21 กุมภาพันธ์ 2553 10:29 น.

ตากระต่าย

ฤทธิ์ ศรีดวง

เช้าวันนั้น ท้องฟ้าแจ่มใสหลังจากฝนตกหนักเมื่อคืน บ้านเรือนไม้หลังเล็กกลับดูเงียบเหงา
 เด็กผู้หญิงตัวเล็กยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้าน หญิงชราผมสีขาวท่าทางใจดี และยังดูแข็งแรงเดินมาด้านหน้า
และทรุดตัวนั่งลงยกมือเช็ดน้ำตาให้
พลอยเอ้ย...พ่อกับแม่ของหลานไปไม่นานหรอก หลานมาอยู่เป็นเพื่อนยายก่อนก็แล้วกัน 
ที่บ้านยายของเล่นเยอะแยะ มีลูกกระต่ายด้วย กำลังน่ารักเชียวอยากดูไหมล่ะ 
ยายพยายามปลอบใจหลานด้วยวิธีที่แกพอคิดได้

 รถคันนั้น คันที่พาพ่อแม่ของเธอไป แล่นฝ่าถนนลูกรังที่มีแต่คราบน้ำฝนหายไปจนลับตา
 ยายไม่รู้ว่าพ่อแม่ของหลานตัวน้อยของแกจะได้กลับมาหรือเปล่า คดีค้ายาบ้านั้นโทษหนักนัก
บางทีทั้งคู่อาจไม่ได้กลับมาชั่วชีวิตเลยก็ได้ ถ้าหากลูกสาวของแกจะเป็นอะไรไป แกอาจทำใจได้ในไม่ช้า
 แต่พลอยล่ะ..เธอยังเล็กเหลือเกิน   แกหันมองรถตำรวจที่เห็นเพียงจุดเล็กๆสุดปลายถนน
 เบือนหน้าหลบหลานซับน้ำตาเรื่อๆที่ขังอยู่ในริ้วรอยใต้ตา

  ที่บ้านยายส่วน
  บ้านยายอยู่ริมน้ำ เป็นบ้านสองชั้นยกพื้นสูง ชั้นล่างเป็นพื้นดินอัดแน่น เดินจนผิวดินเป็นมัน
 มีร้านหรือแคร่ไม้ขนาดใหญ่ใต้ถุน ยายมักจะมานอนมานั่งบนแคร่เป็นประจำ มานั่งรับลมเย็นๆ มาเคี้ยวหมากบ้าง
นั่งกินข้าวบ้าง หน้าบ้านเป็นคลองชลประทานน้ำใสสะอาด ที่ริมคลองมียอหลังใหญ่ ยายจะยกยอทุกวันเพื่อเอาปลามา
ทำกับข้าว ยายมีรายได้เล็กๆจากการขายผลไม้ในสวน ก็แค่พอเลี้ยงตัวได้เท่านั้น 

  หลายวันแล้วที่พลอยเข้ามาอยู่บ้านยาย เธอคลายความโศกเศร้าไปบ้างแล้วมีเพื่อนอย่าง เจ้าหมี..สุนัขพันธุ์ไทย
ขนสีน้ำตาล ร่างลำสัน ที่ชอบเล่นกับเธอทุกวัน และเธอก็ยังลูกแก้วเกือบร้อยลูกที่พ่อชอบผ่ากระป๋องสีสเปรย์
ตามกองขยะมาให้  เธอชอบมันมาก มันดูใสสะอาดดี ปีหน้าพลอยจะต้องเข้าโรงเรียน ยายไม่มั่นใจว่าจะหาเงินได้ทัน 
แกมองหลานอย่างสงสารจับใจ ยายอยากให้เธอเข้าโรงเรียน อย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนเล่นบ้าง
ไม่ใช่เล่นแต่ลูกแก้วทั้งวันแบบนี้
  ยายจ๋า หนูอยากดูกระต่าย เด็กหญิงพลอยเดินมากอดหลังคุณยายที่กำลังตะบันหมาก 
  ยายหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วเดินจูงหลานสาวไปที่โรงเก็บระหัด 
  ระหัดวิดน้ำไม่ได้ใช้แล้วตั้งแต่ตาจากไป ยายพยายามจะใช้ประโยชน์จากมัน  แกพาหลานมาถึง
แล้วชี้มือไปที่คอกเล็กๆข้างหน้าต่าง 
 โน่นไง ตัวยังเล็กอยู่เลย ยายได้มาแค่ตัวเดียว ฉี่มันเหม็น ยายเลยไม่อยากเลี้ยงไว้ใต้เรือน
  เด็กหญิงเดินเข้าไปจ้องดู ลูกกระต่ายดูตื่นๆกับคนแปลกหน้า  
  มันกินอะไรคะ ยาย เธอถามยายทั้งที่ตาจ้องไปที่กระต่ายตัวนั้น
  กินหญ้าขน..หญ้าขนที่ริมคลองเยอะ ไม่ต้องกลัวมันอด
   ดวงตากระต่ายเป็นสีแดงใส สวยมาก จนเธอจ้องมองไม่เลิก
  ยายๆ หนูอยากได้ ตากระต่าย มันเป็นลูกแก้วใช่ไหมยาย มีเครื่องหมายคำถามในแววตาของเธอ
  ใช่จ๊ะ.. มันกลมๆและก็สีแดงใส หนูคงชอบ
  ทำไงถึงจะได้ตากระต่ายล่ะยาย
  ถ้าหนูอยากได้ต้องรอมันตายก่อน
  เมื่อไหร่มันจะตายคะ
  ต้องเลี้ยงให้ตัวโตๆ แล้วมันก็จะตาย
  งั้นหนูจะเลี้ยงมันนะคะคุณยาย
  ยายพยักหน้า แล้วจูงหลานกลับ
รุ่งเช้าวันต่อมา หนูพลอยตื่นแต่เช้าเธอถือมีดเล่มน้อยไปตัดหญ้าขนริมคลอง ได้ต้นหญ้ามาไม่กี่ต้น
 เท่าที่มือน้อยๆของเธอจะถือไหว เธอวิ่งตรงไปที่โรงเก็บระหัด 
หวัดดีตอนเช้า ฉันมีของมาฝาก เธอวางหญ้าขนลงในกรงไม้ เจ้ากระต่ายยังตระหนกกับผู้มาเยือน
 มันนั่งตัวสั่นอยู่มุมกรงใต้ไม้กระดานแผ่นเล็ก แกไม่ชอบเหรอ ยายบอกว่าแกชอบกินหญ้าขน ฉันเลยตัดมาให้
 หรือแกยังไม่หิว เธอพยายามชวนคุย ทั้งที่รู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร 
ชวนคุยจนเหนื่อย เมื่อไม่มีการตอบรับเธอจึงออกมาจากโรงระหัด ปิดประตูแล้วมาแอบดูอยู่ด้านนอก 
กระต่ายตัวนั้นค่อยๆโผล่ออกมาจากที่ซ่อนใต้ไม้กระดาน ตรงเข้าไปกินหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยโดย
ไม่รู้ว่ามีสายตาเล็กๆคู่หนึ่งแอบดูอย่างภูมิใจ

วันรุ่งขึ้นเหตุการณ์ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม แต่วันนี้เจ้ากระต่ายไม่ได้มุดซ่อนใต้แผ่นไม้ตอนที่เธอวางต้นหญ้าให้มัน
และอีกสามวันต่อมา เจ้ากระต่ายตั้งตารอกินหญ้าสดๆทันทีที่เธอวางลงในกรง

สองสัปดาห์ผ่านไป 
เช้าวันนี้พอเธอเปิดประตูเข้าไป เธอเห็นเจ้าของกรงชะเง้อรอเธออยู่ มันไม่หลบเธออีกแล้ว
เธอสังเกตว่าตัวมันใหญ่ขึ้นมาก  ลองอุ้มดู มันเชื่องพอที่จะให้อุ้มโดยไม่ดิ้นรน พลอยจึงถือโอกาส
ทำความสะอาดกรงให้ขนานใหญ่  ลูกแก้วสีแดงในดวงตาคู่นั้นยังคงใสแจ๋ว เมื่อไหร่หนอเธอจะได้เป็นเจ้าของมัน

ยายขา เด็กน้อยวิ่งเรียกยายเสียงหลงในเช้าวันหนึ่ง
ยายนั่งคุยกับคนแปลกหน้าอยู่บนแคร่ใต้ถุนเรือน แกหันมายิ้มให้หลานแล้วนั่งคุยธุระต่อไป 
 พลอยเห็นยายยุ่งอยู่ก็เลยไปเล่นกับเจ้าหมีที่หน้าบ้าน ที่จริงเธอไม่ชอบเล่นกับเจ้าหมีหรอก เพราะตัวมันใหญ่ 
เธอจับมันไม่อยู่ แรงมันเยอะกว่า บางทีเธอไม่กล้านอนกลางวันบนแคร่ใต้เรือนด้วยซ้ำ อุปทานคิดไปว่าเจ้าหมี
มันจะคาบเธอไปกินเป็นอาหารเย็น 

พลอยไล่หมายักษ์ออกไปพ้นตัวแล้ว หลังจากที่มันตะกายจนเธอเปื้อนไปด้วยฝุ่นกับขี้เลน แพ้มันอีกตามเคย
เด็กน้อยยืนแอบรอยายอยู่ข้างเสา เห็นคนแปลกหน้าหยิบธนบัตรสีแดง สีเทา ให้ยายปึกเล็กๆปึกหนึ่ง
 ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ลิบๆ เธอแอบเห็นดวงตายายเป็นประกายตอนหันมาสบตากับเธอ
ยายจ๋า เธอเรียกยายอีกครั้งพร้อมกับวิ่งไปกอดยาย 
ใครกันเหรอคะ พลอยถามด้วยความอยากรู้สายตาก็จ้องมองดูรถกระบะสองคัน ที่วิ่งเข้าไปในสวน
พวกพ่อค้าจ๊ะหลาน เขามาเหมาซื้อผลไม้ในสวน ยายหยิบเงินมาให้หลานดู
ปีนี้น้ำท่วม สวนที่อื่นเสียหายเยอะ ของเราโชคดีหน่อย น้ำขึ้นไม่ถึง ก็เลยได้ราคาดี
ยายยกมือลูบผมหลานสาวอย่างเอ็นดู  พลอยรู้ ไหมว่ายายดีใจแค่ไหน เปิดเทอมหน้ายายมีเงิน
ให้หลานเรียนหนังสือแล้ว น้ำเสียงยายสั่นเครือกอดศีรษะหลานสาวไว้แนบอก สักครู่แกจึงเช็ดน้ำตา
 แล้วจับแขนทั้งสองของหลานสาวถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ไหนๆ หนูมีอะไรหรือเปล่าเห็นเรียกยายตั้งนานแล้ว
พลอยเอาเจ้าปุยมาเลี้ยงข้างนอกได้ไหมคะยาย
ปุย..ปุยไหน?ยายเลิกคิ้ว
ก็กระต่ายในโรงระหัดน่ะซิยาย หนูตั้งชื่อว่าเจ้าปุย มันกำลังน่ารักเชียวค่ะ ขนทั้งขาวทั้งนุ่ม
อ้าวแล้วหลานไม่อยากได้ลูกตามันแล้วเรอะ
อยากได้ซิคะยาย ตามันสีแดงใส ใหญ่กว่าเก่าตั้งเยอะ หนูน้อยดวงตาเป็นประกาย
ยายขา ให้หนูเอาเจ้าปุยออกมาเล่นข้างนอกได้ไหม มันเชื่องมากๆเลยนะคะ เธอถามย้ำ
อย่าเลยหลานเดี๋ยวเจ้าหมีมันจะฟัดเอา ยายห้ามไว้
ว้า พลอยทำสีหน้าผิดหวัง เดินงอนจากไปที่โรงระหัด   

หญ้าขนริมคลองใกล้หมดแล้ว หน่อใหม่ขึ้นไม่ทันกับการเขมือบของเจ้าปุย ซึ่งบัดนี้ตัวใหญ่แล้ว
 พลอยดูแลทำความสะอาดให้ทุกวัน เธอมักจะอุ้มมาอวดยายเสมอๆ  แต่เดี๋ยวนี้เธอไม่ค่อยได้อุ้มออกมาแล้ว
 ด้วยว่ามันตัวใหญ่และก็หนัก ไม่ใช่เหตุจากเจ้าหมีหรอก เพราะหลังจากที่ยายทำหลานสาวงอน
แกก็ไปผูกเชือกล่ามเจ้าหมีไว้ ทำให้หลานสาวเอาเจ้าปุยออกมาเล่นข้างนอกได้ทุกวัน
 ทุกครั้งที่เธออุ้มมันมาหายาย เธอจะเอาลูกแก้วเก่าๆของเธอมาให้ยายดู แล้วเปรียบเทียบให้ฟังถึงความสวย
ของตากระต่ายคู่นั้น ยายไม่เคยพูดอะไรนอกจากยิ้มๆ 

ทุกๆเช้าหลังจากที่ยายใส่บาตรแล้วก็จะมานั่งที่แคร่ใต้เรือน มองดูหลานสาวตัวเล็ก ปฏิบัติภารกิจหลักตัดหญ้าขน
 แกดีใจที่ดูเหมือนพลอยจะลืมเรื่องพ่อกับแม่ลงได้ อย่างน้อยก็มีเพื่อนเล่นที่ทำให้เธอตื่นเช้า ขยันขันแข็ง ร่าเริง
 และมีวินัยมากขึ้น 

หนังสือพิมพ์ที่ชาวบ้านเอามาฝากลงข่าวนักโทษรอประหารจากโทษค้ายาบ้า แกซุกไว้อย่างดี
 ถึงแม้วันนี้พลอยจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่คงไม่นานหรอก ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึงวุฒิภาวะของเธออาจจะมากพอที่รับรู้
ความจริงและกล้าเผชิญกับมัน

ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล นานแล้วที่ฝนไม่ได้ตก สองยายหลานเร่งเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ วิ่งฝ่าลมหอบตะกร้าผ้าเข้ามาในบ้าน
เดี๋ยวยายขึ้นไปปิดหน้าต่างก่อน ยายรีบขึ้นเรือนไปปิดหน้าต่างไม้ที่กำลังถูกลมตีดังปึงปัง
เสียงฟ้าลั่นครืนๆ ฝนเริ่มโปรยมาละอองมาแล้ว พลอยนึกอะไรได้บางอย่างเธอรีบวิ่งไปที่โรงระหัด  
ยายเคยเล่าว่า กระต่ายเป็นสัตว์ใจเสาะ บางทีแค่เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็อาจทำให้มันตกใจตายได้
เธอเปิดประตูแล้วจุดตะเกียง มองเห็นเจ้าปุยตัวสั่นไปนั่งแอบอยู่ที่มุมกรง เธอเอื้อมมือไปลูบขนเพื่อปลอบประโลม
โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ แค่ฝนตก เดี๋ยวก็หาย ครู่ใหญ่เสียงฟ้าลั่นก็เงียบลง

 ยายถือร่มมารอที่หน้าโรงระหัด
หลานพลอย กลับไปกินข้าวกินปลาได้แล้ว ไปเถอะไป แกงส้มปลาช่อนกำลังร้อนๆ 
พลอยเดินตามยายออกมาอย่างว่าง่าย    คืนนั้นเธอนอนฟังเสียงฝนในอ้อมกอดยาย นานมากแล้วที่ฝนไม่ตก
ครั้งสุดท้ายที่จำได้ คืนวันก่อนที่แม่จะถูกคนพาตัวไปคืนนั้น ฝนตกหนักมาก เสียงฝนกระทบหลังคาสังกะสีดังกราว
 เสียงดังมาก แต่เธอกลับชอบเพราะว่าฟังเพลินดี ยิ่งตอนที่นอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับแม่ เป็นความสุขที่เธอไม่เคยลืม
 
ยายหลับไปแล้ว แต่พลอยยังไม่หลับ ภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในความทรงจำ ถึงเธอจะอ่านหนังสือไม่ออก
 แต่ภาพที่เธอเห็นจากหนังสือพิมพ์ที่ยายแอบไว้ ก็พอเดาเหตุการณ์ทุกอย่างได้  ยายคงไม่เคยรู้หรอกว่าหลายครั้ง
ที่เธอไปนั่งร้องไห้ที่กรงเจ้าปุย เพื่อนคนเดียวที่เธอมีอยู่ เพื่อนที่รับฟังทุกเรื่องของเธออย่างอดทน

 เช้าแล้ว..
น้ำในคลองหน้าบ้านเป็นสีดินทั้งคลอง ตลิ่งที่ไม่มีต้นไม้คลุมถูกน้ำเซาะเป็นร่องลึก
โคนเสาเรือนมีละอองดินจับสูงราวหนึ่งศอก พื้นดินเฉอะแฉะไปหมด แต่ต้นไม้ใบหญ้ากับดูสดใส 
พลอยตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน สังเกตเห็นรอยเท้าสุนัขเป็นทางยาวไปสู่โรงระหัด เธอใจหายวาบ 
เมื่อเย็นวานเธอลืมปิดประตู เด็กน้อยรีบวิ่งไปดูเจ้าปุยทันที ประตูนั้นเปิดอยู่จริงๆด้วย
 ใจเธอเต้นระทึก ภาวนาขออย่าให้เกิดอะไรขึ้น

 ในโรงระหัดเงียบสนิท มีหยดเลือดเปื้อนที่ขอบกรง เจ้าปุยนอนเหยียดยาวมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอ
 ดวงตาสีแดงที่เคยใสดุจลูกแก้วกลับดูขุ่นและมีคราบฝ้าสีขาวเคลือบอยู่ พลอยนั่งลงข้างๆกรง
 เป็นอีกครั้งที่เธอต้องพบกับคำว่าสูญเสีย 
ปุย ทิ้งพลอยอีกคนแล้วเหรอ พลอยไม่อยากได้ลูกตาปุยแล้วนะ พลอยอยากให้ปุยกลับมา
 กลับมาเล่นกับพลอยเหมือนเดิม 


ลมยามเช้าพัดเย็นสบาย เสียงนกบนต้นไม้ร้องเพลงอย่างเริงร่า แต่ถ้าตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ
 ของเด็กหัวใจสลายคนหนึ่งลอยแทรกอยู่ในสายลม..

..				
29 มีนาคม 2552 20:54 น.

นักสำรวจที่หายไป

ฤทธิ์ ศรีดวง

ปู่คอยสอนผมว่า ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ ทุกอย่างล้วนเป็นวัฏจักร
 มีเริ่มต้น เจริญถึงขีดสุด ตกต่ำ สลายตัว แล้วก็กลับมาเริ่มใหม่  
 คุณเชื่อไหม ผมไม่เชื่อหรอก ดร.นาธานพูดขึ้นลอยๆ 
สายตามองออกไปนอกผนังกระจกใส ดูโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ที่อยู่ห่างไปราวครึ่งกิโลเมตร 

  คุณชอบแสงแดดยามเช้าไหม ผมชอบนะ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ใช่ของจริง 
ปู่ผมเล่าว่าเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นมนุษย์อาศัยอยู่บนผิวโลก 
บรรพบุรุษของพวกเรามีความสุขกันมาก พวกเขาได้เห็นท้องฟ้า
 เห็นดวงอาทิตย์ เห็นภูเขา แม่น้ำ รู้ว่าลมพัดเป็นยังไง 
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเรารู้แต่ในหนังสือ แต่ไม่เคยรู้ว่าของจริงสวยงามแค่ไหน
เราเห็นกันแต่ของจำลองเท่านั้น

 เราเกิดและตายใต้พื้นโลกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว 
คุณอาจไม่สนใจก็ได้ เพราะคุณชินกับที่ที่คุณเกิด 
พื้นที่ใต้โลกอาจกว้างสุดลูกหูลูกตาก็จริง แต่ทุกอย่างล้วนถูกสร้างโดย
รัฐบาลกลางเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้คงอยู่ 
เพื่อรอว่าวันหนึ่งจะได้กลับขึ้นไปอยู่บนผิวโลกอีกครั้ง 
ดร.นาธาน ยังคงมองผู้คนที่ทะยอยเข้าโรงพยาบาลหลังนั้น 
จำนวนผู้คนที่มากกว่าสัปดาห์ที่แล้วถึงสามเท่า 
  
  ดร.นาธานเป็นหัวหน้าโครงการสำรวจโลกใหม่ ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาล
เพื่อศึกษาสภาพผิวโลกว่าเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือไม่ 
ภาพนอกกระจกของอาคารทำการ นอกจากโรงพยาบาลแล้วก็เป็นป่าไม้
 ลำธาร และอาคารสูงสี่ถึงห้าชั้นแทรกตัวอยู่เป็นระยะ
 วิถีชีวิตอาจดูสงบเงียบขณะที่พื้นที่กำลังจะมีปัญหา
เพราะแคบเกินกว่าที่จะรองรับการขยายตัวในอนาคต

  ที่นี่ถูกสร้างขึ้นหลังเกิดภาวะโลกร้อนเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว 
สภาวะโลกเปลี่ยนแปลงไปหมด น้ำท่วมโลก พืชสัตว์ล้มตาย ขยะล้นโลก
 สงครามศาสนา และมลภาวะ อากาศพิษที่ลุกลามไปทั่วโลก 
จนผู้คนล้มตายไปมาก มากกว่าที่เราจะจินตนาการได้ 
พวกที่เหลือต่างแสวงหาที่อยู่ใหม่ โชคดีที่เราเจออุโมงค์ยักษ์แห่งนี้ 
เมื่อผู้คนเรือนแสนอพยพมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครได้ขึ้นไปข้างบนอีกเลย
 ผิวโลกไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออีกแล้ว รัฐบาลกลางทำงานอย่างหนัก
เพื่อปรับปรุงอุโมงค์แห่งนี้ให้ใหญ่ขึ้น และมีสภาวะเดียวกับบนพื้นโลก
เพื่อให้เราอยู่กันได้และไม่กลายพันธุ์ ทุกๆปีเราจะส่งอาสาสมัคร
ขึ้นไปสำรวจผิวโลก แต่ไม่มีใครกลับลงมาเลยทุกคนตายหมด 
เราจึงใช้อุปกรณ์สำรวจวัด แทนการส่งคนขึ้นไป แต่นั่นมันนานมาก 
นานจนกระทั่งเราคิดว่าเครื่องสำรวจส่งสัญญาณเหล่านั้นพังหมดแล้ว
จึงไม่ส่งสัญญาณใดๆกลับลงมา เพราะจากการคำนวณของเรา 
สภาพผิวโลกพร้อมให้เรากลับขึ้นไปอยู่ได้อีกครั้ง 
กระบวนการเยียวยาตัวเองของโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว 
ดร.นาธานหันกลับมาหาชายผู้อยู่ในชุดนักโทษ 
ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกขนาบด้วยผู้คุมร่างยักษ์สองนาย 
ด็อกเตอร์ยื่นหน้ามาเกือบชิดใบหน้านักโทษชายผู้นั้น

เราต้องการทีมสำรวจฝีมือเยี่ยม เก่ง และมั่นใจได้ ว่าพวกเขา
จะนำข่าวดีกลับมาบอก ด็อกเตอร์เค้นเสียง
ฟังดูดีจังด็อกเตอร์ นักโทษชายกล่าวขึ้นอย่างประชดประชัน
ถ้าผมตอบรับอย่างนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องบอกว่า..เป็นเกียรติอย่างสูงครับ 
แต่ถ้าผมตอบอย่างนักโทษก็ต้องบอกว่า ..จะให้พวกผมไปตายห่าใช่ไหม 
นักโทษหนุ่มตะโกนกับประโยคสุดท้าย
ใจเย็นนักโทษ A1 
นี่คือโอกาสของพวกคุณ ถ้าพวกคุณทำงานสำเร็จ พวกคุณพ้นโทษ 
พร้อมกับได้ทรัพย์สินคืน
แล้วถ้าพวกผมทำไม่สำเร็จ
ยังไงพวกคุณก็ต้องตาย ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกตายที่ไหน ถูกฉีดยาในห้องประหาร หรือขึ้นไปตายบนผิวโลก ซึ่งที่นั่นพวกคุณอาจไม่ตายก็ได้
 ด็อกเตอร์กล่าวอย่างมีแต้มต่อ
นักโทษ A1และ A2 นิ่งเงียบ

  ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะได้หมายเลขดังกล่าวซึ่งเป็นหมายเลขของนักโทษอุกฉกรรจ์ รอการประหารชีวิต ทั้งสองเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ฝีมือดี
ด้านสาธารณสุขของรัฐบาลกลาง จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว
พวกเขาและทีมงานอีกสามคนพบโดยบังเอิญว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่
ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วได้กลับมาระบาดอีก และเชื้อแช่แข็งในห้องเก็บเชื้อ       ได้หายไป  และเนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขก็เป็นอีกหน่วยงานที่
 ดร.นาธานดูแลอยู่ และด็อกเตอร์ก็เป็นคนเดียวที่มีอำนาจอนุมัติ
การนำเชื้อเข้าออกจากห้องดังกล่าว และแน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นาน
โรงพยาบาลเอกชนที่กำลังจะขาดทุนของภรรยาด็อกเตอร์ก็กลับมีลูกค้า
ไม่ใช่ซิ ต้องเรียกว่าคนไข้มากขึ้นอย่างผิดสังเกต 
ทุกคนเข้ามารักษาไข้หวัดใหญ่ 
  เมื่อเขาและทีมงานสืบจนใกล้ถึงตัวผู้บงการ 
คืนนั้นเจ้าหน้าที่ในทีมถูกสังหารสามคน โดยหลักฐานทั้งหมด
ชี้มาที่พวกเขาทั้งสองคน.และโทษที่พวกจะได้รับคือ ประหารชีวิต! 
  เมื่อนักวิทยาศาสตร์ตัวเล็กๆสองคนต้องกลายเป็นแพะรับบาป 
ก็คงไม่เลวนักหรอกสำหรับการที่อาจจะมีอิสรภาพอีกครั้ง

ตกลง พวกผมรับข้อเสนอ นักโทษ A1ตอบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆของผู้ชนะ
และโปรดจดจำพวกผมในฐานะนักสำรวจ ไมใช่นักโทษ
  ..........................................................................................................
  เก้า..แปด..เจ็ด..หก..ห้า..สี่..สาม..สอง...หนึ่ง..ศูนย์ 
สิ้นเสียงนับถอยหลัง ยานสำรวจหัวสว่านลำเล็กก็ถูกปล่อยขึ้นจาก
ลานกว้างหลังอาคารวิจัย  
ช่องโลหะหนาของโครงสร้างหลังคาอุโมงค์ค่อยๆแยกตัวออกจากกัน
เป็นรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหกเมตร 
ยานสำรวจทะยานขึ้นไป หัวสว่านเริ่มทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ 
 มันเจาะผ่านชั้นหินเหนือหลังคาอุโมงค์อย่างแช่มช้า 
เศษหินและฝุ่นร้อนตกลงมามากมายที่พื้น เมื่อยานพ้นไปแล้ว
แผ่นช่องหลังคาก็ค่อยปิดตัวเองลงจนอยู่ในสภาพเดิม

  ระยะทางหนึ่งกิโลเมตรจากอุโมงค์ถึงผิวโลก นานพอ
ที่เขาจะคิดอะไรต่อมิอะไรมากมายในสมองของเขา 
  อีกห้านาที ยานจะขึ้นสู่ผิวโลก เสียงอิเลคทรอนิคเตือน
 เสียงหัวใจทั้งคู่เต้นระทึก
 อีกสี่นาที.อีกสามนาที.อีกสองนาที.หัวใจเหมือนจะทะลุออกมา
..อีกหนึ่งนาทีอีกสิบวินาที เก้า..แปด..เจ็ด..หก..ห้า..สี่..สาม..สอง
หนึ่งศูนย์ ยานทะลุออกมาจอดนิ่งอยู่บนผิวโลก ทั้งคู่หลับตาปี๋ 
สักครู่จึงได้สติ กดปมเปิดประตูยาน ประตูค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ 
 
  ทั้งสองก้าวออกจากประตู หรี่ตาปรับให้เข้ากับแสงภายนอก 
  ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ 
  กวาง และสัตว์ป่าน้อยใหญ่และเล็มหญ้าอยู่ทั่วไป
 มีบางตัวตกใจเสียงยานก็วิ่งเหยาะๆหนีไป 
สัตว์ที่พวกเขาเคยเห็นจากในหนังสือ ได้ปรากฏภาพอยู่เบื้องหน้านี่แล้ว
 ช่างน่าอัศจรรย์นัก สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าที่นี่ปลอดภัย 
  เขาฉุดมือภรรยาวิ่งออกไปกลางทุ่งหญ้า สายลมพัดมาเบาๆ 
 สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด หัวเราะร่าอย่างมีความสุข
  เราจะไม่กลับลงไปอีกแล้วใช่ไหมคะอดัม
 แน่นอนจ๊ะเราจะอยู่บนนี้กันสองคนอีฟ
..................................................................................................................

ปู่คอยสอนผมว่า ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ 
ทุกอย่างล้วนเป็นวัฏจักร มีเริ่มต้น เจริญถึงขีดสุด ตกต่ำ สลายตัว 
แล้วก็กลับมาเริ่มใหม่   คุณเชื่อไหม  ผมไม่เชื่อหรอก 

ดร. นาธาน จอห์นสัน				
20 ตุลาคม 2551 22:21 น.

บ้านบนเขา

ฤทธิ์ ศรีดวง

เงินทองที่น้อยทำงานได้ เธอส่งกลับมาให้พ่อกำนันเสมอ 
(เลื่อนขั้นจากผู้ใหญ่เป็นกำนันแล้ว ) คุณพ่อก็แสนดี อุตส่าห์ไปสร้าง
บ้านพักชมวิวไว้บนเขาหลังหนึ่ง เอาให้ลูกสาวได้พักผ่อนตอนกลับมาบ้าน 
ทางเดินอาจจะสูงชันไปนิดแต่ก็ดูเพลินตาด้วยต้นไม้สองข้างทาง
 พื้นที่ตรงนั้นอยู่ติดกับวัดร้าง ลานดินที่แกอุตส่าห์ปลูกต้นไม้ดอกไม้
จนสะพรั่งไปหมด ก็เคยเป็นป่าช้าเก่า แต่ทำพิธีล้างป่าช้าไปนานแล้ว 
จึงดูไม่น่ากลัวในสายตาแก มีคนถามว่าทำไมถึงไปสร้างบ้านในที่แบบนี้ 
น่ากลัวจะตาย คำตอบคือ

ลูกข้ามันไม่กลัวผี มันกลัวตุ๊กแก
แล้วพ่อกำนันมั่นใจได้ยังไงว่าข้างบนไม่มีตุ๊กแก
แน่นอน ไม่มีแน่ๆ ข้างบนงูเยอะ มันกินตุ๊กแกไม่เหลือซักตัว
..............................................................................................................
กริ้งงงง
พ่อกำนันคว้ามือถือรุ่นกระติกน้ำมาแนบหูพร้อมกับทำตาโต
น้อย ลูกจะกลับบ้านเหรอวันไหน .
พอแกวางโทรศัพท์เท่านั้นแหละ เสียงตีเกราะก็ลั่นหมู่บ้าน 
สิ้นเสียง ชาวบ้านแตกฮือวิ่งกันอลหม่านราวบุกยึดทำเนียบ
 มารวมกันที่ลานดินหน้าบ้านกำนัน

เกิดอะไรขึ้น พ่อกำนัน
ลูกข้าจะกลับบ้านวันมะรืน ข้าขอให้ทุกคนกำจัด ทำลาย ตุ๊กแกทุกตัว
ให้หมด
 ชาวบ้านทุกคนรับปากอย่างว่าง่าย ก็คงเพราะไม่มีใครอยากตื่นมา
ฟังเสียงกรีดร้องกลางดึกหรอก

 และแล้ววันที่น้อยกลับบ้านก็มาถึง เมื่อรถโตโยต้ายารีสสีชมพู 
จอดที่หน้าบ้านพ่อกำนันที่กำลังก่อสร้างอาคารบางอย่างอยู่
 เมื่อประตูเปิดออก สาวน้อยนางหนึ่งก็ปรากฎกายขึ้น 
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้พ่อ 

อีหนู นี่แกไปทำอะไรมาถึงบวมขนาดนี้ แกพูดออกมาเหมือนอุทาน 
เมื่อภาพลูกสาวที่สวยอรชรราวดาราเกาหลีคราวเมื่อกลับบ้าน
ครั้งที่แล้วกลายเป็น..เอ่อ  แกรู้สึกเหมือนนั่งดูทีวี wide screen 
ที่ตัวละครดูตัวกว้างๆ ป้อมๆ

 หวัดดีค่ะพ่อ เธอยกมือไหว้ พ่อกำนันรับไหว้ทั้งที่ยังอ้าปากค้าง 
  บุหรี่มวนใบจากตกจากปาก ไฟแช็คแก๊สอันละสิบบาทตกจากง่ามนิ้ว

  แหมพ่อ ก็หนูทำงานเป็นกุ๊กนี่คะ ต้องกินต้องชิมทั้งวัน 
มันก็เลยอ้วนขึ้นนิดนึง เธอชูปลายนิ้วก้อย เอานิ้วโป้งแตะที่ข้อนิ้วก้อย  

นี่ขนาดนิดของแกนะเนี่ย เอ้าๆ ไม่เป็นไรขึ้นเรือนก่อน 
แกเดินนำหน้าลูกสาวก้าวข้ามคานคอนกรีต ที่กำลังสร้างสุขศาลา
ติดๆกับบ้านแก แว่บหนึ่งแกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ 
แกหันกลับมามองลูกสาว แล้วตะโกนเสียงหลง
อีหนู! เดินอ้อมมาทางนี้อย่าเดินขึ้นไปบนคาน ขึ้นคาน น่ะ
โบราณเขาถือ
น้อยซึ่งปรกติไม่เชื่อคำโบราณอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เชื่อฟังอย่างว่าง่าย
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน

  สนทนากันประสาพ่อลูกที่บนเรือนสักครู่พ่อกำนันจึงถามขึ้น
นี่แกลาพักร้อนมารึไง 
ก็ไม่เชิงหรอกจ๊ะพ่อ พูดพลางหยิบถั่วลิสงต้มที่พ่อกำนัน
เพิ่งยกมาตั้งแกะใส่ปากไม่หยุดมือ
ไหนบอกว่าช่วงนี้งานยุ่ง
ก็.เจ้านายเกาหลีเขาจัดเมนูพิสดารช่วงนี้ หนูก็เลยขอลาพัก
เมนูอะไร

ตุ๊กแกจ๊ะพ่อ เขาจัดพิเศษ ช่วงนี้ลูกค้านักท่องเที่ยว เกาหลี 
ฮ่องกงเยอะ พ่อคิดดูซิ ให้เราจับตุ๊กแกมาทำอาหาร มันหยืย!!
เออๆ ไม่ต้องบอก พ่อรู้ แล้วเขายอมให้พักได้ยังไง ถ้ายุ่งขนาดนั้น
พ่อๆ แล้วที่พ่อบอกว่าจะมีเซอร์ไพร์สหนู อะไรเหรอพ่อ 
น้อยเปลี่ยนเรื่อง
พ่อเก็บเงินที่ส่งให้พ่อ ปลูกบ้านให้แกหลังนึง อยู่บนเขาโน่นแน่ะ 
อยากดูหรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวพ่อจะพาไปดู
  
  แล้วกำนันก็พาลูกสาวขึ้นปิคอัพโฟร์วีลไต่ขึ้นเขาอย่างช้าๆ 
อากาศดีมาก เธอเปิดกระจกสูดอากาศเข้าเต็มปอด มองดู
ทางลาดชันที่เกินกำลังยารีสสีชมพูจะขึ้นไหว

  จนกระทั่งรถมาจอดหน้าบ้านไม้หลังเล็กๆหลังหนึ่ง 
เธอรีบเปิดประตูลงไปยืนที่ระเบียงมองออกไปเห็นทิวเขาลิบๆ
กับทะเลหมอก สวยจนนึกขำตัวเองที่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นคุณค่า
 ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าบ้านเธอนี่แหละน่าอยู่ที่สุดในโลก

  เปิดประตูระเบียงเข้าไปห้องนอน เตียงใหญ่หนานุ่มน่านอนมาก 
อากาศเย็นโดยไม่ต้องเปิดพัดลม
นี่ถ้าไม่ติดว่ามากับพ่อเธอคงทิ้งตัวหลับไปแล้ว
 เออๆ.. เป็นไง ชอบไหมล่ะ
ชอบมากเลยจ๊ะพ่อ น้อยโดดกอดพ่อโดยลืมกฎเรื่องโมเมนตัม 
พ่อกำนันถึงกับเซไปติดข้างฝา

ขอบคุณมากค่ะ หนูรักพ่อที่สุดเลย พ่อกำนันลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู
 น้อยเข้าใจมาตลอดว่าพ่อรักพี่ชายมากกว่าเธอ 
และเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าพ่อรักเธอมากแค่ไหน พ่ออาจจะไม่เคยพูด 
พ่อมักจะแสดงด้วยการกระทำเสมอ
 พักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นๆลงไปกินข้าวกับพ่อข้างล่าง
........................................................................................................
 เย็นแล้ว น้อยอาบน้ำเสร็จ ก็แต่งตัวเดินลงเขาตามขั้นบันได 
สองข้างเป็นดอกไม้และต้นไม้ สดชื่นมาก จนตั้งใจว่าขากลับจะเดินขึ้น
 ไม่ให้พ่อขับมาส่งเด็ดขาด

 อาหารมื้อนั้นอร่อยมาก เธอปลดตะขอกางเกง ก่อนกินจานที่สาม 
และ เอ่อ..จานที่สี่ตามมา

พ่อ..พ่อ หนูไม่เห็นพี่แดงเลย ตอนลงมาก็แวะดูที่บ้าน เหมือนถูกไฟไหม้ 
ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนกันเหรอ
พ่อกำนันมองหน้าลูกสาวนิดนึง
อยากรู้จริงๆเรอะ
อยากรู้สิพ่อ ตอนเด็กๆเราสนิทกันจะตายไป
นังแดงมันตายแล้ว ตายทั้งกลมด้วย ผัวมันเคยมาปลูกบ้านบนเขา
ให้พ่อเมื่อปีกลาย บ้านแกนั่นแหละ
มันเดินขึ้นเขาไปส่งข้าวให้ผัวทุกวัน วันหนึ่งพลาดตกบันไดลงมาตาย 
มีคนเจอบ่อยๆ เฮี้ยนมาก แม่ผัวก็รักลูกสะใภ้เหลือเกิน รู้ข่าวก็วิ่งไปหา
พอเห็นศพนังแดง แกก็ช็อคหัวใจวายตายไปอีกคน เจ้าเข้มเสียใจ
ที่ทั้งเมียทั้งแม่ตายก็เลยเผาบ้านทิ้ง น่าเวทนาจริงๆ 
พ่อถึงไม่อยากให้ลูกเดินขึ้นเขาคนเดียวยังไงล่ะ

  น้อยอึ้ง ใช่เพื่อนเธอตายแล้ว อิ่มข้าวกะทันหัน 
(สมควรอิ่มตั้งนานแล้ว) ไอ้เรื่องผีน่ะ เธอไม่กลัวหรอก
 เพราะไม่เชื่อว่าผีมีจริง เธอจะต้องพิสูจน์ว่าผีไม่มีให้ได้ 
จะขึ้นบันไดคนเดียวให้ดู 
..................................................................................................................
 นี่แกจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่
แหม พ่อก็ หนูเพิ่งมาถึง จะรีบไล่เลยเหรอ
เปล่าๆ ก็เห็นว่าเจ้านายงานยุ่ง ลูกค้าเยอะ คงต้องการคนช่วย 
แต่แกดันลากลับบ้านซะนี่
ก็หนู

ลูก..ฟังนะ  เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราต้องแบ่งแยกระหว่าง
เรื่องที่ถูกใจกับเรื่องที่ถูกต้อง เรามักจะเลือกทำในเรื่องที่ถูกใจก่อน
 บางทีอาจมาใช่เรื่องที่ถูกต้องก็ได้

อึ้งครับ น้อยอึ้ง โห..วันนี้พ่อพูดได้เฉียบคมมาก 
เธอสอดส่ายสายตาหาหนังสือที่คิดว่าพ่อไปจำมา เจอแต่ขายหัวเราะ
 กับ มวยโลก ไม่ใช่แน่ แต่ช่างเถอะไม่ว่าพ่อจะไปจำคำพูดของใครมา 
แต่คำพูดนั้นก็เพียงพอที่จะสะกิดต่อมความคิดของเธอ  
รักพ่อจังเลย เธอขยับจะเข้าไปกอดพ่อ แต่พ่อรู้ทันถอยหลังกรูด 
เข็ดจากแรงปะทะเมื่อตอนกลางวัน

เธอคุยกับพ่ออีกพักใหญ่แล้วขอตัวขึ้นบ้าน
เดินผ่านบ้านเพื่อนที่ดำเป็นตอตะโก เผลอไปจับเสาอย่างไม่รู้ตัว
จนคราบถ่านเปรอะมือ เธอเดินชมดาวที่เห็นชัดเจนเต็มฟ้า 
ยุงบินมาเกาะที่หน้า เผลอเอามือลูบหน้าจนดำเป็นแถบ  

บันไดขึ้นเขาอยู่เบื้องหน้า แค่สองร้อยขั้นเท่านั้นเอง 
สมัยเด็กๆเคยขึ้นไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ ทางแค่นี้ บ่ยั่นดอก 

สามสิบขั้นผ่านไป จึงรู้ตัวว่าเธอไม่ใช่ฉางน้อยหุ่นเพรียว
เหมือนเมื่อก่อนแล้ว น้ำหนักที่แบกไว้สองเท่าเริ่มส่งผล
 แต่เรื่องยอมแพ้ไม่มีอยู่แล้ว 

ร้อยขั้นผ่านไป 
ที่ชานพักข้างหน้า  เธอเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างนั้นยืนนิ่ง 
เนื่องจากเป็นคืนเดือนเสี้ยว จึงมองไม่ถนัดนัก แต่เธอรู้ว่า 
ร่างนั้น..เป็นผู้หญิงและกำลังจ้องมาที่เธอ ใจฉางน้อยเต้นระทึก
 ทั้งเหนื่อยทั้ง.. กลัว  ไม่ใช่ผีๆ ผีไม่มี เธอพยายามคิดเช่นนั้น 
 จนกระทั่ง.

เหวอ..ช่วยด้วยยยยยย.ผีหลอกๆ 

เปล่า! ไม่ใช่เสียงน้อย แต่เป็นเสียงจากร่างนั้น 
อ้าว!  ป้าแม้น น้อยจำเสียงได้
โถ นึกว่าใคร ป้าแม้น นี่หนูเอง น้อยไงล่ะ
อ้าวนึกว่าผีเจ้าแดง ตายทั้งกลม เห็นบวมๆแบบนี้ นึกว่าใช่
ตุ๊บ! ลำแขนขนาดท่อนซุงฟาดเข้าที่ต้นคอป้าแม้น..
แกลงไปชักสลบเหมือด 

 เปล่า! ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ น้อยแค่คิดเล่นๆ  
แล้วนี่กลับมาเยี่ยมพ่อกำนันเรอะ
จ๊ะ ป้า
เออ ดีๆ แล้วค่อยคุยกันตอนเช้านะ.เล่นอะไรก็ไม่รู้ใจหายหมดเลย 
เอาสีทาหน้าซะดำปี๊ ใครจะไปจำได้ เสียงป้าแม้นเดินบ่นไปตลอดทาง

น้อยฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

ป้าแม้น..ป้าแม้นนี่เป็นแม่ของพี่เข้มนี่หว่า!  
เท่านั้นแหละท่านผู้ชม อีกร้อยขั้นที่เหลือไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป

เธอมายืนหอบหมดสภาพ หน้าบ้านหลังงามของเธอ
แล้วค่อยๆเลื้อยขึ้นไปบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน 
เผลอหลับไปงีบหนึ่งก็สะดุ้งตื่นเดินไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้สบายก่อนเถอะ
 เปิดฝักบัว  คิดไปเรื่อยเปื่อย กลับบ้านครั้งนี้สนุกพิลึก 
พรุ่งนี้กลับกรุงเทพฯ คงมีเรื่องมันๆเล่าให้เพื่อนฟัง  

 น้ำจากฝักบัวนั้นช่างเย็นนัก จนรู้สึกปวดท้อง  ปัสสาวะที่กลั้นไว้นาน
ถูกปล่อยไหลไปกับน้ำจากฝักบัว เธอรู้สึกถึงความผิดสังเกต ว่าทำไมถึงอุ่นนัก 

เธอสะดุ้งตื่น จึงรู้ว่าเผลอหลับฝันไป ฉลองเตียงใหม่ บ้านใหม่เข้าให้แล้ว!				
6 กันยายน 2551 22:27 น.

นิทานหิ่งห้อย (ภาคสอง)

ฤทธิ์ ศรีดวง

คืนนั้นวาหลับอย่างเป็นสุข ฝันว่าเดินเคียงคู่พี่เมี่ยงเดินไปใต้ต้นลำพู สายลมเย็นฉ่ำ ดวงจันทร์ทอแสงนวล
พี่เมี่ยง เห็นปะ โน่นไง หิ่งห้อยเต็มต้นเลย วาออกท่าทางตื่นเต้น
เข้าไปดูกันใกล้ๆดีกว่า พี่เมี่ยงชวน แต่คนเป็นฝ่ายถูกลากกลับกลายเป็นพี่เมี่ยงซะนี่

ทั้งคู่ยืนอยู่ใต้ต้นลำพู วามองหาหิ่งห้อยที่แสงริบหรี่ตัวนั้น บางทีเธออาจจะแอบอยู่ที่ไหนสักแห่ง 
พี่เมี่ยงช่วยวาหาหิ่งห้อยตัวนั้นหน่อยซิ
ตัวไหน
ก็ไอ้ตัวที่เป็นแฟนกับต้นลำพูไง
โน่นไง
ไหนๆ พี่เมี่ยง หิ่งห้อยเหรอ
เปล่าลูกลำพูสุก อยากกินหรือเปล่า ฝาดดี กินแล้วท้องผูกดีนะ
พี่เมี่ยง! วาทำเสียงดุ
โอ๋ๆ  พี่ล้อเล่น

แต่..เอ๊ะ พี่เมี่ยงทำไมวารู้สึกคันๆ
เออ จริงซิ พี่ก็รู้สึกเหมือนกัน
ทั้งคู่เริ่มคันมากขึ้น วาเกาแขนจนเป็นผื่นแดง มองขึ้นไปที่ต้นลำพู แสงจันทร์สว่างพอที่เห็นบุ้งตัวเท่านิ้วโป้งจำนวนนับร้อยอยู่เต็มลำพู
คันๆๆๆๆๆ วาตะโกนสุดเสียงด้วยความรังเกียจ

วาๆ..ตื่นได้แล้วลูก  สาวน้อยลุกขึ้นจากที่นอน เธอฝันไป โล่งอก มองแขนเธอเป็นรอยเกาจนเป็นผื่นแดง
นี่นอนละเมอ อีกแล้วใช่ไหม ตะโกนซะเสียงลั่นบ้านลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาซะ.. เมี่ยงเค้ามาหาแน่ะ รอลูกอยู่ข้างล่าง คำว่า เมี่ยง ทำให้เธอผุดลุก รีบทำภารกิจอย่างรวดเร็ว

บนโต๊ะมื้อเช้า
พี่บอกคุณแม่ของวาแล้ว ว่าจะชวนวาไปดูหิ่งห้อยคืนนี้
โนวาไม่ไปเด็ดขาด
อ้าว ทำไมล่ะ..
วากลัวบุ้ง พี่เมี่ยงไม่เคยบอกวาว่าต้นลำพูบุ้งเยอะ 
ก็จริงนะวา แต่ต้นนี้ รับรองได้ว่าไม่มีบุ้ง ไม่มีหนอนแน่นอน
จริงๆ นะ
จริงซิ พี่จะหลอกวาทำไม ตุ๊กแกมันกินหมดแล้ว
จ๊าก..อื๋ย มีตุ๊กแก! ไม่เอาดีกว่า 
พี่เมี่ยงหัวเราะมองหน้าวาอย่างเอ็นดู
ไม่มีทั้งสองอย่าง..พี่ล้อเล่น ก็ไหนวาเคยบอกพี่ว่า วาไม่เคยกลัวอะไร วาแข็งแรงจะตายไป
แน่นอน พี่เมี่ยง วาไม่กลัวซักกะหน่อย  แค่ไม่ชอบเฉยๆ  แต่วาแข็งแรงจริงๆนะ แข็งแรงกว่าพี่เมี่ยงสิบเท่า เอาไว้วาจะพิสูจน์ให้ดู วาทำหน้าเชิดอย่างน่าเอ็นดู
.....................................................................................................................
  คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินท่อมๆ มาในดงลำพูริมคลอง น่าแปลกที่คืนนี้ไม่มีผู้คนมาดูหิ่งห้อยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หรือว่ายังหัวค่ำอยู่ หรือว่าอยู่ที่ทำเนียบกันหมด  หรือช่างเถอะ ป่วยการคิด   ก็ดีที่ทั้งคู่จะได้อยู่กันตามลำพังวาหาโอกาสนี้มานานแล้ว 
แล้ววาก็โดดขี่คอพี่เมี่ยง
เย้ พี่เมี่ยงพาวาเดินชมหิ่งห้อยหน่อยนะ
พี่เมี่ยง คืนนี้ดูจะใจดีเป็นพิเศษ ให้วาขี่คอเดินไปรอบๆ  แต่ ก็เพียงรอบเดียว 
พอเถอะวา ไม่ไหวแล้ว..ลดน้ำหนักบ้างนะเราน่ะ พี่เมี่ยงนั่งหอบไปบ่นไป
ก็ได้ วาตอบเสียงสั้นปนงอนเล็กน้อย

  หิ่งห้อยนับร้อยทอแสงเรืองๆอยู่รอบต้นลำพู พี่เมี่ยงเก็กท่าเหมือนเจ้าชายในฝัน ดับไฟฉายซุกกระเป๋ากางเกง ขณะที่สาววาเล็งสายตามองสำรวจตามใบและต้นเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีบุ้งและ..ตุ๊กแก
วาจำได้ไหมว่าหิ่งห้อยตัวผู้กับตัวเมียต่างกันยังไง  
 หิ่งห้อยตัวเมียจะมีช่วงท้องแค่ปล้องเดียว กะพริบแสงได้ระยะสั้นๆถี่ๆ ส่วนตัวที่บินได้ไกลๆจะ เป็นตัวผู้ซึ่งมีลำตัวช่วงท้องสองปล้อง กะพริบแสงได้ยาวๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย 
วาลอยหน้าลอยตาตอบ .แน่นอนเธอตอบถูก

เก่งมั่กๆ  ถ้าเรียนหนังสือได้ยังงี้ก็ติดแพทย์แน่นอน พี่เมี่ยงแซวกลับ ขณะที่สาววามองอะไรบางอย่างอยู่ที่กิ่งลำพูเบื้องหน้า
พี่เมี่ยงๆ
อะไร
หิ่งห้อยตัวที่เป็นแฟนกับต้นลำพูตัวใหญ่แค่ไหน
ก็ปรกติ เหมือนหิ่งห้อยทั่วๆไป แต่แสงเธอริบหรี่เพราะกำลังจะตาย
ถ้าตายแล้วเธอจะมีแสงอีกหรือเปล่า
ไม่มี หิ่งห้อยตายจะมีแสงได้ไง

งะ..งั้นหิ่งห้อยที่อยู่บนกิ่งลำพูนั่นก็ไม่ใช่นะซิ  ดะ..ดวงไฟมันใหญ่มาก เท่ากำปั้น เป็นตัวเมียแน่นอน เพราะผมมันยาวหน้าเหมือนผู้หญิง มันต้องตายแล้วจริงๆ เพราะมันมีไส้และ..
วาพูดอะไรไม่ออกนอกจากยืนสบตากับอะไรบางอย่าง พี่เมี่ยงมองตามมือวาที่ชี้ไปข้างหน้า มือเธอสั่น ตัวแข็ง   พี่เมี่ยงเห็นภาพนั้นถึงกับผงะ
กระสือ! คำเดียวสั้นๆแต่มีความหมาย เรียกสติวาคืนกลับมา เธอโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต ระยะทางกว่าร้อยเมตรกว่าจะถึงรถเธอใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที ทั้งๆที่มีร่างพี่เมี่ยงโดดขี่หลังเธอมาตลอดทาง

นี่คงเพียงพอที่พิสูจน์แล้วว่าเธอแข็งแรงกว่าพี่เมี่ยงจริงๆ



ภาพประกอบจาก www.oknation.ne				
27 พฤศจิกายน 2550 21:57 น.

คนบอกทาง

ฤทธิ์ ศรีดวง

คืนนี้ตาต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อเยี่ยมเพื่อนที่ป่วยหนักของแก แม้จะยังหัวค่ำ และยังไม่หมดเวลาเยี่ยมผู้ป่วย แต่แกกลับรู้สึกว่าถึงความเงียบและวังเวงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เสียวสันหลังทุกครั้งที่กิ่งไม้ครูดหลังคา 

  โถงโรงพยาบาล ที่ว่างเปล่า โคมไฟเพดานแกว่งตามแรงลม เสียงดังออดแอด ฝาผนังเป็นไม้ สีถลอกเกือบหมด บ่งบอกถึงความเก่าได้เป็นอย่างดี พยาบาลเวรนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้น สีหน้าเหมือนเพิ่งทะเลาะกับสามีมา ตาจึงไม่กล้าเดินไปถาม  บางทีแกคงต้องถามจากคนอื่น 

 ตามายืนมองป้ายบอกทางไป ตึกอายุรกรรม ลูกศรชี้ทางที่แกจะต้องเดินเข้าไป มันเป็นทางเดินเชื่อมตึก ที่มีเห็นทั่วไปตามโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากความไม่มีผังของโรงพยาบาล มีงบทีก็สร้างกันที ตึกจึงดูสะเปะสะปะไปหมด ต้องอาศัยทางเชื่อมนี่แหละช่วยให้อาคารต่อเนื่องกัน แต่ทางเชื่อมของที่นี่ช่างดูมืดเสียนี่กระไร หลอดไฟฟลูออเรสเซนท์ มีติดเพดานอยู่ไม่กี่ดวง บางดวงก็ไม่ติด บางดวงก็กะพริบ  แกเหลือบเห็นพยาบาลคนหนึ่งเข็นรถเข็นเลี้ยวออกมา ความดีใจทำให้แกรีบเดินตามหลังไปทันที อย่างน้อยก็มีเพื่อนล่ะวะ แกคิด

  แกเดินตามไปอย่างช้าๆทิ้งระยะพอควรไม่อยากให้เธอรู้ว่าแกเดินตามอยู่ เสียงล้อรถเข็นดังก๊อกแกรกได้ยินชัดเจน แกรู้สึกอบอุ่นขึ้น  

 ตึกด้านหน้าฝั่งขวาเป็นตึกศัลยกรรมชาย แกจำได้ว่าหลายปีก่อนเคยมานอนพักที่นี่ ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มขาลุยอยู่ แต่ถูกยายเอาขวดเหล้าฟาดกบาล  เย็บเกือบสามสิบเข็ม แต่แกก็ยังไม่เลิกเหล้ายังแอบกินบ่อยๆ ตอนยายไม่อยู่
 จำได้ว่าเคยรู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่นี่ ชื่อแก้ว เป็นคนเงียบๆ ผอมจนตาลึก หน้าซีด ตัวสูง ขาขาดข้างหนึ่งจากอุบัติเหตุ แกไม่เชื่อด้วยซ้ำว่านายแก้วจะเสียชีวิตหลังจากที่แกออกจากโรงพยาบาล มีคนบอกว่า เกิดจากแผลติดเชื้อ

 ตากำลังจะเดินผ่านตึกศัลย์ แกมองเห็นใครคนหนึ่งยืนที่โคนเสาทางเดินก่อนเข้าตึก ร่างผอมสูงนั้นดูเฉย ก้มหน้านิ่ง 
ยิ่งตาเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าชายผู้นั้นมีขาข้างเดียว แก้มตอบ ตาลึกจนมองไม่เห็นดวงตา แกขนลุกซู่....
นายแก้ว เสียแกพึมพำในคอ   เหมือนร่างนั้นจะได้ยิน เงยหน้าขึ้นช้าๆ . ตาก้มหน้าเร่งฝีเท้าตามพยาบาล
หมอ..หมอ เห็นคนข้างเสาตะกี้หรือเปล่า ตาปากคอสั่น 
พยาบาลหันมามองตามมือที่ตาชี้ 
ไหนลุง ไม่เห็นมีอะไร ตามองตาม ไม่มีร่างนั้นแล้วจริงๆ เราคงตาฝาดไปเอง ตาคิดปลอบตัวเอง
ลุงจะไปไหนเหรอ เห็นตามหนูมาตั้งนานแล้ว พยาบาลถามขึ้น ตาหน้าเจื่อน
ปะ..ไปตึกอายุรกรรม ไปเยี่ยมเพื่อนสักหน่อยได้ข่าวว่าป่วยหนัก
โน่น ตึกหลังสุดท้าย เดินผ่านตึกที่เห็นข้างหน้าอีกหลังเดียวก็ถึงแล้ว ตามองตามมือพยาบาล เห็นตึกเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง เกือบติดรั้วโรงพยาบาล 
ขอบคุณ หมอมากครับ
เดินตามหนูไปก็ได้ หนูจะไปตึกข้างๆ ตาใจชื้นขึ้นอีกโข
หมออยู่เวรดึกหรือครับ
ค่ะ อยู่ดึกมานานแล้ว ยังไม่ได้เปลี่ยนเวรซะที หมอใหญ่บอกว่า ให้ทนไปก่อน ตอนนี้คนน้อย

 ทั้งคู่เดินคุยกันมาจนกระทั่งถึงที่หมาย 
ถึงแล้ว ลุงเดินต่อไปอีกนิดนะคะ เธอพูดจบก็เข็นรถต่อไปอีกนิดจนหายไปในความมืดเดี๋ยวก่อนหมอ ถามอะไรหน่อย .. ตานึกอะไรขึ้นมาได้ พยายามวิ่งตามพยาบาล ..โครม.. แกชนเข้ากับรั้ว  คุณพระช่วย ทางตัน  แล้วพยาบาลหายไปไหน  นี่แกคุยกับผีมาตลอดทางเลยหรือ เท้าเหมือนจะเร็วกว่าความคิด มันพาตาวิ่งอย่างลืมสังขารมาที่ตึกอายุรกรรม มาหยุดยืนหน้าห้อง

 เสียงร้องไห้เบาๆ จากด้านในทำให้แกเปิดประตูเข้าไป เห็นคนคุ้นเคยสองสามคนอยู่ในนั้น เพื่อนแกเป็นอะไรไปแล้วหรือนี่
 ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วให้เลิกกินเหล้า..ไม่งั้นแกคงไม่ตับแข็งตายอย่างนี้หรอก เสียงตัดพ้อปนสะอื้นของยายข้างศพ ดังพอที่ตาจะได้ยินความฉงนของตาหมดไปทันทีเมื่อมาหยุดยืนใกล้พอที่จะเห็นหน้าผู้ตายพระเจ้าช่วย!  ตาถึงกับผงะต่อภาพเบื้องหน้า..เมื่อมองเห็นศพที่นอนอยู่ตรงนั้น.ตัวแกเอง!..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง