17 มกราคม 2549 03:39 น.

"รักย่า" จากหลานคนโต

กวีปกรณ์

อีกไม่กี่ชั่วโมงโรงเรียนก็จะเลิกแล้ว คาบเรียนช่วงบ่ายทำไมช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อขนาดนี้ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดึงตัวเองให้ออกไปจากเรื่องเซ็ง ๆ รถวิ่งสัญจรไปมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้วผมคิดว่าควรจะบอกว่า รถที่สัญจรไปมาน้อยมาก มากกว่า ผมพยายามมองออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะเอาจิตใจเวลานี้ทิ้งไปกับริ้วคลื่นของทะเลบางแสน และคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผมและเพื่อน ๆ ได้แอบหนีเรียนเพื่อร่วมเล่นน้ำทะเลด้วยกัน 

                      เฮ้ย..!! มึงนั่งมองอะไรอยู่ว่ะ โทรศัพท์สั่นอยู่นานแล้วไม่รับสายหรอ เพื่อนสนิทซึ่งนั่งข้าง ๆ ผมรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือจึงกระซิบเรียก และหยิบขึ้นมาส่งให้
                      เออ ขอบใจ ผมตอบไปเพียงสั้น ๆ หลังจากนั้นก็มองหน้าจอดูว่าเจ้าของหมายเลขที่เรียกเข้ามานั้นเป็นใครกัน

                      น่าแปลก...ไม่ใช่เพราะหมายเลขนั้นไม่คุ้นตา หรือมีใครโทรผิดเข้ามา แต่หมายเลขที่แสดงอยู่นั้นกลับเป็นหมายเลขโทรศัพท์บ้านของผมเอง ดังนั้นแล้วจะไม่รับได้อย่างไรเพราะโทรเข้ามาในขณะเรียนอยู่แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ ๆ 
                      หรือพ่อกับแม่จะโทรมาบอกว่าจะไม่อยู่บ้านในวันนี้และพรุ่งนี้ ยังไงดูแลน้องแทนพ่อกับแม่ด้วย ผมคิดในใจว่าต้องเป็นคำพูดนี้แน่ ๆ งานของพ่อกับแม่สำคัญเสมอ ผมเจออย่างนี้จนชินแล้วแหละแต่ปีนี้จะงอแงเป็นเด็กบ้างอยากรู้เหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไร 

เมื่อผมกดปุ่มรับสาย เสียงของแม่บอกอาการไม่สู้ดีนัก 
มีเรื่องอะไรจะแย่ไปกว่าการลืมวันเกิดของลูกชายอีกหล่ะ-- ผมคิดในใจ
                     ได้ยินไหมลูก เรียนอยู่ใช่ไหม ถ้าแม่จะขอให้กลับมาจากโรงเรียนตอนนี้เลยจะได้ไหม จะกลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ ถ้าขอลาอาจารย์ออกมาตอนนี้ แม่ถามด้วยเสียงสั่นเครือ 
                      มีเรื่องอะไร ทำไมต้องให้กลับด้วย ถ้าออกจากโรงเรียนตอนนี้ก็ถึงบ้านเกือบ ๆ 5 โมง ใครเป็นอะไรหรือเปล่า ผมถามไปด้วยอาการร้อนรนใจ
                      ลูกฟังนะ ย่าเสียแล้ว ตอนนี้อยู่วัดสัตหีบทุก ๆ คนกำลังไป ว่าจะรอให้เรากลับถึงบ้านแต่คงไม่ทัน ยังไงก็นั่งรถตามไปถึงสัตหีบเลยแล้วกัน มากราบย่าก่อน รีบ ๆ นะลูกกลับมาให้ทัน แม่ตอบ
พอสิ้นเสียงของแม่โลกทั้งโลกเหมือนกับมืดไปสนิท รู้สึกชาไปทั่วทั้งหน้า 
                      ครับจะรีบตามไป ผมตอบได้แค่นั้น แล้วแม่ก็วางสายไป

                       เมื่อดำเนินเรื่องขออนุญาตออกจากบริเวณโรงเรียนก่อนกำหนดได้ ผมรีบเดินทางไปวัดอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลาก่อนที่สับปะเหร่อจะเอาร่างอันไร้วิญญาณของย่าใส่โลง 

                       การเดินทางจากบางแสนถึงสัตหีบก็ใช้เวลานานประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ทำให้ผมได้คิดถึงและทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ทำร่วมกับย่ามากมาย น้ำตาในตอนนั้นไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไหลออกมาจากความคิดถึงหรือเสียใจ ผมคิดว่ามันคงปะปนกันไป 

                        ผมจำได้ ย่า เคยพูดและสอนผมในบางเรื่องแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ผูกพันกันพอสมควร แม้ผมจะจำเรื่องราวของได้ไม่ครบนักหรอก ใช่เรื่องราวที่ผ่านมาหลายวัน หลายเดือน หลายปีจะเหมือนกับเรื่องที่ผ่านไปเมื่อวานนี้ได้อย่างไร 

                        ย่าเป็นคนสนุกร่าเริงและบ้าจี้ด้วย ใคร ๆ ก็ชอบเอานิ้วแหย่เอวของย่าแล้วพูดในสิ่งท่อยากให้ย่าทำหรือพูด เหมือนดังต้องมนต์ เมื่อย่าถูกจี้เอวย่าก็จะทำตามคำพูดเหล่านั้น ย่ารักหลาน ๆ ทุกคน ย่าใจดีมาก ๆ กับหลาน ๆ ย่าชอบเล่นกับหลาน บางเรื่องย่าดูเหมือนจะไม่จริงจังอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนในครอบครัวแล้วย่าจะจริงจังเสมอ ทุก ๆ คนรักย่า 
                        พอผมเริ่มโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ย่ามักจะพูดและสอนอะไรเสมอ บางทีก็ติดตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ให้เครียด จนผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ทุกสิ่งที่ย่าพูดบอกกลับเป็นจริงเสมอ ย่าสอนให้ผมรู้จักชีวิตในมุมมองของย่า ย่าเอ็นดูผมถ้าจะให้บอกว่ามากหรือน้อยคงตอบไม่ได้ ด้วยความที่ผมเป็นพี่คนโตในบรรดาลูกพี่ลูกน้องที่เป็นหลานของย่า ย่าก็จะย้ำและคาดหวังว่าผมจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ ได้ 

                        ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วย่าเป็นผู้หญิงเก่งและจริงจังกับชีวิตมามากเหมือนกัน ก็ตอนที่ย่าป่วยต้องนอนโรงพยาบาล ย่าเหนื่อยและทำงานหนักที่เกาะเสม็ด ย่าเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความดันในเลือดสูง หลาน ๆ ทุกคนไปเยี่ยมร่างอันไร้สติของย่า ผมรู้สึกได้ว่าย่าเจ็บ ย่าเจ็บมาก ๆ ผมไม่อยากให้ย่าเป็นอย่างนี้เลย ย่านอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแค่สัปดาห์กว่า ๆ เอง ไม่น่าเลย...

                         ผมแปลกใจกับตัวเองมากทั้ง ๆ ที่ใครต่อใครก็ตายจากไปจากชีวิตของผมก็หลายคนแต่ความรู้สึกกับต่างกัน ผมยอมรับเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่เสียใจกับมันมาก แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแย่มากมายขนาดนี้กับเรื่องของย่า ผมตอบตัวเองไม่ได้

                          เสียงของกระเป๋ารถโดยสารบอกว่าใกล้ถึงสัตหีบแล้ว ผมเตรียมตัวเพื่อจะลงรถ พอก้าวลงหน้าวัดสัตหีบ ผมเร่งฝีก้าวให้ไวขึ้นเพื่อไปให้ทันกราบร่างของย่าอันเป็นที่รักของผม ผมคิดในใจแล้วว่าผมเตรียมตัวและทำใจได้พอสมควรแล้วระหว่างการเดินทาง แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น 
เมื่อผมวางกระเป๋าและไหว้บรรดาญาติพี่น้อง ก่อนเข้าไปยังศาลาฌาปนสถาน หัวใจที่คิดว่าพร้อมรับการจากไปของย่ากลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นทนได้ ผมรดน้ำที่มือของย่าให้ช้าและช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือจับมือย่าอย่างถนอมเหมือนไม่ต้องการให้ย่าเจ็บปวดอีก หลังจากนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าของย่า ผู้มีพระคุณคนนี้ 

                         ในใจเหมือนจะแตกสลาย คิดอย่างเห็นว่าทำไมไม่เป็นคนอื่น ทำไมต้องพรากชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของเราจากไปด้วย ผมและบรรดาญาติ ๆ ต่างร้องไห้ระงมดังไปทั่วศาลาแห่งนี้ 
ตอนที่ย่าอยู่ไม่เคยรู้เลยว่ารักย่ามากแค่ไหน ตอนที่ย่าอยู่แทบไม่เคยบอกรักย่าเลย ตอนนี้กลับเพิ่งมารู้ว่าสายก็ต่อเมื่อย่าจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมรักย่า ผมรักย่าเหลือเกิน ย่าได้ให้อะไรต่ออะไรกับชีวิตผมมากมาย แม้เป็นเวลาอันสั้นที่เราอยู่ด้วยกันแต่หลาย ๆ เรื่องผมกลับจำฝังไว้จนแน่น แม้ผมจะจำไม่ได้ว่าย่าเคยยิ้มแบบไหน แต่ผมก็ยังพอจะจำอ้อมกอดย่าไว้ได้อย่างไม่มีวันเลือน 

                         จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 5 ปีแล้วแต่พอผมทบทวนเรื่องราวของย่าก็กลับทำให้น้ำตาผมซึมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะบอกให้พ่อกับแม่พาย่ามาอยู่ด้วยกัน ไม่ให้ย่าทำงานหนัก แต่ยิ่งคิดไปก็ยิ่งเสียใจ เพราะผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ย่าเสียเช่นเดียวกันว่า พ่อกับแม่กำลังวางแผนไปรับย่ามาอยู่ด้วยก่อนหน้านั้นเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็สายไป ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียงอัฐิและรูปของย่าเท่านั้นที่เรานำมาไว้เพื่อระลึกถึง

                        หากย่ายังได้ยินและสัมผัสได้อยู่ไม่ว่า ณ สถานที่ไหน หรือภพใด ผมอยากบอกว่า "ผมรักย่าเสมอ" จากหลานคนโต				
16 มกราคม 2549 08:33 น.

งานวิจารณ์ กวีนิพนธ์ เรื่อง "คำถามแห่งชีวิต" (ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ)

กวีปกรณ์

ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ

วันก่อน งดงามดั่งความฝัน
วันหนึ่ง งงงันกับคำถาม
บางสิ่ง แสวงหาค่านิยาม
บางอย่าง เรามองข้ามผ่านเลยไป

บางวัน เราพอใจในคำตอบ
บางสิ่ง เรามอบความรักให้
บางขณะ สับสนเราจนใจ
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์

วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้องหลัง
บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                         จากบทกวีข้างต้น เราสามารถวิเคราะห์และวิจารณ์งานชิ้นนี้ได้หลายประเด็น ทั้ง (๑) การใช้คำ, ความหมาย และน้ำเสียง (๒) การลำดับเนื้อความ (๓) การใช้ภาพพจน์ และฉาก ตามลำดับแต่โดยยึดโยงความสัมพันธ์ของแต่ละส่วนเข้าไว้ด้วยกันเพราะไม่ต้องการให้เสียความ ขาดความเข้าใจในแต่ละส่วนของเนื้อหาและความไพเราะไปโดยปริยาย จากการแยกการวิเคราะห์และวิจารณ์บทกวีชิ้นนี้เป็นส่วน ๆ ไป

ประเด็นแรก คำ, ความหมายและน้ำเสียง
 
                         จากการเริ่มต้นอ่าน บทประพันธ์ชิ้นนี้ จะพบว่า มีลักษณะของการใช้คำที่เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่ ทั้งเรื่อง เวลา ปัญหา คำถาม คำตอบ ความรัก ความพึงใจ ความสมประสงค์และไม่สมประสงค์  ในสองบทแรก ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาต่อผู้อ่านอย่างมากทีเดียวว่า อะไร คือ คำถามแห่งชีวิต นั้น และทำไม เราต้องคิดต้องหาคำตอบให้กับมัน ดังนั้นอารมณ์ของผู้อ่านจึงรู้สึกร่วมไปด้วย จากทุกถ้อยคำที่เรียงร้อยในบทกวีชิ้นนี้และสำคัญที่สุด  คือ  ชื่อของบทกวีชิ้นนี้ ผู้แต่งได้ใช้ชื่อเรื่องในการตีกรอบความคิดของเรื่องไว้และทั้งก่อให้เกิดเป็นคำถามตามมาอีกด้วย ว่าอะไรคือคำถามแห่งชีวิต 	
ดังนั้น ชื่อเรื่องจึง มีส่วนสำคัญที่สุดในการตีกรอบความคิดของผู้อ่านบทกวีชิ้นนี้ ไม่ให้หลงใหลงุนงง อันเกิดจากพื้นฐานทางด้านทักษะการอ่าน หรือความเข้าใจที่ต่างกัน

                         และไม่ใช่จากการที่กวีเลือกใช้คำและความหมายในสองบทแรกซึ่งมีความเป็นนามธรรมส่วนมากแล้ว แต่การสรรคำ อย่างเช่น วันก่อน... วันหนึ่ง... บางสิ่ง... บางอย่าง... นำหน้าในแต่ละบาทของบทแรก บางวัน... บางสิ่ง... บางขณะ... ในสามบาทแรกของบทต่อมา และ วันหนึ่ง... บางคำตอบ... บางคำถาม... นำหน้าในบาทที่ ๑, ๓ และ ๔ ของบทสุดท้าย ดังจะเห็นได้จาก

วันก่อน...
วันหนึ่ง...
บางสิ่ง...
บางอย่าง...

บางวัน...
บางสิ่ง...
บางขณะ...
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์

วันหนึ่ง...
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
บางคำตอบ...
บางคำถาม...                ...


                    จากที่ยกมาจะสังเกตได้สองประเด็นรองลงมาคือ ในบทประพันธ์ชิ้นนี้ กวีมิได้ใช้คำที่แสดงถึงคำถามที่พยายามหาคำตอบ แต่อย่างใด แต่ด้วยคำที่ใช้กลับสร้างคำถามขึ้นมาให้แก่ผู้อ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะเห็นได้จาก คำว่า วันก่อน... วันหนึ่ง... บางขณะ... บางสิ่ง... บางอย่าง... ไม่มีคำใดเลยที่มีนัยแสดงถึงคำถาม แต่กวีกลับสามารถเล่นคำเหล่านี้จนกลายเป็นคำที่มีความหมายออกไปได้ถึงสองนัย คือ 
                     ๑. เพียงคำที่ใช้เพื่อแสดงถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  การที่กวีเลือกใช้คำเหล่านี้เพื่อแสดงนัยของเวลาที่ไม่แน่นอนหรือไม่สามารถกำหนดได้นั้น อาจเกิดด้วยสาเหตุสำคัญสองประการ คือ
- ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม อันเนื่องจากเวลาของแต่ละช่วงชีวิตของแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน ยาวบ้าง สั้นบ้าง ช่วงเวลาที่พบหรือเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตนั้นไม่ได้ตรงกัน หรือเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาจจะเกิดขึ้นไล่เลี่ยกันบ้างแต่ก็ไม่สามารถกำหนดขึ้นได้

                     - ประการที่สอง เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านค้นหา ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการไม่รู้จบของมิติแห่งเวลา ซึ่งไม่สามารถเจาะจงลงไปได้อย่าง เนื่องจากความเป็นจริง วันหนึ่งในวันนี้ อาจจะไม่ใช่วันนี้เมื่อพรุ่งนี้มาถึง แต่จะเป็นเพียงอดีตไป หรือ บางสิ่ง บางอย่าง อาจจะไม่ใช่เรื่อง ๆ เดียว หรือสิ่ง ๆ เดียวที่จะเป็นตัวกระตุ้นหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราค้นหาคำตอบหรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามแห่งชีวิต 
และเป็นการตั้งคำถามให้แก่ผู้อ่านได้อย่างดี ดังจะกล่าวต่อไปในนัยที่สอง

                      และ ๒. เพื่อสื่อให้เข้าใจและค้นหาว่าช่วงเวลานั้น ๆ คือเวลาใด หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น คือ สิ่งใด  ด้วยบริบทที่อยู่รายล้อม กวีใช้เพียงคำว่า คำถาม แสวงหา คำตอบ ค่านิยาม ดังที่ปรากฏในทุก ๆ บทนั้น เป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านได้เกิดความสนใจ รู้สึกร่วม และต้องการที่จะทราบว่า คำถาม และคำตอบ แห่งชีวิตนั้น คืออะไร

                      ทางด้านน้ำเสียงซึ่งปรากฏอยู่ในบทกวีชิ้นนี้ กวีเลือกใช้คำทั้งที่สามารถที่จะสื่อความให้ผู้อ่านได้รับรู้ และสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย ดังจะเห็นได้จาก การทิ้งช่วงจังหวะของคำ ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดที่สุด ในบทที่ ๓ สองบาทสุดท้าย 
คือ 	...
	  ...
                       บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
                       บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                       การทิ้งช่วงจังหวะของคำเป็นการเน้นน้ำหนักของน้ำเสียง และความหมายให้ชัดเจนขึ้น ก่อให้เกิดการสะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านให้คล้อยตาม และการใช้คำและความหมายซึ่งสอดคล้องกันและกัน วางเรียงร้อยกรองต่อ ๆ กัน ยิ่งเป็นการเร้าอารมณ์ให้บทกวีชิ้นนี้มีความเด่นชัดทางด้านการสะเทือนอารมณ์ของผู้อ่านได้มากยิ่งขึ้นไป

ประเด็นต่อมา การลำดับความ
	การลำดับความนั้น จึงขอแยกออกเป็นสองประเด็นซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันเลย คือ 

การลำดับความเป็นนามธรรมและรูปธรรม และการลำดับความหมายของแต่ละบท
	
การลำดับความจากนามธรรมเป็นรูปธรรม
                      ดังที่กล่าวมาในประเด็นแรกคือ คำ, ความหมายและน้ำเสียง ว่า บทกวีชิ้นนี้เป็นการใช้นามธรรมเสียส่วนมาก หากเนื้อหาทั้งหมดนั้นจะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ตลอดเวลา อาจเป็นไปได้ว่า งานชิ้นนี้อาจสร้างความงุนงงให้แก่ผู้อ่านหลายคนเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่กวีใช้ คำที่เป็นรูปธรรม มาเสริมและสร้างภาพพจน์เปรียบเทียบให้เห็นเป็นภาพขึ้น จึงเป็นการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย 
	
ส่วนประการต่อมาการลำดับความหมายของแต่ละบท
	
                     หากพินิจให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า แต่ละบาทของบทกลอนนั้น ลำดับความขัดแย้งในแต่ละบทไว้ต่างกัน จากบทแรก 

วันก่อน งดงามดั่งความฝัน  
วันหนึ่ง งงงันกับคำถาม
บางสิ่ง แสวงหาค่านิยาม
บางอย่าง เรามองข้ามผ่านเลยไป 

	จะพบว่า บาทที่หนึ่งของบท มีความหมายไปในเชิงบวก หรือแง่ดี ทำให้เห็นถึงภาพของความงดงามแห่งชีวิต ต่อมา บาทที่สอง กลับมาความหมายไปในเชิงลบ ซึ่งขัดแย้งกับบาทแรกของบท และลำดับต่อมาในบาทที่ สามและสี่ ก็มีการลำดับ ความหมายในเชิงบวก ซึ่งก็คือการพยายามค้นหาคำตอบ ความหมายให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต แต่บาทที่สี่กลับมีความหมายเชิงลบไปซึ่งคือมองข้ามและละเลยหรือละทิ้งความพยายามแสวงหาคำตอบซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งก็ได้
	และในบทที่ สองและสาม กลับมีลักษณะการลำดับความซึ่งแตกต่างออกไปจากบทแรก และบทที่สามซึ่งเป็นบทสุดท้ายกลับพลิกผันแตกต่างไปจากบทที่หนึ่งและสองขึ้นไปอีก ดังนี้

บางวัน เราพอใจในคำตอบ
บางสิ่ง เรามองความรักให้
บางขณะ สับสนเราจนใจ
เกิดคำถามใหม่ในภวังค์ (บทที่สอง)

วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพ่ง
ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม (บทที่สาม)

	ในบทที่สองนั้นมีการลำดับความซึ่งต่างไปจากบทแรกเพียงเล็กน้อย คือ เป็นการซ้อนความหมายเชิงบวก ซ้ำกันสองครั้ง ในบาทที่ ๑ และ ๒ ของบท และซ้อนความหมายในเชิงลบในบาทที่ ๓ และ ๔  คาดว่าในการลำดับความซึ่งแตกต่างออกไปนั้น สาเหตุเนื่องมาจากการต้องการเน้นย้ำให้บทกวีชิ้นมีน้ำหนักมากขึ้นทั้งด้านการดึงอารมณ์ และการสื่อนัยของความสับสน ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญอันจะก่อให้เกิดคำถามในบทกวี

	ส่วนในบทที่สามบทสุดท้ายนั้น เป็นบทที่กล่าวถึงความเป็นรูปธรรมมากกว่าส่วนอื่น ๆ ได้ ลำดับความไว้เพื่อให้เห็นความสับสน ความสิ้นหวัง อันเป็นเชิงลบให้หนักขึ้นไปอีกถึงสามบาทแรกของบท และกลับปิดท้ายด้วย ความหมายในเชิงบวก ในบาทสุดท้ายของบท ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากความต้องการของกวีที่ไม่ต้องการให้คำถามแห่งชีวิตนั้นกลายเป็นสิ่งที่แย่เสมอไป และอาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านซึ่งกำลังสะเทือนอารมณ์ไปกับสามบาทแรกของวรรคให้กลับมีกำลังใจและต้องการค้นหาคำตอบของคำถามต่อไป 

ประเด็นสำคัญต่อมา การใช้ภาพพจน์
	จากเนื้อความของงานชิ้นนี้ดังที่กล่าวมาแล้วในหลาย ๆ ประเด็นว่า ในสองบทแรกเป็นการใช้นามธรรมเสียส่วนมาก การนำส่วนที่เป็นรูปธรรมมาสร้างภาพและอธิบายความให้เห็นชัดเจนขึ้นจึงถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่องานชิ้นนี้พอสมควร เพราะหากขาดบทที่สามไป อาจจะทำให้งานเขียนชิ้นนี้ขาดสีสันไปได้เลยทีเดียว เพราะการใช้ภาพพจน์ในงานเขียนชิ้นนี้ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกวีอย่างมากในการเลือกใช้ สัญลักษณ์ การอุปมา และที่สำคัญมีนัยของการใช้  อุปลักษณ์ไว้ด้วย
	ในประเด็นนี้จะกล่าวถึงบทที่สามเป็นหลักซึ่งมีส่วนที่ประกอบไปด้วยสิ่งอันเป็นรูปธรรมเพียงบทเดียว ซึ่งกวีใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในบทที่ ๑ และ ๒ 

บทที่ ๓ 	วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง
    	 ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง
                      บางคำตอบ ใจสลด หมดพลัง
                      บางคำถาม ปลุกความหวัง สะพรั่งงาม

                       จากบทที่ ๑ และ ๒ ที่กล่าวถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง, สิ่งใดสิ่งหนึ่ง, คำถาม และคำตอบ สิ่งใดกันเล่าที่กวีใช้เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นเป็นภาพอันจะปรากฏในจินตนาการของผู้อ่าน เมื่อลองพินิจพิเคราะห์ดูให้ดีในบทที่สาม นั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นนามธรรมอันปรากฏในสองบทแรกได้ถูกสร้างเป็นภาพขึ้นมาจาก การเลือกใช้ ภาพพจน์ ของกวี ดังนี้

                      ๑.) วันหนึ่ง ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง ใครกันที่ยืนเคว้งคว้าง ณ ทางแพร่ง ผู้อ่านหลายต่อหลายคนคงจะตอบได้ เพราะเมื่อคิดให้ดีจะพบว่า นี่คือการวรรค และแบ่งช่วงเอาไว้นอกจากจะเพื่อจังหวะแล้ว แต่ยังเป็นเทคนิคของผู้แต่งที่รู้จักเว้นที่ว่างไว้ เพื่อเล่นรูปแบบการประพันธ์และการดึงผู้อ่านให้มีส่วนร่วมได้อย่างแยบยล
ภาพที่ปรากฏในบาทแรกของบทที่สามนี้ คือ ผู้อ่าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคซึ่งกวีได้ร้อยกรองลงสู่บทกวีชิ้นนี้ เป็นการใช้อุปลักษณ์ให้เกิดขึ้นในใจของผู้อ่านโดยไม่ทันที่จะคาดคิด

                       ๒.) ...ณ ทางแพร่ง ทางแพร่ง ใช่แล้ว ภาพปรากฏในมโนสำนึกของผู้อ่านนั้น ย่อมเกิดขึ้น ทางแพร่ง ก็คือ ทางแยกธรรมดา แต่โดยนัยของทางแพร่งในบทกวีชิ้นนี้แล้ว ทางแพร่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงทางแยกธรรมดา ๆ แต่ กลับการเป็นสัญลักษณ์ของความจำเป็นที่จะต้องเลือก การค้นหาคำตอบ และคำถามที่เกิดขึ้นเป็นนามธรรมในส่วนต้นของร้อยกรองสองบทแรก เป็นการใช้สัญลักษณ์ที่ครอบคลุมไปในทุก ๆ ส่วน อย่างที่กล่าวไว้ ไม่ว่าจะเป็น คำถาม การแสวงหาคำตอบ 
                      และอีกนัยหนึ่ง การที่กวีเลือกใช้ทางแพร่งนั้น ก็เพื่อพยายามสร้างภาพและอธิบายความว่า ชีวิตคือการเดินทาง ด้วยนัยหนึ่ง และบนเส้นทางที่เรากำลังก้าวเดินนั้นอาจมีหลายสิ่งซึ่งเราจะได้ค้นพบและเจอ อาจเป็นคำตอบให้กับชีวิต หรือก่อให้เกิดคำถามใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ ก็เป็นได้

                      ๓.) ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้อหลัง ตะวัน จินตนาการที่เกิดขึ้นของผู้อ่านย่อมไม่แตกต่างไปจากกันเท่าไหร่ แต่สำคัญที่ว่าจะเข้าใจแค่ไหนว่า ตะวัน อันปรากฏเป็นสัญลักษณ์ นี้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการเป็นแค่เพียง วัตถุทรงกลมใหญ่ ซึ่งร้อนจัดจนเป็นไอและก๊าซ มีความร้อนและแสงสว่าง เกิดขึ้นภายใน ใจกลางแล้วถ่ายทอดออกมาสู่พื้นผิวและแผ่กระจายออกสู่ที่ว่างโดยรอบ (สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม ๑) หรือเป็น สัญลักษณ์แห่งการมีชีวิต การเริ่มต้น ความสว่างทางปัญญา การแก้ไขและคลี่คลายปัญหา แต่แท้จริงแล้วกวีกลับใช้ตะวันในการสร้างอุปลักษณ์ ขึ้นมา คือ การแทนที่ของ คำว่า บางวัน... บางขณะ... วันหนึ่ง... วันก่อน... เพราะเวลาการโคจรของโลกนั้นทำให้ตะวันเป็นตัวแทนของการอธิบายและสร้างความเป็นรูปธรรมให้กับนามธรรมในเรื่องมิติของเวลาขึ้นมา นอกจากนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงปัญญาอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกด้วย
                       
                       ๔.) ตะวัน สาดแสง อยู่เบื้องหลัง อาจเกิดคำถามว่าทำไมต้องสาดแสงอยู่เบื้องหลัง ในเมื่อสัญลักษณ์แห่งความสว่างทางปัญญา และการคลี่คลายปัญหา ปรากฏอยู่แล้ว นี่คือประเด็นสำคัญและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของการเลือกใช้ภาพพจน์อันจะแจ้งให้ผู้อ่านได้เข้าใจทั่วถึง 	เมื่อทำการพินิจให้ถี่ถ้วนจะพบว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่จะมาแทนความ สับสน ความไม่รู้ ความมืดบอดทางปัญญา ได้ นามธรรมอย่างหนึ่งที่กวีไม่ได้กล่าวถึง ดังนั้นเมื่อเรา สร้างจินตภาพให้ปรากฏได้แล้ว เมื่อตะวัน ทอแสงขึ้นสู่น่านฟ้าย่อมแสดงว่า ความสว่างกำลังปรากฏขึ้นมาในใจของเราด้วย และในความเป็นจริงความสว่าง ย่อมก่อให้เกิด เงา เมื่อตกกระทบสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่โปร่งใสและโปร่งแสง ดังนั้น คำว่า สาดแสง อยู่เบื้องหลัง จึงเป็นการอธิบายให้ทราบได้ว่า  เงา ของเรานั้น (ซึ่งก็คือ ผู้อ่าน) กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว เงา อันเป็นอุปลักษณ์ซึ่งแสดงให้เห็นความมืดบอดทางปัญญา การไม่สามารถตีความหรือหาค่านิยามใดให้กับคำถามหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ หรือแม้กระทั่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสับสนอันจากการที่เราไม่สามารถเลือกทางเดินในทางใดหรือทางหนึ่งได้
	
	ส่วนในด้านแนวคิดสำคัญนั้นกระผมขอไม่กล่าวหรือตีความประการใด แต่ก็แอบหวังไว้ในใจว่าทุกคนจะเข้าใจในบทกวีชิ้นนี้ได้อย่างลึกซึ้ง  จากบทวิจารณ์ชิ้นนี้ซึ่งกระผมได้ตั้งใจและพยายามเรียบเรียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจในทุกส่วนของบทกวีชิ้นนี้  และเห็นคุณค่าของบทกวีชิ้นอย่างถ่องแท้เช่นเดียวกัน

		ขอขอบพระคุณทุกผู้ที่กรุณาอ่านงานวิจารณ์ชิ้นนี้
								กวีปกรณ์  ภัทรปกรณ์				
9 มกราคม 2549 03:56 น.

"ที่เดิม"

กวีปกรณ์


                      เสียงประทัดดังลั่น พลุ ดอกไม้ไฟจุดท้องฟ้าให้สว่างไปทั่วในยามราตรีอันยาวนานบนน่านฟ้าเมืองเชียงใหม่ มันเป็นความแปลกตาที่ผมไม่เคยได้พบเจอที่ไหนมาก่อนเลยในเทศกาลลอยกระทง โคมลอยทั่วท้องฟ้า เมื่อมองจากพื้นดินเช่นนี้ คล้ายว่าดาวที่ความสว่างของแสงเดือนกลบไปนั้น ค่อย ๆ ผุดขึ้นจากพื้นดิน พื้นดินที่เรายืนอยู่คนเดียวลำพัง 
	
                      พยายามมองออกไปให้ยังที่อื่น ๆ เพื่อจะไม่ให้คิดเรื่องของตัวเอง มองใคร ๆ ที่เขากำลังสนุกสนาน บนสะพานนวรัฐ ค่อย ๆ ก้าวผ่านฝูงชนที่เนืองแน่น มองไปยังผืนน้ำแม่ปิงที่ปริ่มด้วยน้ำซึ่งหลากมาจากฤดูฝน ผิวน้ำเต็มไปด้วยกระทงน้อยใหญ่อันประดับประดาไปด้วยดอกไม้ ธูป เทียน สิ่งต่าง ๆ ซึ่งแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน กลับทำให้ผืนน้ำสว่างขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่สะท้อนเงาของโคมดาวอันสกาวทั่วฟ้า แต่คล้ายกลับว่ากระทงซึ่งแต่ละคนพากันมาลอยนั้นเป็นดาวบนผืนน้ำ ทำให้แม่ปิงในคืนนี้สวยงามขึ้นกว่าทุกคืนที่เคยเป็น 
	
                      ใครต่อใครต่างพากันมาเพื่อลอยเคราะห์ ลอยโศกและขอขมาเจ้าแม่คงคา เทวีแห่งชีวิต หรือแม้แต่บางใครที่พากันมาลอยเพื่อความสนุกสนาน พบปะและหวังว่าจะเจอคู่รักโดยบังเอิญ จนลืมจุดประสงค์อันแท้จริงของประเพณีนี้ ไป  
	
                       ในมือผมถือเพียงกระทงเล็ก ๆ ซึ่งประดิษฐ์ด้วยตัวของผมเอง หวังจะมาขอขมาเทวีแห่งสายน้ำและลอยทุกข์โศกให้ผ่านพ้นไปจากช่วงชีวิตอันแสนเศร้านี้เสียที ลอยความทรงจำอันโหดร้ายจากความผิดหวังซึ่งครั้งหนึ่งผมได้เริ่มมันขึ้นจากวันนี้ในปีที่แล้ว  เสียงคนอื่น ๆ ต่างครื้นเครง คงมีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังจมอยู่กับกองน้ำตา  ซึ่งยังคงต้องว่ายผ่านฝูงชนให้พ้นไปเพื่อถึงจุดเดิมที่ผมได้พบรักครั้งนั้น สถานที่ทำให้ชีวิตของผมครั้งหนึ่งกลับสวยงามและสดใส คล้ายโคมประทีปซึ่งลอยไปบนแผ่นฟ้าและกระทงที่ผมเคยได้ลอยออกไปบนผืนน้ำคราวก่อนนั้น

                       ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร โศกที่ใครต่อใครพากันทิ้งไปนั้นจะพ้นจากเราไปได้สักเท่าไร  ตั้งแต่วันที่เธอจากไป ผมจึงได้รู้ว่าชีวิตเป็นเรื่องที่เราสามารถเข้าใจได้ไม่ยากหากเราพยายามเข้าใจและยอมรับ  โคมที่ลอยออกไปแม้จะปลิวไปไกลตามแรงของลมแต่สุดท้ายมันก็คงต้องตกลงมาสู่พื้นดินเฉกเช่นตอนที่มันกำลังบินขึ้นไปด้วยแรงแห่งไฟ ความเศร้าโศกของแต่ละคนก็คงเช่นกันมันคงไม่ไปไหนไกลนักหรอก มันแค่ห่างออกไปจนเราชื้นใจในบางครั้ง และบางชั่วขณะแห่งชีวิตมันอาจย้อนกลับมาในยามที่เราไม่รู้และไม่ทันตั้งตัวเหมือนทุก ๆ ครั้ง 
                      
                     ใครเลยจะอยู่กับความสุขได้ตลอดเวลา...มีพบก็ต้องมีวันจากไป...สุดท้ายก็จะเหลือเพียงรอยแห่งความทรงจำ...ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวของเราว่า เราจะจดจำหรือขีดเขียนมันให้หนักและกดลึกลงไปบนดวงใจของเราแค่ไหน
	  นี่คือคำพูดของเธอก่อนจะจากไปเพียงสองวันก่อนจะถึงวันนี้  
                        ตลอดสัปดาห์ที่เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่นานนักเธอจะต้องจากไป ไม่วันนี้ก็วันพรุ่งนี้ แต่อีกไม่กี่วันเท่านั้นก็จะถึงวันครบรอบที่เราได้พบรักกัน ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ผมเฝ้าดูแลและทะนุถนอมเธอ พยายามทำทุกทางให้เธอมีชีวิตอยู่ เธอยิ้มให้ผมทุกครั้งที่เฝ้าเธออยู่ข้างเตียง เธอดูมีความสุขมากกว่าผมเสียอีก คล้ายกับว่าเธอทำใจได้มาตั้งแต่เธอนั้นได้สติจากอุบัติเหตุรถชนในวันนั้น  และจนเมื่อวานนี้เธอได้จากไปทั้ง ๆ ที่ได้เตรียมใจและบอกลากับผมด้วยคำพูดประโยคสุดท้ายนั้น ถึงแม้เธอจะไม่บอกผมว่ารัก แต่ผมก็ทราบดีว่าเธอรักผมแค่ไหน คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ และไม่เสียใจมากจนลืมตัวเอง
	อีกไม่ไกลแล้วทั้ง ๆ ที่ นี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว ฝูงคนก็ยังดูแออัดอยู่บ้าง แต่ก็น้อยลงไปจากเดิมพอสมควร ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดสะพาน  เสียงประทัดยังคงก้องดังอยู่ทั่วทุกหัวระแหง จะมีมากก็เพียงริมฝั่งแม่ปิงทั้งสองข้างนี่แหละ  ดอกไม้ไฟยังคงบานสว่างท้องฟ้า เสียงคนโห่ร้องไปมา โคมลอยประดับฟ้าดั่งแสงดาว 

	ผมยังคงเดินต่อไป...
ถึงแล้วที่แห่งนี้ที่เราได้พบกัน ถึงแล้ว...ใช่ ! มันแปลกที่เสียงคนที่ดูสนุกสนานรื่นเริงกลับตะโกนโหวกเหวกด้วยความตื่นตะหนกตกใจ  และแล้วเสียงนั้นก็ใกล้เข้ามา ๆ  จนเกือบจะถึงตัวผม ....เอี๊ยด...ดด....!! ผมได้ยินเสียงของล้อที่เสียดสีบดขยี้กับพื้นถนน เหมือนพยายามจะหยุดแต่กลับต้านความเร็วของตัวรถไว้ไม่ได้
	ใช่...พอคนเริ่มซาลง ถนนจึงโล่งให้รถสัญจรไปมาได้สะดวกขึ้น แต่ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว พยายามวิ่งฝ่าฝูงชนจนหลาย ๆ คนต้องหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ผมกลับพยายามเร่งฝีท้าวเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายแห่งนั้น โดยไม่ทันคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับผม ร่างผมกระเด็นออกไปด้วยแรงปะทะ ช่างน่าแปลกเหลือเกิน..!! เพราะจุดที่กายอันบอบช้ำของผมนั้นตกลงสู่พื้นบริเวณเดียวกับจุดหมายซึ่งผมกำลังจะไปถึงอีกไม่ไกล 

	เสียงคนกรีดร้องดังไปทั่วด้วยความตกตะลึง จริงอย่างที่เธอเคยบอกกับผมไว้ ใครเลยจะอยู่กับความสุขได้ตลอดเวลา... ผู้คนที่กำลังสนุกสนานกลับหดหู่ใจไปตาม ๆ กัน ร่างของผมนั้นค่อย ๆ หมดสติลงในท่ามกลางความมืดแห่งราตรี น้ำตาของผมไหลออกมา...จนสิ้นลมหายใจ ไม่มีใครรู้หรอกว่ารอยน้ำตานั้นหมายถึงอะไร อาจจะเกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวดหรือจากความเศร้าที่มีในใจ แต่ไม่มีใครรู้...ไม่มีใคร...ไม่มีเลย...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีปกรณ์
Lovings  กวีปกรณ์ เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีปกรณ์