28 สิงหาคม 2550 04:52 น.
				
												
				
								เพรง.พเยีย
		
					
				
๏ แสงตาวันสุดท้ายระบายถัก
มาทายทักอาทรกับไต่ถาม
ถึงอนันต์รอยย่ำแห่งนิยาม 
จนฝ่าข้ามสู่กาล..ลานชรา
๏ สักกี่ร้อยพันเรื่องได้ผ่านลิ้ม 
ให้อกอิ่มแย้มรอยหัวเราะร่า
และกี่ร้อยพันเล่ห์หว่างเวลา 
ต้องปวดปร่า..ฝ่าวิถีแห่งชีวิต
๏ ผ่านฤดู..ฝน-หนาว-ลมผ่าวร้อน 
ถมบทตอนอัตตาเทียวยึดติด
จนร่วงโรยสังขาร์มาประชิด 
จึงสะกิด..ถึงวันที่ล่วงวัย
๏ เคยเต่งตึงชุ่มปลั่งสะพรั่งผิว 
เหลือแต่ริ้วย่นยับเกินนับไหว
คือร่องรอยผ่านกาลอันยาวไกล 
คือหายใจเผาร่าง..หว่างสัญจร
๏ จะเสพรับบอกรสกำหนดรู้ 
ก็ออกดูเลือนเลือน..ไม่เหมือนก่อน
มันหนืดหนัก-ลุก-นั่ง-กระทั่งนอน 
มันย่อหย่อนลงแท้แต่ละวัน
๏ หลังเคยเหยียดขาเคยหยัด..กำดัดหนุ่ม 
มางอโง้ง..เดินงุ้ม แข้งขาสั่น
กำลังกล้าธาตุแกร่งวัยฉกรรจ์ 
เหมือนว่ามันผ่านสมัยเพียงไม่นาน
๏ โอ..ดูสิ..อีกไม่นานแล้วหรือนี่ 
เหล่าเคยมีกอปรขังเป็นสังขาร
จะสลายกลืนกลบกับเปลวกาล 
ดับกังวานชีวิตอีกวัฏวง
๏ โอ..แท้ชีวิตสังสารนั้นแสนสั้น 
และแท้มัน..เล็กกว่าธาตุธุลีผง
ที่ยิ่งใหญ่ก็เพียงกรอบในขอบกรง 
คอยปลื้มหลงกำซาบกับภาพเงา
๏ เมื่อปลดเปลื้องกรงกักอันหนักอึ้ง 
จึงรู้ซึ้งแห่งปวงความว่างเปล่า
เมื่อปลดตัวอัตตา..ว่าคือเรา 
ใจจึงเบารับมีอย่างที่เป็น
๏ แสงตาวันสุดท้ายระบายถัก 
มาทอดทักครรลองได้มองเห็น
ใต้วิถีแห่งการณ์ปรากฏเกณฑ์
เพื่อบอกเราโลกเป็น..เช่นนั้นเอง..
				
			 
			
				19 สิงหาคม 2550 04:24 น.
				
												
				
								เพรง.พเยีย
		
					
				
๏ ใต้แสงจันทร์วันนี้..ไม่มีเธอ 
เฝ้าแต่เผลอเหลียวรอยละห้อยหา
หมดแล้วหรือเยื่อใยในสายตา 
จึงวางค่าหยามหมิ่นให้สิ้นจม
๏ เสียงสะท้อนกรีดย้ำคำลิขิต 
สุดจะปิดรอยรื้นอันขื่นขม
ความวังเวงปรายซ้ำให้ช้ำตรม 
รอยระทมข่มไว้..เจียนใจรอน
๏ เพราะม่านหม่นขึ้นขวาง..หรือ..กางขึง 
ให้คำนึงรุมเร้าเหมือนเงาหลอน
ในเงาฝัน..ยังหันหา..ยังอาวรณ์ 
จนกัดกร่อนดวงจิตทุกนิทรา
๏ อันเงียบงันว่าว้างหรือว้างเท่า 
จะเทียบรอยความเหงากรายเข้าหา
แต่เทียบคอยคำนึงใครหนึ่งพา 
ร้าวอุรา..ใดเล่าจะเท่าทัน
๏ แล้ววันนี้ต้องห่างระหว่างสอง 
เกินกว่าปองหมายเอื้อมมาเชื่อมฝัน
เหลือจำหลักลึกคอยเตือนรอยวัน 
และเพียงฉันซ่อนหน้า..อย่างอาลัย..
				
			 
			
				24 กรกฎาคม 2550 05:35 น.
				
												
				
								เพรง.พเยีย
		
					
				
๏  หรือพรหมร่ายมนต์เสกสร้างคมศร 
หรืออินทรวาดกฎเกินปลดถอย
จึงลิขิตจิตตรึงกับหนึ่งรอย  
แอบละห้อยคอยเห็นไม่เว้นวัน
๏  แม้จะนอนตาหลับใจกลับตื่น  
ก็สิทธิ์ชื่นเราได้แค่ในฝัน
ตระหนักครวญใช่คนที่สำคัญ  
เขาอาจหยันมองเย้ยหากเผยนัย
๏  เก็บเอาไว้แรงฤทธิ์ความคิดถึง  
เพราะดื้อดึงจึงพรั่นกับหวั่นไหว
รักต้องห้ามซุกซอนจนกร่อนใจ  
หนักเพียงไหนในอกทนรับเอา
๏  รู้ทั้งรู้ว่าเขามีเจ้าของ  
ยังแอบปองเผลอใจไปให้เขา
เหมือนโง่งมคอยชะเง้อแค่เพียงเงา 
เมื่อมาเฝ้าแต่ระทม..ก็สมแล้ว
๏  ใยเทพท่านเพียงขีดเป็นคู่คลาด 
จึงไม่อาจเคียงอยู่เป็นคู่แก้ว
ใจเอย..เหลือจะหวังให้สิ้นแวว  
รักต้องแคล้วคอยเหลียวอย่างเดียวดาย
๏  วางหัวใจไว้อยู่อย่างผู้แพ้  
ปล่อยรอยแผลย้ำมองในความหมาย
คือจำหลักซากซมผู้งมงาย  
รอสลายเลือนผ่าน..หนทางเดียว..
				
			 
			
				5 กรกฎาคม 2550 05:33 น.
				
												
				
								เพรง.พเยีย
		
					
				
๏  แสงนวลฉาบทั่วฟ้า..........ฟากเพ็ญ
กระทบสายน้ำเห็น...............คลื่นริ้ว
ลมพัดผ่านชื่นเย็น................รินสู่ ใจเนอ
ยินแผ่วทำนองพลิ้ว...............ขับเอื้อนคำนึง ฯ
๏  ท่ามเพ็ญฉายกลบสิ้น.......กำสรวล
เมื่อหนึ่งคอยชื่นชวน............ร่วมชี้
รำพันรักฝากนวล.................เพียงหนึ่ง เดียวเนอ
แขแห่งเบื้องหน้านี้...............อยู่พ้องเป็นพยาน ฯ
๏  หวิวหวิวในอกเต้น.............หวั่นหวาม
ยินพร่ำแต่นัยความ...............พี่แจ้ง
หวานคำร่ำบ่าลาม.................รินอก
หลอมซับความเหือดแล้ง.......จากร้างคอยรอ ฯ 
๏  มือพี่เอื้อมปัดริ้ว................ไรผม
เหมือนปัดรอยระทม..............แก่น้อง
จากนี้จักชิดชม.....................ไป่ห่าง อีกเนอ
ขออยู่เป็นคู่คล้อง..................กล่อมแก้วเคียงขวัญ ฯ
๏  สองเราร่วมกล่าวถ้อย.........อธิษฐาน
ขอมั่นสัตย์สาบาน..................ดั่งอ้าง
ตราบนี้จวบสิ้นกาล.................ปรุงดับ ร่างแล
ขอภักดิ์เพียงคู่ข้าง.................สืบข้ามมรคา ฯ
				
			 
			
				19 มิถุนายน 2550 05:03 น.
				
												
				
								เพรง.พเยีย
		
					
				
๏  ยกมือขึ้นปาดน้ำ.................ตานอง
เกินข่มความหม่นหมอง..........อกไหม้
ฤาเพรงสาปพรากสอง.............สายสวาท
กำหนดตามชดใช้..................ชาตินี้จึงสนอง ฯ
๏  พี่เอยเจียนแหลกแล้ว..........วิญญาณ
ดั่งถูกเด็ดดวงมาน..................ออกขยี้
เหลือเพียงร่างซมซาน.............ทรงอยู่
จำพรากนับแต่นี้.....................โศกน้องใดเหมือน ฯ
๏  ศักดิ์น้องเพียงต่ำต้อย.........สามัญ
ศักดิ์พี่สูงเทียบทัน..................ลูกเจ้า
บุญสร้างแต่ปางบรรพ์.............ไป่เท่า พี่เฮย
เพรงบาปซ้ำตามเร้า...............แยกสิ้นเราสอง ฯ
๏  พี่จำฝืนส่งน้อง...................กลับไป
ทั้งสุดแสนอาลัย.....................รับรู้
แต่รักต่างกันไกล...................เกินฝ่า
ตระหนักน้องเพียงชู้...............แม่ค้ารามัญ ฯ
๏  คำนึงน้องดั่งน้อย...............วาสนา
ไม่อาจฝืนชาตา.....................กีดกั้น
กำแพงศักดิ์ขีดพา.................พลัดพราก
ความรักต่างชนชั้น................ต่างเชื้อได้ไฉน ฯ
๏  ก้มกราบกล่าวสะอื้น...........อำลา
รินร่ำกับน้ำตา.......................ไป่แห้ง
มวยผมปลดเทียบมา.............เช็ดบาท พี่เนอ
โอ้อกน้องเหือดแล้ง...............แหลกล้วนเทวษเหลือ ฯ
๏  น้องเอยอย่าร่ำไห้.............อาวรณ์
ใจพี่แทบขาดรอน................ดุจเจ้า
แต่หน้าที่ลิขิตจร..................ลาจาก
ชาติศักดิ์ย่อมเหนือเกล้า.......ตระหนักต้องกตัญญู ฯ
๏  เงยหน้าเถิดนิ่มเนื้อ..........อย่าตรม
พี่จักกอบปอยผม..................ผูกให้
น้ำตาแห่งระทม...................ทุกหยด หยาดเนอ
พี่จักซับรองไว้......................ตราบสิ้นกระแสกรรม ฯ