29 มีนาคม 2548 23:35 น.

กระท่อมแสงทอง (The Twilight Cottage)

ลำน้ำน่าน

สนธยาม่านวิโยคทอโศกแสง 
มาทิ้งฝันเริงแรงแหล่งสมัย 
ธาตุวิหคผกจรสู่ขอนไพร 
รำไรแล้วลิ่วลอยทยอยเลือน 

เหนื่อยเหน็ดเหน็บหนาวจากเช้าตรู่ 
ยึดฤดูอันเปลี่ยนผันทุกวันเหมือน 
ดั่งฉากภาพนิมิตดลจิตเตือน 
ความแชเชือนแห่งเวลาหาฤาพบ 

ล่วงไป..ล่วงไปในสกลจักรวาล 
ปิดตำนานเมืองยุ่งมุ่งสงบ 
เมื่อตะวันยอแสงแหล่งพิภพ 
คือจุดจบธาตุฝันอันวิเมลือง 

ดับลงแล้วรังสีอันวิภาส
น้ำค้างหยาดดิ่งดงตรงฟ้าเหลือง 
นกชุมรังสั่งลาฟ้ารองเรือง 
รอฟันเฟืองล้อสุรีย์คลี่คืนมา 

กระท่อมเงียบโดดเดี่ยวในเปลี่ยวไพร 
ขออาศัยค้างแรมรอ..ลอออุษา 
สดับเสียงครวญคู่สกุณา 
กล่อมนิทราม่อนเขาวังเถาวัลย์ 

เมื่อน้ำค้างพรมหล้าดาราชื่น 
ตื่นเถิดตื่นจิตมนุษย์หยุดใฝ่ฝัน 
แสวงหาความหมายใดให้ชาติพันธุ์ 
เพียงกำนัลสกนธ์จนเหนื่อยแรง 

น้ำหนาวร่วงตกผลึกยามดึกดิ่ง 
มโนจริงยิ่งสล้างสว่างแสง 
เพลงสันโดษโลดลิ่วพลิ้วแสดง 
หยาดลงแข่งแสงดาวอนัตตา 

ขอละเมอเพ้อพร่ำกลางค่ำไพร 
สูดกลิ่นไอเสรีภาพปรารถนา 
ยามเสียงฝนร่วงเผาะเคาะหลังคา 
พรมวิญญาญ์ไหวไหวในใจนั้น 

กระท่อมไพรค่อนรุ่งกลางมุ้งหมอก 
กลางอ้อมกอดวิญญาณวิมานสวรรค์
โอยวิเวกภาวนาป่าไกวัล 
สู่สามัญพุทธสงฆ์ธุดงควัตร 

เมื่อผ้าเหลืองต้องแสงเช้าจากราวฟ้า 
ชโลมหล้าหญ้าใบสงบสงัด 
แสงสีทองส่องสว่างทางวิวัฏ 
กาสาวพัตร์จึงอร่ามนิยามชีวิต 

อยู่งดงามเรียบง่ายจนบ่ายคล้อย 
อายุขัยล่วงลอยคอยเคลื่อนติด 
พัสถานโลกธรรมย้ำนิมิต 
ฤาลิขิตสุขใจให้สุขจริง 

รุ่งรางแล้วแก้ววิเศษนิเวศน์ป่า
อาทิตย์ทองส่องหล้าอุษาผิง
สุกสว่างกระท่อมทับห้องหับอิง 
ธรรมประวิงเร่งเร้าเฝ้าตริตรอง

นิศาชลจุมพิตจิตประพุทธ
บริสุทธิ์แผ่วเบาไร้เศร้าหมอง
เพลงดุเหว่าขานกล่อมกระท่อมทอง
สุขครรลองชโลมหล้าป่านิพพาน

---------------------------------
ดาราจักรวาลหมุนเวียนอยู่ไม่รู้เว้นว่าง
การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้แห่งพุทธสาวก
ยังคงดำเนิน

ณ กระท่อมสันโดษกลางป่าเขาลำเนาสวรรค์
กระท่อมน้อยได้อาทรนักเดินป่า
ให้ค้างแรมมานานปี  เรียบง่าย งดงาม 
โดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพฤกษาลดาชาติ

ข้าพเจ้าชอบกระท่อมหลังคามุงจาก
หรือหญ้าคาในยามวสันตฤดู 
หยาดฝนหล่นร่วงมากระทบหลังคานั้น
ราวดนตรีสายฝนที่พริ้งเพราะให้อารมณ์ที่สงบ
ฟากไม้ไผ่อีกเล่าถึงไม่อ่อนนุ่มเหมือนฟูก 
หากแต่เย็นเยียบ ด้วยลมแรงแฝงเร้นลัดเลาะ
ขึ้นมาให้ร้อนคลายได้

ด้วยประสบการณ์อรุณรุ่ง
ณ กระท่อมแสงทองนั้นฝังใจ
ในยามที่แสงเงินแสงทองส่องหล้า 
หมู่มวลสกุณาเริ่มโผผิน
ภิกษุธุดงค์ออกจากกระท่อมวนา 
แสงธรรมฉ่ำหล้าในวินาทีนั้น

มนุษย์ที่แท้หนีธรรมชาติไม่พ้น 
บ้านใหญ่อลังการณ์ไม่บ่ง
ความสุขสงบทุกครั้งไป 
ความสุขที่แท้อยู่ที่การพอเพียงและเข้าใจวิถีชีวิต 
อ่อนน้อมต่อธรรมชาติรายรอบตัว
ดุจดั่งกระท่อมแรมทางที่สันโดษ เรียบง่าย 
รอการมาเยือนของนักเดินป่า 
ผู้เดินทางไกลโหยหาธรรมชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
และบางคราวกระท่อมแสงทอง
จะมีบุญได้เอื้ออาทรแด่ภิกษุสงฆ์
ผู้ธุดงค์รอนแรมแสวงหานิรพาน..

ลองหาเวลาว่างสักครั้งในชีวิตนิดหนึ่งนี้
ทอดชีวิตไปกับธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไม้
พักแรมกระท่อมต่ำต้อย วิเวก แต่สงบ
ปราศจากโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยี
เราอาจมองเห็นมิติที่ลึกล้ำ เป็นอนันตมิติที่ลุ่มลึก
อาจก่อเกิดความสุขสงบอันเป็นนิรันดร์.......



				
15 มีนาคม 2548 02:08 น.

ข้าวรวงสุดท้ายเมื่อปลายหนาว (The Last Life of Season)

ลำน้ำน่าน

แด่ฤดูเก็บข้าวหลงฝัดข้าวลาน
อุทิศแด่คุณยายชราแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

มองฟ้าครามยามบ่ายช่วงปลายฝน
ช่อมะม่วงดอกหม่นหล่นเป็นสาย
เหนือตำบลข้าวหลวงรวงเรียงราย
กระจัดกระจายห่มหล้าท้องนานั้น

ลมฤดูบอกข่าวหนาวจะล่วง
ดอกจานจวงบานสะพรั่งทั้งบัวผัน
ตื่นมารับแสงสรรค์รังสิมันตุ์
เก็บไออุ่นแห่งวันต่อฝันไป

ฟ้าเดือนสามครามไกลในลิบลิ่ว
เมฆหม่นเอยจะปรอยปลิวสู่แหล่งไหน
สู่ปลายยุ้งทุ่งข้าวของสาวไพร
ฝากทายทักข้าวใหม่ใครหุงคอย

เดี๋ยวแล้งร้อนเดี๋ยวหนาวเคล้าดอกฝน
แต่ความจนไม่เปลี่ยนเต็มเกวียนหงอย
หากทุ่งฝันบิดเบือนและเลื่อยลอย
อาทิตย์เอยอย่าเพิ่งคล้อยซบอกดิน

ฝนสั่งฟ้าลาดินใครสิ้นหวัง
เมื่อนกนาทิ้งรวงรังหวังไม่สิ้น
ไปรวดร้าวข่าวว่าไม่พอกิน
ขายนาน้อยให้เหลือบริ้นถิ่นกรุงไกร

ให้คนเมืองหว่านไถในไร่สาว
ฝนเม็ดร้าวตกพรูสู่เนินไศล
สิ้นฝนหมองผ่องนวลจวนสิ้นใจ
ปวดระบมตรมในไร่นาทาม

ใบกระถินแห้งเหี่ยวร่วงเกรียวกราว
ริ้วลมว่าวไล่ลอดยอดมะขาม
เห็นเมฆลอยคล้อยเกลียวใจเปลี่ยวตาม
คล้ายนิยามบ้านป่านาวิชน

ฝนหลงฤดูลาสายปลายเดือนแล้ว
ท้องนาแนวเหลืองสุกทุกแห่งหน
ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในตำบล
หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน

ไกลแสนไกลลิบลิ่วทิวฟ้าสูง
ลูกยางยูงร่วงลู่สู่ห้วยละหาน
กระโดนทุ่งแต่งช่อจะรอบาน
นกเขารอกู่ขานย่ำสนธยา

หญิงชราถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว
ครืนลมหนาวสุดท้ายพัดพรายผ้า
ลึกในใจฝนหล่นปนน้ำตา
ตกต้องฟ้าต้องดินสิ้นแรงรวง

ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง
ให้ลึกซึ้งจมดินถิ่นแหนหวง
เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง
เผื่อบวงสรวงขวัญค่าพาใครคืน

เมฆกระจายไม้ใบเริ่มไหวว่อน
นกคืนคอนเถิดหนาอย่าทนฝืน
สิ้นยุคทองชาวนาชะตาครืน
จะหยิบยื่นภูมิปัญญาทายาทใด

โอ้ฟ้าครามยามบ่ายปราดสายฝน
ทุกตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว
จิตสำนึกตายถมสังคมไทย
หญิงชรากล้าสุดท้ายสิ้นใจแล้ว!

------------------------------------------
ฝนหลงฤดูหล่นมาปราดหนึ่ง ในยามที่ฟ้าปรวนแปร
ประเดี่ยวก็หนาว ประเดี่ยวก็ร้อน ประเดี่ยวก็ฝน 
ไม่มีความแน่นอนทุกสิ่ง  หลังฤดูเก็บเกี่ยวยามนี้ 
ทำให้นึกไปถึงการเก็บรวงข้าวหลง และฝัดข้าวลาน
ของหญิงชราผู้แข็งแกร่งแห่งบ้านดอนดอกพะยอม

ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงาม นาม *นกเขาไฟ* 
ของนักเขียนในดวงใจ ไพฑูรย์ ธัญญา 
หนึ่งในเรื่องสั้นชุด*ก่อกองทราย* บรรยายไว้ว่า

*แดงดอกทองกวาวสาดบานไปทั้งทุ่ง 
ลมหนาวยังไม่ร้างลาจากหมู่บ้าน
มะม่วงพุ่มหนาเริ่มแตกช่อดอกสีขาวหม่นขึ้นคลุมต้น 
ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม 
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามและดูดีไปหมด*

บทบรรยายบ่งให้เห็นถึงความงามแห่งธรรมชาติ
ในยามลมหนาวจะผ่อนลาฟ้าธรรมชาติยังคงงาม
และซื่อตรงเป็นวัฏจักรที่แน่นอน

และหนึ่งในเรื่องสั้นชุด *ลูกพ่อคนหนึ่ง* 
วัฒน์ วรรลยางกูร บรรยายภาพเมื่อเริ่มเข้าสู่
คิมหันตฤดู กับการต่อสู่ของหญิงชราชาวนา 
ไว้อย่างน่าเศร้าและชวนหลั่งน้ำตาว่า

*ดูราวโลกนี้มีแต่ยามแล้ง โล่งลิ่ว ไร้ร่มเงา 
ชายร่างผอมแกร่งโรยล้าจากภูเขาสู่พื้นราบ
ร้อนอบผิวผ้าและร้อนลวกไหล่ขวาที่เสื้อเปื่อยขาด 
สองข้างทางเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสีเทา
และสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้ดูคล้ายกับถ่านไฟในเตา
กำลังส่งเปลวระยิบ เขาเอียงแก้มเช็ดเหงื่อ
กับไหล่ซ้าย เงยมองฟ้า มีแต่แดดจ้าจนต้องหยีตา

เขาพูดกับหญิงชราว่า 
*ร้อนนะแม่เฒ่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น*
หญิงชรามองไปในแดดอันกราดเกรี้ยว 
รู้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้
ต่างก็ต้องเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน 
นางก็ได้แต่บ่นพึมพำว่า *เวรกรรม*

ทั้งสองเรื่องชวนให้ข้าพเจ้าประหวัด
ไปถึงชะตากรรมเกษตรกร 
และท้องไร่ท้องนาแห่งยุคนี้ 
ที่นับว่าหาทายาทมาสืบทอดยากขึ้นทุกที
หนุ่มสาวทิ้งถิ่นไปทำงานในเมือง ขายที่ขายไร่นา 
หลายชีวิตไปตกระกำลำบาก
หลายชีวิตต้องไปเป็นกุหลาบแดงในโถขาว 

ชะตากรรมของเขาเหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์
ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นผืนแผ่นดินทำกินนั้น
น่าเศร้าสักเพียงใด และคงยังไม่สาย 
ที่จะหันกลับมาอุ้มชูผืนนาสมบัติสุดท้าย
ที่บรรพบุรุษให้ไว้เป็นที่ฝังร่าง
ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป..

--------------------
รักร้าวหนาวลม (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง)

เมฆลอยกระจายอยู่ในในฟ้าสูงแลลิบลิว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน
ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจน้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน
คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง
เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง
ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคลอง
ฝนลา ลาหนาวข้าวแตกรวงแต่รักลาทรวงสิ้นน้อง
โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม
เจ้าทิ้งให้พี่นอนหนาว หนาวจนใจเหน็บ
เจ็บดั่งหนาวระกำ ตำทรวงให้ระบม 
เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารักพี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม 
ให้ชมแล้วน้องก็ชัง

เมฆลอยกระจายดั่งเหมือนหัวใจลอยละลิ่ว
ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง
ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง
สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง



				
23 กุมภาพันธ์ 2548 15:10 น.

มงคลปณิธานและลมหายใจกวี (Everlasting of Poetry)

ลำน้ำน่าน

เอาดิถีมาฆะฤกษ์วรทาน
แย้มมิติวิญญาณสาส์นรังสรรค์
ร้อยวลีอักษรบวรพรรณ
มอบกำนัลสุมาลีกวีมิตร

เอาพระพุทธเจิมใจจนใสนิ่ง
เชิญสัจจริงหิ้งพระมาสถิต
ทิวากรว่อนเวียนเปลี่ยนชีวิต
นฤมิตครบปีที่บรรจง

เด็ดดอกไม้ร้อยป่ามาร้อยรวง
เป็นดอกดวงร้อยใจให้ใหลหลง
ยกวิมานรุกขเทวาจากป่าดง
อีกสายน้ำนามวงก์วสุนธรา

มาร่อนเรียงเคียงใจสู่ไกวัล
มาปกป้องคุ้มกันวัลย์พฤกษา
มาหล่อเลี้ยงอัศจรรย์นัยนา
แทนอวยพรวิจิตรามาลินี

ดูรา-กาลโยกคลายโศกเศร้า
ประจักษ์เงาพระพุทธวิสุทธิ์ศรี
ตราบปาริชาตดอกฟ้ามาลาตี
ยังโปรยปรายสายนทีนิรันดร์กาล

เพียงหนึ่งพิศมองไปใคร่จักแจ้ง
เห็นเริงแรงทิพยรสกฎสถาน
ทั้งไตรโลกอาจสิ้นไปไร้ตำนาน
ปลาสนาการกวีแก้ววิเศษศิลป์

บทนิพนธ์คือค่าอมตะโลก
อุปโลกมโนจิตนิมิตถวิล
ชีพจรอ่อนไหวจากใจดิน
จดมณฑลเทวินทร์พรหมวิมาน

เหล่าไพฑูรย์รัตนาค่าอักโข
ทุกมโนเจียระไนเพชรไพศาล
ทั้งโลกธาตุไกวัลชั้นบาดาล
หอมกำยานธูปกวีสุคนธพจน์

เพราะเสน่ห์สง่างามท่ามกลางชน
ด้วยดอกผลกุศลกรรมนำกำหนด
ทุกผัสสะแห่งจิตนิมิตอรรถรส
ให้ปรากฎเฟื่องฟ้าสุธาสินี

นำมาลัยร้อยรสพวงพจน์ทิพย์
เพียงหนึ่งจิบอมฤตวิจิตรศรี
เพื่อต่อลมชีพจร...อรชรกวี
ยามมงคลสวัสดีมาฆะบูชา

รัตนชาติแห่งไพรสมัยเสมอ
จงบำเรอผองมนุษย์ทุกทิศา
ด้วยมณีบัวบุษย์พุดพัดชา
ประดับโลกโตรกป่าแวววิเชียร

อมตะไพรพรูสุวรรณศิลป์
ปณิธานกวินคุมบังเหียร
รัตตัญญูแท้จมดินสิ้นแสงเทียน
ทุกภพเปลี่ยนอสงไขย...ฤาไร้กวี

----------------------------------
ทุกๆ วันเวลาและเวทีชีวิตของกวี มีความลึกล้ำที่แปลกแยก
ไม่เหมือน ไม่เกลื่อนกลาด ไม่ซ้ำ ไม่สิ้นสุดและไม่มีวันตาย
ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงามนาม  *ปณิธานกวี* 
ของอังคาร กัลยาณพงศ์  บรรยายบทหนึ่งไว้ลึกล้ำจับหัวใจว่า 

ปุยเมฆหอมเกสรรังร่วง
มาทวงมโนคติหล้าอาถรรพณ์
ดาวไถไถทุ่งฟ้าวิลาวัณย์
จะเกี่ยวข้าวขวัญค่าชีวาใดฯ

น้ำค้างดงดึกดื่นสะอื้นโศก
ชลเนตรโลกวิปโยคหรือไฉน
หมู่มนุษย์น้อยอหังการ์ฆ่าใคร
ฆ่าพิภพสบสมัยสุดสามานย์ฯ

ไม่รักทะนุถนอมค่าโลก
จะทุกข์โศกไปตราบฟ้าอวสาน
ยุคมนุษย์จะสุดสิ้นมิช้ามินาน
เป็นพยานเถอะสายธารที่จาบัลย์ฯ

น้ำไหลอายุขัยก็ไหลร่วง
ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างฝัน
ฆ่าชีวิตคือพร่าคืนวัน
จะกำนัลโลกนี้มีงานใด

บทกวีสื่อให้รักและหวงแหนโลกใบนี้ ด้วยเป็นสถานวิเศษ
กอปรกับวันนี้เป็นมงคลมาฆะบูชา และวันเกิดมิ่งมิตร
นาม *พุดพัดชา* ข้าพเจ้าจึงขออวยพรด้วยบทนี้  หวังให้
ไฟฝันและลมหายใจแห่งกวีทุกนามสถิตอกาลิโก
และโชติช่วงไม่มีวันมอดดับ เพียรรังสรรค์งานงามกำนัลโลก
เมื่อลาลับวิญญาณกวีจักสถิตคู่ลมหายใจ
แม้จักเกิดและตายกี่อสงไขย

และบทหนึ่งใน *ปณิธานกวี* กล่าวไว้ว่า

สิ้นเสน่ห์วรรณศิลป์ชีวิตเสนอ
ละเมอหาค่าทิพย์ไหนสนอง
อเนจอนาถชีวีทุกธุลีละออง
สยดสยองแก่ถ่านเถ้าเศร้าโศกนัก

แล้งโลกกวีที่หล้าวูบฟ้าไหว
จะไปรจนารุ้งมณีเกียรติศักดิ์
อำลาอาลัยมนุษยชาติน่ารัก
จักมุ่งนฤมิตจิตรจักรวาล

ให้ซาบซึ้งกาพย์กลอนโคลงฉันท์
ไปทุกชั้นอินทรพรหมพิมานสถาน
สร้างสรรค์กุศลศิลป์ไว้อนันตกาล
นานช้าอมตะอกาลิโก



				
12 กุมภาพันธ์ 2548 17:04 น.

วิมุตติโมกข์สุมาลี (Flower of Nirvana)

ลำน้ำน่าน

ณ เรือกสวนร่มรื่นผืนป่าปก
ในร่มรกเรือนไม้ตาข่ายสวรรค์
สุมาลีดอกน้อยลอยสุคันธ์
ณ  ใจกลางอรัญญิกาลัย

ลมสุดท้ายเหมันต์แห่งวันพระ
พรมกระทบผัสสะอันอ่อนไหว
กลางมณฑลอรหังภวังค์ไพร
ปวงดอกโมกโบกใบอลงกรณ์

เดียวดายอยู่ท่ามกลางรุ่งรางนั้น
ในลึกซึ้งวนาวัลย์บรรจถรณ์
ยามต้องลมรวยรินกลิ่นขจร
ดั่งนางไม้อุปรากรมาร่อนลอย

เขียวแซมเขียวใบโมกริมโตรกธาร
แม้นบางคราวอุทยานวนานต์หงอย
เจ้าช่อเอยช่อโมกยังโบกคอย
ด้วยนิดน้อยขาวกลีบของชีพนี้

ขาวแกมขาวราวเมฆเอกวรุณ
นำความสุขสมดุลย์หมุนวิถี
ทั้งอารัณย์พันธุ์ไม้สายนที
งามอยู่กลางบารมีพุทธคุณ

แตกต่อยอดทอดกายเรี่ยสายน้ำ
ทุกโมงยามสลัดโศกทุกโลกหมุน
เจ้าช่อเอยช่อโมกโบกการุณย์
ดุจซิ่นขาวสไบบุญอุบาสิกา

เมื่อใบเดี่ยวออกคู่สู่กิ่งก้าน
กุสุมาลย์ไหนเล่าที่เฝ้าหา
ในอ้อมกอดเรือนใบคละสายตา
แท้พุทธาคละเคล้าเหล่าสาวก

ทั้งดอกซ้อนดอกลาบุหงาคว่ำ
หอมดื่มด่ำอวลระรื่นอยู่ดื่นดก
กลีบมนเรียวขาวพร่างดั่งไข่นก
หอมศีลงามอุบาสกเสาวคนธ์

บานคว่ำหน้าลงดินถิ่นสามัญ
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหวังมรรคผล
อรัญวาสวิเวกเพียงเขตตน
ภาวนาจิตดลบนความจริง

วเนจรสู่ป่าเบญจพรรณ
สู่มิ่งไม้เถาวัลย์อารัญสิง
ปวงโกสุมรายทางต่างประวิง
ให้ดำดิ่งสู่ธรรมทุกย่ำเดิน

ธรรมชาติมาลีทุกคลี่ดอก
ต่างเพียรบอกธรรมจินดาพาจิตเหิน
สู่ดินแดนสุรโลกดอกโมกเงิน
ไปเพลิดเพลินทิพย์ธรรมอมฤต

ณ เรือกสวนร่มไม้ไพรป่าปก
เหล่าสาวกพุทธะสละจิต
ดอกโมกเอยธรรมธรสอนชีวิต
เพื่อสถิตวิมุตติโมกข์โลกนิพพาน


---------------------------
เมื่อสิ้นเหมันต์ แล้วย่างเข้าสู่คิมหันตฤดูของฤดูหนึ่ง
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสท่องไพร เดินทางศึกษาพันธุ์ไม้
พันธุ์พืช สัตว์ป่า และวนอุทยานในประเทศไทย
ดอกไม้หนึ่งบานสะพรั่งกลางป่าดงพงพีอรัญญิกาลัย
นาม *ดอกโมก*  ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ที่หอมอ่อนๆ
เป็นดอกไม้คล้ายดอกราตรี มะลุลี ฯลฯ

ข้าพเจ้าชอบดอกโมก 
ดอกไม้ดอกนิดที่สามัคคีกันบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมไปทั่วร่มไม้ชายน้ำ บางดอกร่วงลงสู่ผิวน้ำ
ราวกับชีวิตที่ดำดิ่งสู่ความร่มเย็นแห่งพระนิพพาน 
หมดเยื่อใยต่อโลกนี้

ดอกโมกบานคว่ำหน้าลงสู่ผืนดิน 
สื่อพุทธนัยและคติชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์
แม้นในวันที่ทุกข์ที่สุด ก็มีความสุขและสงบได้
เมื่อเห็นดอกโมกยิ้มให้แผ่นดิน

คนเรานี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการมีชีวิตที่สามัญ
และถ่อมตน  มองเห็นความสามัญคือสภาวะธรรม
ที่ควรพิจารณาอยู่เนื่องๆ

เพียรน้อมใจเอื้ออารีย์แก่ผู้ยากไร้และด้อยโอกาส
ตามกำลังศรัทธา อ่อนโยนและอ่อนน้อมต่อทุกๆ 
ธรรมชาติรายรอบตัว  
ประดุจหนึ่งดอกโมกดอกไม้ป่าสามัญ
ที่มีค่าน้อยนิด แต่อยู่อย่างอ้อนน้อมถ่อมตน 
บานแย้มคว่ำหน้าสู่ผืนดิน
มีเสน่ห์ชุบชูกำลังใจแก่นักเดินทางไกล
แล้วร่วงโรยจากไปโพ้น..เบื้องแดนวิมุตติโมกข์



				
2 กุมภาพันธ์ 2548 02:06 น.

ธัญชาติธาดาแม่กล้าของแผ่นดิน (Morther of the Kingdom)

ลำน้ำน่าน

หว่านแม่ไว้กลางดินถิ่นต่ำต้อย
ตั้งตาคอยด้วยแล้งแสลงหนาว
ซบอยู่ในคืนค่ำอันย่ำยาว
หลายวันเช้าแว่วเสียงกู่ดุเหว่าชรา

รอร้อยหน่อต้นข้าวคืนดาวดับ
มาบอกเล่าความลับกับอุษา
ถึงราวเรื่องเทพเทพีที่บูชา
นายเหนือหัวชาวนามารดาเรา

ถ้าเสี่ยงดวงลงดินแล้วสิ้นพันธุ์
กลัวมิ่งขวัญแม่ข้าวจะร้าวเหงา
หวังพิรุณโรยสายคลายบรรเทา
สู่รากดินถิ่นเก่าเหง้าภราดา

เพียงวิมานสักหลังในวังรวง
กลางเนินทรวงเรือนข้าวราวภูผา
จะไกวยอดลิบลิบทิพย์ท้องนา
เป็นวิมานเหล่าเทวาแลเทพี

คราวบวงสรวงยากเข็ญลำเค็ญยุค
แม่โพสพปลอบปลุกอย่าลุกหนี
นิศากาลห่มฟ้าดาราวดี
แค่มุ้งม่านราตรีที่ขึงตึง

ตื่นเถิดหนอภราดาวิภาวัน
สายวสันต์เจิมหล้าฟ้าเอื้อมถึง
ได้ปลดม่านแห่งเราเงาตราตรึง
เพื่อดื่มด่ำลึกซึ้งทิวากาล

อดีตวันเลื่อนลอยคล้อยไปแล้ว
ปวงข้าวแก้วแตกหน่อคลอข้าวสาร
แตกออกจากกรุถิ่นของดินดาน
เพื่อเจิมแต่งตำนานธรณี

เทวีข้าวดรุณวัยดวงใจข้า
ไร้เดียงสาเขียวอ่อนในซ้อนสี
ริ้วใบเรียวห่มคลุมพสุมดี
ในงามเงาประเพณีพสุนธรา

ดื่มเถิดดื่มน้ำใสจากใจดิน
น้ำนมรินมวยผมปมเกศา
อันเอ่อท้นธรณีวารีเมตตา
เพื่อกำเนิดลูกยาในกายครรภ์

ในวิมานแห่งแม่พระโพสพ
ฤดูกาลคำรบราวภาพฝัน
จากหน่อข้าวขาวใสก่อนวัยวัน
สู่รวงพันธุ์ต้นไร่เพชรปลายนา

เคยนิ่มเขียวน้ำนมบ่มในท้อง
มาแตกช่อเรืองรองคล้องวรรษา
งามไหมรวงเส้นผมองค์มารดา
บนเรือนกายแม่กล้าของแผ่นดิน

เนรมิตความหวังในวังรวง
ทุกโน้มหน่วงยอดข้าวราวทิพย์ศิลป์
แท้น้ำงามมรกตหยดแต้มดิน
เมื่อวิมานเทวินทร์รินล่องมา

พลโลกพันเผ่าทุกเหง้าราก
จรดหน้าผากทาบผืนดินถวิลหา
พระโพสพธัญชาติธาตุมารดา
แม่ผู้สืบชะตากล้าแผ่นดิน

-----------------------------
คนไทยเชื่อว่าในต้นข้าวมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่เรียกว่า ขวัญข้าว หรือ แม่โพสพหรือ นางโคสบ
สถิตอยู่ ความเชื่อเช่นนี้ปรากฏในคนไทกลุ่มอื่นๆ 
ที่ทำนาเป็นอาชีพหลักด้วย 

มีภารกิจคือทำนุบำรุงรักษาต้นข้าวให้ออกรวง 
ได้เมล็ดข้าวมากๆ เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงพลโลก 
ขวัญข้าวหรือแม่โพสพจึงมีบุญคุณต่อมนุษย์

ตำนานกล่าวถึงขวัญข้าวน้อยใจพระพุทธเจ้า 
พบในกลุ่มไทลื้อ ไทใต้คง ภาคกลางและภาคใต้ 
เล่ากันว่า แม่โพสพไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า
เพราะถือตัวว่าเกิดก่อน และมีบุญคุณ
เลี้ยงพระพุทธเจ้ามาทุกพระองค์ 

จึงหนีไปซ่อนเสียในถ้ำ โลกมนุษย์อดอยาก 
พระพุทธเจ้าให้คนไปตามและสอนมนุษย์
ให้ไหว้แม่โพสพด้วยทุกครั้งเพื่อระลึกบุญคุณ 
เกิดเป็นประเพณีทำขวัญข้าว 
และธรรมเนียมไหว้ขอบคุณแม่โพสพ
ทุกครั้งหลังอิ่มข้าว

ภาคกลางแถบสิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง อยุธยา 
พอตกเดือนสิบหลังออกพรรษา 
มีเทศน์มหาชาติแล้ว น้ำเจิ่งท้องทุ่งข้าวออกรวงอ่อน 
ลำต้นป่องกลาง เรียกว่า ข้าวกลัดหางปลาทู 
อุปมาเหมือนผู้หญิงตั้งท้องอ่อนๆ 
อยู่ในช่วงแพ้ท้อง ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิง
จะพายเรือไปรับขวัญข้าว หรือไปเยี่ยมแม่โพสพ 

มองผ่านตำนาน จะเห็นความอ่อนโยน
ของคนในสังคมเกษตรกรรม
ที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ 

เพราะรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ 
จึงอ่อนน้อม ให้ธรรมชาติและเอาใจใส่กับทุกส่วน
ที่อยู่รอบข้าง ด้วยรู้ว่าทุกสิ่งต้องพึ่งพิงอาศัย
ซึ่งกันและกัน จึงไม่แข็งกร้าว
และนึกว่าตนเก่งแต่เดียว

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
อุทิศแด่พระแม่โพสพเทพีข้าว
และรวงข้าวทุกๆ รวง


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน