13 ธันวาคม 2547 16:07 น.

นกสีฟ้า

Completely

นกสีฟ้าที่บินเข้ามาอย่างร่าเริงเมื่อคืน ... กลับยืนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ที่ปลายเตียง ... ฉันลุกขึ้นนั่งช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่นกสีฟ้าไม่วางตา ... และฉันก็เห็นว่า มันจ้องกลับมาด้วยดวงตาเล็กๆอันเศร้าสร้อย

"บ้าน่า ... นกเศร้าไม่เป็นหรอก"  ฉันบอกกับตัวเอง

วันคืนผ่านไป ... นกตัวนี้ยังคงอยู่ในห้องฉัน ... อยู่กับฉัน ... ใช่แล้ว นับแต่วันที่ฉันปิดหน้าต่างคราวนั้น ... ฉันก็ไม่ได้เปิดมันอีกเลย ด้วยเพราะฉันอยากยึดให้เจ้านกตัวนี้อยู่กับฉันไปเรื่อยๆ

จากสีฟ้าสดใส ... กลับกลายเป็นสีฟ้าหม่น

เขาไม่ยอมกินลูกไม้ใดๆที่ฉันวางใส่ถาดไว้ให้ ไม่แม้แต่จะจิบน้ำสักอึก ... น้ำที่เคยเต็มถ้วย ค่อยๆระเหยไปในอากาศ

ฉันรู้สึกปวดร้าวใจ ... ถ้าฉันเปิดหน้าต่างนั่น เขาก็คงรีบบินออกไป ... บินหนีฉันไป ... ทั้งที่ฉันเฝ้ามอง ดูแล ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ... แต่เขาก็จะบินหนีฉันไป

สีฟ้าหม่น ... เริ่มกลายเป็นสีเทา

ฉันได้แต่นั่งร้องไห้ สายตาจับจ้องอยู่ที่นกน้อยสีฟ้า ... น้ำตาของฉันไหลริน ก่อนที่ฉันจะยอมรับได้ว่า ... เพราะฉัน ... เขาจึงเป็นแบบนี้ ... เพราะฉัน ... คนเดียว

นกตัวสวย ... ที่ครั้งหนึ่งเคยมีสีฟ้าสด ... บินมาเกาะที่บ่าฉันอย่างอ่อนล้า ... เงยหน้ามองฉัน ก่อนจะกระพือปีกเบาๆ เพื่อซับน้ำตาของฉันที่ไหลรินมาอย่างไม่ขาดสาย

ฉันรู้แล้วว่า ... คืนวันนั้น ... ในแววตาเศร้าสร้อยนั่น ... มีความเศร้าอยู่จริงๆ ... เพียงแต่ฉันไม่ยอมรับรู้ ... ฉันไม่กล้าพอที่จะยอมรับมัน

"ปล่อยฉันออกไปเถอะ"

ฉันหันไปมองหน้าต่าง

"จะขังความรักไว้อีกนานแค่ไหน ... ความรักไม่ครอบครองความรัก ... เธอเองก็น่าจะเข้าใจดี"

ฉันสะอื้นไห้

"ปล่อยให้ความรักโบยบินไป ด้วยใจที่ยังเหลือรักเถิดนะ ... อย่าปล่อยให้ความรักตายลงเลย"

"แต่ฉัน ... รัก ... เธอนะ"

"ฉันรู้ ... ความรักจึงได้บินเข้ามาทักทายเธอไงล่ะ ... แต่ความรักไม่ใช่การกักขัง ... ไม่ใช่การครอบครอง ... ไม่อาจถูกพันธนาการ ... สิ่งเดียวที่พันธนาการความรักไว้ ... คือความเป็นจริง"

น้ำตาของฉันไหลรินมาไม่หยุด

"ความจริง ... ความเป็นจริง ... ที่ตรึงความรักไว้กับที่ ... ที่ย้ำเตือนให้ความรักรู้ว่า ... ความรักคงความเป็นความรักอยู่หรือเปล่า ... เธอเข้าใจใช่ไหม"

"ปล่อยฉันออกไปเถอะนะ ... อย่าปล่อยให้ความรักตายลงเลย ... อย่าให้ห้องๆนี้มืดทึบไปยิ่งกว่านี้ ... เปิดหน้าต่างรับแสงตะวัน ... แสงจันทร์ ... แสงดาว ... เถอะนะ"

ฉันเดินมาถึงเขตแดนของอดีตและปัจจุบัน ... ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในตัวฉัน

"อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองไปมากกว่านี้เลย ... เปิดหน้าต่างเถอะ ... อนาคตรอเธอหลังบานหน้าต่างนั่นมานานแล้ว ออกมาจากภาพฝันวันเก่าๆเถอะนะ ..."

ฉันสะอื้นไห้อีกครั้ง ... นึกถึงภาพวันพรุ่งนี้ ... ที่  "เขา"  จะไม่อยู่เคียงข้างฉันอีกแล้ว

เข็มนาฬิกากำลังเดินไปเรื่อยๆ ... เวลากำลังไหลไปเรื่อยๆ ... มีเพียงฉันที่หยุดนิ่งอยู่กับที่มานานแสนนาน

ขนนกสีเทา ... ค่อยๆตกลงบนพื้นห้อง ... ฉันมองเห็นประกายสีฟ้าสะท้อนยิบยับออกมา

หากประกายสีฟ้านี้เป็นครั้งสุดท้ายเล่า? ...

ฉันลุกไปที่หน้าต่าง มือจับอยู่ที่สลัก ... ขนนกร่วงลงสู่พื้นอีกครั้ง

ฉันสูดหายใจ ดวงตาพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตา ... ก่อนที่จะถอดสลักออก แล้วผลักบานหน้าต่างออกไปสุดแรง

แสงอาทิตย์สาดเข้ามาในห้อง ... ฉันยังสะอื้นไห้ไม่หยุด

"ขอบใจนะ"

นกสีเทากางปีกโบยบินออกไป ... นกสีเทาเลือนหายไปกับแสงอาทิตย์ ... ฉันมองตามความรักของฉันโผบินไปสู่โลกกว้าง

ฉันเม้มปาก พลางก้มลงมองที่หัวไหล่ที่  เขา  เคยเกาะกุม ... ความอบอุ่นนั้นยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ... น้ำตายังคงรินมาไม่ขาดสาย

ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ... เห็นนกสีฟ้าบินอยู่เต็มไปหมด



      "แล้วสักวัน ... ฉันจะกลับมาหา
เธออาจมีน้ำตา ... ในวันนี้
แต่ฉันรู้ ... สักวัน ... จะหายดี
เพียงบาดแผลในวันนี้ ... ยังกรีดใจ

      ปลดปล่อยวันวานเถิด ... นะขวัญเจ้า
อยู่ใต้เงาในห้องเก่ายิ่งหวั่นไหว
ก้าวเถิด ... ก้าวออกมาบ้างเป็นไร
อนาคตยังยาวไกลในเส้นทาง

      พรายน้ำตาพร่างเป็นสายในคืนนี้
สดุดี ... แด่ความรักที่ลาร้าง
รับความจริง ... เปิดทุกสิ่ง ... ที่อำพราง
ไม่อาจสร้างสิ่งสลายให้หวนคืน

      แล้วสักวัน ... ฉันจะกลับมาหา
โปรดยอมรับรอยน้ำตาอย่าทนฝืน
แล้วพรุ่งนี้ ... เธอจะได้ลุกขึ้นยืน
เสียงสะอื้นแทนที่ ... ด้วยรอยยิ้ม 

                                รัก
                              นกสีฟ้า "				
29 ตุลาคม 2547 17:34 น.

ชั้นอาจต่ำต้อยในสายตาแก แต่แกต้องไม่ถูกคิดแบบนี้จากใครๆ

Completely

ชั้นเตือนแกด้วยความรัก

ชั้นพูดด้วยความปรารถนาดีและเป็นห่วง

ชั้นรู้อยู่แล้วว่า ตัวเองไม่ดีพอที่จะสอนหรือเตือนใคร

แต่อย่างน้อยที่สุด ... สิ่งที่ชั้นเตือนแก ก็มาจากแง่มุมที่เหลวแหลกของชีวิตชั้น

และแม้ว่ามันจะแหลกเหลวเพียงใด แต่แกน่าจะจำได้ ... ชั้นพอใจและภูมิใจในสิ่งที่ชั้นเป็น

และชั้นเห็นคุณค่าในสิ่งๆนั้น แม้ว่าแกจะมองว่ามันไร้ค่าและต่ำต้อย

มันอาจเป็นอย่างนั้น ... ชั้นอาจจะไร้ค่า แต่ชั้นก็ไม่อยากให้แกทำตัวไร้ค่าโดยที่แกไม่เคยรู้ตัวในสิ่งที่กำลังทำ

ชั้นเห็น จึงได้พูดออกไป ... ก่อนที่สักวันแกจะเสียใจและนึกสมเพชในสิ่งที่ทำ

ไม่อยากให้แกต้องลิ้มรสความรู้สึกนั้น ... แบบที่ชั้นเคยลิ้มรสมันมาก่อน ... ว่ามันขมขื่นและปวดร้าวมากแค่ไหน

มันน่าเสียใจที่นอกจากแกจะไม่ฟัง

แกยังดูถูกชั้นแบบนั้น

ทำในสิ่งที่ชั้นไม่คิดที่จะทำกับแก

เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม ... ใช่หรือเปล่า?

แกอาจไม่คิดอะไร ... แต่ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เปราะบาง

และบางมาก หากต้องปะทะกับ "เพื่อน"



ชั้นอาจดูไร้ค่าและต่ำต้อยในสายตาของแก ... เพื่อนเอ๋ย

หากชั้นเป็นแบบนั้น ... อย่างน้อย ... ชั้นก็ไม่อยากให้แกต้องมาอยู่ในที่นั่งเดียวกับชั้น

ชั้นจะไม่พูดอะไรอีก ... ขอโทษที่กล้าดีสั่งสอนแก


ขอโทษจริงๆ ... บิ๋ม









น้ำตา 4 หยด ของคนไร้ค่า
มีค่าน้อยกว่าสิ่งที่เธอเห็น
แต่มันมีความหมายต่อสิ่งที่เธอกำลังเป็น
เมื่อความรักมันแฝงเร้นอยู่ภายใน

ไม่อยากให้เธอเป็นเหมือนคนบนโลกนี้
ที่ทวีความว่างเปล่าไร้ความหมาย
ไร้คุณค่าของชีวิตตราบวันตาย
วันสุดท้ายจึงรู้ได้ว่าสายเกิน

อยากให้เธอมีชีวิตที่งดงาม
แม้สักวันเรานั้นต้องห่างเหิน
อยากให้พบเส้นทางดีที่ควรเดิน
เลือกเผชิญแต่สิ่งดีที่ค่าควร










ขอโทษจริงๆว่ะเพื่อน กูจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว
จะจำไว้ว่า กูไม่มีค่าและไม่ดีที่จะสอนอะไรมึงได้เลย


กูจะจำไว้				
19 ตุลาคม 2547 11:03 น.

การกินเจ ... หนึ่งก้าวของการนับถือตนเอง

Completely

กินเจเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต

ครั้งแรกกินเมื่อตอนอยู่ ม.ต้น เป็นการอยากลองแบบเด็กๆ ไม่ทันจะพ้น  3 วันก็เจแตก ...

ตอนนี้ อายุ 20 ขวบปีแล้ว คิดว่าตัวเองน่าจะมี "อะไรสักอย่าง" ที่เพียงพอและเหมาะที่จะเริ่มการกินเจ

เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เดี๋ยวก็เจแตก ... แต่นี่ ผ่านมาราวๆ 5 วันได้แล้ว ... ชั้นยังคงกินเจอยู่ ยังประคองตนตลอดมา

คนที่พูดกลับเจแตกตั้งแต่ 2 วันแรก ... ตลกดี

บอกตามตรงว่าคิดถึง ---  ไก่ย่าง ---  มากๆ กะว่าออกเจเมื่อไหร่ต้องเจอกันแน่

ไม่รู้เหมือนกันว่าบาปไหมที่คิดเช่นนี้

คนหลายคนบอกว่า การกินอาหารจำพวก --- จำลองของแท้ อย่าง ข้าวหมูแดงเจ ลูกชิ้นเจ ไส้กรอกเจ --- เป็นการแสดงออกถึงความไม่บริสุทธิ์ใจต่อการกินเจ เพราะ ถ้าจะกินเจแล้วก็ควรจะตัดกิเลสทั้งหมด ... อาหารพวกนี้เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้รู้ว่า แท้จริงแล้ว จิตใจยังหาความบริสุทธิ์ได้ไม่ ...

เราเพิ่งลองกิน ลูกชิ้นเจ เมื่อวาน ปรากฎว่ารสชาติน่าเกลียดมาก
2 วันก่อน ลองกิน ข้าวหมูแดงเจ ซื้อที่องค์พระปฐมเจดีย์ ... รสชาติเด็ดขาดมาก ไม่น่าเชื่อว่า จะปรุงได้อร่อยขนาดนี้

เราไม่รู้ว่า การกินอาหารเลียนแบบของแท้เป็นบาปไหม ... เราคิดแค่ว่า เราอยากลองอะไรใหม่ๆ และทำให้การกินเจ ไม่ใช่เรื่องซ้ำซากจำเจ

หลายคนอดทนกล้ำกลืนกับการกินเจ ... ฝืนตัวเอง ... อย่างนั้นมากกว่าที่เราคิดว่าเป็นบาป

จำได้ว่าเคยเรียนวิชา พระพุทธศาสนา อจ.สอนว่า พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า การกระทำใดๆที่ทำให้ตนเองประสบกับความทุกข์ ... เป็นบาป

แม้ว่าเป็นทุกข์จากการทำบุญก็ตาม เช่นว่า ไม่มีเงินจะกินข้าว แต่ยังให้ขอทานไป อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็น บุญ เป็นต้น

ถ้ากินเจไม่ได้ กินอย่างไม่มีความสุข ก็ไม่ควรกิน นอกจากจะไม่ได้บุญแล้วยังเป็นทุกข์ซะเปล่า ... เสียสุขภาพจิต

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า ตนเองจะกินเจมาได้ 5 วันแล้ว

มีบ้างเหมือนกันที่นึกระห่ำอยากจะออกเจซะดื้อๆ เพราะเห็นไก่ย่างอยู่บนเตาปิ้งอยู่ ... หอมฉุย

แต่ต้องหักใจไว้ และเตือนตัวเองไว้ว่า เราต้องกินเจให้ได้

อยากจะมีบางสิ่งให้ตนเองได้รู้สึกดี ... ว่าเราก็ทำได้นะ

อยากจะนับถือตัวเอง

ผิดคำพูดตนเองทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในความรู้สึกของเรา

ตั้งใจไว้แล้วล้มเลิกซะดื้อๆ ... อีกหน่อยจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันเล่า

ถือว่า การกินเจ เป็นบททดสอบอย่างหนึ่งของเราก็ว่าได้

ไม่กินเนื้อสัตว์สัก 10 วันจะเป็นไรไป ... ยังมีคนอีกหลายล้านคนในโลกที่ไม่มีโอกาสแม้จะได้กินน้ำซุปต้มกระดูกหมูสักช้อน ...

การกินเจทำให้ระบบขับถ่ายดี และผิวพรรณดี

จะมีข้อเสียตรงที่ กินแล้วอิ่มไม่นานเท่าใดนัก เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจะเริ่มหิวอีก

แต่อย่างไร การกินเจ ก็มีข้อดีมากกว่าข้อเสียแน่นอน

การกินเจจึงได้เป็นธรรมเนียม+ประเพณีปฏิบัติจนมาถึงทุกวันนี้

... ... ...

ชั้นอยากจะนับถือตัวเองที่ชั้น --- ก็ทำได้นะ ---				
6 ตุลาคม 2547 14:53 น.

สิ่งล้ำค่ากับเวลาที่ไม่หวนคืน

Completely

สิ่งใดที่จบสิ้นลงไปแล้ว น้อยครั้งนักที่จะเรียกกลับมาได้อีกครั้ง

น้อยเหลือเกินที่กลับมาแล้วจะเป็นเหมือนเดิม

หากเรานำจิตใจไปผูกพันกับมัน

ทั้งที่มันเป็นเพียงเงาของอดีตเท่านั้น

คนที่เจ็บปวดที่สุด คือ ตัวเอง

ผ่านมาแล้วผ่านไป

เป็นสัจธรรมของสรรพสิ่งในโลก

บางครั้งก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น คือผ่านมาแล้วอยู่ตลอดไป 

นั่นคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด หากสิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกๆวันของเราเป็นวันที่สวยงาม

รักษามันไว้ให้ดี

แต่เมื่อสิ่งใดๆผ่านมาแล้วจากไป

ทำอย่างไร เราก็เรียกมันกลับมาไม่ได้สักที

ตัดใจเสียเถอะ

สิ่งๆนั้นไม่ได้ถือกำเนิดมาเพื่อเป็นสิ่งของเรา 

คิดเสียว่า สิ่งนั้นไม่เหมาะกับเรา

แล้วจะทุกข์น้อยลง

เปรียบดังก้อนหินที่ปาลงไปในน้ำ แล้วเกิดวงของน้ำกระเพื่อมกระจายออกไป

วงน้ำไม่มีวันหวนกลับมายังจุดที่มันถือกำเนิดขึ้น

หมุนเป็นวงออกไปเรื่อยๆจนจบตลิ่ง ... แล้วจางหายไปกับตา

หายไปแล้ว ... เป็นเช่นนั้นเอง 

เปล่าประโยชน์ที่จะคร่ำครวญถึงสิ่งที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

มองไปข้างหน้า

หยิบก้อนหินขึ้นมา แล้วปาออกไป

คุณสามารถทำวงน้ำให้กระเพื่อมกระจายออกไปได้อีกครั้ง

... ... ...

หากมีสิ่งล้ำค่าอยู่ในมือ ก็กำสิ่งนั้นเอาไว้ให้แน่น

ใช้หัวใจอันบริสุทธิ์กระซิบบอกสิ่งนั้นเบาๆ

ว่าเธอมีค่ากับฉันมากสักเพียงไหน

แล้วโอบกอดกัน

... ... ...				
23 สิงหาคม 2547 04:16 น.

ทางเลือก

Completely

"ไปให้พ้น!"  ฉันตะโกนใส่หน้าเขา ก่อนที่จะสะบัดหน้าหนีแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ฉันได้ยินเสียงเขาเดินไป ... เขาไม่พูดอะไรสักคำ ...

ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเสียใจ ... ฉันยังรู้อีกด้วยว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัด ... แต่มันเป็นแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่เขาได้งานเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์

ฉันรู้ว่า เขารักฉัน และฉันก็รู้ยิ่งกว่านั้น ว่าฉันรักเขามากแค่ไหน ... แต่ฉันก็โกรธเป็น และขีดความอดทนฉันหมดลงแล้ววันนี้

... ช่างเขาสิ จะไปไหนก็ไปเถอะ เดี๋ยวยังไง คืนนี้เขาก็ต้องโทรมาขอโทษฉันอีกอยู่ดี ... เขาไม่เคยยอมทะเลาะกับฉันข้ามวันอยู่แล้ว

เชอะ ... ให้รู้ซะบ้างสิ ... งานกับแฟนน่ะ อะไรสำคัญกว่ากัน

... ... ...

ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นๆไหลออกมาจากขมับทั้งสองข้าง และฉันกำลังช็อคสุดขีด

ร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนคือ ร่างของเขา

เขา ... คนที่ฉันรักยิ่งกว่าชีวิต

เขา ... คนที่ฉันเพิ่งตะโกนใส่หน้าให้ "ไปให้พ้น"

ฉันยืนอยู่ตรงนั้น นิ่งอยู่อย่างนั้น และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันกรีดเสียงร้องอย่างโหยหวนปานหัวใจสลายอย่างไม่สนใจใคร ไม่สนว่า ฉันกำลังยืนกลางสยามสแควร์ ไม่สนว่าจะมีใครคิดว่าฉันหลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้าหรือเปล่า

เขาตายแล้ว ... เขา ... ต ... า .. ย


"ไปให้พ้น"

... ... ...


"ทีหลังก็หัดเบี้ยวงานบ้างสิ"  ฉันแกล้งงอนเขานิดหน่อย
"แหม ... คุณก็ ...  ถ้าผมทำอย่างงั้น แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนพาคุณมากินไอติม อร่อยๆ แพงๆ แบบนี้ได้ล่ะ"  เขาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู
"... ไม่รู้ล่ะ ... ถ้าคราวหน้ามาสาย 20 นาทีแบบนี้อีก ฉันโกรธคุณจริงๆด้วยนะ ... ฉันจะไปกินไอติมกับหนุ่มคนอื่นล่ะ!"  เขาหัวเราะเสียงดังลั่น
"ไม่ต้องมาขำเลยนะ อีตาบ้านี่ ... ไม่พูดด้วยแล้ว" 
เขาไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้มก่อนที่จะเอื้อมมือมาโอบไหล่ฉัน ... ฉันหันไปมองเขา ... อีตาบ้านี่ ... ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยนะ

ฉันดีใจจริงๆ ที่เรารักกัน ... และตอนนี้ ...  เขาอยู่กับฉัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟCompletely
Lovings  Completely เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟCompletely
Lovings  Completely เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟCompletely
Lovings  Completely เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงCompletely