20 ธันวาคม 2549 04:27 น.

ชิน

กวีปกรณ์

โทรทัศน์บอกเล่าข่าวสารวันใหม่ในยามเช้า สลับกันกับโฆษณาสินค้า และประชาสัมพันธ์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใคร ๆ คงคิดอย่างนั้น "ชิน" กลับบอกผมอีกอย่างหนึ่ง บอกให้ผมลองหยุดหายใจเพื่อเงียบไม่ให้ส่งเสียงใด ๆ ออกมารบกวนการทำงานของระบบโสตประสาท "เฮ้อ...!!" เสียงนี้เล็ดลอดเข้ามาอย่างแผ่วเบา คล้าย ๆ กับจะสิ้นเรี่ยวแรงระหว่างกำลังเดินทางมายังหูของผม ใช่ครับ เสียงนี้คือเสียงถอดถอนใจด้วยความเหนื่อยล้า แต่จะมาจากที่ใดหล่ะ เมื่อผมกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับการจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์เพื่อรับข่าวสารที่กาคาบข่าวอย่างโทรทัศน์จะบอกเล่าได้ ใช่...ผมอยู่คนเดียว...ภายในห้องพักที่กำลังปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นตามการแรเงาของแสงที่กำลังขับไล่ความมืดให้หนีไปอีกซีกหนึ่งของโลก มีบางความมืดที่หนีความร้อนของแสงไม่ทัน ก็จะพยายามหลบซ่่อนอยู่ตามมุมมืด ไม่ว่า จะซอกตึก หลังม่าน ในกล่อง ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ ฯลฯ เท่าที่ตัวเองจะคิดได้ว่าจะหลบหนีแสงที่ส่องสว่างนั้นได้ และกลับมายึดพื้นที่บนโลกใบนี้เพื่อสร้างความพรั่นพรึงในยามดึกของโลกอีกครา

ผมยังคงเงียบและพยายามฟังเสียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของโทรทัศน์ที่พยายามแปลงเสียงตัวเองให้เหมาะสมเพื่อให้ตรงกับเพศของผู้ประกาศ นักพากย์ นักแสดง ตัวการ์ตูน ตัวตลก อีกมากมายล้านแปด ...หรือแม้แต่ตัวประหลาดที่มันจะจินตนาการหรือลอกเลียนได้ 

"...เฮ้อ...!!" ผมได้ยินอีกครั้งหนึ่ง ผมยืนยันกับตัวเองในใจ

ผมพยายามหาที่มาของเสียงโดยพยายามจับที่มาของเสียงนั่น แต่ก่อนที่ผมจะตามเสียงนั้นออกไป ผมขอรับประทานอาหารมื้อแรกแห่งวันหยุดนี้ก่อน

บางทีผมก็อดชื่นชมผู้สรรค์สร้างสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์อย่างโทรทัศน์นี้ไม่ได้ ก็แม้จะเป็นเครื่องมืออิเล็คทรอนิคที่รับประทานไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นแรงให้การฟื้นฝอยเรื่องราวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศบนโลกมาบอกเล่าก้าวสิบให้ฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอ...ผมชักไม่แน่ใจแล้วหละสิครับ ว่าจะใช้คำว่ารู้จักเหน็ดเหนื่อยดีหรือไม่ เอาเป็นว่า ผมขอเปลี่ยนเป็น... แม้จะเป็นเครื่องมืออิเล็คทรอนิคที่รับประทานไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นแรงให้การฟื้นฝอยเรื่องราวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศบนโลกมาบอกเล่าก้าวสิบให้พวกเราได้ฟังเท่าที่มันจะค้นหาได้ เก่งไหมหละครับ สำหรับผมขอยกนิ้วให้ว่าเก่ง

หลังจากมื้อเช้าหมดไป ผมยังคงทิ้งทุก ๆ อย่างไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ที่เหมือนเดิมที่สุด เพราะผมคิดว่า เสียงถอนหายใจคงไม่ได้มาจากอาหารเช้าที่เพิ่งหมดไปแน่ ๆ หากเป็นเช่นนั้นแล้วผมคงได้ยินเสียงแห่งความเจ็บปวดและก่นด่าระหว่างปรุงอาหาร หรือถ้าหากผมหรือใครบางคนปรุงไม่สุกคงจะได้ยินเสียงเหล่านั้นระหว่างบดเคี้ยวก่อนจะกลืนลงคอก็เป็นได้

ผมเงียบแทบจะหยุดหายใจไปนานพอสมควรกว่าจะได้ยินเสียงเดิมอีกครั้ง ผมทราบแล้วหละว่ามันมาจากไหน "ชิน" เพื่อนสนิทของผม ใคร ๆ มักจะคิดว่าเขาเป็นคนขวางโลกแต่ผมว่าไม่นะ เขาแค่ชอบนำเสนอความคิดแปลก ๆ ให้ผมเพื่อไม่ให้ชินว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง (รวมไปถึงความคิดของคนอื่น ๆ ด้วย) ผมกำลังเดินไปตามทางที่เสียงนั้นเดินทางมา 

บนเส้นทางเดียวกันกับที่เสียงเดินทางมายังหูของผม (คงไม่มีใครแย้งผมหรอกนะครับว่า เดินทางมายังปาก ตา จมูก ลิ้น คิ้ว ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งสิว ยิ่งโดยเฉพาะสิว เพราะอาจจะเกิดเป็นปัญหาในการฟังของคนหน้าใส ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิว จนทำให้ต้องเลิกใช้ และส่งผลไปยังผู้ผลิตสินค้าให้ต้องออกมาโวยเพราะขาดทุน ที่แย่กว่านั้นเศรษฐกิจอาจซบเซา เพราะเกิดการประท้วงชุมนุมให้แก้ไขหรือยุติการให้ข้อเท็จจริิงที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ได้ คุณ ๆ ก็รู้การประท้วงส่งผลมากมายขนาดใน) 

ผมคิดถึงชิน ชินมักจะสอนให้ผมคิดแตกต่าง ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาคงไม่ได้ต้องการให้ผมกลายเป็นนักอัจฉริยะ ผู้ประดิษฐ์ จนใคร ๆ ยกย่องหรอก 

ชิน เป็นชายทีชอบคิดและทำให้สิ่งที่ใคร ๆ ไม่คิดว่าจะทำ เพราะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งผิด เช่น เขามักจะใช้มือซ้ายจับซ้อม เพื่อฝึกให้มือทั้งสองข้างได้ทำหน้าที่เท่า ๆ กันไม่น้อยหน้ากัน จนกลายเป็นทักษะ หรือการพยายามเชื่อว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไม่มีในโลก เช่น กา คือ นกพิราบสึดำ ซึ่งผมก็เคยคิดอย่างนั้น 

ชิน เป็นคนสนุกชอบเล่าและสอนสิ่งต่าง ๆ ที่รู้มาให้เพื่อน ๆ ได้เฮฮาอยู่เสมอ เพราะบางครั้งคำพูดของเขามันยากที่จะเชื่อได้ว่ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นไปได้จริงหรือไม่ เอาเป็นว่าสมองพวกผมทำงานหนักยิ่งกว่าการชมภาพยนตร์สยองขวัญเพื่อความบันเทิง โดยต้องคิดตามไปตลอดว่า ใครคือฆาตกร หรือผีจะออกมาตอนไหน หรือผีมีจริงไหม อะไรทำนองนี้

ผมหยุดระหว่างทางเพราะเริ่มไม่มั่นใจว่า สิ่งที่ส่งเสียงร้องนั้นจะขยับเคลื่อนตัวได้หรือไม่ แล้วมันจะมีสัมผัสที่ไวหรือเปล่าว่าผมกำลังตามต้นเสียงนั้นอยู่ ผมจึงค่อย ๆ เงียบเสียงจนหน้าแทบแดงเพราะกลั้นหายใจอีกครั้ง "...เฮ้อ...!!" ที่มาของเสียงมาจากห้องน้ำซึ่งตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ห่างเลย อีกแค่เพียงสองก้าวก็จะถึงประตูห้องน้ำแล้ว ผมค่อย ๆ ย่องทีละครึ่งก้าวเพราะกลัวว่าตัวเองจะตื่นเต้นที่ได้เจอต้นกำเนิดเสียงนั้น (กลัวครับ...ผมกลัว ขอสารภาพ)

คำสอนของชิน มักจะทำให้เพื่อนขำ ๆ อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันยากที่จะเชื่อ หรือเชื่อได้ยาก แต่คำพูดนึงที่ชินมักจะบอกผมก็คือ "เรื่องที่เขาเล่าจะไม่สนุกเลย ถ้าเอ็งคิดว่าเอ็งไม่ชินกับมัน" ผมงงครับ จริง ๆ ผมงง ก็เรื่องที่เขาเล่านั้นมักจะเกี่ยวกับเรื่องหมูหัวเราะได้ (อันนี้ไม่รู้เขาเอามาจากไหน) หรือเรื่องเจ้าดิ๊กกี้ หมาของชินที่เพิ่งขโมยกระดูกบนโต๊ะอาหารที่พยายามสั่นหัวเพื่อโกหกว่าตนเองไม่ได้เอาไปทั้ง ๆ ที่ปากยังเลอะน้ำซุปอยู่ 
	
อย่าเพิ่งงงครับ ตอนแรกผมก็เป็นอย่างคุณ ๆ นี่แหละ แต่ทว่าลองคิดดูให้ดีสิครับ เรื่องที่เราชิน คือเรื่องอะไร ตอกแรกผมก็คิดอยู่นาน จนเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองครับว่า เรื่อง หมา หมู หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้ เรามักชินกับมัน และเชื่อว่าสิ่งแปลก ๆ ไม่มีในโลก และไม่มีทางเกิดได้ สิ่งนี้แหละที่ทำให้เรื่องของชินสนุก เพราะเขามักเล่าเรื่องที่เราชินและเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (ตอนแรกผมถ้ามันพิสูจน์ทุกที แต่ก็ไม่เห็นจะมีสักครั้งที่เป็นไปได้ทั้งหมูหัวเราะ หรือหมาโกหก)  แต่ผมก็ชอบนะคำพูดหรือเรื่องที่เขาเล่ามักทำให้ผมหัวเราะขึ้นมาเมื่อคิดถึงเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

ตายละซี... ผมยืนอยู่ข้างอ่างอาบน้ำและกำลังเลื่อนม่านเพื่อดูว่ามีสิ่งใดซุกซ่อนอยู่ระหว่างรอยพับของม่านใสหรือเปล่า แต่ผมหลุดหัวเราะไปเมื่อสักครู่นี้ ทำอย่างไรดีหละ... ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่กำลังตามหาอยู่นั้นคงไม่ได้ยินเสียงผม หรือเป็นสิ่งที่ขึ้ตกใจหรอก ผมจึงตัดสินใจกลั้นหายใจอีกครั้ง... "...เฮ้อ...!!" ผมได้ยินมันยังอยู่และตอนนี้จับทิศทางไม่อยู่เสียแล้ว ไม่เป็นไรเอาไงเอากัน ผมก้าวขาอีกข้างออกไปนอกอ่างอาบน้ำและเอื้อมมือเพื่อปิดประตูพร้อมล๊อคอย่างเบามือที่สุด 

อากาศในห้องน้ำเรื่องอบ คงเพราะผมอยู่ในนี้นานเกินไป ผมดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง เข็มสั้นและเข็มยามหยุดอยู่กับที่เพื่อบอกเวลาผม นี่ผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้วหรือเนี่ย ทำไมยังหาไม่เจอ ผมคิดว่ามันต้องตัวเล็กและใสจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาแต่นี่ก็นานเกินไปแล้ว ผมเริ่มเหนื่อยและบอกตัวเองว่า พอเสียที ซึ่งผมเองมักจะชินกับการค้นหาของไม่เจอ แต่พอผมนึกคำของ "ชิน" ขึ้นมาก็ทำให้ผมคิดว่าครั้งนี้แหละผมต้องหามันให้เจอ อย่ายอมแพ้ แต่ด้วยอากาศที่ร้อนทำให้ผมต้องการล้างหน้าล้างตาและคลายร้อน ผมจึงเปิดฝาและจุุ่มมือที่เปียกลงในถังน้ำสำรองอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วลูบตามใบหน้าและลำคอ มันทำให้ผมสดชื่นขึ้นได้พอสมควร ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจกและคิด

...แล้วต้นเสียงนั้นจะอยู่ตรงไหน... ไม่เป็นไรลองกลั้นหายใจอีกครั้ง ที่ผ่านมาผมกลั้นหายใจไม่นาน และแต่ละครั้งผมก็ได้ยินเสียงนั้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากครั้งนี้ทำให้นานหน่อยคงทำให้ผมได้ยินเสียงนั่นเพิ่มจำนวนครั้งขึ้น

ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้องน้ำนี้อีกครั้ง... ....................................................................................................... ผมมองหน้าตัวเองในกระจกเริ่มแดงขึ้น แต่ผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมกลั้นอีกต่อไป ตาก็เหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือที่กุมหน้าอกไว้ นี่จะผ่านไปสองนาทีแล้ว จนร่างกายบอกตัวเองว่าไม่ไหว ครั้งนี้ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่หาไม่เจอคงไม่เป็นไร และการตามหาครั้งนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะเจอไหมด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบและเห็นมันเลย เอาเป็นว่าผมให้อภัยตัวเอง หากมีครั้งหน้าเราค่อยเริ่มใหม่ก็ได้ 

เวลาผ่านไปเกือบสามนาที ผมเงยหน้าและมองตัวเองในกระจก 
"...เฮ้อ...ออ เฮ้อ!!! เฮือก เฮ้อ..."  
...........!!!!!!!!!!!!....................
เสียงนั้น... ผมได้ยิน... ผมมั่นใจ..
แต่ผมก็เลิกที่จะค้นหาแล้ว ผมจำได้ว่าผมได้บอกไปแล้วว่ายอมแพ้ ไม่ใช่ว่าผมไม่เจอนะว่าสิ่งนั้นคืออะไรกัน ผมไม่ได้ตะลึงงันจนบอกไม่ถูกด้วย ที่สำคัญผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งไว้เป็นปริศนาให้คุณคิดต่อเลย สาบานเถอะให้ตายเลยเอ้า ในเวลานี้ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าที่ผมไม่บอกผมไปเพราะ..."ผมอายคุณ"				
19 ธันวาคม 2549 02:57 น.

เพียงครวญถามความรู้สึกภายในใจครานั้น

กวีปกรณ์

น้ำตาของผมกำลังไหลบ่าออกจากดวงตาคู่หนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยหลับนิทราในครรภ์ของมารดา ผมไม่เคยรู้ว่าความสุขเป็นอย่างไร ผมไม่เคยรู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร

"สุข" เพื่อนสนิทของผมเดินกำลังเดินเข้ามาหาผมใกล้ ๆ แต่ก็พลาดเสียแล้ว เขาสะดุดรากไม้แห่งความเจ็บปวดนั่นทำให้เขาจุกอย่างไม่สามารถลุกขึ้นได้ภายใน 10 วินาที คล้ายกับว่าเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน จนกระทั่ง "ทุกข์" ที่กำลังมองผมอย่างประหม่าว่าจะเข้ามาทักผมดีหรือไม่ (จริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าผมรู้จักกับ "ทุกข์" ตั้งแต่เมื่อไหร่) แต่เขาก็กลับกล้าและแซงหน้า "สุข" เพื่อมาทักผมก่อนที่ "สุข" จะลุกขึ้นได้จากพื้นดินที่กำลังรองรับความจุกจน "สุข" ต้องนิ่วหน้า (ผมละสงสัยจริง ๆ เลยว่าตอนนั้น "สุข" เป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมก็เห็นเจ้านั่นแอบยิ้มเล็ก ๆ คล้ายกับว่าดีใจทุกครั้งที่เจ็บตัว) 

"ร้องไห้ทำไม"    -ทุกข์- ทักผมอย่างเคย ห้วน ๆ สั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ผมก็พอจะสนิทกับ
                          -ทุกข์-พอสมควร (แม้ผมจะจำไม่ได้ว่าผมรู้จัก-ทุกข์-เมื่อไหร่ 
	                 แต่ผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกับเขา มันเป็นมิตรภาพที่มีมานาน ผมขอ                                  
                          ประมาณแล้วกันว่า	ผมคงรู้จักเขาตั้งแต่จำความได้กระมัง)

ผมนั่งนิ่งน้ำตาไหลไม่ตอบ ตามองไปข้างหน้าคล้ายว่า อากาศที่ลอยอยู่ข้างหน้าช่างสวยงามเหลือเกิน

"มีเรื่องให้ทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า? แต่ข้าจำได้ว่าข้าหาโอกาสมาทักเจ้าอยู่นานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา เกรงว่าจะทำลายบรรยากาศแห่งความปลาบปลื้มสุขใจจนน้ำตาเจ้าไหล เจ้าก็รู้นี่หว่า ที่ข้าเข้ามาทักทายเจ้าแต่ละครั้งเพราะว่าเกรงว่าเจ้าจะสุขจนเคยชินไปซะ นั่นจะทำให้เจ้าเสียใจเสียยิ่งกว่าเสียใจอีกหากข้าไม่มาทักทาย และนำของฝากแห่งความโศกศัลย์มาให้"

ผมนั่งนิ่ง แม้จะได้ยินเสียงของทุกข์ที่แว่วมาสองหู แต่ผมก็ไม่เหลียวไปตามเสียงนั้น

"แล้วเจ้ามีอะไรจะให้ข้าช่วยหรือเปล่า...บลา ๆๆๆๆๆๆๆ" ทุกข์พูดไปเรื่อย ๆ ภายใน  10 วินาทีนั้นช่างยาวนาน จน-ทุกข์-เริ่มเหนื่อยที่จะกระตุ้นให้ผมสำนึกถึงความรู้สึกในยามนั้นว่าจะทุกข์ หรือสุขใจ ทุกข์ก็กล่าวลาจากไปเมื่อเหลียวไปเห็นว่า-สุข-กำลังค้ำตัวเองจากแรงดึงดูดของโลกได้สมดุลย์พอที่จะก้าวมาทักทายผม

"งั้นข้าลาก่อนนะ" -ทุกข์-กล่าว ส่วนผมถอนหายใจ

อีกแล้ว... ผมคิดและถอนหายใจ...

ความสุขวิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว และเงียบเชียบจนผมไม่รู้เลยว่าเขามายืนข้างผมเมื่อไหร่ กว่าจะรู้ก็เมื่อได้ยินเสียงแห่งความปิติของ-สุข-หัวเราะออกมาทักทายผมอย่างสุภาพและอ่อนโยน

"สวัสดีเพื่อนรัก เหมือนเราจะไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ... สบายดีหรือเปล่า... แม้เราจะมาไม่ทันแต่ก็รู้ว่า-ทุกข์-เพิ่งผ่านแซงหน้าเรามาทักนายเสียก่อน..." -สุข- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่เท่าที่เขาจะสังเกตได้ ก็ทุกทีที่เขายิ้มตาของเขามักจะยิ้มจนตี่เล็กทำให้มองอะไรแทบไม่เห็น (ผมเคยสังเกต...ก็บอกแล้วว่าเขาคือเพื่อนสนิทของผม)

น้ำตาของผมแห้งลงแล้ว แต่ก็ยังแอบกลืนสะอื้นลงคอ สีหน้าของผมนิ่งเฉยและไม่ตอบอะไรเลย เหมือนผมไม่รู้จัก-สุข- เพื่อนที่เคยมิตรรักของผม 

สุขทำหน้าฉงน และนั่งเล่าเรื่องแห่งความสุขไปเรื่อย ๆ เพื่อคิดว่าผมจะหันกลับมาสนทนากับเขาบ้างสักนิด

เปล่าเลย... ผมนั่งสงบนิ่งหลับตาลง จนกระทั่งเขาจากไป แต่ก็ไม่ลืมของฝากนั่นคือความสดชื่นฝากเอาไว้ แล้วจากไปเพราะผมไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจ เสียงหัวเราะและบทเพลงที่เขาเปล่งเสียงเพื่อเรียกความสนใจ (จะว่าไปแล้ว-ทุกข์-และ-สุข-เป็นมิตรผู้ไม่เคยลืมของฝากเลย เวลามาเยี่ยมเยียน) แต่-สุข- ก็จากไปด้วยรอยยิ้ม

น้ำตาของผมแห้งไปแล้ว...

ผมเก็บความลับเอาไว้ ไม่บอกให้-สุข-หรือ-ทุกข์-สังเกตได้ว่าผมรู้สึกอย่างไร รู้เพียงอย่างเดียวก็คือ ในยามนั้นผมได้คำตอบแล้วว่า ของขวัญ แห่งมิตรผู้สนิทสนมในอารมณ์ของผมไม่ได้มีค่าแต่อย่างไร 

เมื่อผมยิ้ม หยดน้ำตาแห่งความโศกศัลย์ที่-ทุกข์-นำมาทิ้งไว้เคียงข้างจะมีค่าขึ้นมาทันที
และเมื่อผมสะอื้นไห้ รอยยิ้ม แห่งความปิติที่-สุข-นำมามอบให้ผมก็จะมาค่าขึ้นมาไม่แพ้กัน

ทุกคนคงกำลังสงสัยว่า ที่ผมร้องไห้นั้นคืออะไร เปล่า... ไม่มีอะไรเลย

ผมเพียงแค่ตั้งคำถามว่า "น้ำตาหยดแรกที่ผมรินออกมา เมื่อผมคลอดจากครรภ์ของมารดา เวลานั้นผมกำลังทุกข์หรือสุข" ผมจึงทดลองร้องไห้ออกมา เพื่อรำลึกความรู้สึกนั้น ผมสัมผัสได้เพียงแต่ความว่างเปล่า คำตอบที่ผมได้ตอนนี้ก็มีเพียง "น้ำตานั้นมาพร้อมกับลมหายใจแห่งชีวิต เพื่อบอกกับตัวเองให้พร้อมรับและเรียนรู้กับมิตรภาพแห่งความเป็นมายาของโลกเสียทีกระมัง" นี่ละมัง คำตอบที่ผมครวญถามความในใจครานั้น				
17 ธันวาคม 2549 08:09 น.

กรุณาอ่านเรื่องนี้ในความสงบ(...สัญญา...)

กวีปกรณ์

ดึกแล้ว นาฬิกาตั้งโต๊ะยืนยันกับความมืดและการทักทายของเหล่าดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ ดาวเทียม ฯลฯ ด้วยการลงท้ายตัวเลขที่บอกนาทีด้วยตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษว่า pm ข้อมือของผมยังคงเคาะแป้นพิมพ์ตามจังหวะของคำแต่ละคำ การกระทำเหล่านั้นเป็นไปตามคำสั่งของสมองและความชำนาญจากการฝึกฝนสนทนาทางโปรแกรมแชทบนอินเทอเน็ตบ่อยครั้งสมัยเรียนมัธยมต้น 

	ถ้วยชาที่ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างแล็บท๊อบของผมกำลังเย็นลงอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังหลับไป เนื่องจากขี้เกียจอยู่เป็นเพื่อนแล๊บท๊อบที่กำลังทำงาน จึงพยายามขับไล่ความอุ่นของชาในถ้วยให้เย็นชืดลง จนเป็นสาเหตุให้ผมไม่หยิบยกมันเพื่อดื่มชาที่ไร้ความอุ่นและเสียรสชาดอร่อยไปเพื่อจะได้ไม่ต้องตกใจตื่นขึ้นมากลางคัน ที่ผมรู้ว่าถ้วยชาผมเริ่มขี้เกียจก็เนื่องจากไอร้อนที่เคลื่อนไหวคล้ายอำลาได้ซ่อนตัวไปในความว่างเปล่าของอากาศจนผมไม่อาจมองเห็นในเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที อากาศภายนอกกำลังปรับอากาศภายในห้องพักของผมเย็นลง ผมยังคงพิมพ์คำต่อไปไม่หยุดด้วยเนื่องจากสมองกำลังร้อยกรองดนตรีกานท์อย่างโลดแล่นในโลกแห่งจินตนาการ

	เรื่องที่กำลังร้อยกรองอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ผ่านไปไม่นาน ผมจำได้ว่าไม่นาน เพราะเพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ที่ผมจำได้ว่าผ่านมานานหรือไม่นานนั้นอาจเป็นเพราะว่าผมจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดีกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านนานมาแล้วเป็นปี ๆ  ใช่...คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...เรื่องนี้ผมขอผมยืนยัน

	เสียงเพลงที่คลออยู่ในอากาศคล้ายจะรบกวนความคิด แต่เปล่าเลย มันทำหน้าที่รบกวนความเงียบงันภายในห้องพักของผมได้เป็นอย่างดี บางทีผมก็คิดว่าเพลงที่ผมเปิดอยู่นั้นทำหน้าที่มากกว่าการรบกวนความเงียบ อย่างเป็นต้นว่า เสียงเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวาหรือไม่ หรืออาจจะมีชีวาหรือไม่มีชีวิต หรืออาจจะเป็นทั้งสอง ผมไม่แน่ใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะเป็นการสร้างสติสตังให้ผมได้ว่าผมกำลังมีชีวิต แทนการลืมไปว่าตัวเองกำลังหายใจในบางครั้งบางครา แต่บางเวลาผมก็เผลอลืมไปว่ากำลังฟังเพลงที่รบกวนอากาศ จนต้องแอบฮัมเพลงคลอเบา ๆ เพื่อชื่นชมน้ำเสียงตนเองเล็กน้อย เพื่อเป็นการบอกตัวเองว่ากำลังมีชีวิตแทนการเตือนตัวเองว่ากำลังหายใจ หรือฟังเพลง

	ก็บางครั้งผมไม่อาจรู้ว่ากำลังตื่นหรือว่าฝันไป หากจะให้ผมหยิกตัวเองเพื่อพิสูจน์ ผมก็อยากจะบอกว่าผมไม่ใช่พวกมาโซคิส(พวกที่ชอบความเจ็บปวด ตรงกันข้ามกับ ซาดิส คือ พวกที่ชอบเห็นหรือทำคนอื่นเจ็บ) ซะด้วยสิ และอีกอย่างถ้าผมกำลังหลับและฝันอยู่จริง ๆ ผมคงไม่อยากสะดุ้งตื่นขึ้นมาขณะแต่งกลอนอยู่ในฝันหรอกน่า บ่อยครั้งไปที่ผมฝันและแอบขโมยความคิดของตัวเองในฝันมาแต่งเป็นเรื่องราว (รู้แล้วอย่าแอบหลับเพื่อไปฝันบอกผมในความฝันเชียวนะ ไม่งั้นจะไม่เล่าต่ออีก...ความลับใหญ่เชียวหละ) 

	เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าผมกำลังตื่นหรือว่าฝัน เพราะบางทีเสียงเพลงที่กำลังคลอเบา ๆ อาจจะเป็นเพลงจากวิทยุที่ผมลืมปิดก่อนนอนก็เป็นได้ ซึ่งก็บ่อยเสียด้วยสิ ดังนั้นแล้ว ผมขอแอบซุ่มอยู่เงียบ ๆ ในกรอบความคิดที่ติดอยู่ระหว่างความฝันและการตื่นเพื่อขอดูบทกลอนที่สมองของผมกำลังกรองร้อยอยู่อย่างนี้ต่อไปดีกว่า

 
	...พวกคุณสัญญานะว่าจะไม่ส่งเสียงดัง เพราะตอนนี้ผมกำลังต้องการสมาธิ เพื่อจะได้แต่งกลอนอยู่ เอ๊ะ...!!หรือเพื่อขโมยความคิดของตัวเองในฝันอยู่ เอาเถอะยังไงก็ช่าง ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจะตื่นมาพร้อมกับอารมณ์เคือง ๆ ที่ยังขโมยร้อยกรองบทนั้นไม่สำเร็จ ที่สำคัญที่สุดคุณอาจจะอดอ่านร้อยกรองฝีมือผมในวันต่อไปก็ได้... ผมเตือนคุณแล้วนะ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีปกรณ์