8 พฤษภาคม 2555 11:42 น.

สงคราม โรงงาน

กวีบ้านไร่

บรรยากาศการเลี้ยงฉลองที่ยังไม่สิ้นไอแห่งความอาวรณ์ คิดถึงกัน ที่คราเคล้ากับบรรยากาศดุจดังมิตรแท้และครอบครัวเดียวกัน แต่วันนี้ต้องตื่นขึ้นมาพร้อมเรี่ยวแรงที่หายไปกับความเมาเมื่อคืน เสียงนาฬิกาปลุกแทรกขึ้นตรงโซนประสาทหูที่มันมีอำนาจทะลุทะลวงถึงโซนประสาทส่วนกลาง ให้ชายหนุ่มรูปงามดุจดังพระสังฃ์ นอนกลิ้งสามตลบ แล้วตกเตียง ก่อนจะเดินหน้าเสียๆ ลุกจากเตียง แล้วพูดว่า
 ขอบคุณครับคุณเตียง  ดีนะคอไม่หัก
หา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นี่อีก 15 นาทีแปดโมงเช้า นาฬิกาบ้าไมปลุกเอาปานนี้ 
แล้วเขาก็รีบจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวราวกับออกศึกสงคราม เสียงแปรงฟันรัวยังกะยิงปืน เสียงน้ำกระทบร่างเหมือนดังน้ำตกริมทาน ดัง 3-4 ครั้งแล้วก็รีบแต่งตัว
********************
เมื่อผมเดินเข้าไปฝ่ายบุคคลมีสาวสวยน่ารักหุ่นดี ผิวพรรณเหลืองสลับแดงนิดๆ ผมยาว แต่หน้าใสๆ โดยภาพรวมแล้วสวยมาก ในใจคิดขึ้นมาทันใดว่า น่าร๊ากกกกกกก อ่า เราต้องจีบแม่เสือสาวนี่ให้ได้
(นิวัฒน์ พูดว่า)............สวัสดีครับ  ผมนิวัฒน์  วัฒนานุกูล มาเริ่มงานใหม่ครับ
(น้องอ้น กีรติ พูดว่า).....สวัสดี ค๊ะ คุณนิวัฒน์  วัฒนานุกูล ตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมความปลอดภัย นะค๊ะ เชิญด้านนี้ค่ะ
ผมมองเธออย่างผิดหวัง คิดดังๆ ว่า แมร่ง  หลอกลวงผู้บริโภค ตรูจะแจ้ง สคบ. จับเมริง ผู้หญิงอะไรมีลูกกระเดือก แล้วผมก็เดินตามเธอเข้าไปในห้องประชุม 
*******************
บรรยากาศในการปะชุมปฐมนิเทศ พนักงานใหม่ กับบรรยากาศในช่วงกลางคืนที่มาหลอกหลอนให้ชวนง่วงในตอนนี้มัน สุดแสนทรมาร เสียงวิทยากรพูด เปรียบได้ดังเสียงกล่อมที่มีอิทธิพลจนทำให้หูสองข้างหยุดรับเสียงชั่วคราว ได้ยินเพียงคำพูดสั้นๆ ว่า พักเบรก ค่ะ มันช่างเป็นอะไรในใจนิวัฒน์ ที่ทำให้เราตื่นขึ้นมาได้ อย่างทุกลักทุเล 
สวัสดีครับ  มาเริ่มงานใหม่เหรอครับ เสียงทักมาทางผม ผมต้องทำหน้างง ปนกับร้อยยิ้มตอนหายง่วงหันไปในเสียงนั้นทันที
ครับ ผมมาเริ่มงานใหม่ครับ  ผมชื่อนิวัฒน์  เริ่มงานในตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมความปลอดภัย ผมกล่าวทัก
ผม ต่อศักดิ์  ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมทั่วไป เริ่มงานใหม่เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณต่อศักดิ์กล่าวตอบ
ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณต่อศักดิ์
เมื่อบรรยากาศการปฐมนิเทศจบลง ฝ่ายบุคคลได้นำพนักงานไปส่งยังฝ่ายต่างๆ รวมทั้งผมด้วย พอผมเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องทำงาน มีโต๊ะว่างหนึ่งที่ หัวหน้าตรงกับประตูและได้ยินเสียงทักว่า
สวัสดีครับ คุณนิวัฒน์ ผมประทวนครับ เป็นผู้จัดการฝ่ายธุรการและดูงานความปลอดภัยด้วยซึ่งคุณต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาผม ผู้ชายหุ่นกระตุ้งกระติ้งเหมือนเกย์เฒ่า ร้องทักทายผม
สวัสดีครับ ผมขอฝากตัวด้วยนะครับ  ผมกล่าวตอบ
นี่โต๊ะทำงานคุณ และนี่คุณนงค์นุช หัวหน้าฝ่าย เธอทำงานที่นี่มานาน เธอพร้อมจะช่วยคุณ คุณประทวนแนะนำ
สวัสดีค่ะ  โต๊ะที่คุณนั้ง กระเด็นไปหลายรายแล้วนะค่ะ คุณนงค์นุชกล่าวทักทาย
ผมแสร้งพูดและทำหน้าอย่าทะเล่นกล่าวทักว่า ครับ สงสัยจังว่าผมจะเป็นอีกรายไหมนี่
บรรยากาศการทำงานที่นี่ไม่ได้หมูอย่างที่คิด สงครามกำลังเกิดขึ้น  นิวัฒน์จะสามารถดำเนินต่อไปผ่านช่วงโปรเบชั่นได้หรือไม่ โปรดติดตาม แต่ตอนนี้ผู้เขียนไปธุระก่อนนะครับ				
27 กันยายน 2552 11:30 น.

ฝนเดือนสิบ

กวีบ้านไร่

เสียงฝนที่สาดกระเซ็น เย็นไปทั่วร่างผ่านเข้าไปยังแก่นของกระดูกประหนึ่งดังนอนอยูท่ามกลางฝอยน้ำแข็งนั้น มันก็ธรรมดาที่เป็นฝนเดือนเก้า เขาเล่าบอกมาว่ามันเป็นฝนผสมลมหนาว  หนาวมากวจนเจ็บเล็บ เลยทีเดียว ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาเป็นฝอยๆ ไม่ขาดสายแต่ท้องฟ้ายังคงเล่นบทเงียบปราศจากแสงจากสายฟ้าและเสียงร้องของรามศูรย์ มีเพียงแสงสลัวที่สะท้อนผ่านเมฆดำลอดเข้ามาส่องบอกเวลาว่าเป็นกลางวันเท่านั้น
	 เสียงจอบกระทบกับดิน เพื่อปูนคันนาที่กำลังจะขาดเพราะสานฝนที่เซาะ ทามกลางข้าวที่เขียว บ้างก็เล่นน้ำฝน  บ้างก็โพล่ออกเกษร แต่ที่จะขาดไม่ได้คือเสียงเขียด ที่ร้องระงมท่ามกลางความสะงัดเงียบ ของทุกนา 
	ตาเอี้ยง  ยังไม่ขึ้นจากท้องนาอีกหรือ นี่มันก็เกือบจะบ่ายสามโมงแล้วนะ  เสียงหญิงวัยกลางคนท่าทางสนิทสนมกับกับตาเอี้ยง ร้องทักจากถนนซึ่งไม่ห่างจากที่ที่ตาเอี้ยงยืนเท่าไร
	แม่เพ็ญ เองรึ  ก็กำลังจะกลับเหมือนกัน แต่ก็จะปูนดินใส่คันนาคันนี้ก่อน ดูเหมือนฝนจะเซาะมัน  จนจะขาดแล้ว    แล้วนาแม่เพ็ญหล่ะ  ชายวัยกลางคนชื่อเอี้ยง ร้องถามยายเพ็ญ 
	ลูกชายมันดูอยู่  เห็นบอกว่าจะนอนค้างที่กระท่อมกลางนากับเมียมันนะ มันบอกว่าไม่ไว้วางใจ ฝนที่ตกหนักสองสามวันที่ผ่านมานี้ มีน้ำเพิ่มขึ้นมาก  ยายเพ็ญตอบ
	อื่ม ก็ดีนะ หากข้ายังหนุ่มยังแน่นอยู่ก็ว่าจะนอนที่กระท่อมเหมือนกัน  แต่ยายเมืองนะซิ ไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยต้องไปดูแลหน่อย  ตาเอียงสนทนาด้วย
	ลูกชายสองคนของแก ไม่มาบ้างรึ ยายเพ็ญถาม
	................ไม่หลอกแม่เพ็ญ ข้าก็คิดน้อยใจเหมือนกัน ส่งเรียนจบวิศวคนหนึ่ง ส่งจบครูคนหนึ่ง ก็เหมือนจ้างเขาหนีจากเรานั้นแหละ  ตาเอี้ยงนิ่งพักหนึ่งแล้วจึงพูดตอบ
*****************************************************************************************
	คุณทิวาค่ะ  บริษัทเราได้งานก่อสร้างที่มาบตาพุดอีกที่หนึ่งนะค่ะ และวันนี้เจ้านายจากสิงคโปร์ บอกให้คุณทิวาเข้าประชุม ตกลงเรื่องสัญญาด้วยค่ะ คุณทิวา จะให้ดิฉันตอบตกลงเลยไหมค่ะ  เสียงสาวสวผิวขาว ชื่อสุมาลี ซึ่งเป็นเลยขาของทิวา เข้ามาแจ้งกำหนดการให้ทิวารับทราบ
	ครับได้ครับ สุมาลี  แล้วมีใครเข้าบ้างหล่ะ ........   ทิวา ผู้จัดการหนุ่ม หน้าตาดี ตอบเลขาสาวของเขา
	มีคุณประพันธ์  คุณทรงเกียรติ  มิสเตอร์เจมส์ ปาร์ค   มิสเตอร์ อารอน แพน  และ ท่านประธานหลุย ค่ะ  เลขาตอบ
	วันนี้วันที่เท่าไหร่นะ     ทิวาถามเลขา หลังจากเซ็นต์ชื่อเสร็จแล้ว  แต่ไม่มั่นใจในวันที่
	วันที่ 7 เดือน กันยายน ค่ะ    เลขาตอบ  พร้อมจับเอกสารที่ทิวาเซ็นต์แล้ว ออกไปด้วย
	แต่ ณ ห้องทำงานที่ใหญ่โต  สวยงาม ยังเหลือแค่ ความเงียบ ของทิวา  ที่กำลังคิดอะไรบางอย่าง อยู่ในใจ สลับกับการถอนลมหายใจ พร้อมรำพึงรำพันว่า วันเกิดคุณพ่อนี่ โทรไปหาท่านก่อนดีกว่า  และเขาก็หยิบมือถือกดหมายเลขแต่ไม่ทันได้กดโทรออก เสียงโทรศัพท์ บนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้น ทำให้เขาเก็บมือถือแล้ว รับโทรศัพท์ทันที
	สวัสดีครับ ทิวารับสายครับ 
	คุณทิวา  ผมประพันธ์นะ  ผมอยากให้คุณเตรียม ข้อมูล การออกแบบ และการควบคุมโครงการก่อสร้างหน่อย และเข้าประชุมกับผมวันนี้ ห้าโมงเย็น 
	แล้วรายละเอียดทั้งหมด  และขอบเขตการดำเนินงานท่านได้รับแล้วใช่ไหมครัย  ทิวาสนทนากับ กรรมการผู้จัดการที่ชื่อประพันธ์ พร้อมทบทวนความพร้อมด้านเอกสาร
********************************************************************************************
	ตาเอี้ยง แกนี่บ้าการเมืองจริง ฉันหล่ะไม่เข้าใจแกจริงๆ การเมืองนี่ก็บ้ากระไร ไหนเสื้อแดง ไหนเสื้อเหลือง  นี่มีสีน้ำเงินอีก ข้านี่ไม่กล้าใส่เสื้อสีพื้นแล้วนะโว้ย  ยายวัยรุนราวคราวเดียวกับตาเอี้ยงพูดคุยด้วย
	ข้าก็ดูไปอย่างงั้นแหละแม่มึง   มันก็อย่างว่านั้นหล่ะหลายคนหลายความคิด  ว่าแต่เอ็งเฮอะ กินยาลดความดันหรือยัง  ตาเอี้ยงถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง
	ข้ากินแล้ว   พ่อมึงวันนี้ วันเกิดเอ็งซินะ ข้าไปขอของขลังจากหลวงพ่อมาให้เอ็ง  ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะ  ภรรยาพูดขึ้นพร้อม ผูกข้อมือให้สามี
	ข้าขอบใจมาก นะ ที่เอ็งยังจำวันนี้ได้  ตาเอี้ยงพูดขึ้นพร้อมความซึ้งใจ
	ยังไม่ทันไรเสียงเพลงโทรศัพท์ ก็ดังขึ้น  ยายเมืองต้องลุกขึ้นไปรับทันที  
	ห้า.....โหล ยายเมืองพูด
	ไม่ถึงห้าโหลหลอกแม่ แค่โหลเดียว  แม่สบายดีไหม  เสียงลูกชายโทรมา
	นนท์ เหรอลูก เป็นไงไปสอนนักเรียน 
	ก็ดีครับแม่  ว่าแต่พ่อหล่ะ
	ตาเอี้ยงก็สบายดี  กำลังดูข่าวอยู่
	ขอคุยกับพ่อหน่อย
	ตาเอี้ยงมารับโทรศัพท์  ไอ้นนท์  และตาเอี้ยงก็รับโทรศัพท์
	สุขสรรวันเกิดครับพ่อ  ขอให้พ่อแข็งแรงนะครับ
	ขอบใจมากนนท์  แล้วเจ้าปังปอนด์ หล่ะ เป็นไงบ้าง
สองพ่อลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน เห็นได้ชัดว่าขับไล่ความเหงาออกไปจากชายวัยกลางคนได้ทันที 
**********************************************************โปรดติดตามตอนต่อไป				
28 พฤษภาคม 2547 10:30 น.

ผิดไหม ตอนอวสาน

กวีบ้านไร่

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาผมกับหน่อยก็แทบจะไม่ค่อยได้มองหน้ากันเท่าไหร่ วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใส อากาศอบอุ่น เหล่าแมงปอ และหมู่ผีเสื้อหลากสียังคงบินวนรอบๆ ท้องฟ้าราวกับการเต้นระบำยังไงยังงั้น แต่ภายใต้ต้นกาสะลอง(ดอกปีบ) ที่ส่งกลิ่นหอมตลอดปี ผมยังคงนั่งทบทวนความผิดของตัวเองอยู่ตลอดมา ภาพที่ผมเห็นในขณะนั้นมันเหมือนมนต์ตราที่ตราตรึงให้ผมนะจังงัง ทำอะไรไม่ถูก เพราะหน่อยได้นั่งคุยหยอกล้อกระนุ่งกระนิงกับ นิสิตทันตแพทย์รุ่นเดียวกัน จิตใจผมตอนนั้นไม่รู้เป็นไง ทำอะไรไม่ถูก เหมือนไม่พอใจภาพที่เห็นมากเลย ผมจึงเดินออกไปจากที่แห่งนั้นโดยเร็ว
         หลังจากที่เราเรียนจบแล้วต่างคนต่างไปทำงานใช้ทุนในภูมิลำเนาของตัวเอง ผมกับเธอก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย วันนี้ผมไม่รู้เป็นไงคิดถึงหน่อยตลอดมา ผมจึงหยิบจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่เขียนไว้เพื่อขอคืนดีกับหน่อย แต่มันคงสายเกินไป เพราะผมไม่อยากทำลายหน่อยอีกครั้ง และไม่ต้องการให้ดอกรักของหน่อยและทันตแพทย์ คนนั้นต้องชอกช้ำเพราะคนเลวๆ อย่างผม อากาศวันนี้เงียบเหงามากผมค่อยๆ คลี่กระดาษความหนาเท่ากับกระดาษเอสี่ เขียนด้วยลายมือ เรียบเรียงเป็นระเบียบมาก  
*************************
ถึง  หน่อย
         จดหมายฉบับนี้ ที่ผมเขียนมาหาหน่อยนี่ใช่ว่าจะมาขอคืนดีหรือขอความเห็นใจแต่อย่างใด แต่เพียงเพื่อขออธิบายเหตุผลที่ผมได้ทำผิดกับหน่อยมาก   ผมได้ทบทวนความผิดของผม ที่ผมทำต่อหน่อยมาโดยตลอดมา หน่อยคงไม่รู้หรอก ว่าผมมีเหตุผลที่สำคัญที่จะต้องออกจากชีวิตรักของเราทั้งสองคน ทั้งที่ผมรักหน่อยมาก ผมไม่เคยรักใครมากเท่ากับหน่อยเลย หน่อยอาจจะมองว่าเป็นคำแก้ตัวยอดฮิตของผู้ชายทั่วไปก็ได้ แต่นี่คือคำสัจจริงของผม
         ผมมีเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่ได้บอกให้หน่อยได้ล่วงรู้ในตอนนั้น ในตอนนั้นผมรู้สึกสับสน ทำอะไรไม่ถูกเลย ผมรู้สึกแย่มากเลย แต่ที่ผมทำไปทุกอย่างมีเหตุผลรองรับตลอดมา คือผมไม่อยากให้เราสองคนต้องถลำลึกไปมากกว่านี้  และผมก็รักหน่อยมากด้วย จึงยอมออกไปจากทางรักของเราสองคน ผมได้ทำผิดพลาดไว้ในอดีต เมื่อครั้งผมอยู่ ม.ปลาย ผมได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เราคบกันเป็นแฟนในตอนนั้น และเรื่องราวระหว่าผมกับเขาก็เกินเลยกว่าที่คิด ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้เหตุผลซึ่งกันและกัน และได้ทำการหมั่นหมายเราสองคนไว้ว่าหากเรียนจบจะได้จัดงานแต่งงานกัน ซึ่งผมไม่ได้เต็มใจแต่อย่างไร เพียงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ยอมรับว่า ผมคบกับเขานั้น ผมก็มีความสุขมากแต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ตั้งแต่ผมได้พบกับหน่อยและเมื่อคบกับหน่อยแล้ว ทำให้ผมไม่อยากจากหน่อยไป แต่พันธะของผมยังเป็นโซ่มาคล้องผมไว้ตลอดมา และผมจึงได้ตัดสินใจออกห่างจากหน่อยไปทั้งที่ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย เพื่อจะได้เปิดทางให้หน่อยได้เจอคนที่ดีกว่าผม  
         หน่อยครับอย่าได้เสียใจ หรือเสียน้ำตาต่อคนเลวๆ อย่างผมเลย ผมมีค่าไม่มากพอที่จะทำให้หน่อยต้องเสียน้ำตาได้เลย 
                                                                                                        รักนะครับและจะไม่เคยลืมเลย
                                                                                                                              A
ปล.  ผมจะเก็บภาพแห่งความทรงจำเราไว้ตลอดไป
***************************************
         หลังจากผมได้เรียนจบแล้ว ผู้หญิงที่ผมหมั่นหมายไว้ เธอก็ได้พบรักใหม่ที่ดีและเขาทั้งสองคนก็มีโครงการที่จะใช้ชีตร่วมกันในไม่ช้านี้ ผมยินดีที่จะถอนหมั่นโดยไม่เรียกร้องอะไร ทำให้ผมเสียดายตลอดมาว่า หากผมคิดจะคบกับหน่อยเรื่อยมาผมคงไม่ว่าเปล่า เหมือนทุกวันนี้ และคำถามที่ผมยังถามตัวเองตลอดมาคือเราผิดด้วยหรือ กับสิ่งที่เราทำ?
         ตู๊ดดดดดดดดดดดด       ตู๊ดดดดดดดดดดดด  ผมสะดุ้งตืนจากพวังแห่งความคิด แล้วรีบรับโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงเรียกทันใด สวัสดีครับ ไม่ทราบผมกำลังคุยกับใครครับ       อ๋อคุณทิกิ  เหรอครับ				
27 พฤษภาคม 2547 10:54 น.

ผิดไหม

กวีบ้านไร่

ท่ามกลางสายลมที่ผิดแผ่วอยู่ข้างกายเลัดลอดผ่านมายังบ้านพักแพทย์ที่อยู่ไกลในชนบท ดูบรรยากาศวังเวงเงียบเหงาเพราะเงาไม้ที่ปกคลุมไปทั่ว แต่ยังมีเสียงเซ็งแซ่ ของเสียงผู้คนที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลแห่งเดียวในเขตระแวกนั้น ยังคงชุลมุนอยู่ไม่ขาดหาย ส่วนสายฝนยังคงเรียงร้อยเป็นสายน้ำที่หยาดจากฟ้าอย่างช้าๆ เปรียบประดุจดังเป็นละอองน้ำที่พ่นไปทั่วแห่งนั้น ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะหยิบอ่านถ้อยคำในจดหมายเก่าๆ ที่ผมเก็บไว้ข้างกายเพื่อเตือนใจผมตลอดมา ภาพของผู้หญิงคนนั้นยังคงลอยวนเวียนอยู่ในใจของผมตลอดมา  แม้จะนานกี่ปีก็ตาม ผมจะไม่มีวันลืมอดีตที่ปวดร้าวสำหรับผม 
         เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็ก ผิวสีไข่ นัยน์ตาที่น้ำตาล ไว้ผมยาวประบ่า มีลักยิ้มสองข้าง เราเป็นนิสิตแพทย์ด้วยกัน ผมรู้จักเธอตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง
         สวัสดีครับ  งานที่อาจารย์สั่งไว้เมื่อวานเสร็จหรือยังครับ  ผมเข้ามาทักเธอ และไม่รู้จะคิดหาคำพูดอะไรมาพูดคุยกับเธอ เพราะผมค่อนข้างเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง ไอ้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่ค่อยถนัดสักเท่าไร แต่ก็อดไม่ได้ที่เห็นเธอนั่งคนเดียวภายใต้ห้องสโลปที่กว้างใหญ่  อยู่คนเดียว แต่ความรู้สึกของผมตอนนั้นมันไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกสั่นไปทั่วร่างกาย แต่ผมก็พยายามข่มใจไว้  สักพักหนึ่ง เธอก็ค่อยๆ เงยหน้าหันมาทางผม แล้ว เบิกหน้าตาที่วิตกกังวนสักเรื่อง มาส่งยิ้มให้ผม
         ค่ะ เสร็จแล้วคะ แล้วคุณหล่ะค่ะ เป็นประโยคทองสำหรับผมทีเดียว หลังจากนั้นผมกับเธอก็พูดคุยกันอยู่นาน และเริ่มพูดจา พูดคุยกันมากขึ้น 
**********************************
         จนเวลาล่วงเลยไป นานถึง 2 ปี ความสัมพันธ์ที่สนิทสนม  และราวกั้นใจของผมก็เริ่มเปิดรับเธอด้วยความเข้าใจและอยากเป็นหุ้นส่วนของหัวใจเธอสักครึ่งก็ยังดี แต่ท่าทีที่เราสนิทสนมกันนี้ เป็นที่อิจฉาของเพื่อนๆ ในก๊วนของผมเลยทีเดียว และพวกเขาชอบแซวผมว่า เธอเป็นเงาผม มีเธอที่ไหนต้องมีผมที่นั้น 
         การคบกันในปีที่สองนี้เริ่มที่จะเปิดเผยมากขึ้น จากคำว่าเพื่อนก็พัฒนามาเป็นคนรู้ใจ ยังคงไร้อุปสรรคใดๆที่จะมากั้นขวางทางใจเราได้ หน่อยยังคงทำหน้าที่ของคำว่า แฟน ที่ดีของผมตลอดมา อย่างไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เราคบกันด้วยความเข้าใจกัน และพูดคุยกันด้วยเหตุผล 
         ปีนี้เป็นปีที่สี่ ที่ผมกับเธอคบกันมา ผมกลับพบกับความลำบากใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อผมตัดสินใจที่จะเลิกกับหน่อย วันนั้นผมนั่งเขียนจดหมายบอกเลิกหน่อย หลายฉบับบางฉบับเพียงแค่จดปากกาลงในกระดาษก็เขียนไม่ได้แล้ว และล้วผมก็ได้ฉบับที่ดีที่สุดส่งไปให้เธอ ถ้อยคำที่ผมจารึกลงไปในกระดาษบางๆ เพียงแค่ไม่กี่ประโยค แต่มันก็มากพอที่จะเป็นเชือกหรือมีดอันแหลมคมมารัดใจผมและเชือดเฉือนใจผมออกไปทีละนิดทีละนิด น้ำตาของผมก็รินไหลราวกับว่าน้ำเกลือที่หยดลงจากสาย แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีสำหรับผมตอนนี้ ผมหลบหน้าหน่อยไปหลายวัน และสังเกตเห็นท่าทีของหน่อยเริ่มที่จะวิตกกังวล นัยน์ตาเธอเศร้าผิดปกติที่ผมเคยเห็นมา ผมเดาได้เลยว่าเธอคงจะทุกข์ใจไม่น้อยกว่าผมแน่นอน แต่ภาพที่ผมเห็นนั้นมันไม่ทำให้ผมสะใจแต่อย่างไร แต่กลับทำให้ผมทรมานใจมากยิ่งขึ้น ห่วงเธอมากผมยอมรับกับใจผมในตอนนั้น
****************************
         หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ผมก็เร่งรีบที่จะเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่ผมทำอยู่ทุกวันตั้งแต่ที่ผมส่งจดหมายให้เธอ เพื่อที่จะหนีจากเธอให้เร็วที่สุด 
         เอ เอ หยุดก่อนเอ  มาคุยกันให้รู้เรื่อง      นี่นาย! หยุดก่อนได้ไหม!!!!!!!!!!!!!  เสียงนี้ก่อนนี่เห็นเย็นหวาน กลับเหมือนน้ำร้อนที่กำลังเดือดพุดๆ มารดลงแผลที่กำลังไหม้พุพอง หรือเหมือนโดนมีดที่ค่อยๆ จี้ใจผมทีละนิด และมันทรงซึ่งพลังอำนาจมากพอที่จะทำให้ผมหยุดอยู่กับที่ และค่อยๆหันไปมองต้นเสียงที่กำลังเรียกมา อ๋อ หน่อยนั้นเอง ผมคิดในใจ 
         เอ เอ เป็นอะไรไป เอทำอย่างนี้ทำไม เอบอกหน่อยได้ไหม หน่อยผิดอะไร เอจึงทำเย็นชากับหน่อยเช่นนี้ ถ้าหน่อยผิดหน่อยก็จะได้ขอโทษเอ เอรู้ไหมการที่เราไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไรนี่มันทรมานมากแค่ไหน เอเคยคิดไหม เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จู่ๆ เอก็ออกมาห่างเราไปเฉยๆ อย่างนี้ แถมยังมีจดหมายบ้าๆ นี่ส่งมาให้เราด้วย ขอร้องล่ะเอ พูดอะไรหน่อยได้ไหม บอกให้หน่อยรู้ได้ไหม  หน่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอ น้ำใสๆมันก็ไหลออกจากตาหน่อย ใบหน้าที่เคยสดใสของเธอกลับเป็นความทุกข์ที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ผมจำได้ดีและไม่มีวันลืมไปจากใจผมเลย ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเธอที่น้ำกำลังล้นออกจากตาเธอ อยู่นาน ผมเลยหลบสายตาเธอและก้าวออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
         เอ สนุกมากไหม ที่เอทำอย่างนี้ ที่เอทำให้คนคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรรู้สึกสับสนและพยายามทบทวนหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบาย ก็ได้เราต่างคนต่างอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจบแค่นี้ ตามความต้องการของเอ หน่อยจะไป!!!!!!!!!!!!!!!!  ประโยคนี้มันก้องในหูผมและซ้ำอย่างนี้สักร้อยครั้ง เหมือนกับมีค้อนปอนด์หรือก้อนหิน หรือมีคนผลักผมตกจากที่สูงลงมากระแทกกับพื้นที่แน่นหนา ผมเริ่มสั่นไปทั่วร่างกาย ระบบเลือดไหลไม่รู้ทิศทาง ทำให้ผมยอมเปิดปากที่จะเอ๋ยตอบโต้กลับไป
         หน่อยไม่ผิด ผมผิดเอง เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะครับ อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกันเหมือนก่อนเลยขอให้เราเป็นแค่เพื่อนกันนะครับ 
         หน่อยดีใจค่ะที่ เอไม่ได้เป็นบ้าใบ้ ที่เอพูดได้ ไม่ต้องบอกหรอกค่ะเรื่องนั้น เราต่างคนต่างอยู่ ทุกอย่างมันจบตั้งแต่วันนี้ นี่กระดาษเน่าๆ ของนาย ฉันจะถือว่าเราเป็นเพื่อนร่วมโลกกันค่ะ โชคดี!!!!!
********************!!!!!!!!!!!!!!! โปรดติดตามตอนต่อไป!!!!!!!!!!!!!*********************				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีบ้านไร่
Lovings  กวีบ้านไร่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีบ้านไร่
Lovings  กวีบ้านไร่ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวีบ้านไร่
Lovings  กวีบ้านไร่ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวีบ้านไร่