23 เมษายน 2547 10:15 น.

มามาโอะไวน์/

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ปอน : นี่เขาเรียกหมากเม่าใช่ไหมพ่อ

พ่อ : ใช่ครับ หมากเม่าเป็นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ แต่ต้นเล็ก ๆ สูง 3-5 ศอกก็ออกลูกให้เราแล้ว

เปียว: นี่พ่อเอามาจากไหน

พ่อ : สวนของลุง เอ้า เร็ว มาช่วยกันล้าง พ่อจะพาทำไวน์

ปอน : ขอกินได้ไหมพ่อ หมากเม่านี่

พ่อ : กินได้เลย วิตามินซีมากนะ กินแล้วแข็งแรง
คุณครูสอนเรื่องวิตามินซีไหมล่ะ

ปอน : สอนครับ มันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

พ่อ : ถูกต้องแล้ว ลูกเลือกกินลูกสุกออกสีม่วง ๆนะจะหวานกว่าลูกสีแดงและขาว

เปียว : หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ นะ ( เขารูดหมากเม่าเข้าปากเคี้ยว แล้วยิงฟัน เหมือนมันเปรี้ยวสุด ๆ )

พ่อ : กินเยอะ ทำให้ขี้แตกได้นะ

ปอน : เหรอครับ

เปียว : ไวน์นี่เมาใช่ไหมครับ

พ่อ : กินมากเมา จิบนิด ๆ ทำให้กินอาหารอร่อย สุขภาพดี

ปอน : เห็นเพื่อนว่า พ่อของเขากินไวน์ขวดล่ะหมื่น

พ่อ : ใช่ครับ บางยี่ห้อแพงมาก พวกนั้นเป็นไวน์จากองุ่นครับลูก

เปียว : อ๋อ องุ่นที่เป็นพวงๆ สีม่วง สีเขียว ใช่ไหมครับ

พ่อ : ใช่แล้ว เราไม่มีองุ่นเราก็เอาหมากเม่านี่แหละทำได้เหมือนกัน

เปียว : ล้างเสร็จแล้วครับพ่อ พ่อจะทำยังไงต่อ

พ่อ : พ่อจะปั่น คั้นเอาน้ำหมากเม่า ไปต้มกับน้ำตาล ทิ้งให้เย็นแล้วเติมยีสต์ มันก็จะกลายเป็นไวน์ในไม่นาน

ปอน : ไวน์ของพ่อขวดละกี่หมื่นครับ

พ่อ : เอาซัก 1 หมื่นดีไหม

เปียว : แพงไปพ่อ ไม่เห็นเราต้องจ่ายอะไรเท่าไหร่

พ่อ : 1 หมื่นสตางค์น่ะแพงหรือครับ

เปียว : แพงครับพ่อ

พ่อ : งั้นเราก็ไม่ต้องขาย พ่อเอาไว้กินเอง

ปอน : ดีครับ พ่อจะได้สุขภาพดี แข็งแรง

เปียว : เปียวว่าไม่ดีครับ กลัวพ่อตกบันได

ปอน: ทำไมล่ะเปียว

เปียว : ก็พ่ออร่อยไวนของ์ตัวเองจนเมาน่ะสิ

พ่อ : (หัวเราะ) ไม่หรอกครับ พ่อไม่ใช่คนขี้เมา
เอ้า เอางี้ ทั้งปอนกับเปียวไปเอาแก้วมาเตรียมไว้ พ่อจะต้มน้ำหมากเม่าคั้นใส่น้ำตาลให้ลูกดื่มกับน้ำแข็ง เขาเรียกสควอซ์หมากเม่า อร่อย พ่อรับรอง

เปียว : พ่อรับรองนะว่าสควอซ์ไม่เมา

พ่อ : ไม่หรอกครับ เรายังไม่ได้ใส่ยีสต์ซักหน่อย

ปอน : พ่อเก่งจังนะครับ พาเราทำโน่นทำนี่เยอะแยะ

พ่อ : เพราะพ่อรักลูกไง				
23 เมษายน 2547 02:45 น.

วันเกิดใครเอ่ย

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ตอนที่ครอบครัวของผมจนมาก ผมต้องฝากปู่ย่าดูแลลูก ส่วนผมกับภรรยาต้องออกไปทำงานนอกบ้านทั้งวัน  
           วันหนึ่งที่ข้างบ้านเขาจัดงานวันเกิดให้ลูกของเขา  เขาเชิญเราไปร่วม  งาน 
ลูกของผมตื่นเต้นมาก  และพ่อของเขาก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดให้   
ตอนเขาจะเป่าเทียนตัดเค้ก  ลูกของผมก็จะเข้าไปเป่าด้วย  แกคงเห็นในทีวี  คนในวงร้องว่า เฮ้ยอย่า  ( เพราะไม่ใช่วันเกิดของแก)   เด็กน้อยหน้ามุ่ย   หงอเหงา   ผมเห็นแล้วก็เศร้าและสงสารลูกจับใจ   
สัญญาว่า  ตั้งแต่นี้ต่อไป   ผมต้องจัดงานวันเกิดให้ลูก   ก็เอาตามประสามีประสาจนแบบเรานี่แหละ


             งานชิ้นนี้ผมเขียนไว้ใน ปพส. ให้ชื่อว่า           วันเกิดใครเอ่ย
ความว่า




วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของลูก
และวันนี้ลูกก็ 9 ขวบแล้วซีเนาะ


พ่อรักลูกมาก
--------------------------------------------------

เมื่อเช้าลูกจำได้ไหม   พ่อเอาแกลลอนน้ำมันเครื่องเปล่า 2 ใบ
ร้อยด้วยยางในรถเครื่อง       คล้องเอวให้เจ้า  เพื่อจะได้ว่ายน้ำตามพ่อ
พ่อวางข่ายดักปลา
ในบ่อกลางทุ่งนา
ก็ปลาที่เราเลี้ยงเองทั้งบ่อ

ได้ปลานิลเป็นสิบ

ปลาหมออีกเป็นซาว

ให้แม่ทำกับข้าว

เอาให้อร่อยสะบัดช่อ

เพื่อให้วันนี้พิเศษ

พ่อไปหยิบแหมา

ทอดแหตรงมุมของบ่อปลา

ได้ปลาตัวใหญ่ห้าต่อ

ปลาติดแหกระตุกตึก

ปลานิลดอกไม่ใช่ปลาบึก

นึกแล้วสมหวังเลยนะพ่อ

แม่เจ้าจะเอานึ่ง

ฝีมือแม่ฉมัง

ทำน้ำพริกอร่อยจัง

อิ่มแล้วยังนั่งจ้อจ๋อ

ชวนคุณลุงคุณป้า

มาล้อมวงกินปลา

ชวนคุณยายเรามา

มากินปลาจากบ่อ

ความสุขแสนสามัญ

อยู่มีเยื่อใยกัน

มันก็ดีแล้วหนอ

ยิ้มหน่อยซิครับ

พ่อเป่าหัวรับขวัญ

ฟังเพลงขลุ่ยนะลมตะวัน(ชื่อของลูก)

พ่อจะดั้นเพียงออ

เปล่าเพลงฉลองรัก

ในคืนรักอบอุ่น

รักเอื้อจงเกื้อหนุน

ค้ำจุนใจเราเถิดหนอ

เติบโตจงกล้าแกร่ง

มีแรงมีปัญญา

แม้เจ้าเกิดจากนา

ก็จงอย่าสลดท้อ

เจ้าได้รักเต็มกำลัง

เจ้าได้หวังเต็มตื้น

จากวันนี้ไปมะรืน

เป็นวันชื่นสุขพอ

แม่เตรียมสวนไว้ให้เจ้า

พ่อเตรียมนาข้าวไวให้ด้วย

ยายเตรียมขวัญถุงกับกล้วย

เพื่อลมตะวันแหละหนอ

ยิ้มเถิดจงยิ้มเถิด

วันคล้ายวันเกิดคนดี

เสกคาถาเป่าสามที

ที่กระหม่อมจอมใจพ่อ

พ่อรักแม่ก็รัก

รักลูกเต็มหัวใจ

จากวันนี้ต่อไป

ลูกต้องเติบใหญ่ดีพอ


รักลูกมาก


จากพ่อ				
22 เมษายน 2547 12:37 น.

บนหลังไหล่ของพ่อ

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

ผมเขียนร้อยกรองไว้บทหนึ่ง ชื่อ         เพราะมีพ่อ 
ในนามบรรลุพร นามโนรินทร์ และพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับปีใหม่ 2547    ไปแล้ว


  ความว่า


		ใครบ้าง   เกิดจากตอจากกอไผ่		
มิได้เกิดขึ้นมาในอ้อมอกพ่อ
ใครบ้างอาจ     เอ่ยวจีว่าดีพอ			
โดยไร้พ่ออบรมบ่มจรรยา

	   	ถึงไม่เด่นไม่ดังหรือมั่งมี
	แต่มั่งคั่งความดีก็มีค่า
	ตรงที่ใจเปี่ยมสุขทุกเวลา
	เลี้ยงชีวิตโสภาบ่สามานย์

		น้อยก็หนึ่งน้ำใสในโอ่งโอ
	ได้ดื่มกินเติบโตเตือนโหลนหลาน
	ทะเลใหญ่หากเค็มเหลือมีเกลือบาน
	กระหายเหลือก็เกินการเอาดื่มกิน

		เพราะมีพ่อจึงได้ต่อภูมิปัญญา
	จนเติบกล้ามีหัวใจให้ท้องถิ่น
	ฉลาดชาญจึงหาญเอื้อเพื่อแผ่นดิน
	ร่วมเป็นฝนหลั่งรินลงทุ่งแล้ง

		หัวใจพ่อแจ่มใสใหญ่และกว้าง
	จึงอาจสร้างความแจ่มใสไว้ทุกแห่ง
	ลูกขอรับใจเขษมไว้เต็มแรง
	เพื่อปันแบ่งและสานใจไหว้พ่อเอย .
	
---------------------------------------
	ผมรักพ่อ  ทั้งพ่อของแผ่นดินและพ่อผู้ก่อกายผม   
ผมรู้และซึ้ง  
ผมเห็นพ่อทุกคนทำงานหนัก และพ่อก็รักลูกด้วยหัวใจของพ่อ

	ในวัยเด็ก     ผมไปไหนต่อไหนกับพ่อ ราวเงา     พ่อให้เดินตามพ่อถ้าที่ ๆ
 ไป โล่งโปร่งปลอดภัย     แต่ถ้าหนใดไปในที่สุ่มเสี่ยง ดำหม่นจนอาจมีภัย  พ่อให้ขี่หลัง    
คุณเคยขี่หลังของพ่อไหมครับ


หน้าฝนปีที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป.5  พ่อพาไปกั้นห้วยดักปลา  วิธีการก็ทำง่าย ๆ คือเอาไม้ไผ่มาจักและสานเป็นเฝือกแบบมูลี่บังตา แต่เน้นแข็งแรงเป็นสำคัญ เมื่อปักหลักไม้ลำเท่าขาของพ่อลงไปในลำห้วยถี่แค่คืบ มัดราวหลักด้วยไม้ไผ่ลำใหญ่ทั้งล่างกลางบนแล้ว  จึงเอาเฝือกไม้ไผ่มาประกอบ
เข้า  มัดด้วยเถาไม้แน่นหนา   เฝือกนี้น้ำไหลผ่านได้ แต่ปลาหาผ่านได้ไม่   พ่อเจาะช่องสำหรับใส่ไซเอาไว้ตรงกลาง พรางด้วยฟดไม้ล้มลุก 
ซึ่งก็ถอนเอาแถว ๆ นั้น  ในยามค่ำคืนปลาที่มาตามน้ำในห้วยจะเข้าไซของพ่อจนแน่นเต็ม   ผมเห็นภาพเหล่านั้นติดตา  จนเอาไปเขียนเป็นเรื่องสั้นได้เรื่องหนึ่ง   
แต่โยนทิ้งตะกร้าไปแล้วมั้ง ( อันนั้น บ.ก.ทำ) 

ปลาดุกเป็นปลาที่ผมไม่เคยเห็นมันดีดตัวข้ามเฝือกที่กั้นห้วย  แต่เห็นไต่ไปตามเนินดินลัดเลาะไปในที่พรางตาได้ดีนัก
 ช่วงแรกที่กั้นเฝือกใส่ไซปลาดุกติดไซอัดแอจน
ได้ยินเสียงแหง็บๆแหง็ดๆ
ของมันชัดเจน  ช่วงหลังมาปลานี้ไม่ติดไซซักตัว
 พ่อบอกว่ามันรู้ความแอบแถกเงี่ยงไปตามดินชื้นกลางกอไผ่    


แต่ไม่เป็นไร  เท่าที่เราจับได้ก็ทำปลาเค็มแล้ว 2-3 ไห

          ปลาช่อน   เจ้านี่โดดเก่ง  ดีดตัวตูม ๆ ข้ามเฝือก   
พ่อรู้ทางมันดี  เอาตาข่ายดักไว้หลังเฝือกมันข้ามไปไม่พ้น
ก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น   ตัวโตมากนะครับ  ขนาดโคนขาของเด็ก ป.4 น่ะมีให้กินเยอะแยะ

        วิธีกินที่ง่ายที่สุดในทุ่งนาเวลากลางคืน คือโอบเกลือหมกถ่าน  ซึ่งปลาช่อนที่สดแบบนั้นเมื่อสุกแล้วกินกับแจ่วและข้าวเหนียวร้อน ๆ ที่ห่อมาจากบ้าน อร่อยจนไม่อยากหยุดเลยครับ
บางคืนผมกับพ่อต้องช่วยกับหาบคอนปลาเข้าบ้าน
สองรอบสามรอบ  พ่อได้ปลาเยอะแบบนั้น
 ชาวบ้านก็ได้กินด้วยครับ  พ่อแบ่งให้คนข้างบ้าน 
 แบ่งให้ญาติพี่น้องทุกคน  เวลาคนอื่นมีคนอื่นได้ เขาก็ไม่เคยลืมพ่อ   


   เวลาผ่านไปนานก็เหมือนไม่นาน 
 เพราะมันเป็นความคิดความรู้สึก   ผมกลับบ้าน ได้ถามพ่อเรื่องห้วย  
ปลา  นา และน้ำ   พ่อว่า  ในน้ำไม่ค่อยมีปลาให้กินแล้ว
อยากกินปลาต้องไปตลาด  
ทุกอย่างเป็นเงิน  ต้องแลกเอาด้วยเงิน  การขอกันกินแทบไม่มีแม้เป็นหมู่บ้านนอกๆตำบลก็เถอะ

    ผมได้ยินแล้วก็ไม่ได้ถอนใจอะไร  
 
มันเป็นไปตามเหตุของมันใครก็พูดแบบนั้น
พ่อคงมองเห็นอะไรที่เป็นภัยที่กำลังจะมาถึงแล้ว
จึงลงมือขุดบ่อเลี้ยงปลา  ปลูกผัก  ปลูกไม้ผล พืชพันธุ์ที่พ่อลงแรงเอาไว้ให้ดอกให้ผลมาร่วม 20 ปีแล้ว  

เวลานี้ใครต่อใครก็ไปดูสิ่งที่พ่อทำ แต่ก็ทำตามไม่ได้
ด้วยข้ออ้างง่าย ๆ ว่ามันทำยาก

                มีสักกี่คนกันล่ะครับ  ที่เห็นว่าสังคมเปลี่ยนไวเกินไปแล้ว  การพึ่งตนเอง  การพึ่งพาอาศัยกันชักจะถึงจุดวิกฤติแล้ว 
 แล้วหันมาตรอง  มองวิถีดั้งเดิม  เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายเกินไป เมื่อโลกถึงจุดวิกฤติ 
 ขาดทั้งน้ำ ขาดทั้งอาหาร และน้ำหัวใจ  

            ผมก็เห็นแต่พ่อเท่านั้นแหละครับที่คิดและทำนำใครๆ
บรรดาเราทั้งหลายต่างหากที่พากันไม่สนใจใยดี  ยินดียินร้าย
ในสิ่งที่พ่อเตือน พ่อสอน  พ่อทำนำ ทำให้ดู  เราอยู่บนหลังไหล่ของพ่อ
แบบเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วมั้ง

ใช่ไหมครับ

บรรดาลูกของแผ่นดินทั้งหลาย				
21 เมษายน 2547 12:46 น.

คนมีอันใดจะกิน/

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

พ่อครับ คนจนเขากินอะไร

ลูกถามและมองของกินบนโต๊ะ ที่ซื้อมาจากร้านอาหารมีชื่อ เราไม่ต้องทำกับข้าวเอง บางวันแค่โทรสั่งก็มีคนเอามาส่ง

กินเหมือนเรานี่แหละลูก แต่อาหารที่เขากินส่วนมากไม่ต้องซื้อ

มีคนเอาไปให้หรือครับ

ไม่หรอกลูก ลูกรู้จักกุ้งหอยปูปลาไหมล่ะ

รู้ครับ ครูก็สอน

นั่นแหละ ของพวกนั้นมีอยู่ในน้ำในนา ก็จับมาเป็นอาหารได้ไม่ต้องซื้อ

 เข้าใจแล้วครับ แต่เขามีผลไม้กินแบบเราไหม

มีสิครับ ผลไม้แบบที่เรากิน มีขายเยอะไปตามห้างสรรพสินค้า 
คนจนคนรวยซื้อได้เหมือนกัน

ถ้ามีตังค์

ถ้ามีขาย

ถ้าอยากขาย

ถ้าอยากซื้อ

เราพ่อลูกคุยกันในมื้ออาหารทำให้รสชาติอาหารดีกว่าต่างคนต่างกินเงียบ ๆ

                  พื้นเพของผมมาจากต่างจังหวัด เข้ามาแสวงโชคในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ผมไม่เคยลืมหรอกครับว่ารากของผมอยู่ไหน ผมไม่เคยลืม เพราะความไม่มีกินนั่นแหละเป็นแรงผลักอย่างดีสำหรับสู้ชีวิต

                  ผมเริ่มงานในกรุงเทพฯโดยเป็นลูกจ้างในร้านขายของชำของคนจีน ได้เห็นทุกวันว่า คนจีนนอนดึก ตื่นเช้า ทำงาน ทั้งวัน จับเงินทั้งวัน ลูกค้าอยากได้อะไร มีขายให้หมด แม้ของในร้านไม่มีก็ ขอยืมจากร้านข้าง ๆ เอามาให้ หรืออย่างช้าก็รุ่งขึ้นก็เอามาขายให้ได้ สลึง ห้าสิบสตางค์ก็ขายได้ มีจริงครับ ลูกค้าถือปากกาเคมี เข้ามาในร้าน เฮียเจ้าของร้านดูแล้วก็ว่าแบบนั้นเติมหมึกเอาก็ได้ไม่ต้องซื้อใหม่ จ่ายค่าเติมแค่ 2 บาท แทนที่จะซื้อใหม่ 15 บาท วิธีที่เฮียทำผูกใจลูกค้าคนยากคนจนได้หมด ไม่เคยดูถูกคน คนจึงมาหาเฮีย ซื้อทุกอย่างจากร้านชำของเฮีย

                   กิจการของเฮียไปไกลมากแล้วครับ  เฮียทำร้านขายส่งโดยหุ้นกับชาวต่างชาติ แตกสาขาออกไปมากมาย ผมซึ่งอายุมากขึ้นทุกวัน ขอเกษียณตัวเองจากงานในร้านชำมาเปิดร้านเล็ก ๆ ของตัวเอง ขายของใช้ในบ้านแบบชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปจนถึงของใช้ของสอยจากถิ่นอื่น แบบของที่ระลึก จนในที่สุดเห็นช่องทางใหม่ก็เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกให้ชาวต่างชาติที่มา เที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ         

                    ทุกวันจะมีไกด์พานักท่องเที่ยวเข้าร้านของผมจนนับไม่หวาดไม่ไหว ไกด์พวกนั้นก็ลูกหลานของผมเองจากบ้านนอกนั่นแหละ เขาได้รับการศึกษาดี ได้ภาษาหลายภาษา ที่ผ่านมาผมถือว่าเขาช่วยผม ผมก็ช่วยเขา เราไม่ดูแคลนคนอยู่แล้วครับ

พ่อครับ พ่อกำลังคิดใช่ไหม

ทำไมลูกรู้

เห็นพ่อมองโคมไฟเพดานนาน

เก่งครับ พ่อคิดจริงๆ คนเราต้องคิดนะ คิดถึงอดีต เพื่อสรุปบทเรียน คิดถึงปัจจุบันว่าเราได้ทำอะไรบ้าง ยังไม่ทำอะไรบ้าง คิดถึงอนาคตว่าอะไรกำลังจะไปทางไหน เพื่อจะได้..

ไม่กลายเป็นเหยื่อ..

ของตัวเอง..

ของคนอื่น..

ของสังคม..

ของโลก..

..

อาหารมื้อเย็นนั้นอร่อยมาก อร่อยเสมอ
ผมตักยำไข่มดแดงเข้าปากเคี้ยวกับข้าวเหนียวเพื่อรำลึกถึงความจนในวันเก่า ๆ ส่วนลูก ๆ เขามีสิทธิ์กินอะไรตามใจเขา ผมไม่ได้บังคับให้เขาต้องกินปลาร้าเหมือนผม


ผมขออย่างสองอย่างเท่านั้นจากลูก คือ
 อย่ากินสินบาตร คาดสินบน 
และอย่ายอมให้คนกินแรง				
21 เมษายน 2547 06:36 น.

เก็บมาจากภู 1

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เราไต่ขึ้นที่สูง ทีละน้อย
ความสูงที่ค่อย ๆ เพิ่ม ดูเหมือนเราไม่เปลี่ยนตำแหน่งไปมากนัก
ครั้นเหลียวหลัง จึงเห็นว่า เราอยู่ห่างหุบลึกข้างล่าง เสียไกลลิบแล้ว

ในขณะที่เป็นขาขึ้น ผมเห็นว่าเรายังต้องไต่ลงเป็นพัก เป็นช่วง สลับไต่ขึ้นสูงขึ้นไปอีก เพื่อให้ถึงเป้าหมายได้จริง ๆ

ระหว่างพักเหนื่อยรายทาง เราแลเห็นริ้วหิน เหลี่ยมผา เต็มตา ร่องรอยกัดเซาะของสายน้ำ ทำให้หินเกิดแง่งคม สวยงามยามแลไกล ชวนหวั่นหวาดใจเมื่อต้องไต่ไปตามร่องแคบและคม

สายฝนธรรมดาว่าแรง
สายน้ำจากฟ้าที่ม่านหมอกรุมรมเป็นกรดกัดกร่อนแล้ว แรงกว่าอีก
เราจึงได้เห็นซากชีวิตใต้ทะเลพวกหอย ที่อยู่ในเนื้อหินนับนาน
เผยออกมาให้ผู้ผ่านทางแลเห็นได้ เมื่อฝนกรดนั้นกัดกร่อนเนื้อหิน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี นานมา

ก่อนลุกขึ้นด้วยแรงกายหมายไปให้ถึงยอด
ผมนึกถึงคำของเพื่อน
รูปรอยที่ฝนกรดกัดกร่อนหิน
ก็เหมือนบาดแผลในชีวิตของคน

ย้อนมาดูก็เห็น
เป็นรูปรอยอารมณ์แบบต่าง ๆ

ผมคงต้องไปต่อไป แม้จะล้าเพียงใด

ก็เพื่อน ๆ กวักมือเรียกอยู่ไหว ๆ โน่นแล้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์