บุกป่าเก็บระเบิดเสี่ยงตาย เพราะ"จน"จึงต้องผจญภัย (บทความนี้เอามาจาก คมชัดลึก)

[ไร้ตัวตน]

"แม่จ๋า...ช่วยหนูด้วย" เสียงเด็กหญิงร้องแว่วแผ่ว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ภายหลังเสียงครืนครั่นคล้ายมีลูกประทัดขนาดยักษ์จุดระเบิดอยู่ไม่ไกล จนทำให้บ้านไม้ยกพื้นสูงชั้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง เสียงนั้นปลุกให้ นางต้อย พรมไทย วัย 43 ปี ชาวบ้าน ต.สระโบสถ์ อ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี ตื่นจากภวังค์และรีบวิ่งลงไปตามต้นเสียงทันที ก่อนที่จะพบภาพที่บาดหัวใจสุดบรรยาย 
ณ ริมโอ่งเก็บน้ำข้างๆ บ้าน มีร่องรอยเศษวัสดุและชิ้นส่วนระเบิดตกเกลื่อนพื้น ใกล้กันมีร่างของ ด.ญ.สุดใจ พรมไทย วัย 11 ขวบ นอนหวยใจรวยรินอยู่ แต่ที่ทำร้ายหัวใจอย่างที่สุดคือ บาดแผลฉกรรจ์จากแรงระเบิดที่ฉีกร่างท่อนล่างของเด็กน้อยขาดตั้งแต่ใต้เข่าลงไป ภาพสยดสยองนั้นรุนแรงพอที่กระชากสติของผู้เป็นแม่ให้เป็นลมล้มฟุบลงทันที และเมื่อฟื้นคืนสติมาอีกครั้ง เธอก็ต้องสูญเสียลูกสาวสุดที่รักไปตลอดกาล 
เรื่องราวอันแสนสลดสังเวชบางส่วน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านครอบครัวหนึ่งในพื้นที่หมู่ 9 ต.สระโบสถ์ อ.สระโบสถ์ ซึ่งทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ได้ไปประสบมา หลังกลุ่มชาวบ้านจาก อ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี เดินทางเข้ายื่นข้อร้องเรียนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการซ้อมรบด้วย "กระสุนจริง" ของทหาร จนทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตไปสามสี่ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก 
นางต้อย ย้อนเหตุการณ์ที่เสมือนฝันร้ายในวันนั้นว่า ราวบ่ายโมงวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ขณะตนกำลังทำงานบ้านอยู่บนบ้าน ก็ได้ยินเสียงคล้ายระเบิด หรือประทัดยักษ์ ดังสนั่น จนบ้านสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง พอลงไปดูที่ต้นเสียงก็พบลูกสาวนอนร้องครวญครางจมกองเลือดอยู่ ร่างกายช่วงล่างตั้งแต่ใต้เข่าลงไปขาดกระจุยไปทั้งแถบ แต่ลูกก็ยังพอมีสติอยู่ และพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า "แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย" 
พอได้เห็นสภาพลูกสาวดังนั้นเธอก็หมดสติไป และถูกนำส่งโรงพยาบาลพร้อมกับลูกสาว แต่ลูกสาวอาการหนักมาก จึงถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในตัว จ.ลพบุรี เพราะโรงพยาบาลประจำอำเภอรับไม่ไหว และได้สิ้นใจลงในเวลาต่อมา สร้างความช็อกและเศร้าเสียใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่พี่ชายและญาติพี่น้องทุกคน 
นางต้อย เล่าว่า ที่มาของระเบิดชิ้นนั้นน่าจะมาจากในป่า ซึ่งชาวบ้านในย่านนั้น รวมทั้งตนได้เข้าไปหาหน่อไม้เป็นประจำ แต่เนื่องจากป่าดังกล่าวเป็นสถานที่ซ้อมรบของทหาร จึงมักจะมีชาวบ้านที่เข้าไปเก็บของป่าหยิบชิ้นส่วนระเบิดที่ยังไม่ทำงานกลับมา จนเกิดระเบิดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่เสมอ จึงเชื่อว่าลูกสาวน่าจะเก็บชิ้นส่วนระเบิดเหล่านั้นมาโดย "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" และนำมาเล่นที่บ้านจนเกิดระเบิดขึ้น 
นางต้อย เชื่อว่า สาเหตุที่ลูกเก็บชิ้นส่วนระเบิดนอกจากความไม่รู้แล้ว น่าจะมาจากความอยากเก็บเงินเพื่อซื้อ "รองเท้าแก้ว" ซึ่งอยากได้มานาน จึงเก็บเศษเหล็กมาขายตามอย่างชาวบ้านคนอื่น โดยไม่รู้ว่าระเบิดชิ้นนั้นยังไม่ทำงาน เมื่อทหารมาตรวจสอบ ภายหลังจึงรู้ว่าเป็นชิ้นส่วนของ "หัวจรวด" ที่ติดตั้งบนเครื่องบินรบ 
หลังประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ สภาพจิตใจของนางต้อยก็ย่ำแย่อย่างหนัก จนต้องขอร้องให้บุตรชายคนโตคือ นายยงยุทธ แววเพชร อายุ 20 ปี ลาออกจากงานเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนและช่วยงานที่บ้าน 
"ฉันต้องทำงานรับจ้างและเช่านาเขาทำ สองปีแล้วที่ฝนแล้งติดๆ กัน ครอบครัวจึงลำบากมาก ปีนี้ก็แล้งจัดไม่รู้ว่าฝนจะตกเมื่อไร และไม่รู้ว่าจะหาเงินมาทำบุญ 100 วันให้ลูกสาวได้หรือเปล่า ถ้าไม่มีคงทำบุญเลี้ยงพระแบบข้าวหม้อ แกงหม้อ ตามประสา" นางต้อย กล่าวด้วยความรันทด 
เมื่อถามว่า ฝ่ายทหารได้ช่วยเหลือเรื่องค่าชดเชยบ้างหรือไม่ นางต้อย บอกว่า ไม่ได้รับเลย แต่ต้องทำใจ เพราะยอมรับว่าเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกสาวจริงๆ และที่ผ่านมาทหารก็จะมาประกาศ เตือนเสมอไม่ให้เข้าไปหา ของป่าและเก็บเศษระเบิดในป่า แต่ชาวบ้านก็จำเป็นต้องไป เพราะไม่มีรายได้อื่น จึงอยากให้ทหารกั้นพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตหวงห้าม หรือเก็บกู้ระเบิดให้หมดเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก 
หลังเล่าเรื่องราวอันรันทดเสร็จ เธอก็คว้ารูปบุตรสาวไว้แนบอก พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา โดยเพื่อนบ้านบอกว่า นับตั้งแต่วันนั้นสภาพจิตใจของเธอก็ย่ำแย่หนัก เวลาเห็นเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรสาวก็จะร้องห่มร้องไห้ เวลาที่ฝนฟ้าคะนองก็จะบังเกิดความหดหู่ จนต้องกอดรูปบุตรสาวร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด กระทั่งสามีและบุตรชายต้องเอารูปนั้นไปซ่อนไว้ จนกว่ากาลเวลาจะเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้น 
ย้อนไปก่อนหน้านั้นประมาณสามปี นายแสง แหนขุนทด ในวัยเพียง 33 ปี ชาวบ้านเขาหมูมัน ต.นิยมชัย อ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี ก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับลูกระเบิด โดย นางแวว กลิ่นหอม อายุ 31 ปี น้องสาวของผู้ตาย เล่าว่า วันนั้นพี่ชายชวนไปเก็บระเบิดหลังจากทหารซ้อมรบกันเสร็จ ด้วยความอยากรู้จึงไปกับพี่ชาย แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติพี่ชายเป็นคนขี้กลัวและเพิ่งจะไปเก็บเป็นครั้งแรก 
นางแวว เล่าว่า "หลังจากได้ระเบิดมาพอสมควรแล้ว พี่ชายก็เอาค้อนมาตอกหัวระเบิด เพื่อแยกเอาเฉพาะทองแดงไปขาย โดยระเบิดที่พี่ชายกำลังตอกนั้นโตขนาดเท่าสองกำปั้น จังหวะที่กำลังตอกก็เกิดเสียงดังซู่ๆ คล้ายสายชนวน จากนั้นจึงเกิดระเบิดขึ้นจนฉีกร่างพี่ชายเละไม่มีชิ้นดี 
ส่วนภรรยาของพี่ชาย ซึ่งกำลังท้องได้ประมาณสามเดือนก็ต้องขาขาด เพราะขณะนั้นกำลังแต่งตัวเตรียมจะไปงานศพคนในหมู่บ้าน แต่กลับต้องมางานศพของสามีตัวเอง แถมยังต้องมาพิการขาขาดอีก โชคยังดีอยู่บ้างที่ไม่แท้งลูก แต่พอคลอดออกมาลูกก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าใดนัก" 
อย่างไรก็ตาม แม้จะต้อง "เสี่ยงตาย" สูง แต่ชาวบ้านที่นี่และละแวกข้างเคียงก็รักที่จะเสี่ยง เพราะรายได้จากการเก็บเศษเหล็กขายมันยั่วยวนใจ แม้จะไม่ได้มากมาย (500-600 บาทต่อวัน) แต่ก็ยังดีกว่าทำนา หรือหาหน่อไม้ ซึ่งไม่ค่อยจะพอกินเท่าไรนัก 
นายสิงห์ แหนขุนทด อายุ 33 ปี น้องชายของนายแสง หนึ่งในเหยื่อระเบิด ซึ่งต้องสูญเสียนิ้วเท้าและมีแผลไฟลวกที่ขาจนต้องนอนโรงพยาบาลร่วมเดือน เล่าว่า ปกติตนจะเข้าไปเก็บเศษระเบิดทุกปี เพราะรายได้ดี แม้จะมีให้เก็บเพียงปีละครั้งคือ ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บครั้งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่ก็กลัวๆ อยู่บ้าง เพราะพี่ชายก็ตายไปเมื่อสามปีก่อน 
"วันนั้นผมยังเก็บไม่ได้เลย พอเห็นหางจรวดยาวเท่าขา ซึ่งยังมีควันพวยพุ่งอยู่ ผมกลัวจะร้อนจึงใช้ไม้สอดแล้วยกขึ้น ทันใดนั้นน้ำสีส้มๆ คล้ายสนิมก็ไหลออกมาถูกช่วงขา หัวเข่า และหลังเท้าด้านขวา ตอนนั้นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก จากนั้นก็เกิดเป็นเพลิงลุกไหม้ขึ้นทันที" 
พิษของแผลไฟไหม้ทำให้เขาต้องเสียนิ้วนางข้างขวาไป ขาขวาเต็มไปด้วยแผลไฟลวกเกือบจะถูกตัดขาทิ้งจนต้องรีบเผ่นออกจากเตียงคนไข้มาก่อน เพราะหมอบอกว่า สารเคมีแทรกซึมเข้าไปมาก เกรงจะรักษาไม่หายขาด จากนั้นเขาก็ไม่กล้าโผล่ไปให้หมอเห็นหน้าอีกเลย 
นายสิงห์ ยืนยันว่า จะกลับไปเก็บระเบิดอีก เพราะไม่มีรายได้เสริมอย่างอื่น ส่วนรายได้ประจำก็ไม่ค่อยพอกิน จึงไม่อยากให้ทหารหยุดซ้อมรบ และจากนี้ไปจะ "ระวังตัว" ให้มากขึ้น 
เหรียญมีสองด้านฉันใด เรื่องนี้ก็เช่นกัน เพราะด้านหนึ่งแม้จะมีคนเห็นด้วย แต่สำหรับ นางพิม พิพิธทอง แม่ค้าร้านชำ วัย 52 ปี คนหมู่บ้านเดียวกัน กลับไม่เห็นด้วยที่จะให้ทหารมาซ้อมรบใกล้บ้าน เพราะเกือบ 10 ปีก่อน เธอต้องสูญเสีย นายนิติชัย พิพิธทอง บุตรชายวัย 18 ปี ระหว่างไปดูการซ้อมรบของทหาร 
นางพิม เล่าว่า เมื่อประมาณปี 2540 มีเพื่อนชวนไปดูการซ้อมรบ ลูกชายจึงอยากไปดูด้วย เพราะไม่เคยไปมาก่อน แต่การไปวันนั้นเป็นการไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะกระสุนนัดหนึ่งพุ่งตัดขั้วหัวใจ ในขณะที่บุตรชายเข้าไปหมอบดูการสู้รบอยู่ในคูน้ำตรงแนวหน้าของการซ้อมรบ จนขาดใจตายคาที่ 
แม้จะเสียบุตรชายไปในการซ้อมรบ แต่นางพิมก็ไม่ได้กล่าวโทษทหาร เพราะรู้ดีว่าเป็นความคึกคะนองและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบุตรชาย อีกทั้งก่อนการสู้รบทหารก็มีการประกาศเตือนตลอด และยังแสดงน้ำใจด้วยการช่วยค่าทำศพมา 1 หมื่นบาท แต่โดยรวมแล้วเธอก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่ทหารจะมาซ้อมรบใกล้หมู่บ้าน 
"ช่วงแรกๆ ที่มาซ้อม ทหารจะยิงปืนข้ามหมู่บ้านไป กระสุนบางลูกตกห่างบ้านคนนิดเดียว จนชาวบ้านต้องเข้าไปร้องเรียน ตอนหลังทหารจึงเข้าไปตั้งค่ายในป่าหมด แต่ก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ขับรถเร็วจนฝุ่นตลบ, เมาแล้วเอะอะโวยวาย ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อย พอระดับนายๆ มาเขาก็ทำตัวดี แต่พอนายจากไปก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิม" เธอ กล่าวอย่างเอือมๆ 
อย่างไรก็ตาม นางพิมก็เชื่อว่า ทหารคงต้องซ้อมรบในละแวกนี้อีกนาน เพราะมีภูมิประเทศเหมาะสม อีกทั้งชาวบ้านบางส่วนก็ชอบที่มีรายได้ในการเก็บเศษเหล็ก และขายของให้ทหาร ดังนั้นเธอจึงไม่หวังถึงขั้นว่าทหารจะเลิกซ้อมรบ แค่ขอให้ "เกรงใจ" และ "ให้เกียรติ" ชาวบ้านเจ้าของพื้นที่บ้างก็น่าจะเพียงพอ 
นี่คือชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายของชาวบ้านส่วนหนึ่งใน อ.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี ที่ต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อเก็บชิ้นส่วนระเบิดมาขายเป็นเศษเหล็กแลกกับเงินเพียงน้อยนิด และแม้จะต้อง "เสี่ยงตาย" ขนาดไหนก็ตาม 
มณเฑียร อินทะเกตุ				
comments powered by Disqus
  • Reader 8

    12 กันยายน 2548 11:17 น. - comment id 11916

    10.gif10.gif10.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน