9 กันยายน 2547 02:28 น.

ปทุมชาติปณิธาน (Pray to the Lotus)

ลำน้ำน่าน

ปทุมมาลย์ดกดื่นแต้มผืนธาร
ต่างเพียรบานรอเวลาหาสงบ
ดวงตะวันแย้มฉายหมายรอพลบ
มีจุดจบแนบเนาบังเงาบัว

ภาพผิวน้ำสะท้อนบัวอ่อนนิ่ง
ภาพความจริงผุดคว้างกลางสลัว
ภาพปวงใดไหนอื่นจะตื่นกลัว
มาแต้มทั่วภาพสลายดอกไม้ธาร

โตแต่โคลนแตกเหง้าก้าวชีวิต
พรหมลิขิตแย้มยลชลสถาน
หยั่งรากเหง้าลึกหล่มบ่มวิญญาณ
กลางปวงซากตำนานแต่ปางใด

แล้วหน่อบรรพ์พันธุ์เจ้าก็เร้ารัด
โบกสะบัดก้านอ่อนย้อนน้ำไหล
จากอาจมตมซากจากเหงื่อไคล
จากเศษสร้อยไม้ใบใต้บาดาล

มาบานพรายแต่งน้ำเมื่อยามเช้า
ใบบังเงาร่มรื่นชื่นพุทธศานติ์
ปทุมชาติสืบบุตรพุทธาจารย์
ผลิเกสรอาทรทานภุมรา

หลายดอกบานเหนือน้ำทุกยามชัด
ดอกสงัดรอรับแสงแห่งอุษา
อีกกี่ดอกเผชิญโศกโชคชะตา
กลางปูปลาเต่าน้อยในรอยกรรม

ฉันจะเป็นเฉกเช่นดั่งบัวหลวง
ผลิดอกดวงโปรยทานไปให้อิ่มหนำ
บานส่องโลกโตรกวารีคลี่ลำนำ
โปรยดอกธรรมเรณูสู่ปวงพฤกษ์

เพื่อปทุมแสนร้อยในรอยตม
จะแหวกหล่มตื่นฟื้นขึ้นกลางดึก
ใฝ่พระธรรมรับแสงแห่งสำนึก
จากห้วงลึกมาบานคู่อยู่เบื้องบน

แปรความหมายสู่ห้วงมหรรณพ
ก่อนจุดจบโรยแรงทุกแห่งหน
เป็นดอกบัวประทับจับใจคน
สู่มรรคผลหิ้งพระรัตนไตร

เพื่อความงามแห่งสายนทีทอง
ประดับกลีบเหลืองผ่องดั่งทองไส
ภู่ผึ้งจ้อยร้อยรัดทัดธรรมใย
เกลือกบุหงารำไปแห่งดาวดึงส์

ดอกบัวพุทธแย้มสงบภพบึงหน้า
ภุมราเหล่าใดบินไปถึง
ทิพย์สุคันธ์ฉ่ำหล้าเต็มตราตรึง
รสลึกซึ้งธรรมพร่างสว่างรับ

ปทุมบานดกดื่นแต้มผืนชล
ทุกแดนดลเรืองรองทองธรรมจับ
ปณิธานปทุมชาติหยาดระยับ
พร้อมสงบรำงับกับนิพพาน

----------------------------
ในหมู่ปวงดอกไม้ทั้งมวลนั้น ข้าพเจ้าชอบดอกบัว
ด้วยเป็นดอกไม้ที่เกิดแต่ตม หากแต่งดงามด้วยดอกที่สงบงาม
ยามใดที่ได้มอง รู้สึกสงบและรำงับ ด้วยกลิ่นอายแห่งพุทธศาสนา

องค์พระศาสดาให้ดอกบัวเป็นดอกไม้ตัวแทนแห่งสรรพสัตว์สี่เหล่า
เปรียบเปรยไว้อย่างน่ามหัศจรรย์.. ในกาลก่อนสมัยพุทธกาล
แม้นในสมัยนี้ก็ พุทธพจน์นี้ก็ยังใช้ได้ดีอยู่..

ในยามค่ำคืนนี้ที่ดอกบัวหลวงบูชาอยู่หน้าพระบนหิ้ง
ปณิธานกวีก็แย้มพราย  บอกเล่าเรื่องราวแห่งความสามัญ
สงบ และรำงับ อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ
กฎนิรันดร์ที่อยู่เหนือกฎทั้งปวง
พรุ่งนี้ดวงดอกบัวหน้าพระคงจะโรยรา...
หากแต่โรยราไปอย่างสง่างาม เรียบง่าย แต่ทว่าเป็นสุข


				
9 สิงหาคม 2547 01:38 น.

ฤกษ์ลำแสงแห่งไม้หกทิศ..ดอกมิตรบานรับ

ลำน้ำน่าน

ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกครั้ง
ประหนึ่งดังไม้หนุ่มในพุ่มศิลป์
ที่เคยผลิเบ่งบานนานอาจิณ
กลับทวนกลิ่นหวลลมมาพรมใจ

จากเต้าตูมในครรภ์เมื่อวันก่อน
ค่อยแตกตอนเติบงามตามลมไหว
เรื่อยเรียงล่องแรมทางกลางบ่วงใบ
มาละไมงามอยู่คู่ยอดกลอน

เกสรยวนแหย่หยอกดอกไม้เมือง
ทุกราวเรื่องบันทึกตรึกอักษร
แท้กล่อมเกลาเงาไพรให้อาวรณ์
ราวดอกมิตรใต้หมอนตอนราตรี

เป็นดอกรักเล่ห์ไม้มาลัยลอย
ที่ถูกร้อยด้วยแรงแห่งหญิงศรี
จากมืองามนามเทพแห่งนารี
บุพการีก่อเกื้อเชื้อชาติมา

ยี่สิบเก้าเช้าค่ำของพันธุ์ไม้
โกสุมใดจะเท่าเหล่าแสงษา
ของดอกแรงแสงอาทิตย์วิจิตรา
หกชายคาทุกทิศสนิทเรือน

ทิศหนึ่งเพื่อนทิศหนึ่งพี่วจีรส
งามหมดจดดอกใดเปรียบได้เหมือน
ทิศหนึ่งน้องทิศหนึ่งครูผู้มาเยือน
ไม่เคยเบือนเคยบิดผิดจรรยา

หนึ่งในเจ้าลึกล้ำจดจำไว้
กลางพงไพรคุ้งกลอนซ้อนนัยหนา
หนึ่งยอดเจ้าแทงพ้นบนเมฆา
ผ่านบ่วงม่านอักษรามาซึ้งความ

ขอให้ดอกดาวแดงแสงอาทิตย์
จงสถิตย์เรือนกวีศรีสยาม
เป็นโกสุมเหนือย่านภิบาลนาม
แตกดอกสามดอกสี่ไม่มีเว้น

สู่มงคลดาวฤกษ์คอยเบิกฟ้า
ส่องแสงมากระทบสบตาเห็น
แต่งคืนหม่นร้างฝันไร้จันทร์เพ็ญ
กลางลำเค็ญมิตรมิ่งได้อิงพัก

ทิวาฤกษ์เบิกฟ้ามาอีกคราว
ยี่สิบเก้าฤกษ์ใจได้รู้จัก
ขออวยพรอักษรสะท้อนภักดิ์
แด่มิตรรักมิตรกวีที่บรรจง

ด้วยน้ำคำอมฤทธิ์เมื่อจิตนิ่ง
ด้วยความจริง..ใจชมสมประสงค์
ด้วยรวงกลอนอ่อนหวานปานผึ้งดง
มาแต่งองค์ทรงป่า..วนาดร

ให้ฤกษ์ฤทธิ์นิมิตรนี้มีแต่สุข
อันความทุกข์ยากใดอย่าได้หลอน
เป็นดอกไม้หกทิศจิตอาทร
หอมกำจรกลอนกำจายห่อนคลายมนต์

--------------------------------

ให้มิ่งมิตรกวี นาม ฤกษ์ ที่ข้าพเจ้าบรรจงให้เป็นดอกแสงอาทิตย์
ที่ไม่บกพร่องในวิถี  กับจรรยาอันดีงามต่อทิศทั้งหกที่ได้เห็นมา
มิตรกลอนผู้งดงามในความรู้สึกทุกๆ ครั้งที่ได้อ่านความ
เป็นไม้หนุ่มนำแสงแห่งอาทร มาสู่ร่มบ้านเรือนไทยแห่งนี้
เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวเองเบิกฟ้าในคืนหม่น...
เป็นมาลัยดอกรักเล่ห์ที่หอมกำจรจายในหมู่ดอกไม้เมือง

กับในวาระครบรอบยี่สิบเก้าปี...
หวังให้บทกวีสำแดงความเอื้ออาทรในมิตรตราบนานเท่านาน
จะมีสิ่งไหนที่หวานหอมไปกว่ามิตรภาพ
และธรรมชาติรายล้อมที่เป็นมิตร

				
6 สิงหาคม 2547 23:43 น.

คืนสู่เส้นทางสายไหม (Return to the Silk Road)

ลำน้ำน่าน

เสียงพิณเซนไหวครวญหวนตามลม
จากลึกหล่มหมื่นเขาเทาท้องฟ้า
หิมาลัยไกลขาวใกล้ราวตา
บ่มมรรคาซ่อนเซาะเราะภูดิน

พลิ้วพลิ้วไปลมเหลืองทะเลแล้ง
ทุกหนแห้งฝุ่นฝ้ายสลายหิน
พุทธอุบัติเหนือเหวเปลวมลทิน
มนต์ยังยิลยังงามท่ามลึกลับ

จากเส้นทางสายไหมไกลลึกเร้น
สู่เนินเย็นหนาวเยือกเทือกเขาหลับ
โอเอซิสพักแรงแอ่งน้ำซับ
เมื่อพุทธะจรจับผืนดินตาย

ตามทางทองเหมยไหมทบอดีต
ขึงพิณกรีดเสียงสะท้อนก้องความหมาย
ไหมจากฟ้าพลิ้วไสวใยเรียงราย
แม้นย่างกลายผ่านทางเวิ้งว้างคน

จากดินแดนแห่งสายน้ำภาวนา
สายคงคาจากสรวงร่วงสายฝน
ชาติกำเนิดชมพูคู่สกล
ไหลมาสู่มณฑลโพ้นอัลไต

เป็นหิมะดะไลในโลกลึก
ตกผลึกความว่างกลางสงไขย
เหมือนหยาดหยกบริสุทธ์พุทธละไม
เหมือนกลิ่นไอฟากฟ้าสุขาวดี

ขจรขจายสู่แหล่งแห่งความตาย
แหล่งความพ่ายสยบหลบเร้นหนี
ก้าวสู่กลางกาฬมืดของโกบี
เพียงศากยมุณีที่ศรัทธา

เพื่อพุทธะยึดไว้ใจลามะ
โลกุตระสว่างแหล่งแสวงหา
เพื่อนิพพานสูงสุดพุทธาดา
กลางลำเค็ญลาสาขังวิญญาณ

คือดอกพลัมบานไหวในปลายหนาว
แล้วโรยกราวพบพื้นคืนสังขาร
กลีบเหลืองหม่นดลจิตมหายาน
ยามเบ่งบานพรมผลิหิมะโปรย

เซนดนดรีบรรเลงเพลงความว่าง
อยู่ท่ามกลางเพลงทิวอันหิวโหย
คือมนต์สวดแว่วบอกดอกไม้โรย
กลิ่นอวลโชยพัดกลบซบแนวเนิน

แตรภูเขาเป่าก้องร้องมนต์ร่ำ
สื่อเสียงเพลงลำนำคำสรรเสริญ
พุทธทิเบตเผยกว้างพลางเชื้อเชิญ
ให้มนุษย์ก้าวเดินเพลินนิพพาน

จิตวิญญาณพลิ้วไหวดุจหิมะ
โลกายะกฎธรรมนำสังขาร
คือกฎจริงอิงโลกมหายาน
ทอดทางฌานไหมวิสุทธิ์วิมุติพ้น

-----------------------------------------
เทียนหอมสีฝาดหม่นๆ ถูกจุดขึ้นกลางค่ำคืนนี้ วันมงคลของชาวจีน
เปิดเพลงบรรเลง มนตราแห่งอวโลกิเตศวร บทสวดทิเบต
พาหัวใจให้พลิ้วไหวไปสู่ดินแห่งแห่งพุทธมหายานนิกาย
ที่ดวงใจดวงนี้เคยได้ไปเยือนขุนเขาหิมะมังกรหยกมาแล้วในอดีต
ดินแดนแห่งเนินผา ขุนเขา สายน้ำภาวนา ทะเลทราย และจิตวิญญาณ

พุทธนิกายมหายานเดินทางผ่านเส้นทางอันทุรกันดารอย่างยิ่งยวด
นาม เส้นทางสายไหม เส้นทางสายจิตวิญญาณเชื่อมโรมันสู่จีน
เส้นทางที่เชื่อมแผ่นดินตะวันตกกับดินแดนตะวันออกเป็นหนึ่งเดียว
จากใจกลางทวีปผ่านที่ราบสูง ทะเลทราย เทือกเขาหิมะ และสายน้ำ
อิทธิของพุทธศาสนานิกายมหายานได้แผ่เข้าปกคลุมดินแดนแถบนี้
ที่ได้ชื่อว่า หลังคาโลก ในทิเบต จีน มองโกเลีย เวียดนาม ญี่ปุ่น
ลามะ เป็นผลิตผลหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดของพุทธศาสนา
พระผู้มุ่งแสวงหานิพพานและความหลุดพ้นท่ามภูมิประเทศแร้นแค้น
ทำให้ประหวัดถึง เณรน้อยซุงไซจากหนังสือเล่มงามของ *จอร์จ เครน*
นาม อัฐิอาจารย์ ปาฏิหาริย์แห่งความกตัญญู พระที่ต้องดิ้นรนหลบรี้
ออกจากมองโกเลียในช่วงจีนปฏิวัติวัฒนธรรม...
และ นักเขียนท่านหนึ่งกล่าวกว่า นิยายเรื่อง กามนิต วาสิฏฐี 
จุดที่สองคู่รักนัดไปพบกันหลังความตาย
คือดินแดนสุขาวดี  ก็อยู่ในความเชื่อนิกายมหายาน...

หมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาหิมะมังกรหยกที่ได้ไปเยือนสะท้อนปรัชญาเซน
ยามเช้าที่อากาศเย็นแห้งๆ และลมเหลืองจากทะเลทรายโกบียังพัดอู้
แต่กระนั้นดอกพลัมและแอ็ปเปิ้ลก็ยังคงผลิดอก ทิ้งกลีบดอกโปรยไป
สู่ความว่างเปล่าเดียวดายในสายลม...เป็นความงดงามนิรันดร์
ในดินแดนมหายาน.....

หยุดพักความเหนื่อยล้า เอนกายลงฟังเสียงหัวใจเต้น จิตนภาพลึกล้ำ
รำลึกถึงคราวแบกเป้เดียวดายบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ นาม *ยู่หลง* 
แหละสายหมอกไหมสวยสดราวสวรรค์บนดินในยามได้ดื่มด่ำกับ 
*แชงกรีล่า* สวรรค์บนดิน อีกสายน้ำที่กระโจนลงอย่างเกรี้ยวกราด 
ณ หุบเขาโตรกเสือกระโจน 

แหละอีกหลายความทรงจำ
ในยามได้เดินอยู่เหนือคันนาข้าวสาลีในอินเดีย
ประหวัดถึงวัจนภาษาทองจาก **กามนิตวาสิฏฐี** กล่าวไว้สงบงาม
ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร.ว่า...

**ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์ 
เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล 
ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศ
สุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี 
เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว
ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทอง
ไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า 

ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ 
เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว 
ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง
อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถ
ทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้ง
ดั่งว่านิรมิตไว้มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อมแน่นเป็นขนัด
ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้
เพื่อแข่งกับแสงสีมณีวิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน
แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น 

พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้ 
พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน 
มีพระหฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์
ในภูมิภาพที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อน เช่นเขากาฬกูฏไวบูลยบรรพต 
อิสิคิลิและคิชฌกูฏ ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น 
ยิ่งกว่านี้ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระอันมีกระแสธารน้ำร้อน 
ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้น 
ว่าเมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่แต่โดยเดียว 
แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถ
อยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏ
เข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน**


แม่น้ำไหลริน 
มาจากหิมาลัย
ส่งเสียงพึมพำ
มาจากเนินเขาหมื่นแห่ง
จากทางช้างเผือก

ชื่นชมฟากฟ้า
จำกัดวิสัยทัศน์ไว้
ไม่สนใจ
ความอัปลักษณ์ของผู้ใด

กระทั่งแม่น้ำ
ฝั่งที่เป็นเนินทราย
ทับถม.....

ยึดพุทธะไว้ในใจ
ละวางความโศกและมายาภาพ
(ซุงไซ)

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันตรุษจีนที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๑๕๕๓


				
23 มิถุนายน 2547 00:37 น.

กลับสู่ความหมายนิรันดร์ (Return to the Eternity)

ลำน้ำน่าน

 อุทิศแด่ทุกผู้ทุกนาม
ผู้มั่นหมายจะดำรงความหมายนิรันดร์ 

เมื่อวันหนึ่งวันนั้นพลันมาถึง
อย่ารัดตรึงกายฉันพันตราสังข์
อย่าร่ำไห้ครวญคร่ำร่ำประดัง
อย่าคุ้มคลั่งตกใจให้วุ่นวาย

วันที่ฉันทอดร่างอย่างสงบ
ขอเป็นศพเปี่ยมท้นบนความหมาย
ณ ห้องอับคับคร่ำดำแดนตาย
ทุกขันธ์กายต่างพบจบชีพลง

ณ จุดหนึ่งแห่งห้วงบ่วงเวลา
แพทย์บ่งว่าสมองของฉันหลง
หยุดทำงานนิ่งว่างอย่างมั่นคง
ไม่ประสงค์เครื่องเทียมเตรียมต่อวัน

อย่าเรียกขานเตียงฉันว่ามรณา
จงเรียกว่าเตียงชีวิตลิขิตฝัน
ให้แล่ร่างหนังเนื้อเถือจากกัน
แล้วแบ่งปันบริจาคฝากเป็นทาน

เพื่อช่วยเหลือชีวิตอื่นฟื้นชีวิต
ไพบูลย์สิทธิ์ศักดิ์มนุษย์ทุกสถาน
เพื่อเติมเต็มกระแสกรรมธรรมธาร
ยามสังขารล่วงลับดับวัยวัน

ให้ดวงตาแก่ชายบอดยอดลำเค็ญ
ผู้ไม่เคยได้เห็นแสงสวรรค์
ไม่เคยซึ้งแสงพราวดาวพระจันทร์
ยามฉายหน้าสรวลสันต์ของทารก

เขาอาจเห็นความจริงในแววตา
ของชาวนายากเหลือเหงื่อต่ำตก
น้ำตารินนานเนาว์ร้าวสะทก
เห็นหัวอกทุกข์ทนบนแผ่นดิน

อุทิศใจของฉันกำนัลคน
ผู้หลงมนต์วัตถุตมชมทรัพย์สิน
ไม่เคยฟังเสียงธรรมพร่ำยลยิน
เสียงสุดสิ้นอนิจจังร่ำประดา

ให้เลือดฉันแก่เด็กแหละวัยรุ่น
ผู้วนหมุนรักโศกโลกย์ปัญหา
ยามถูกดึงจากซากรถลากมา
ต่อเวลาให้สำนึกตรึกตรองใจ

ให้ตับฉันแด่คนทุกข์ทนหนัก
กับเครื่องจักรกึกก้องคะนองไหว
กลางเคมีคละคลุ้งพลุ่งควันไอ
ของโรงงานระอุไฟไร้ค่าแรง

เอากระดูกกล้ามเนื้อที่เหลือทุกมัด
เส้นประสาทสัมผัสทุกแขนง
ไปก่อร่างเพาะใหม่ให้สำแดง
เพื่อก้าวแรกก้าวตะแคงเด็กพิการ

โปรดสำรวจทุกห้องสมองมุม
แหล่งชุมนุมขุมโลหิตนิดสังขาร
แล้วสังเคราะห์เนื้อเยื่อเพื่ออภิบาล
จนเวลาล่วงผ่านงอกงามพอ

แล้วปลูกถ่ายให้ชายเป็นใบ้นั้น
เผื่อสักวันเสียงร้องจะก้องหอ
ให้น้ำตาไหลอิ่มปริ่มเปรมพอ
ตะโกนก้องหัวร่อให้ได้ยิน

เพื่อเด็กหญิงหูหนวกที่รวดร้าว
จักยินข่าวคนไกลในถวิล
ยามหน้าต่างกระทบหยดฝนริน
สื่อสำเนียงจากดินปริ่มพรมใจ

แล้วเผาสิ่งที่เหลือสละสลาย
ถมรอยตายรอยทางอ้างว้างไหว
นำเถ้าถ่านมอดเหลือจากเชื้อไฟ
ไปโปรยไว้บนถนนหนทางเดิน

เพื่อดอกไม้สันติภาพจักงอกงาม
นกป่าข้ามพลัดถิ่นมาบินเหิร
ชมศรัทธาป่าสุสานให้นานเพลิน
ร่อนลงเดินเหยียบดินทุกถิ่นไป

ถ้าจะฝังบางสิ่งหรือทิ้งซาก
ฉันขอฝากอคติที่หลงใหล
ที่เหลืออยู่ก่อนตายในกายใจ
ขอขมามอบไว้แด่ทุกคน

ความอ่อนแอของฉันวันก่อนเก่า
ฝังพร้อมเงาอย่าให้เหลือเพื่อออกผล
ให้บาปหนักของฉันนั้นหลอมตน
เป็นดอกฝนสลายร่วงลงห้วงธาร

ให้วิญญาณเป็นทาสบาทพระพุทธ
บริสุทธิ์เพียรธรรมกรรมฐาน
สถิตย์สูงปลายฟ้านภากาล
กลางนิพพานบริสุทธ์พบพุทธา

ถ้าบังเอิญใครใครจะจดจำ
จุดเทียนธรรมปฏิบัติตัดตัญหา
เป็นของขวัญวันตายหมายบูชา
เพียรนำพาเพื่อนมนุษย์จนสุดทาง

ฉันจะอยู่ด้วยแรงแห่งความดี
ตราบราตรีห่มหล้าอุษาสาง
ปณิธานจักคลี่ใยผลิใบบาง
แม้นเรือนร่างสลายลับ....ไม่กลืบคืน

----------------------------
ในวันที่สายวสันต์กระน่ำทุ่งนาป่าเมือง
ข่าวคราวความทุกข์ยากของพี่น้องชายแดน
และการสูญเสียเพื่อนมนุษย์จากเหตุอวิชชา
นำความโศกเศร้าอบอวลมากับสายฝนพรำ
ดอกไม้แห่งเสรีภาพไม่อาจเบ่งบาน
ท่ามกลางความยึดติดและยึดมั่น...

เสรีภาพใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการปล่อยวาง
ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย อำนาจ ชื่อเสียงเกียรติยศ
และที่สำคัญ คือ ***เงินตรา***

หยิบหนังสือ **Tuesdays with Morrie** มาอ่าน
ความตอนหนึ่งกล่าวถึงการสละในวาระสุดท้าย
เป็นการไม่ยึดมั่นไม่ยึดติด เป็นมหาทานยิ่งใหญ่
เมื่อม่านดำแห่งชีวิตกำลังรูดปิดลงรำไร
มิปล่อยให้เป็นภาระแก่ผู้อยู่เบื้องหลัง
ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำลายโซ่ตรวนอันไร้สาระ
ทำลายกำแพงแห่งมานะทิฐิลงเสีย
ทำลายตราจำแห่งการยึดติดยืดมั่น
ในวันที่เรามิอาจใช้ประโยชน์ใดใดจากขันธ์
เพื่อการกลับสู่ความหมายนิรันดร์อันแท้จริง

ลำน้ำน่าน  บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
กับวันที่ตั้งใจอุทิศร่างกายในวันสุดท้ายของชีวิต


				
13 พฤษภาคม 2547 02:18 น.

จากฝั่งเนรัญชราสู่ธาราธรรม (Everlasting Enlightenment)

ลำน้ำน่าน

พรมธารายามอรุณด้วยกรุ่นกลิ่น
อาบผืนดินด้วยเกสรละอองป่า
หยาดน้ำค้างพร่างสายพรายดารา
ภาวนาอยู่ระวางวิมานพฤกษ์

ดุจริมฝั่งสายธารนิมานรดี
เมทินีสว่างสรวงแม้นห้วงดึก
รับบรรเลงมนต์ธรรมอันล้ำลึก
ผลผลึกอภิญญาณ-ฌานภิญโญ

เมื่ออาทิตย์อุทัยแรกแตกดอกวับ
พร้อมบทเพลงวิหคขับจับกิ่งโผ
บัลลังก์อาสน์ใต้ร่มบรมโพธิ์
มนต์พุทธโทแว่วผ่านวิมานไพร

ทิวาวันวิสาขปุณณมี
มะลุลีผลิรับจากหลับใหล
หยดน้ำค้างหยาดเย็นค่อยเป็นไป
ว่อนไหวเหล่ารุกขชาติดาษอัมพร

ริมธารธรรมสายน้ำยามรุ่งเช้า
ใต้ร่มเงาวนาวัลย์บรรจถรณ์
โพธิสัตว์แสงประทับจับจีวร
พนันดรก็บรรสารทุกธารพราย

มธุปายาสข้าวทิพย์วิจิตรสรร
กรุ่นสุคันธ์สุชาดามาถวาย
เครื่องพลีกรรมอวลกลิ่นมิสิ้นวาย
โลกบาลร่วมเรียงรายรับพิธี

รัตนบัลลังก์นั่งภาวนา
เมื่อทิพย์ทองส่องหล้าพระโพธิ์ศรี
ทินกรร่อนเริงเวิ้งวารี
บารมีคลี่อาบทาบไพรวัลย์

สัตยาอธิษฐานลงธารน้ำ
อรุณยามฤกษ์ล่วงดั่งสรวงสรรค์
ถาดทองทวนลอยย้อยสาครครัน
ทวนกระแสเนรัญฯ เป็นมรรคา

ปฐมยามราตรีค่อยหรี่ล่วง
ยามโสมสรวงเสวยแสงแหล่งเวหา
สมาบัติสำเร็จแจ้งแห่งวิญญาญ์
ซึ่งปุพเพนิวาสา-นุสสติญาณ

มัชฌิมกาลล่วงผ่านทวารสอง
องค์สัมมาลุครรลองจักษุสาส์น
นิรมิตทิพย-จักขุญาณ
สรรพสัตว์เพรงกาลมาวางวาย

ปัจฉิมยามกาลสมัยใกล้รุ่งฤทธิ์
หยั่งพินิจปัจจยาการมินานหมาย
อริยสัจรู้แจ้งสำแดงกาย
คลายซึ่งปฏิจจสมุปบาทอวิชชา

เมื่อแสงทองทอรับจับระบัด
โพธิสัตว์สดับแจ้งแรงตัญหา
ตรัสรู้ลุพระสัพพัญญุตา
ดับสูญสิ้นกิเลสกล้าอัตตามาร

มหัศจรรย์อุบัติซ้องมรรคผล
หมื่นปฐพีดลลั่นธาตุปราชญ์สถาน
ทศพลเปล่งสีหนาทปฐมทาน
ใต้ร่มโพธิญาณอุรุเวฬาฯ

ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงอภิวาท
เอนกชาติสังสารังองค์คาถา
สัปบุรุษตรัสรู้แล้วแก้วสัมมาฯ
พุทธธาดาโลกนาถทุกชาติภพ

----------------------------------
ยามเช้าที่ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง 
 ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชราฯ  อุรุเวฬาเสนานิคม
ไม่มีสรรพสิ่งไหนจะเงียบงามเท่ากับภิกษุนั่งบำเพ็ญภาวนา
สงบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติภายในและภายนอก
ในยามที่จิตประภัสสรนั้นย่อมได้มาซึ่งปัญญาญาณ

พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวไม่แจ่มฟ้า วิสาขาบูชากำลังจะมาถึง
ทำให้ข้าพเจ้านึกประหวัดไปถึงบรรยากาศริมฝั่งน้ำเนรัญชรา
ณ ตำบลอุรุเวฬาเสนานิคม ดินแดนพุทธคยา ครั้งสมัยพุทธกาล
พร้อมกับบทเพลงบรรเลงดนตรีสายธารธรรม อุรุเวฬาเสนานิคม
มหาอุบาสิกานามสุชาดา และเพลงบรรเลงพระโพธ์แก้ว
กำลังบรรเลงในยามนี้อย่างเงียบลึกในห้วงใจ

การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้เยี่ยงดวงหทัยขององค์พระสัมมาฯ 
 ตั้งแต่บำเพ็ญเพียรภาวนา ณ รัตนบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 
จวบจนลุวิสาขปุณณมีกาล 

มหาอุบาสิกานามสุชาได้นำข้าวมธุปายาสถวาย ทรงอธิฐานลอยถอดทอง
ลงห้วงน้ำเนรัญชรา ผจญหมู่มาร ตลอดจนตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์  
ความตอนหนึ่งในพุทธประวัติบรรยาย ณ เวลาตรัสรู้ในยามรุ่งอรุณไว้ว่า

"ในขณะนั้น  ก็พอเป็นเวลาที่แสงทองแห่งอรุณทอแสงขึ้นจับขอบฟ้า 
พระบรมโพธิสัตว์ก็ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ  ดับสูญสิ้นกิเลสาสวะ
เป็นสมุจเฉทปหาน พร้อมด้วยความมหัศจรรย์ หมื่นโลกธาตุบันลือลั่น
ด้วยการหวั่นไหวแห่งปฐพีดล  พระทศพลจึงเปล่งสีหนาทเป็นปฐมอุทาน
เยาะเย้ยตัณหาด้วยพระคาถาว่า อเนกชาติสํสารํ.."

การตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์บ่งนำถึงการตั้งมั่นของดวงหทัยที่เที่ยงแท้
ตลอดการบำเพ็ญเพียรภาวนา 

-------------------------------------------------
ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
รจนาบูชาในวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน