หลายคนอิจฉา 

ไอ้น้อยบุคลิกท่าทางมันยังกะทอม  เดินยังกะนักเลง   ยังมีเด็กขาสั้น  ตามรับตามส่งอีก  คือไอ้น้อยมันมีเด็กนักเรียนมัธยมตามจีบหรือว่าไอ้น้อยไปจีบเขาก็ไม่รู้  

สุรีย์สาวสวยประจำห้องได้รับฉายาว่า "สวยแต่โง่"   ว่างไม่ได้  เธอจะต้องเอากระจกมาส่อง  ผัดหน้าทาแป้ง   มาเรียนก็สาย     "เฮ้ย   แต่เรื่องมีแฟนนี่มันไม่โง่น้ะเว้ย  เห็นผู้ชายเปลี่ยนหน้ามารับส่งมันอยู่บ่อยๆ"   เพื่อนบางคนพูดขึ้น   เพราะเธอ  "เรียนไม่ค่อยยุ่งมุ่งแต่ รัก รัก รัก"  ในที่สุดสุรีย์ก็สำเร็จจบหลักสูตรการ "รัก" ไปก่อนเพื่อน แต่ไม่ได้รับใบประกาศจบหลักสูตรการศึกษาพร้อมกับเพื่อนๆ ในห้อง  

แต่ไอ้นุ้ยมันเพิ่งอกหักเลิกกับแฟน   เห็นหน้านี่เศร้านั่งเหม่อลอยไม่สนใจเรียน เทอมนี้ไม่รู้มันจะรอดอีกคนมั๊ยนี่   นั่นเป็นคำวิจารณ์พิจารณาคัดเลือกเพื่อนๆ หาข้อมูลในกลุ่มมาเป็นแนวร่วมโต้วาที   ใครชอบฝ่ายไหนก็เชียร์ฝ่ายนั้นจนถึงบทสรุป
   
หัวหน้าฝ่ายไม่มีแฟนสรุปว่า การไม่มีแฟนนี่มันก็ดี   ไม่ทำให้เราปวดหัว  คอยระแวงกัน  คอยหึงหวง  มีอิสระเต็มที่  คิดจะทำอะไรก็ได้ไม่ต้องมีใครมาคอยกวนใจ   บ้างต้องมานั่งกลุ้มใจสนใจอีกว่าแฟนไปไหนกลับใคร  ไปอยู่กับใคร  ทำอะไรที่ไหน  อย่างไร   ทำให้เสียสมาธิ  จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ไม่มีแฟนนั่นแหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องมากังวลหรือคิดมากเสียใจเวลาแฟนบอกเลิก

หัวหน้าฝ่ายมีแฟนสรุปว่า มีแฟนซิดีเพราะสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว  มีปัญหาก็ได้ปรึกษากัน  ทำให้เราไม่เหงาก็ถือเสียว่ามีเพื่อนสนิทมากๆ มีแฟนคอยเป็นห่วงเป็นใย  ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ไปไหนไปด้วยกัน   ที่สำคัญเป็นกำลังใจให้กันอยู่เสมอ  

สรุปว่าชนะทั้งสองฝ่าย ฉันชอบวิธีการสอนของอาจารย์สมปอง  อาจารย์มักจะชอบแทนตัวเองว่าครูคือผู้ให้     ไม่นำหลักวิชาการมาสอนๆ  แล้วก็จบให้รายงานทำการบ้าน   แต่ยกตัวอย่างให้ฟังกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวที่เป็นความจริง   ให้ทุกคนทำนำเสนอในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อเป็นการฝึกคิดและรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า   เช่นเดียวกับเราผลิตสินค้ามาตัวหนึ่ง  ต้องรู้ว่าสินค้าตัวนี้ดีมีคุณสมบัติประโยชน์ประหยัดในการใช้สอยอย่าไรและไม่ดีอย่างไรต้องหาเหตุและผลมาหักล้างกันให้ได้คำตอบก่อนนำเสนอต่อผู้บริโภคตามหลักวิชาการของแก  

 แต่ใช้คำว่า "แฟน"  เป็นตัวสินค้านำเสนอให้ทุกคนพิจารณาตัดสินแก้ปัญหา      เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบและดีที่สุด  สิ่งที่ดีที่สุดคือการเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเราเอง  				
4 มีนาคม 2551 20:47 น.

ลูกกำพร้า... (ตอนจบ)

รอยทาง

เมื่อไม่มีพ่ออยู่ปกป้องคุ้มครองเหลือแต่แม่ซึ่งไม่ใช่คนพื้นที่มาก่อนแถมไม่มีญาติพี่น้องใกล้เคียง   อะไรก็ย่อมเกิดได้สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว

หลังจากพ่อตายไปไม่กี่ปี    ครอบครัวเราก็ถูกกลุ่มนักเลงข่มขู่เพื่อหวังทรัพย์ก็คือผืนแผ่นดินที่สร้างมากับมือ  

ในดึกดื่นคืนนั้นลูกกระสุนปืนก็กระหน่ำรัวยิงกราดใส่ฝาบ้านเป็นชุดที่ห้องนอนของแม่และพวกเราเด็กๆ กำลังนอนอยู่ด้วยกัน  แม่ต้องหอบน้องวิ่งหนีหลบกระสุนปืน   ชลมุนแตกตื่นกันทั้งบ้าน    ฝาบ้านแตกเป็นรู  ข้าวของเครื่องใช้ตู้เสื้อกระจกแตกกระจุยกระจายเต็มบ้าน

 บางลูกทะลุเข้าไปถึงฝาข้างในบ้าน  นับจำนวนรูลูกปืนที่สาดใส่ 11 นัด   เป็นภาพติดตาฉันอยู่มิรู้ลืม  แต่ด้วยเพราะบุญบารมียังมีอยู่ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ  คงได้แต่ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน

หากได้ยินเสียงปืนแสดงว่ามีการปล้นหรือต้องมีคนตายเกิดขึ้น  รุ่งเช้าชาวบ้านแตกตื่นตกใจมาชุมนุมดูเหตุการณ์ที่บ้าน  เขาแปลกใจว่าพวกเรารอดกันได้อย่างไร  ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารย์ประสาชาวบ้าน  ว่าผีคุ้มครองบ้าง   วิญญาณพ่อคุ้มครองบ้าง  แล้วแต่จะพูดกัน   

ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าวันนั้นหากแม่ต้องตายไปอีกคนชีวิตพวกเราไม่รู้จะเป็นอย่างไร  ซึ่งอยู่ในวัยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ (ไร้เดียงสา) กันเสียจริง

ใครๆ ก็บอกให้แม่หนีออกไปจากหมู่บ้าน  " ออกไปเถอะ  อยู่ไปก็อันตราย"   คำพูดคำจาของชาวบ้านที่เป็นห่วงเป็นใย   แต่   "เราถอยไม่ได้อีกแล้ว" 

อันวิถีชีวิตของคนกล้า
หากพบพาอุปสรรค์และหวากหนาม
แม้นหนาวเหน็บเจ็บบ้างไปตามทาง
จักไม่คร้ามถอยหนีหลีกลี้มัน

แม่ไม่ยอมถอยหนีและเดินหน้าสู้ต่อไป   แม่ไม่ได้เอาผิดกับคนร้ายทั้งที่รู้ตัว   ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะความปลอดภัยของลูกและครอบครัวนั่นเอง

ด้วยอาชีพที่ได้รับเกียรติว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ   หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน  อยู่ในป่าในดง  บ้างก็ถูกผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจป่าเถื่อนบุกรุกที่ทำมาหากินของเรา  มีเรื่องมาราวีครอบครัวเราอยู่ไม่ขาด   ฉันเห็นแม่ต้องฟันฝ่าดิ้นดนต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย  เพื่อพิทักษ์ผืนแผ่นดินที่พ่อเป็นคนสร้างไว้ให้พวกเราทำมาหากิน

จากมือที่ไกวดาบก็แกว่ง  แม่ต้องหันมาจับปืนแทน  บางครั้งฉันเห็นแม่ต้องถือปืนเข้าไร่สวนพร้อมจอบเสียม   บางครั้งฉันเห็นแม่ยิงมันขึ้นฟ้าไล่โจรโขมย   บางครั้งแม่ก็เอามันไว้ใต้หมอนก่อนหลับตาลงนอน   

แหม๋...    บทบาทของแม่ยังกับนางเอกหนังบู๊เลย....

เอ๊อะ...  หรือว่าพ่อเห็นแก่ตัวรีบชิ่งหนีตายไปก่อน ฮ่าฮ่า   ไม่หรอกอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลาอย่างไม่คาดคิด

คิดๆ ไปพ่อก็ช่างนำพาชีวิตครอบครัวมาอยู่อย่างเสี่ยงๆ  ในป่าไกลปืนเที่ยง (ห่างไกลความเจริญ) เสียยิ่งกะไร   (ตอนนี้เจริญถนนไม่เป็นทางเกวียนแล้ว)
  
แต่เขาว่า   "ช้างเผือกมักอยู่ในป่าเสมอ"    ฮิฮิ

*****

   รางวัลแห่งชีวิต....  

บางครั้งฉันเห็นแม่ต้องตื่นแต่เช้ากับพี่ๆ  แบกไถจูงควายไปนา  แบกจอบแบกเสียมไปไร่  ตากลมตากแดดแผดเผาร้อนระอุจนแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ    แบบว่าทธรณียังต้องกรรณ์แสง  ฮ่า ฮ่า  แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาๆ อย่างพวกเราจะทนไหว

ทำให้ฉันนึกถึงเพลงของพี่เป้า (ส.ย. / ส.ญ. สายันต์ สัญญา) จำชื่อเพลงไม่ได้คะ 

 ดินแยกแตกระแหง  ต้นใบไม้เฉาแห้งแรงไม่มี
  พื้นนาป่าแห้งแล้งเหลือที่  ไม่มีแม้น้ำจะทำนา  

ชีวิตพวกเราก็เป็นเช่นนี้   เหงื่อไม่ออกน้ำตาไม่ไหล  บางครั้งเราก็ต้องแลกกับความเจ็บปวด 

แม่ปลูกไม้ผลไว้รอบบ้าน  ขนุน มะม่วง น้อยหน่า มะพร้าว กล้วย  ไว้ให้พวกเราเก็บกิน  จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อคนอื่นเขา  อยากกินขนมอะไรแม่ก็เอาข้าวสารมาแช่น้ำให้นิ่มก่อน   แล้วมาใส่ครกกระเดื่องตำให้เป็นแป้ง (ใครที่อยู่ตามชนบทคงเคยเห็นสมัยนี้อาจไม่มีให้เห็นแล้ว)  

เวลาเหยียบปลายครกกระเดื่องพวกเรานี่หอบจนลิ้นห้อย   ได้เหงื่อท่วมตัว  กว่าจะได้แป้งมาปั้นทำเป็นตัวขนมใช้เวลาเป็นวันเลยแหละ   พี่ๆ ไหนจะต้องปืนต้นงิ้ว..  เอ๊ย   มะพร้าวเอาลูกมาขูดทำกระทิเป็นส่วนผสม   พวกเราสนุกสนานกินกันไปตามประสาเด็กบ้านนอกชนบท

เด็กบ้านนอกคอกนาหน้าซื่อๆ
ตัวเขาหรือดำกร้านผ่านแดดเผา
อยู่กลางทุ่งเลี้ยงวัวควายช่วยแบ่งเบา
เพื่อครอบครัวเจ้าเป็นสุขทุกคืนวัน
           
           เหนื่อยนักหนักเบาเราต้องสู้
           เพื่อชีวิตที่เหลืออยู่  สู่จุดหมาย
           มีกินมีใช้แบ่งกันไป
           ไม่มีใครนอกจากเราเท่านั้นเอง

ยังเหลือแม่เคียงข้างกลางดวงจิต
แม่อุทิศตนเพื่อพวกเจ้าเข้าสู่ฝัน
ต่างขุดทางถางป่าร่วมฝ่าฟัน
เพื่อสร้างฝันอันยิ่งใหญ่ให้ลูกยา...

ฉันเห็นแม่แกร่ง  เด็ดเดี่ยว  ยิ่งกว่าผู้ชายบางคน  แม่ทำในบางสิ่งที่ฉันเองทำไม่ได้เหมือนที่แม่ทำ....
 
แต่ในบางครั้งคนเราเมื่อเจอกับปัญหาขาดเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจแถมอยู่ในป่าดงดอน   เอ้อ... ไม่อยากจะคิดเลยว่าหัวใจจะเป็นเช่นไร  คิดดูแล้วกันมีแต่ลูกน้อยตาดำๆ  ล้อมหน้าล้อมหลัง  อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน  บางครั้งพวกเราก็ทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง  แต่กระนั้นชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ถูกวายรุกราณจากคนบางกลุ่ม  

มักแอบได้ยินแม่ร้องเพลงปลอบใจตัวเองเสมอจนฉันจำขึ้นใจชื่อเพลง  ถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่
  

ถ้าวันนี้ยังมีเขาอยู่  เราคงยืนสู้ ดูโลกอย่างทรนง 
ปัญหาใดใด ไม่เคยพะวังพะวง  เรื่องราวใหญ่ก็เล็กลง 
สองคนช่วยกันคลี่คลาย  

แต่วันนี้ไม่มีเขาอยู่  ทิ้งเราทนสู้ดูโลกอยู่เพียงเดียวดาย 
เหมือนคนเดินหลงทาง  กลางทะเลทราย 
ซอกซอนหอบสังขารไป  ทิศทางใดๆ  จุดหมายไม่มี

บุญเราสร้างร่วมกันมาน้อยนัก 
เคราะห์และกรรมนำชักต้องจากกันชั่วชีวี
ขอบูชาด้วยน้ำตาแห่งความภักดี   
คิดถึงอยู่ทุกนาทีร้าวฤดีเหลือนั่น

ไม่มีแล้วความชื่นความสุข   
ไร้ความสนุกดูโลกอยู่ไปวันๆ
ขอแรงบุญเกื้อกูลส่งผลอนันต์   ชาติหน้าให้เราพบกัน
คู่ครองรักมั่นชั่วนิรันดร....

http://radio.sanook.com/radio/player7/?songID=40916&CLK=2008251204746060000
(ลองเข้าไปฟังทำนองดูคะ)

เมื่อก่อนฉันฟังเพลงนี้ไม่เข้าใจความหมายเพลงหรอก    แต่มาฟังตอนนี้แล้วซึ้งมากยังกับเขาแต่งเพลงให้แม่   อย่างงั้นแหละ....

และแล้วความเศร้าโศกาอาดูร  ก็มาเยือนครอบครัวเราอีกครั้ง   เมื่อพี่ชายคนที่สามของครอบครัว   ซึ่งกำลังอยู่ในวัยหัวเรี้ยวหัวแรง   ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  อย่างกระทันหัน  ไปไม่กลับ  หลับไม่ตื่น  ฟื้นไม่มี  อีกคน    ฉันเห็นแม่เป็นลมพับแล้วพับอีก  ภาพของครอบครัวพี่น้องมีแต่น้ำตาที่หลั่งไหลริน  พวกเราช่วยกันจัดการงานศพของพี่ชายจนเสร็จสิ้น 

ที่สุดและที่สุดของชีวิต..  แม่หันหน้าเข้าหาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า...  

แม่เข้าวัดถือศิลภาวนา  ปฎิบัติธรรม  แม่พาลูกๆ  สวดมนต์แผ่เมตตา ทำบุญ  ฟังธรรม สร้างกุศล  นำพาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน  เข้าวัดถือศีลทุกๆ  วันพระ   แม้แต่วัดที่อยู่ห่างไกลมีการจัดวิปัสนากรรมฐาน  แม่ก็จะเดินทางไปอยู่ถือศีลปฎิบัติธรรมนุ่งขาวหุ่มขาว   พวกเราพี่น้องก็จะพากันไปใส่บาตรให้กับแม่ชีพรามห์  ดูแม่อิ่มเอมบุญ  ปฏิบัติเรื่อยมา

สุดท้ายคนที่เคยคิดร้ายต่างๆ  ก็มีอันต้องแพ้ภัยตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ  ครอบครัวเรามีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  ลูกๆ ได้รับการศึกษาตามอัตภาพที่พึ่งมี

แม่สอนให้พวกเราคิดเป็นไม่เคยเอาเปรียบใครๆ  ฉันเห็นวิธีการในการอบรมสั่งสอนของแม่โดยการนำและทำเป็นแบบอย่าง   ความเข้มแข็ง  อดทน เลือดของแม่ที่หลั่งไหลให้ลูกๆ เป็นคนที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค์ใดๆ  จึงมักได้ยินเสมอว่า  "ปัญหามีไว้ให้แก้  อุปสรรค์มีไว้ให้เดินข้าม"  

ณ  ตอนนี้พ่อคงดีใจ  หมดห่วงใย  คงยิ้มอย่างมีความสุขอยู่บนสวรรค์   เพราะลูกๆ  ของพ่อได้ประสบความสำเร็จในการเรียนมีทุกใบปริญญาติดฝาบ้าน  ตรี  โท  เอก 

มีหน้าที่การงานที่ดีทั้งหมดแล้ว    มีทั้งระดับนายทหาร  ผู้อำนวยการโรงเรียน   อาจารย์สอนมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อ  วิศวกร  บ้างก็ประกอบธุรกิจส่วนตัว  บางคนจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ  บ้างใช้วิถีชีวิตอยู่ต่างประเทศ  ได้สำเร็จด้วยสองมือแม่ที่โอบอุ้มแทนพ่อ

ผืนแผ่นดินที่พ่อเคยสร้างไว้ยังอยู่ครบ   มิได้ขาดแหว่งหายไปไหนแม้แต่น้อย   เคยได้ยินบางคนพูดว่าต้องขายนาขายไร่ส่ง ควาย    เอ๊ย... ส่งลูกเรียน   เอ้อ.. แต่อย่ากระนั้นเลยหากเราคิดเป็นมันอาจทำให้อะไรๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  อาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ขึ้นมา

เพราะแผ่นดินนี้เราจอง   ผืนแผ่นดินนี้เป็นของเรา  เราไม่ต้องการเห็นมันตกไปอยู่ในมือใคร   เราช่วยกันทำกันถางดูแลรักษาปลูกสร้างพืชผลเพื่อดำรงชีพและผลักดันการศึกษาของพวกเราเอง    พวกเราไม่เคยลืมแผ่นดินเกิดไม่เคยลืมวิถีชีวิตเดิมๆ  แผ่นดินที่ได้สร้างลูกชาวบ้านธรรมดาให้มีคุณค่าต่อสังคม  

ฉันกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านแต่ละครั้งมักจะได้ยินคำชื่นชมสรรเสริญจากชาวบ้าน    ถ้าพ่อฉันยังมีชีวิตอยู่คงได้ภูมิใจและได้เห็นความสำเร็จของลูกๆ   ครอบครัวเรายังเป็นแบบอย่างการศึกษาของคนในหมู่บ้าน   เป็นที่เกรงใจและชื่นชมของคนรอบข้าง   เป็นแบบอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งสู้ตรากตำทำงานส่งเสียลูกเรียนจนจบประสบความสำเร็จ   

วันที่ฉันกลับไปเยี่ยมบ้าน   พายุลูกเห็บแรงลมก็โหมกระหน่ำเข้าสู่หมู่บ้าน  บ้านเรือนเสียหายยับเยินไปหลายหลังคาเรือน  หนึ่งในนั้นคือบ้านที่พวกเราเคยอาศัยอยู่หลังคาหายไปครึ่งหลัง 

ด้วยหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คน การเดินทางของฉัน  ฉันตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่มีศูนย์ประจำอยู่ในตัวจังหวัด   ไม่กี่อึดใจรถผู้สื่อข่าวก็มาถึงพร้อมติดโลโก้สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง    ชาวบ้านตื่นเต้นวิ่งมาดู   

มีคนวิ่งมาตามฉันที่บ้านให้ไปพบนักข่าวสภาพเนื้อตัวยังเปียกมะรอกมะแรก   อยู่ในชุดคุณแจ๋วผ้าถุง  ดูสภาพฉันแล้วเขาไม่น่าเชื่อว่าเราจะกล้าโทรไป   เราไม่บอกว่าเราเป็นใคร   ฉันพาพวกเขาสำรวจความเสียหาย  เก็บภาพถ่ายวีดีโอ 

 ไชโย...  ในที่สุดหมู่บ้านเราก็ได้ออกข่าวสถานีโทรทัศน์   

เรื่องถึงหูทางอำเภอเร็วปานสายฟ้า...   ทางอำเภอมาตรวจดูความเสียในหมู่บ้าน  แจกข้าวสารอาหารแห้ง  สังกระสี  อุปกรณ์ซ่อมแซม   

ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า  ทางอำเภอหรือรัฐเขามีงบประมาณพวกนี้มาช่วยเหลือ   เมื่อก่อนก็เคยเกิดพายุแบบนี้บ่อยๆ  ชาวบ้านก็ออกเงินซื้อซ่อมแซมแก้ปัญหากันเอง    มีผู้ใหญ่บ้านก็เหมือนกับมีหัวตอเอาไว้เฉยๆ    หมู่บ้านฉันไม่เคยเห็นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันดีกว่าที่เป็นอยู่

เจ้าหน้าที่อำเภอขึ้นมาตรวจความเสียหายที่บ้านที่ยังดูโกโลโกโสอยู่   เขาเดินสำรวจดูรูปลูกๆ  ของแม่ติดไว้ข้างฝาบ้าน  รับพระราชทานปริญญาแต่ละสาขาอาชีพ  มหาวิทยาลัยที่มีชื่อของรัฐ  เขาเดินมายกมือไหว้   "ยายเลี้ยงลูกอย่างไรครับ" 

ในวันหนึ่งทางอำเภอมาสัมภาษณ์และเชิญแม่ไปรับโล่รางวัลแม่ดีเด่นประจำอำเภอ   "รางวัลใดๆ  คงไม่สำคัญ  เท่ากับรางวัลแห่งชีวิตที่แม่หยิบยื่นให้ลูก"   ประสาชาวบ้านคนหนึ่งที่พึงทำได้   

เราไม่เคยประชาสัมพันธ์   โอ้อวดการศึกษา  เรียกร้องหารางวัลจากใคร    แต่รางวัลที่ได้มันคือรางวัลแห่งชีวิต...   ที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกเลย

นั่นเพราะแม่ได้ปลูกต้นกล้าเล็กๆ  รดน้ำพรวนดินจากที่เป็นรากหญ้า  เติบใหญ่เป็นรากแก้ว  แล้วยังเริ่มแผ่ขยายแตกหน่อแผ่กิ่งก้านไปทั่วสารทิศ   ฉันจึงขออวยพรให้แม่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกๆ หลานๆ  ต่อไป  

แม้นวันนี้ไม่มีพ่อให้กราบไหว้
แต่หัวใจมิเคยห่างจางไปไหน
พ่อยังอยู่ใกล้ชิดลูกตลอดไป
จักเดินอยู่หนแห่งใดมิเคยลืม

ขอบคุณพ่อแม่ที่สอนให้ฉันได้คิดเป็น  ดูแลตัวเองได้   ได้เรียนรู้วิถีชีวิตประสบการณ์บนเส้นทางของตนเอง  ฉันภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกกับความเป็นสุดยอด  "คุณพ่อและคุณแม่"    ของฉัน   ภูมิใจที่เกิดเป็นชาวนาชาวไร่

 "ตราปใดที่ยังมีลมหายใจอยู่   ตราปนั้นเราย่อมมีความหวัง"        มันเป็นคติประจำใจฉันเสมอมาที่ทำให้ต้องเดินก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย   

เคยได้ยินเขาพูดว่า  "จุดหมายปลายทางของชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญ   สำคัญที่ตลอดเส้นทางของชีวิตเราได้เก็บเกี่ยวเอาอะไรไว้สอนตัวเองบ้าง" 

ด้วยสองมือแม่ที่โอบอุ้ม
ช่วยค้ำจุนเก็บเกี่ยวไปสู่ฝัน
แรงบันดาลใจจากแม่ไม่ลืมวัน
ลูกเก็บฝันนั้นไว้ตลอดมา
	
มาวันนี้ลูกของแม่มาถึงฝัน
อภิวันกราบแทบตักด้วยรักยิ่ง
พระคุณแม่ล้นฟ้ามากมายจริง
เป็นยอดหญิงของลูก...  กราบไหว้ได้บูชา

ขอกราบขอบพระคุณบุญคุณ พ่อแม่
ยิ่งใหญ่แท้ลูกได้เกิดมาสู้ดูโลกกว้าง
เผชิญด้วยหัวใจแกร่งกล้าอยู่ในทรวง
จงหมดห่วง  พ้นทุกข์  เป็นสุขเทอญ

ฉันหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้  คงเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ  "ลูกกำพร้า  ผู้หญิงที่ขาดเสาหลักของครอบครัว"
 
ต่างคนต่างมีที่มาที่ไป  ต่างวิถีชีวิตการเกิด   หากเขาได้เข้ามาอ่าน  บทความนี้    ฉันขอเป็นกำลังใจให้กับเขาเหล่านั้น    อย่าได้ท้อถอยต่อโชคชะตา  "คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้   หนึ่งสมองสองมือเท่านั้นที่จะทำให้ฝันของเราเดินสู่ความจริง..." 
 
ขอเป็นกำลังใจและเป็นเพื่อนร่วมทางด้วยหัวใจคะ				
3 มีนาคม 2551 03:55 น.

ลูกกำพร้า

รอยทาง

"ตั้งแต่เกิดฉันกำพร้า  บิดรมารดาผู้ให้กำเนิดฉัน   มีเพียงดาวเดือนและดวงตะวัน 	ที่ปลอบดวงใจคลายเหงาเศร้าตรม"   เนื้อเพลงท่อนหนึ่งชื่อ เด็กกำพร้า ของ  อ๊อด คีรีบูน  นักร้องขวัญใจวัยมัธยมต้นของฉัน  ทำให้สะดุดและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชีวิตฉันเอง

ฉันเกิดมาพอจำความได้ก็ถูกเรียกว่าเป็น ลูกกำพร้า  ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจความหมายว่าลูกกำพร้าคืออะไร  ฉันกำพร้าพ่อ   พ่อตายไปตั้งแต่ฉันยังเล็กๆ  พอจะจำหน้าพ่อได้อย่างลางเลือนเรามีพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมด  8  คน ฉันเป็นคนที่ 7 ทุกคนยังเด็กมากเรียงลำดับเกิดกันมา  ฉันไม่มีโอกาสได้เรียกคำว่า "พ่อ"  แบบถนัดๆ ปากเหมือนคนอื่นเขา  ฉันจำไม่ได้ถึงความรักและสัมผัสอันอบอุ่นที่พ่อมอบให้ฉัน  

20  ธันวาคม  2515   ค่ำคืนดึกดื่นอันแสนเศร้าฤดูหนาว   ขณะที่แม่นั่งให้นมน้องชายคนเล็กเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่เดือน  เสียงลมหายใจของพ่อดังฟืดๆ  ขึ้นมาสองสามครั้ง  แม่ต้องรีบวางน้องวิ่งเข้าไปประคองตัวพ่อ   พ่อหายใจไม่ออกท้องแข็งแน่นหน้าอก   ดูแม่กระวนกระวายกระวีกระวาดใช้มือกดท้องร้องเรียกพ่อเสียงดัง   ฉันนั่งอยู่ข้างๆ  ตามประสาเด็กวัย  2-3  ขวบ  ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น  แล้วพ่อก็สิ้นลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ได้พูดหรือสั่งลา  แต่หมอลงความเห็นว่าหัวใจล้มเหลวฉับพลันทั้งที่พ่อยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น

ตื่นเช้าฉันเห็นผู้คนชาวบ้านทะยอยเดินกันมาที่บ้าน  บ้างก็ถือข้าวสารอาหารแห้งมาให้  ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรกัน   แต่ฉันก็เห็นร่างพ่อนอนแน่นิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านมีผ้าสีขาวคลุมไว้ทั้งตัว  มีผู้ชายสี่ห้าคนพยายามยกพ่อเข้าใส่โลงไม้เล็กๆ บางคนร้องให้น้ำตาไหลบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ  ฉันสังเกตุเห็นพี่ชายคนโตสองคนตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ป.6 จำได้พอคลับคล้ายคลับคราเหมือนแม่จะหมดหนทางที่จะให้พี่ทั้งสองเรียนต่ออีก  เขานั่งก้มหน้าร้องให้หัวกระแทกฝาบ้าน ปัง ปัง 
 
วันต่อมาฉันถูกแม่อุ้มเอาไว้ที่เอวเดินมาพร้อมกับผู้คนมากมายแบกโลงศพพ่อมาที่วัด   แล้วนำมาวางไว้บนกองฟืนแล้วก็จุดไฟเผา  ไม่เข้าใจความหมายว่าคนเหล่านั้นกำลังทำหรือเล่นอะไร   ฉันไม่เข้าใจคำว่าสูญเสีย  ไม่รู้จักคำว่าเสียใจ   ไม่เคยรู้จักคำว่า   "ตาย"   และแล้วในวันต่อๆ  มาฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าชายที่เป็นพ่อคนนั้นอีกเลย   เขาหายไปไหน...   ทำไมเขาถึงไม่กลับมาที่บ้านมาอยู่กับพวกเราเหมือนเช่นเคย  ด้วยความสงสัยของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ได้ยินแต่คนอื่นเขาพูดว่าพ่อของฉัน  "ตายแล้ว"  

ณ  วันนี้ใครที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่   จงห่วงใยดูแลกลับไปหาและเอ่ยคำว่า "รัก"  กับท่านทุกๆ ครั้งก่อนที่คุณจะไม่มีพ่อหรือแม่ให้เรียกคะ

02/03/2551

@@@@@
2,,
แม่เล่าให้ฉันฟังว่า...

ด้วยวิถีชีวิตที่จนและดิ้นรน นับแต่ปี 2510 ที่พ่อกับแม่ย้ายจากถิ่นเดิม  เข้ามาปักหลักทำมาหากินในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ซึ่งมีไม่กี่หลังคาเรือนตอนนั้น  ปกคลุมไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่ามากมาย  ความเจริญยังเข้าไม่ถึง  ถนนยังเป็นทางเกวียน  ยังใช้ไฟตะเกียงน้ำมัน  ค่ำลงก็มองไม่เห็นกันแล้ว  

แม่เล่าว่าพ่อเป็นที่รักและชื่นชมของคนในหมู่บ้านและมีอาชีพอย่างหนึ่งคือเป็นหมอ  พูดง่ายๆ เป็นหมอเถื่อนนั่นเอง  ไม่ได้มีใบประกอบวิชาชีพอะไร  พ่อได้รับวิชาความรู้ถ่ายทอดจากญาติซึ่งเป็นพยาบาล  หาความรู้อ่านเองบ้างในตำหรับตำรา   ยุคสมัยนั้นอะไรต่างๆ ก็ยังเข้าไม่ถึงชาวบ้าน   พ่อได้ช่วยเหลือชีวิตชาวบ้านให้พ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วย  จากไข้ป่า  พ่อจึงถูกเรียกว่าหมอ    ฉันจำได้ตอนเป็นเด็กไม่สบายเคยโดนพ่อเอาเข็มแทงก้นจนร้องจ๊าก....

บ้านเรือนไม้หลังใหญ่เสาสูงที่พวกเราอาศัยอยู่  พ่อต้องเหน็ดเหนื่อย   ออกแบบสร้างเอง  ฉันเคยเห็นเครื่องมือช่างของพ่อ  ไม่ว่าจะเป็นกบใสไม้   อุปกรณ์ช่างต่างๆ  ยุคสมัยนั้น  ทุกอย่างต้องทำขึ้นด้วยตัวของพ่อเองจากเป็นหมอ  พ่อก็มาเป็นวิศวกรอีกแล้ว  ไม่มีเครื่องจักรอะไรมาช่วยผ่อนแรงช่วยกันทำกันสร้างกับชาวบ้าน  ทุกอย่างยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์พ่อก็มาตายจากไป 

ยามฝนตกพวกเราวิ่งเอาขันกะละมังไปรองน้ำฝนตามรูรั่วของหลังคาบ้านเก็บข้าวของเข้ามุมกลัวว่ามันจะเปียก   เมื่อฉันเริ่มโตขึ้นได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านสมัยนั้นเล่าและชื่นชมในตัวพ่อให้ฟัง  พ่อฉันเป็นคนดีไม่น่าจากไปเร็วเช่นนี้   และพ่อยังเป็นคนคิดหัวเรี้ยวหัวแรงนำชาวบ้านก่อสร้างวัดขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน      และไม่น่าเชื่อว่าวัดนั้นจะกลายเป็นที่เผาศพของพ่อเป็นคนแรก    

พ่อกับแม่เรียนจบแค่ชั้น ป.4  มีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้าน  เขาทั้งสองมีความฝันร่วมกันนั่นก็คืออยากให้ลูกๆ เรียนสูงๆ  หลังจากพ่อเสียชีวิตฉันจึงเห็นสองแขนของแม่เป็นทั้งพ่อและแม่โอบอุ้มปกป้องพวกเราลูกทั้ง 8 คน ไว้ในเวลาเดียวกัน  เป็นเสาหลักที่หักไม่ได้อีกแล้ว   สู้ฟันฝ่าอุปสรรค์ทำนาทำไร่เป็นหนี้เป็นสินก็ยอม  

ฉันเห็นแม่วิ่งเข้าออกบ้านเถ้าแก่เพื่อกู้เงินมาทำนาทำไร่แบ่งบางส่วนให้ลูกๆ ได้เรียน  สิ้นปีแม่ต้องขายของในไร่นาให้เถ้าแก่เหลือหักหนี้สินไม่กี่บาทก็ต้องกู้ยืมเขาต่ออีก  ฉันเห็นภาพเหล่านั้นจนไม่อยากจะคิด  แม่บอกว่า  "ถ้าเราไม่มีข้าวของในไร่นาขายหักหนี้ให้เขาก็คงไม่ให้เรากู้หรอก"   เพื่อสานฝันอันยิ่งใหญ่ของพ่อที่พวกเขาเคยตั้งความหวังไว้ด้วยกัน  

แม่เป็นหญิงแกร่ง  หญิงเหล็ก  มือก็ไกวดาบก็แกว่ง  บางครั้งฉันก็แอบเห็นน้ำตาแม่ไหล  แม่บอกว่ายอมอดยอมเหนื่อยได้เพื่ออนาคตของลูก  ฉันจึงเห็นภาพของแม่มาคอยเตือนฉันทุกๆ  ครั้งเมื่อยามที่ฉันท้อและหมดกำลังใจ....  

03/03/2551
เหลืออีกนิดก็จบแล้วคะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรอยทาง
Lovings  รอยทาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรอยทาง
Lovings  รอยทาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟรอยทาง
Lovings  รอยทาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงรอยทาง