25 ตุลาคม 2552 18:36 น.

คิดถึง

ฤทธิ์ ศรีดวง

ค่ำหาวดาวหายใบไม้ลู่
หดหู่โหยไห้หัวใจหาย
ยิ่งดึกยิ่งเดี่ยวยิ่งเดียวดาย
ทอดกายลืมตามองฝาโลง

เสียงนกแสกแทรก ระแวกเถื่อน
ดวงเดือนเต็มเต่งดูเหวงโหวง
งูหงอยหอยทากออกจากโพรง
ตาลโตงเตงแกว่งตามแรงลม

มือเหี่ยวเหนี่ยวก่ายกิ่งไม้แห้ง
ออกแรงลุกหลุดสะดุดล้ม
ตาโหลลึกเหลือกกระเดือกจม
หนอนกลมกัดกร่อนกระชอนไช

คืนค่ำแห่งสัมภเวสี
ภูติผีเดินดุ่มตะคุ่มไหว
หายวับฉับพลันถึงบันได
อยากให้ญาติกรี๊ดหรือกรีดร้อง

ริมรั้วแรมไฟจึงไม่เห็น
กลิ่นเหม็นลอยไหลถึงในห้อง
มองผ่านม่านผ้าเบิกตาพอง
ไฟส่องตาสุกขนลุกเกรียว

จ้องเข้าเบ้าตาเต็มหน้าต่าง
หมาครางหอนยืนในคืนเปลี่ยว
ร่างลับดับรูปเพียงวูบเดียว
เหงื่อเหนียวหน้าชุ่มก็คลุมโปง

กระซิกผวาใต้ผ้าห่ม
พรืดลมพัดมุ้งสะดุ้งโหยง
ยิ่งสั่นสะท้านจนบ้านโคลง
ก้มโค้งคุดคู้ปิดหูตา
.........................................


คืนเย็นเพ็ญพราวและหนาวนัก
ต้นสักสูงดั่งจะบังฟ้า
ร่างภูติพรายกลับอย่างอัปรา
เวลาหรือเราที่เขาลืม

เนื้อพังหนังเอ็นก็เหม็นเน่า
รักเขาแค่ไหนก็ไม่ปลื้ม
ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาให้ยืม
ดูดดื่มถึงวันก็บรรลัย

ทอดร่างกลางโลงอย่างโล่งจิต
เลิกติดเลือดเนื้อและเชื้อไข
กรรมใดใครทำรับกรรมไป
ตั้งในสติอโหสิกรรม.

๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒				
17 ตุลาคม 2552 21:00 น.

พระสุพรรณกัลยา

ฤทธิ์ ศรีดวง

ต่อเบื้องพักตร์แห่งพระพุทธรูป
เปลวเทียนธูปควันคว้างกลางวิหาร
บัวหลวงพับกลีบวางอยู่กลางพาน
กลิ่นกำยานเย็นพรมด้วยลมเบา

พระนางนั่งพับเพียบดูเรียบร้อย
พระเนตรน้อยเคยคมกลับตรมเหงา
สองหัตถ์แสนงามนั้นกลับสั่นเทา
น้ำเสียงเศร้าสลดในบทธรรม

สวดพาหุงจบกราบอย่างซาบซึ้ง
ลูกมาพึ่งพระคราชะตาต่ำ
ขอพรพระโปรดจงป้ององค์ดำ
ให้ทรงนำกำชัยเหนือไพรี

นเรศเอ๋ยอนุชาผู้สามารถ
พี่มิอาจคืนเหย้าตามเจ้าหนี
จะถ่วงทัพไทยเปลี้ยจนเสียที
เพราะบุตรพี่เยาว์เกินจะเดินทาง

เร่งเคลื่อนทัพกลับไทยโดยไวเถิด
เพราะถ้าเกิดหงสาเข้ามาขวาง
จะเสียไพร่พลพ่ายทั้งนายนาง
เรื่องบาดหมางต่อศัตรูพี่รู้ดี

พี่จะรอคอยดูการกู้ชาติ
เอกราชจะฟุ้งทั่วกรุงศรีฯ
จะหอมกว่าบุปผาสุมาลี
สิ่งที่พี่ขอเจ้ามีเท่านั้น

ทองคำเปลวปิดลงหลังองค์พระ
ใครเขาจะเห็นงามหรือหยามหยัน
จะหลงลืมหรือจำความสำคัญ
ก็ช่างมันไม่เห็นจะเป็นไร

วันกรุงศรีฯตีได้ชัยชนะ
วันศีรษะแห่งข้าจะหาไม่
จะจากกรงทองขังคืนฝั่งไทย
แม้กลับไปแผ่นดิน..เพียงวิญญาณ

๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๒

.......................................................


ภายหลังจากที่พระมหาอุปราชามังกะยอชวาสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๑๓๕ จากการทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้านันทบุเรงทรงพระพิโรธมาก จึงใช้พระแสงขรรค์สังหารพระนางและพระโอรสสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระโอรสพระชนม์ได้ ๘ เดือน เพราะถ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้รับชัยชนะจากการทำสงครามเมื่อไหร่ ความตายก็เข้าใกล้พระนางเมื่อนั้น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี				
2 ตุลาคม 2552 00:23 น.

พระธุดงค์

ฤทธิ์ ศรีดวง

ฝนค้างใบไม้ค่อยทยอยหยด
เอาจิตจรดใจจับสดับเสียง
ทุกกระทบธารน้ำเกิดสำเนียง
ถึงแผ่วเพียงสัมผัสแต่ชัดเจน

ในค่ำคืนชื้นน้ำและฉ่ำฝน
มาฝึกตนในพฤกษ์อันลึกเร้น
ท่ามกลางแสงรางเลือนจากเดือนเพ็ญ
สงบเย็นเพลิดเพลินอยู่เนิ่นนาน

สมณะพระธุงค์ผู้ทรงศีล
ผู้ป่ายปีนข้ามวงวัฏฏ์สงสาร
ผู้ถือธรรมศรัทธาภิกขาจาร
หมายนิพพานเบื้องหน้าเป็นอารมณ์

ศีล ปัญญา สมาธิ สติตั้ง
มีจิตหยั่งรู้ทุกข์แลสุขสม
ปฏิบัติธุดงค์เดินจงกรม
และรู้ลมหายใจในกายตัว

ยิ่งเจริญในธรรมกรรมฐาน
ยิ่งตัดมารกิเลสและเหตุชั่ว
ยิ่งตัดเมาเขลาขลาดและหวาดกลัว
เป็นดอกบัวพ้นน้ำในยามนี้

มาปักกลดภาวนากลางป่าชัฏ
ท่ามกลางสัตว์เสือสิงห์กระทิงหมี
ทั้งเย็นเยียบเงียบจัดสงัดดี
ทั้งไม่มีผู้คนมาสนใจ

พอรุ่งเช้าดาวจางน้ำค้างหยาด
บิณฑบาตใต้โคนต้นไม้ใหญ่
เหลือกิเลสเท่าเล็บเท่าเห็บไร
กับวินัยเคร่งครัดวิปัสสนา

เหตุนี้เทพเทวาเทพารักษ์
จึงพร้อมพรักสักการะแก่พระป่า
ใส่ข้าวเหลืองในบาตรเพื่อบูชา
เป็นภัตตาหารทิพย์เท่าหยิบมือ

พระซึ่งตัดโอชาแห่งอาหาร
ความต้องการฉันขอแค่พอมื้อ
ใช่อวดฤทธิ์ร่ายมนตร์ให้คนลือ
จะขึ้นชื่ออุตริผิดวินัย

ฌานโลกีย์มีอิทธิฤทธิ์เดช
ก่อกิเลสลุ่มเหลิงดุจเพลิงไหม้
เพราะน้อมนำดำรัสพระตรัสไตร
ให้ฝึกใจใช่ติดในฤทธิ์ฌาน

จึงตั้งจิตภาวนาใต้คาคบ
จิตสงบ..สุขใจจึงไพศาล
เห็นภาพปวงเทวาสาธุการ
เห็นสังขารมากมายเกิดตายลง

หูได้ยินทุกเสียงแม้แสนห่าง
เห็นทุกอย่างแจ่มใสแม้ไรผง
เห็นภาพตนเวียนว่ายยิ่งหน่ายปลง
สิ่งยืนยงใดใดล้วนไม่มี

จึงยินเสียงจากสรวงสู่ดวงจิต
ท่านหมดกิจแล้วหนอต่อแต่นี้
ทราบว่าเสียงพระมุนินทร์ก็ยินดี
รัศมีแห่งกายจึงพรายพลัน

เกิดปิติในธรรมอันล้ำลึก
ซึ่งรู้สึกเฉพาะพระอรหันต์
ขณะที่เมฆเกลื่อนกลบเลือนจันทร์
ขณะนั้นภิกษุบรรลุแล้ว

พระธุดงค์กลางป่าจึงปราโมทย์
ในนิโรธสมาบัติดุจฉัตรแก้ว
หลายอรุณอุ่นอ้าวจวบดาวแวว
ยังนิ่งแน่วเสวยสุขหมดทุกข์กรรม

แม้มิฉันอาหารมานานนัก
แต่รูปลักษณ์พักตร์พริ้มดูอิ่มหนำ
อิ่มในสมาธิปิติธรรม
พร้อมชี้นำส่ำสัตว์..ณ บัดนี้

๒๖ กันยายน ๒๕๕๒				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง