21 พฤศจิกายน 2547 15:20 น.

เสือก!.. ไม่ได้ถาม?

วิจิตร ภู่เงิน

ข้าพเจ้าหย่อนก้นลงนั่งบนม้าหินอ่อนริมๆสวน ใกล้ๆกับต้นมะพร้าวฝรั่งเพื่อนข้าพเจ้านั่งลงตรงข้ามข้าพเจ้า หยดน้ำค้างที่ชื้นแฉะความหนาวเย็นที่ตอกตรึงลงในเนื้อม้าหินอ่อนอยู่ก่อนแล้วทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงเนื้อในเทียวหละ

การมาเรียนหน้าหนาวในตอนเช้าๆอย่างนี้ ข้าพเจ้าว่ามันไม่ต่างอะไรเลย กับการบังคับให้ข้าพเจ้านั่งกินไอศครีมในห้องแอร์ที่ปรับอุณหภูมิลงรอแช่แข็งข้าพเจ้านั่นหละ หรือไม่ก็บังคับให้ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่บนเกาะน้ำแข็งในสภาพเปลือยเปล่า การอาบน้ำในตอนเช้าๆนั่นหละที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดอย่างนั้น

ทำไมไม่ใส่เสื้อกันหนาวมาว่ะ?เพื่อนข้าพเจ้าทักเมื่อเห็นข้าพเจ้านั่งห่อไหล่เอามือซุกใต้รักแร้ปากสั่น
รีบข้าพเจ้าตอบสั้นๆ ก็มึงรีบไปรับกูมาทำไมข้าพเจ้าเสริมคำตอบเมื่อครู่
กูตื่นเต้น
ตื่นเต้นเหี้ยอะไร?
ก็ถึงหน้าหนาวแล้วไง
บ้า.. ไอ้บ้า
ใคร?
กูบ้าเอง
ทำไมมึงบ้าว่ะ
ก็กูดันไปคบเพื่อนบ้าๆอย่างมึงไงข้าพเจ้าตอบยิ้มๆ...

ต้นมะพร้าวฝรั่งยืนแกว่งใบ ยอดพลูด่างส่ายไหวตามแรงลมเบาๆชีวิตในตัวอาคารนอกจากข้าพเจ้าและเพื่อนแล้วก็มีพืชไม้ในสวนนี่หละ แต่ตามถนนข้างนอกนักศึกษาก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆ

เอ็งว่าเราจะเจอคนนั้นหรือเปล่าว่ะ?ข้าพเจ้าถาม
คนไหน
ก็คนสวยๆนั่นไง
ตั้งแต่มาเรียนที่นี่กูยังไม่เคยเจอคนขี้เหร่ มึงนึกภาพออกมั๊ย? เจอสิบสวยแปดน่ารักสอง
หึ หึสายตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนทำให้ข้าพเจ้าอดขำไม่ได้ ก็คนผมตุ๊กตาสวยนั่นไงข้าพเจ้าพยายามบอกจุดเด่นของคนที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึง
อ๋อเพื่อนข้าพเจ้าทำหน้าเหมือนกำลังนึกออกเออ.. ใช่หวะ คนน่ารัก น่ารักนั่นใช่ป่าวเพื่อนข้าพเจ้าทำหน้าตาลิงโลดแสดงความแน่ใจ
ช่าย.. คนนั้นข้าพเจ้าตอบย้ำความแน่ใจของเพื่อน
เดี๋ยวก็คงมาเพื่อนข้าพเจ้าคาดเดาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

เสียงย่ำเท้าของนักศึกษาที่มาเรียน เสียงพูดคุยทักทายฟังไม่ได้ศัพท์ แสงแดดอ่อนในตอนเช้าแผดกล้าขึ้นความหนาวเย็นเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยแสงแดดอุ่นๆ

มาแล้ว โน้นไง เพื่อนข้าพเจ้าพูด และเบ้ปากชี้ไปตรงหน้าอาคาร เด็ดจริงๆ
กูชอบทรงผมหวะ ยังกะตุ๊กตาข้าพเจ้าว่า
ตุ๊กตาบาบี้เพื่อนข้าพเจ้าพูดแล้วหัวเราะ
นะข้าพเจ้าย้ำคล้ายเห็นด้วยกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน

เพื่อนข้าพเจ้าเคยเดาว่าเธอน่าจะเรียนศึกษาหรือไม่ก็ศิลปศาสตร์ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างนั้น เธอเดินมากับเพื่อนอีกคน

มาแย้ว มาแย้ว..เพื่อนข้าพเจ้าทำเสียงเลียนเด็ก

เธอเดินเข้ามาในสวนแล้วเลือกหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนอีกมุมหนึ่งของสวนห่างจากเพื่อนและข้าพเจ้าไม่ไกลมากนัก เธอนั่งคุยกับเพื่อน บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็นั่งเงียบฟังเพื่อนพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งก็แสดงท่าทีประกอบเมื่อเวลาเธอเป็นคนพูดบ้าง รอยยิ้มที่มุมแก้มเป็นเสน่ห์ของเธอเทียวหละ

พวกนั้นมาช้าจังว่ะข้าพเจ้าหมายถึงเพื่อนๆในห้อง
ก็มึงกับกูมาเช้าเพื่อนข้าพเจ้าว่า
เช้าที่ไหนจะได้เวลาเรียนแล้ว
อาจารย์ก็ยังไม่มา
ก็ดี...ข้าพเจ้าพูดแล้วหันไปมองผู้หญิงผมตุ๊กตาคนนั้น เขาจะไปเรียนแล้วว่ะข้าพเจ้าว่าเมื่อมองเห็นผู้หญิงผมตุ๊กตาคนนั้นเธอลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
ฮ่า ฮ่าเพื่อนข้าพเจ้าหัวเราะ ก็เรียนห้องข้างเรานี่หละเพื่อนข้าพเจ้าว่า
จริงอ่ะ
จริงเพื่อนข้าพเจ้าย้ำอย่างมั่นใจ หนะ เห็นมั๊ยเดินมาแล้วเพื่อนข้าพเจ้าว่าเมื่อเห็นผู้หญิงผมตุ๊กตาเดินมาพร้อมเพื่อนเธอ
ข่นซ่วยเพื่อนข้าพเจ้าพูดแซวพร้อมยกมือขึ้นส่ายริกๆ
เธอ...
สวย
คนสวย
ข่นซ่วย...เพื่อนข้าพเจ้าพูดแซวเสียงดังเมื่อเธอและเพื่อนเดินผ่าน
เสือก!.. ไม่ได้ถาม..เธอหันมาตวาดทำหน้าระรื่นแล้วหันกลับไปจูงมือเพื่อนเดินเข้าห้องเรียนไป...
??????				
14 พฤศจิกายน 2547 13:54 น.

รูรั่วที่ท้องเรือ

วิจิตร ภู่เงิน

แม่บอกให้ผมหาหอยโข่งด้วย แม่จะทำน้ำพริกเปรี้ยวหวานจิ้มคงดี พ่อเสริมว่าถ้าได้เยอะพ่อจะทำก้อยห้อยโข่ง ไม่รู้จะมีคนกินด้วยหรือเปล่า? ก่อนออกจากบ้านแม่กำชับผมหนักหนาว่าอย่าลงเล่นน้ำที่ท่าตระไคล้เพราะน้ำท่านั้นลึกมาก ถ้ามีบัวก็เก็บมาฝากน้องมันด้วย มันคงดีใจแต่อย่าลงเล่นคนเดียวหละให้ปู่เป็นคนพาไปเก็บ

ผมมาถึงกระท่อมปู่ก็บ่ายโมงกว่าๆแล้วประมาณเอาจากดวงอาทิตย์ที่ทำองศากับศรีษะกอปรกับตอนที่เดินผ่านวัดเห็นคนมาส่งจังหันเริ่มทยอยกันกลับหลังจากที่ช่วยกันล้างถ้วยจานเสร็จ ผมเคยมาจังหันครั้งหนึ่งตอนนั้นแม่ไม่อยู่บ้านยายให้ผมเอาจังหันมาส่งที่วัดและรอเอาปิ่นโตกลับด้วย ผมเพิ่งรู้ว่ากับข้าวที่วัดอร่อยก็วันนั้นแต่ก็ต้องแลกกับถ้วยจานกองโตเทียวหละ

ปู่กำลังง้วนอยู่กับการเหลาไม้ไผ่ที่ชานกระท่อมเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้
บุง...ปู่ทักสั้นๆแล้วหันไปสนใจกับการเหลาตอกไม้ไผ่ดั่งเดิม พ่อเอ็งไม่มาหรอปู่ถามโดยที่สายตาและมือยังให้ความสนใจไปที่ตอกไม้ไผ่ ข้าต้องเหลาให้มันเท่าได้ขนาดเดียวกันเวลาเอาไปถักจะได้ง่าย ช่องมันจะได้เท่าๆกันปู่พูดต่อ
พ่อกองไม้จะเผาถ่านครับ ผมเพิ่งไปช่วยพ่อขนมาเมื่อวานผมตอบปู่สายตาก็จ้องไปที่ตอกไม้ไผ่ วันนี้ปู่ไม่ลงข่ายหรอครับผมถามพลางหยิบเศษตอกไม้ไผ่ขึ้นมาแกว่ง แม่ฝากผมมาหาหอยโข่งด้วย ไม่รู้จะมีหรือเปล่า?ผมบอกจุดประสงค์ที่มาวันนี้ให้ปู่รู้
ก็คงค่ำโน้นหละ วันนี้กะว่าจะโรยเบ็ดราวด้วย ข้าเพิ่งไปจับปูมาได้เยอะเทียวหละ อยู่ในกระชังบนกระท่อมโน้น  ไปดูซิปู่ชี้มือไปที่กระชังบนกระท่อม ข้าคิดว่าพ่อเองมันจะมา ข้าวเปลือกให้ไก่ก็หมด กะว่าจะให้มันแบกมาให้ชะหน่อย มันก็ไม่มาเสียนี่ ข้าสั่งเอ็งไปแล้วกัน ให้มันแบกมาให้หน่อย ข้าขี้เกียจเข้าบ้านปู่ร่ายยาว ข้ามันก็แก่แล้ว ปู่ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วจัดการเหลาตอกไม้ไผ่ตามเดิม

กระท่อมของปู่เป็นกระท่อมหลังใหญ่เมื่อเทียบกับกระท่อมหลังอื่นๆในทุ่งแต่ไม่แปลกหรอกเพราะปู่เป็นคนเดียวที่อาศัยอยู่ในทุ่งทุกหน้าฤดู ผมเคยถามพ่อว่าทำไมปู่ไม่มาอยู่บ้านสีหน้าของพ่อหม่นลงแววตาเศร้าเหม่อคล้ายกำลังคิดอะไรสักอย่างก่อนที่จะตอบผมว่า แก่คิดถูกแล้วหละนับจากวันนั้นผมก็ไม่เคยถามเรื่องนี้กับพ่ออีก

ปูตัวเล็กๆในกระชังเกาะช่องกระชังปีนขึ้น ผมเปิดฝากระชังดู ปู่ไปจับมาจากไหนครับ เยอะแยะ ผมตะโกนถามปู่
ก็แปลงงานบึงนั่นหละ ต้นข้าวมันล้ม ปูก็พอจะหาได้อยู่ปู่เล่า

ผมนึกไปถึงหน้านาหลังปักดำ ช่วงที่ต้นข้าวกำลังแตกกอใบเขียว ช่วงนี้หละปลากำลังกินเหยื่อถ้าได้เหยื่อปูมาแทนเหยื่อไส้เดือนคงจะดี ผมคงไม่ต้องทนอยู่กับคาวเมือกไส้เดือนที่ติดขอบเล็บและเหยื่อปูตัวเล็กๆที่วางก็คงไม่เปลือง แต่หน้านาปูตัวเล็กๆหายากแต่ก็ดีที่มีเขียดพองลม แต่ต้องออกฉายไฟหาตอนกลางคืน

ผมเคยออกฉายไฟหาเขียดพองลมกับพ่อ พ่อสอนให้ผมดูตากบนาแต่ผมมักจะส่องเจอเจ้าคางคกตัวเขื่องเสมอ เขียดพองลมจะตัวเล็กเราจะฉายไฟส่องตามันไม่เจอ จะต้องฟังเสียงร้องของมันและเดินตามเสียง บางตัวก็อยู่เป็นคู่เทียวหละ เขียดพองลมจะจับง่าย แสงไฟเหมือนมนตร์สะกดมันเทียวหละ มันจะนิ่งหมอบลงและเราจะจับมันได้ ส่วนมากเจ้าพวกนี้จะอาศัยตามปลักวัวควายหรือบริเวณน้ำปริ่มๆ

ตะวันยามบ่ายอ่อนแสงลงตามเวลา ลมที่พัดผ่านลำห้วยหอบเอากลิ่นบัวหลวงขึ้นมากำซาบในความรู้สึกเมื่อได้สำผัส ฝูงวัวควายเริ่มทยอยกันลงตามท่าต่างๆฝุ่นควันดินลอยคลุ้งเป็นทางยาวคล้ายทางช้างเผือกที่ผมดูจากรูปที่อาจารย์ประจำวิชาเอามาให้ดูในคาบวิชาวิทยาศาสตร์ยังไงยังงั้น เพียงแต่นี่มันเป็นทางของวัวควายเท่านั้น

เดี๋ยวเอ็งเอากระชังปูไป เบ็ดราวกับข่ายอยู่ในเรือแล้ว ปู่ละมือจากการเหลาตอกไม้ไผ่พลางจัดตอกมัดด้วยยางเส้นรถจักรยาน เอ็งเอาเรือไปรับข้าที่ท่านั่นหละ ข้าจะเอาเจ้าทุยมันลงกินน้ำและล่ามมันไว้แล้วจะได้ลงข่ายและโรยเบ็ดราวกันปู่ร่ายยาวแล้วเก็บตอกไม้ไผ่สอดไว้ตามร่องฝาข้างกระท่อม เออ !.. ข้าลืมบอกเอ็ง กุญแจล่ามเรือห้อยอยู่หลังปฏิทินข้างเสานั่นหละ ข้ากลัวเด็กพวกนั้นมันเอาไปเล่นกัน เรือมันก็รั่วๆอยู่ด้วย ไม่อยากให้มันเอาไปเล่นปู่หมายถึงลูกๆของอา ข้าจะไปเอาเจ้าทุยหละ เดี๋ยวเอ็งเห็นข้าเอาเจ้าทุยมาก็ไปเอาเรือเลยละกัน ปู่พูด พลางม้วนยาฉุนจุดสูบแล้วออกเดินลัดทุ่งไป

เรือแจวลำเล็กๆในท่าถัดจากกระท่อมมาไม่ไกลนัก มันถูกล่ามอิสระด้วยโซ่ขนาดล่ามช้างได้เทียวหละ โดยมีต้นมะม่วงแก้วเป็นเสาหลักล่าม พ่อเคยเล่าว่าเรือลำนี้หละที่พ่อกับปู่ใช้ลงข่ายและโรยเบ็ดราวมันเป็นเรือลำเดียวที่เกิดมาพร้อมพ่อ หรืออาจจะก่อนพ่อ พ่อว่าปู่ใช้มันเป็นเครื่องมือหาปลาเลี้ยงพ่อและน้องๆ

ผมจัดการกับโซ่ที่ล่ามมวนลงท้ายเรือใช้พายท่อฝั่งถีบเรือทะยานออกจากฝั่งแหวกแพรผักตบชวาที่ขึงพรืดอยู่ตรงหน้าสู่เวิ้งลำห้วยที่ดูนิ่งสงบ ลำห้วยอันคดโค้งทำให้ผมคิดไปถึงงูพิษตัวมหึมาในหนังกลางแปลงลานวัดที่ผมเคยไปดูกับแม่ มันช่างน่ากลัว! ในห้วงความรู้สึกผมลำห้วยที่ไหลเอื่อยเฉื่อย มันเหมือนงูพิษที่อิ่มเหยื่อก็มิปาน

ผมค่อยๆแจวเรือตามริมฝั่งไปเรื่อยๆสายตาก็มองหาหอยโข่งที่แม่จะทำน้ำพริกเปรี้ยวหวานให้จิ้ม และถ้าได้เยอะพ่อจะทำก้อยหอยโข่ง กว่าจะถึงท่าที่ปู่เอาเจ้าทุยลงผมคงได้หอยโข่งเยอะเทียวหละ ผมคาดเดา แต่มันคงจะได้เยอะจริงๆหละเพราะตอนนี้ผมก็ล่าเจ้าหอยโข่งได้พอสมควรแล้ว

ผมแจวเรือไม่ค่อยคล่องนัก ผมจำได้วันที่ผมแจวเรือข้ามฟากห้วยคนเดียววันนั้น ตอนนั้นผมยังว่ายน้ำไม่เป็นเลย ลุงแก่โกหกผมว่าจะพาผมไปด้วยแต่แก่กลับบอกว่าลุงจะไปกินเหล้าที่พาผมมาก็เพื่อที่จะให้เอาเรือกลับ ตอนนั้นผมจำได้แม่ยืนลุ้นผมอยู่ริมฝั่งอีกฝากข้างๆพ่อ พ่อบอกให้ผมกวักน้ำฝั่งซ้ายสามทีและฝั่งขวาสามทีแต่เรือก็ยังส่ายหัวไม่เป็นท่า

ผมไม่อยากนึกเลยว่าถ้าตอนนั้นเรือเกิดล่มขึ้นมาผมจะเป็นยังไง ก็ผมยังว่ายน้ำไม่เป็น พ่อจะว่ายมาช่วยผมทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในลำห้วยขุ่นข้นรกทึบไปด้วยบึงหญ้าและผักตบชวาอย่างนั้น ถ้าเรือเกิดล่มมาจริงๆผมคงโดนจรเข้แม่ลูกอ่อนหิวโซตัวเขื่องคาบไปคุ้มน้ำที่ไหนสักแห่งแล้วฉีกเนื้อผมเป็นชิ้นๆอย่างตะกละ ลูกของมันคงชอบใจเทียวหละ เนื้อของผมคงเป็นอาหารมื้อหนึ่งในความทรงจำมันเป็นแน่แต่ผมก็ข้ามฝั่งมาได้ แม่เอามือลูบหัวแล้วเรียกขวัญตามภาษาบ้าน

จากวันนั้น พ่อสอนให้ผมหัดว่ายน้ำ พ่อใช้ไม่ไผ่ลำยาว ให้ผมเกาะใช้เท้าตีน้ำและมืออีกข้างหนึ่งก็กวักน้ำ ต่อจากนั้นพ่อให้ปล่อยลำไผ่แล้วลองว่ายดูจากระยะสั้นๆผมเริ่มว่ายได้ไกลขึ้นแต่กว่าจะว่ายได้ก็กินน้ำไปหลายอึกเทียวหละ

ริมห้วยมีหญ้าบึงขนาดใหญ่ขึ้นเป็นหย่อมๆสลับกับกอผักตบชวาขนาดเล็ก ฝั่งห้วยมีทางเดินของหนูนาตัวใหญ่ ปู่เคยใช้กรงเหล็กหรือไม่ก็ฟ้าลั่นมาดักอยู่บ่อยๆ

ลมในลำห้วยพัดเย็นเอื่อย บัวเผื่อนชูดอกล้อลมในลำห้วย เสียงปลาฮุบเหยื่อในพุ่มพงดังมาเป็นระยะปู่จูงเจ้าทุยมาที่ท่าน้ำแล้ว ผมเริ่มแจวเรือให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะไปรับปู่แล้วเราจะได้ลงข่ายและโรยเบ็ดราว เสร็จจากนั้นผมจะให้ปู่พาไปเก็บฝักบัวที่ท่าบัว แล้วค่อยกลับมาดูเบ็ดราวและข่ายก่อนที่จะเอาเจ้าทุยเข้าผูกหลักและผมก็จะกลับบ้าน ผมประมาณเวลาตอนนี้ก็เย็นพอสมควรกว่าที่เราจะลงข่ายและโรยเบ็ดราวเสร็จก็คงค่ำพอดี ผมเร่งฝีพายให้เร็วขึ้น

ปู่เอาเจ้าทุยล่ามกับกอหญ้าบึงริมห้วยแล้วมาลงเรือ ปู่ให้ผมเป็นคนแจวเรือ ปู่จะเป็นคนวางข่ายและโรยเบ็ดราว เรามากันไม่ไกลจากท่าที่ปู่ล่ามเจ้าทุยมากนัก ปู่เริ่มลงข่าย ผมใช้พายกวักน้ำช้าๆตามจังหวะช่วงการปล่อยข่ายของปู่ ปู่วางข่ายลงเลาะริมฝั่งแล้ววางตัดข้ามลำห้วย และวางเลาะริมฝั่งเหมือนเดิม ปู่มีไม่ไผ่คันยาวที่ติดมากับเรือใช้ปักขวางข่ายไปตามความคดโค้งของลำห้วย ผมใช้พายแหวกแพรผักตบชวาเป็นทางเพื่อให้ง่ายต่อการวางข่ายของปู่

ที่ท้องเรือน้ำซึมผ่านนุ่นที่ปู่ใช้อุดรูรั่วไว้ ก็หลายรูอยู่ดอกตอนที่ผมแจวมาไม่ทันสังเกตอาจจะเป็นเพราะผมนั่งคนเดียว น้ำหนักในเรือจึงไม่ค่อยมากเท่าไร พอปู่ลงเรืออีกคนน้ำหนักในเรือเพิ่มขึ้นทำให้น้ำใต้ท้องเรือซึมผ่านเข้ามาเยอะขึ้น

ปู่ใช้กะลามะพร้าววิดน้ำออกจากเรือ ถ้าไม่รีบวักออกเดี๋ยวก็วักไม่ทันเรือมันจะล่ม เอ็งกะข้าก็คงได้ลงงมหอยที่ก้นห้วยเป็นแน่ปู่พูดติดตลก มือก็ปล่อยข่ายลงตามร่องที่ผมแหวกผักตบชวา เดี๋ยวนี้ปลามันฉลาด มันไม่ค่อยติดข่ายเราง่ายๆหรอก สงสัยมันจบดอกเตอร์กันหมดแล้วปู่พูดถึงวิวัฒนาการการเรียนรู้ของปลาได้อย่างน่าขำ เมื่อวานข้าลงข่ายคนเดียว ได้ปลาตะเพียนมาสามตัวนอกนั้นก็ปลาหมอ สิบตัวเห็นจะได้ปู่เล่าถึงชนิดของปลาที่ลงข่ายได้เมื่อวาน ข้ายังปิ้งเสียบไว้ที่ข้างฝาอยู่เลย ข้ากินข้าวไม่ค่อยอร่อย เด็กพวกนั้นก็ไม่ยอมแวะมาปู่บ่นถึงหลานๆลูกของอาอีกครั้ง ข้าคงคลุกข้าวให้เจ้าวงรีมันปู่หยุดวิดน้ำ บอกให้ผมเร่งพายขึ้นการวางข่ายของเราจะได้เสร็จเร็วขึ้น ปู่บอก

ปู่ผูกเชือกปลายข่ายไว้กับหญ้าบึงริมห้วย วางเบ็ดราวต่อตรงนี้หละ เดี๋ยวจะมืดปู่แก้เชือกเบ็ดราวออก ปักหลักไม้ไผ่แล้วผูกเชือกเบ็ดราวกับหลัก ปู่คว้ากระชังไปวางที่ตักแล้วโรยเบ็ดราว ปู่เสียบคมเบ็ดไปที่กลางตัวปูโรยเบ็ดตามแนวเชือกลงเรื่อยๆ...

เบ็ดราวถูกผูกไว้ที่หลักหลังจากปู่เสียบปูกับคมเบ็ดอันสุดท้าย ตะวันสีส้มอมแดงดวงกลมเริ่มคล้อยลงเรื่อยๆคาวสาปปลาจากลำห้วยคลุ้งกำซาบในลมหายใจ ปู่ผมว่าจะเก็บฝักบัวไปฝากน้องด้วยครับผมบอกปู่สายตามองไปที่กระเพื่อมน้ำปลาฮุบเหยื่อ
เอาซิ ไปเก็บบัวแล้วจะได้มาดูเบ็ดราวกันส่วนข่ายคงไม่ต้องดูหรอกเอาไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาดูเองปู่ว่า มาข้าพายเรือเอง เอ็งจะได้เก็บฝักบัวได้ถนัดผมส่งพายให้ปู่แล้วเปลี่ยนท่านั่งหันหน้าออกจากเรือ

บัวในท่าบริเวณนี้เยอะพอสมควรมีทั้งฝักอ่อนและฝักแก่ ผมเลือกเก็บเฉพาะฝักอ่อนฝากน้อง เรือเข้าไปข้างในบริเวณบึงบัวได้ไม่ถนัดนัก ปู่จึงเลือกที่จะแจววนรอบๆ

เกสรบัวหลวงยั่วยวนหมู่แมลงผึ้งให้มาหลงใหลในบึงห้วยแห่งนี้ เช่นเดียวกับผม ทุกครั้งที่ผมมากระท่อมปู่ผมมักจะชวนปู่มาเก็บบัวที่นี่ ฝักบัวจะเยอะมาก เพราะไม่ค่อยมีคนมาเก็บ น้ำบริเวณนี้ลึกมาก คนหาปลาเล่าให้ผมฟังว่าบึงนี้เป็นบึงจรเข้เจ้าที่รักษาลำห้วย พ่อก็เคยเล่าเรื่องนี้

กลับปู่  เดี๋ยวผมกลับบ้านมืดผมพูดหลังเก็บฝักบัวได้พอสมควรแล้ว
เอ็งเก็บหอยโข่งใส่ถุงนี่ซิ เวลาไปถึงท่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเก็บปู่พูดพร้อมโยนถุงผ้าเขียวมาให้
ข้าคงไม่ดูเบ็ดราวแล้วหละ กลัวจะมืดเอ็งปู่ว่าพร้อมใช้พายกวักน้ำเข้าหาตัวเรือหันหัวเรือกลับท่าบึงท่าล่ามเจ้าทุยไว้ ข้าจะเอาเจ้าทุยเข้าผูกเอง เอ็งเอาเรือไปเก็บที่ท่าแล้วกันปู่พูดพร้อมกับเร่งฝีพายเรือแจวพุ่งทะยานไปข้างหน้าตามจังหวะกวักน้ำของพาย

ระดาดดาวยามพลบค่ำส่องแสงระยิบ เสียงปลาฮุบเหยื่อจากลำห้วยดังมาถึงกระท่อม ปู่จูงเจ้าทุยมาผูกกับหลักข้างกระท่อม อ้าว!.. ยังไม่กลับหรอ ข้าก็นึกว่าเอ็งกลับไปแล้วปู่ทัก เมื่อเจอผมยังนั่งอยู่ที่ชานกระท่อม
เดี๋ยวกลับแล้วครับ ผมรอปู่ผมบอกเหตุผล นี่ลูกกุญแจล่ามเรือครับผมพูดพลาง ส่งลูกกุญแจเรือให้ปู่ ผมกลับนะครับผมลาปู่แล้วหยิบมัดฝักบัวกับถุงหอยโข่งถือคนละข้าง เดินออกคันนาของกระท่อม
บุง อย่าลืมบอกพ่อเอ็งแบกข้าวเปลือกมาให้ข้าด้วยหละ ไก่มันไม่มีข้าวกินปู่ตะโกนไล่หลังผมมา
ครับ...ผมตอบปู่พร้อมเร่งฝีเท้า ขืนผมเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ละคงมืดทางเป็นแน่ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นหรอก ทางกลับบ้านผมต้องผ่านวัดด้วยนี่! เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กฉลาดอย่างผมจะเลือกไม่เผชิญหน้ากับบางสิ่ง

น้องวิ่งมารับฝักบัวจากผม แม่รับหอยโข่งจากผมไปแล้วจัดแจงล้างเมือกไคลออก แบ่งไว้ให้พ่อพอประมาณแล้วแม่ก็เอาหอยโข่งไปต้ม พ่อมาลงมือทำก้อยหอยโข่งดังว่า ส่วนแม่ก็ง้วนอยู่กับการทอดไข่เจียวและตำน้ำพริกเปรี้ยวหวานจิ้มหอยโข่ง

แม่ตั้งสำหรับข้าวแล้วเรียกพวกเรามากินข้าว ก้อยหอยโข่งของพ่อนอกจากพ่อแล้วก็ไม่มีใครจะพิศวาสอาหารรายการของพ่อ ผมตักชิมดูมันก็อร่อยดี แต่ผมไม่ชอบกินอาหารดิบๆคุณครูที่โรงเรียนบอกว่าอย่ากินของสุกๆดิบๆเพราะจะเป็นพยาธิใบไม้ในตับ แต่พ่อผมชอบอาหารประเภทนี้เทียวหละ  วันนี้น้ำพริกเปรี้ยวหวานจิ้มหอยโข่งของแม่อร่อยมาก

ลมหลังบ้านพัดสาดลอดเข้ามาถึงแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน เสียงแม่บ่นเรื่องพ่อไม่ยอมกองถ่านให้เสร็จเพราะมัวไปดูเขาชนไก่  ไข่เจียวในจานหมดไปพร้อมๆกับหอยโข่งและน้ำพริกเปรี้ยวหวาน แต่ก้อยหอยโข่งของพ่อ? ยังอยู่! อยู่เป็นเพื่อนพ่อที่กำลังนั่งตักมันมาเคี้ยวทีละคำพลัดกับการส่งข้าวเข้าปาก ยายและน้องขึ้นบ้านหมดแล้ว ในขณะที่ผมกับแม่นั่งรอให้พ่ออิ่มข้าว

ลมย่ำค่ำพัดเอื่อยเย็น จิ้งหรีดบ้านกรีดปีกร้องหาคู่อื้ออึง เสียงจอแจของนกกระจอกบางตัวที่ยังนอนไม่หลับ เจ้าวงรีหมอบรอให้พ่ออิ่มข้าว เสียงแม่ซ้อนจานและปิดฝาหม้อข้าว เสียงพ่อเรอก่อนที่จะยกขันน้ำขึ้นดื่ม  แก่คิดถูกแล้วหละแว่วหูของผมยังได้ยินคำที่พ่อตอบผมวันนั้น วันที่ผมถามพ่อว่าทำไมปู่ไม่มาอยู่บ้าน?				
7 พฤศจิกายน 2547 13:37 น.

หนังสือเล่มนั้น

วิจิตร ภู่เงิน

ข้าพเจ้าเดินมาหยุดอยู่ที่มุมหนังสือในร้าน มองสำรวจในชั้นหนังสือ หนังสือแต่ละเล่มสีสันของปกสะดุดตาชวนให้อยากจะจับจะหยิบขึ้นมาอ่าน มีบางครั้งที่ข้าพเจ้าเคยคิดไปว่าถ้ามีเงินเยอะๆจะซื้อเก็บไว้ทุกๆเล่ม

ข้าพเจ้าหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเป็นหนังสือบทกวีและบทความสั้นๆข้าพเจ้าไม้รู้จักนักเขียน ไม่คุ้นนามปากกา คงเป็นนักเขียนหน้าใหม่คนหนึ่ง ปกหนังสือไม่มีตรารางวัลที่ได้รับ เป็นหนังสือที่พิมพ์ขึ้นครั้งแรก

ข้าพเจ้าพลิกอ่านไปคร่าวๆเนื้อหาในหนังสือทำให้ข้าพเจ้าสนใจหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาทันที สนใจนักเขียน สนใจความคิดความรู้สึกของกวีคนนี้ จากคำนิยมข้าพเจ้าได้ทราบว่าเธอมีความสนใจในการเขียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก เธอชอบวาดรูป ชอบแต่งบทกวี บทความและเรื่องสั้น เธอผ่านชีวิตในรั้วมหาลัยแห่งหนึ่ง และเธอได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านั้นมา มารวมเป็นหนังสือเล่มนี้ เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงเทียวหละจากคำนิยม

เธอถ่ายทอดชีวิตในรั้วมหาลัยแห่งนั้นจากประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอเอง จากสิ่งที่เธอเห็นโดยรอบข้าง เธอแสดงมุมมองไว้ได้อย่างดีเทียวหละ ทั้งความรัก ความเศร้า ความเหงา การใช้ชีวิตนอกกรอบอย่างกบที่กระโดดออกจากกะลาเพื่อไปสู่หนองน้ำอันอุดมด้วยประสบการณ์ ข้าพเจ้ามองเห็นรอยยิ้มของเธอ เห็นความแจ่มใสในวัยวันที่ปรากฏผ่านตัวหนังสือที่เธอถ่ายทอดมา

ข้าพเจ้าละสายตาจากหนังสือ ผู้คนในร้านทยอยกันเข้าออกเรื่อยๆและพนักงานประจำร้านก็ยังทักทายด้วยคำเดิมๆที่คุ้นหู

ข้าพเจ้ามองไปข้างๆมีผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาดีเทียวละ รูปร่างสมส่วน ผิวขาว คล้ายเธอกำลังหาหนังสือสักเล่มที่ตั้งใจว่าจะมาซื้อให้ได้ เธอเดินสายตาก็กวาดไปตามชั้นหนังสือตรงหน้า ขอโทษค่ะเธอกล่าวเมื่อเดินผ่านข้าพเจ้าไป

เธอหยุดยืนอยู่ข้างๆใกล้ๆกับข้าพเจ้า หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ข้าพเจ้าชำเลืองตาดูหนังสือเล่มนั้น หนังสือเล่มนั้นเขียนโดยคนที่มีชื่อเสียงในวงการคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทราบดี เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในแผง ข้าพเจ้าเจอหน้าคนเขียนบ่อยๆตามหน้าจอทีวี ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วเป็นการเขียนบอกเล่าชีวิตของเธอก่อนที่จะเข้าวงการและหลังจากที่เข้าวงการแล้ว มีการเขียนกระทบกะทั้งใช้ถ้อยคำได้ดุเดือดเผ็ดมันมาก ความรัก คนรักที่ต้องยื้อแย่ง และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวกับผู้เขียน 

ข้าพเจ้าอดคิดไปไม่ได้ว่าเธอคนนั้นคงอยากจะเข้าวงการและข้าพเจ้าคงเจอเธอบ่อยๆตามหน้าจอทีวี เธอคงน่ารักเทียวล่ะ

ข้าพเจ้าพลิกหนังสือเล่มที่ถืออยู่ดูราคาที่ด้านหลัง ฮือ...ข้าพเจ้าถอนหายใจ ถ้าพ่อข้าพเจ้าฝากเงินเข้าธนาคารให้วันนี้นะ ถ้าเพื่อนข้าพเจ้าไม่ยืมเงินข้าพเจ้าไปนะ  ถ้าพรุ่งนี้ข้าพเจ้าไม่ต้องกินข้าวนะ หนังสือเล่มนี้คงเป็นของข้าพเจ้า

แอร์ในร้านเย็นจนข้าพเจ้าต้องยืนห่อไหล่ ข้าพเจ้าวางหนังสือเล่มนั้นลงในชั้นหนังสือตามเดิม ตาก็ชำเลืองไปที่หนังสือเล่มที่เธอคนนั้นหยิบซื้อไป มันวางห่างจากหนังสือที่ข้าพเจ้าวางเพียงสี่ห้าช่วงของระยะหนังสือเท่านั้น ทำไมล่ะ?

ข้าพเจ้าเดินตามซอกการจัดวางสินค้า ผ่านมาที่ชั้นของขนมและหยิบขนมปังสังขยามาหนึ่งถุง เดินไปหยิบนมเปรี้ยวที่ตู้เย็นหลังร้านมันใหญ่พอที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปหลบใครสักคนให้เขาหาข้าพเจ้าไม่เจอได้เทียวหละ

ข้าพเจ้าเดินมาเข้าแถวเพื่อที่จะจ่ายเงินที่เคาเตอร์ มีลูกค้าสี่ห้าคนที่กำลังยืนเข้าแถวรอจ่ายเงิน ข้าพเจ้าจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน

ข้าพเจ้าชำเลืองตามองผ่านกระจกหน้าร้านไปยังชั้นหนังสือในร้าน หนังสือเล่มที่ข้าพเจ้าหยิบมาอ่านมองมาที่ข้าพเจ้า เธอคนนั้นยังยืนอยู่ที่ชั้นหนังสือนั่น ในมือถือหนังสือเล่มนั้น เธอเดินมาจ่ายเงินที่เคาเตอร์ เดินออกจากร้านผ่านข้าพเจ้าไป

ข้าพเจ้ามองตามเธอไป แล้วกลับมามองที่ชั้นหนังสือ หนังสือเล่มเดียวกันกับที่เธอคนนั้นหยิบไปกำลังยิ้มแฉ่งเย้ยข้าพเจ้า ขณะเดียวกันหนังสือที่ข้าพเจ้าหยิบมาอ่านกำลังร้องไห้...				
30 ตุลาคม 2547 20:33 น.

ปล้องข้าวที่จมน้ำ

วิจิตร ภู่เงิน

จากลมเย็นๆที่พัดผ่านกระท่อมลมเริ่มทวีแรงขึ้นตามลำดับของค่ำคืน แสงไฟที่ยังติดดุ้นฟืนในเตาสว่างวาบๆเปลวไฟตะเกียงลู่ตามแรงลมที่พัดหรี่แสงลงคล้ายจะมอดดับ

ข้าพเจ้านับเบ็ดที่จะเอาออกไปวางทีละหลัง ไส้เดือนในกระป๋องเลื้อยพันกันจนกลายเป็นก้อนกลมๆเท่าลูกส้มโอลูกเล็กๆ คันเบ็ดถูกข้าพเจ้ารวบรวมกันแล้วมัดด้วยยางเส้นที่ข้าพเจ้าใช้กรรไกรตัดมาจากยางชั้นในของรถจักรยาน มันใช้ได้ดีทีเดียวละ

คันนารกไปด้วยหญ้าที่ขึ้นงอกงามตามฤดูหน้านา ข้าพเจ้าฉายไฟฉายส่องทางไปตามคันฝาย เสียงปลาฮุบเหยื่อในพุ่มพงไม้ดังมาปลุกความกระตือรือร้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มวางเบ็ดไปตามคันฝายโดยเว้นระยะห่างตามช่วงก้าว หกก้าวจะวางเบ็ดหลังหนึ่งบางทีก็นับลืมเหมือนกันก็จะกลายเป็นห้าก้าวหรือเจ็ดก้าวไป ที่ข้าพเจ้าวางเบ็ดทุกระยะหกก้าวก็เพราะเชื่อจากประสบการณ์ที่เคยวางที่ผ่านมา การวางในทุกช่วงก้าวนี้ จะเป็นโชคที่ข้าพเจ้าปักเบ็ดแล้วปลาจะติดเบ็ดมากกว่าช่วงก้าวระยะอื่นๆ

เบ็ดหลังสุดท้ายถูกข้าพเจ้าวางลงข้างพงหนามพุ่มเล็กๆใส้เดือนโชคร้ายเลื้อยดิ้นอยู่ก้นน้ำ อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดจากคมเบ็ดที่เกี่ยวทำให้ใส้เดือนดิ้นช้าลงและหยุดดิ้นไปในที่สุด

ข้าพเจ้าผูกเชือกฟางสีแดงไว้ตรงพงหนามทำเครื่องหมายกันลืมไว้ในการวางเบ็ดหลังสุดท้าย เสียงน้ำฝายไหลผสมกับเสียงจักจั่นเป็นท้วงทำนอง ข้าพเจ้าฉายไฟไปตามแนวคันฝาย นั่งรอเพื่อที่จะเดินกลับตรวจดูเบ็ดที่วางเอาไว้

ปลาช่อนโชคร้ายถูกข้าพเจ้ายกขึ้นมา กระชังไม้ไผ่ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ข้าพเจ้าดึงเบ็ดที่เกี่ยวติดเหงือกปลาช่อนตัวนั้นออกแล้วปล่อยลงกระชัง ตัวแล้วตัวเล่า

เหยื่อใส้เดือนที่ข้าพเจ้าใช้วางไม่ค่อยจะเปลืองนักผิดกับหลายๆวันที่ผ่านมาที่มักจะหมดไปโดยที่ปลาไม่ติดเบ็ด เมื่อตรวจดูเบ็ดหมดทุกหลัง ข้าพเจ้านั่งลงใกล้ๆกับเบ็ดหลังแรกที่ปัก ปลาในกระชังที่ข้าพเจ้าแช่ไว้มุมคันนาเบียดกันดิ้นตีน้ำเสียงดังเป็นระยะ เมฆฝนเริ่มเคลื่อนเข้ามาบดบังดาวบนท้องฟ้าและแสงดาวก็ค่อยๆจางลงและหายไปในที่สุด คงเหลือไว้แต่แสงเสียงอสูรที่ไล่ฟาดฟันเทวดาบนฝากฟ้า

ข้าพเจ้ากระชับสายไฟส่องที่ศรีษะให้กระชับแล้วเดินไปหยิบกระชังและกระป๋องไส้เดือน เพียงหลังที่สามข้าพเจ้าก็ได้ยกปลาดุกตัวเขื่องขึ้นมาใส่กระชัง ฝนเริ่มลงเม็ด ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะเดินดูเบ็ดจนครบไม่ได้หรอกเพราะฝนเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆจึงเดินตัดคันนามายังกระท่อม ข้าพเจ้าจัดแจงกับสัมภาระในตัวห่อข้าวในผ้าขาวม้าที่ห้อยไว้กับไม้สังกะสีเปียก ข้าพเจ้าลืมเสียสนิท ยังดีที่มีถุงยางกันสองชั้นแต่ถึงกระนั้นปลาแห้งก็ชุ่มน้ำฝนเลยละ

ควันไฟจากกองเตาชั่วคราวลอยโขมง ข้าพเจ้าสำลักควันไฟ สักพักหนึ่งไฟก็ลุก ลมกรรโชกแรงฝนเทลงอย่างบ้าคลั่งไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ข้าพเจ้าเหลาไม้ไผ่เพื่อที่จะเสียบปลาแห้งย่างไฟอีกที เพื่อไล่ความชื้น

น้ำฝนไหลหยดลงตามร่องรั่วของสังกะสีเปือกพื้นไม้ของกระท่อม ข้าพเจ้ารีบเอาหม้อจากข้างฝากระท่อมไปรอง ถ้าฝนไม่ตกก็คงจะดีนะ ข้าพเจ้าถอนหายใจเบาๆแล้วหยิบห่อข้าวจากผ้าขาวม้าออก กลิ่นปลาแห้งที่แม่ห่อให้มามันช่างหอมหวนเหลือเกินในยามนี้

ข้าพเจ้ามองฝ่าสายฝนออกไป ต้นข้าวพื้นนาถูกฟาดฟันด้วยแสงอสูรอย่างเกรี้ยวกราด มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ลมกรรโชกพัด ข้าพเจ้ามองเห็นต้นไม้หลายต้นคล้ายยืนหนาวอยู่กลางทุ่งนาอันเวิ้งว้าง มันคงหนาวที่ต้องตากฝนในค่ำคืน ข้าพเจ้ายกขวดน้ำขึ้นจิบหลังจากรู้สึกถึงการเดินทางของปลาแห้งในหลอดส่งอาหารของข้าพเจ้าที่ติดขัด
เม็ดฝนสาดเข้ามาในกระท่อมจนข้าพเจ้าต้องหลบไปแอบตัวที่ข้างฝา แต่มันก็ไม่ค่อยจะดีขึ้นชักเท่าไร ละอองฝนยังลอดเข้ามาตามรูรั่วของฝากระท่อม ลมพัดกระป๋องไส้เดือนลงไปกลิ้งกลางคันนา ไส้เดือนเลื้อยตะเกียดตะกายหลบลงใต้ดิน แต่บางตัวก็ยังพันกันเป็นก้อนกลมๆ

น้ำฝายเริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆข้าพเจ้าสังเกตเห็นน้ำเริ่มล้นคันฝายบางที่แล้ว แปลงข้าวบางแปลงจมลงไปกับความลึกของน้ำแล้ว มดคันไฟเกาะกันตามกิ่งหญ้าสูงๆตามคันนา น้ำในฝายเริ่มเปลี่ยนสีและเพิ่มความแรงในการไหลขึ้นเรื่อยๆ

ข้าพเจ้าไม่อยากคิดเลยว่าปลาในกระชังที่ข้าพเจ้าขังไว้จะเป็นอย่างไร มันคงจมน้ำและเบียดดิ้นหาอิสระจนเฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ใช่แล้วละ ปลาก็จมน้ำตาย 

ความหนาวเย็นเข้ามาเยือนข้าพเจ้าแล้วละ ข้าพเจ้ากอดรัดตัวเองไว้แน่นแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นนั้นลดลงกลับยิ่งหนาวสั่นไปทั้งตัว

ข้าพเจ้าหยิบไฟส่องฝ่าสายฝนออกไปบัดนี้พื้นนาที่รกร้างกลายเป็นลานทะเลไปแล้วละ ข้าวกล้าจมอยู่ใต้น้ำ เสียงน้ำฝายกระโจนตัวลงยังกับกำลังสนุกสนานในค่ำคืน ต้นยางนาที่ริมฝายโค่นลงมากองกับพื้นนา ห่าลมฝนยิ่งพัดกระหน่ำเทลงอย่างย่ามใจ

อย่าไปเลยลูก ดูเหมือนฝนจะตกข้าพเจ้าคิดถึงคำที่แม่เตือนก่อนที่จะออกจากบ้านและก็อดคิดไม่ได้ว่าท่านจะเป็นห่วงแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นพ่อแล้วละก็กลับบ้านข้าพเจ้าคงถูกพ่อกระหนาบด้วยคันเบ็ดยาวๆสักหลัง แต่พ่อไม่ได้อยู่บ้าน พ่อข้าพเจ้าท่านไปทำงาน เป็นโชคดีของข้าพเจ้าก็ว่าได้ ข้าพเจ้าอยากจะออกมาปักเบ็ดตั้งนานแล้วละ เคยไปกับพ่อก็บ่อย แต่มันก็เป็นฝีมือพ่อที่ปัก ข้าพเจ้าอยากจะปักเองบ้าง และเพื่อนที่เขาออกปักเขาก็บอกว่าปักตอนกลางคืนปลาจะกินเหยื่อและติดเบ็ดดีกว่าตอนกลางวัน ข้าพเจ้าก็คิดอย่างนั้นละ ข้าพเจ้าเคยออกไปปักเบ็ดตอนกลางวันกับเพื่อน ปลาที่กินเบ็ดตอนกลางวันก็มักจะมีแต่ตัวเล็กๆอย่างปลาหมอ ปลาสร้อยและก็เจ้าปูนากล้ามโตที่ชอบห้อยตัวกินเหยื่อของข้าพเจ้าจนหมดแถมกัดเชือกเบ็ดของข้าพเจ้าจนขาด บางครั้งปลาช่อนตัวโตๆก็โดนปูฉีกกินได้เหมือนกันถ้าหากไปดูช้า ถ้าจับปูได้ข้าพเจ้ามักจะฉีกกระดองปูแล้วโยนลงกลางนา เพราะถ้าขืนฉีกแล้วทิ้งไว้บนคันนามดคันไฟคงมาเป็นศัตรูข้าพเจ้าอีกราย
ข้าพเจ้ามองออกไปนอกกระท่อมดูเหมือนฝนจะซาเม็ดลงบ้างแล้ว ต้นไม้กลางนายืนสั่นหนาว ลมพัดเมฆฝนเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆผ่านท้องทุ่งนาอันเวิ้งว้างแห่งนี้ไปเหลือไว้เพียงความข้นขุ่นของน้ำในฝาย

ข้าพเจ้าฉายไฟส่องทางเดินฝ่าน้ำที่ไหลล้นคันนาเพื่อไปเอากระชัง ปลาในกระชังตายหมด ข้าพเจ้าจึงเก็บขึ้นกระท่อมโดยไม่เอาแช่น้ำเหมือนเดิม ดวงดาวบนท้องฟ้าดูสดใส ไก่ขันแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร พ่อเคยสอนให้ข้าพเจ้าดูดาวแต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใส่ใจ 

เสื้อผ้าของข้าพเจ้าเปียก เมือกไส้เดือนยังติดที่ขอบเล็บของข้าพเจ้า พื้นกระท่อมชื้นเย็นเพราะฝนที่สาดเทเข้ามา ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียและม่อยหลับไปในที่สุด

บุง บุงข้าพเจ้าพยายามจะลืมตาขึ้นแต่ก็รู้สึกแสบตา
แม่...ข้าพเจ้าอุทานเบาๆ
แม่บอกแล้วว่าอย่ามา ฝนจะตกเห็นไหม ถ้าพ่อเองอยู่คงบ่นให้แม่เสียจนเป็นเรื่องแม่เก็บกระชังสะพายขึ้นบ่าและบ่นไปเรื่อย
กลับบ้านลูกมันสายแล้ว น้ำในฝายเยอะถ้าฝนตกมาอีกท่วมสะพานจะแย่ ตอนที่แม่ข้ามมาน้ำก็ปริ่มๆคานสะพานแล้วแม่หยิบไฟส่องปลาขึ้นสะพายด้านเดียวกันกับด้านที่สะพายกระชัง ข้าพเจ้างัวเงียลุกขึ้น
กลับแม่ข้าพเจ้าพูดสั้นๆแล้วเดินไปหยิบกระป๋องไส้เดือนแล้วออกเดินนำหน้าแม่ไป

ข้าพเจ้าสังเกตเห็นข้าวในนาบางแห่งจมไปกับน้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืน
น้ำป่าคงยังมาไม่ถึงแม่ว่า
ข้าพเจ้าและแม่เดินตามคันฝายไปเรื่อยๆเสียงน้ำในฝายกระโจนไหลอย่างย่ามใจ บางแห่งคันนาก็หักขาดดินทรายไหลเข้าทับถมต้นข้าวเห็นใบข้าวสีเขียวโผล่พ้นดินได้ในบางส่วน

ตะวันยามเช้าๆส่องแสงสุกใสเปล่งประกายอุ่นๆแม่และข้าพเจ้าเดินเลาะริมคันฝาย และคงเดินจนกว่าที่จะถึงสะพานข้ามฝาย แม่และข้าพเจ้าจะข้ามสะพานฝาย ข้ามเพื่อจะกลับบ้าน

......				
29 ตุลาคม 2547 21:52 น.

ความรู้สึกระหว่างทาง

วิจิตร ภู่เงิน

เวลากับการศึกษาค้นคว้าอาจตอบเราได้เพียงบางส่วน

ยังไม่มีปราชญ์ท่านใดตอบได้ว่าไก่หรือไข่ที่เกิดก่อนกัน
อาจจะเป็นไก่
หรืออาจจะเป็นไข่
หลายคนตอบตัวเองได้จากความรู้สึก ซึ่งมันปราศจากเหตุผล

การผลิใบของต้นไม้บ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผ่านเลย
จำเป็นด้วยหรือ? ที่คนเราจะต้องรับรู้
เหตุผลของชีวิตคืออะไร?
การเกิดการตายคืออะไร?
เกิดทำไม?
ตายทำไม?
เกิดเพื่อดับสูญไป ตายเพื่อที่จะได้มาเกิดใหม่งั้นหรือ หรือจะมีเหตุผลมากกว่านั้น ชีวิตต้องเดินทางตามหลักคำสอนของพุทธองค์ท่านเท่านั้นหรือถึงจะเป็นคนดีได้ดั่งว่า

การก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆอาจจะวนมาที่เก่าก็ได้ถ้าโลกกลมดั่งว่า
ฉะนั้นจำเป็นด้วยหรือที่เราต้องเดินไปข้างหน้าทั้งที่รู้ว่าผลลัพท์ต้องกลับมาที่จุดเดิม

หรืออาจจะเป็นเพราะความงามระหว่างสองข้างทางที่สดสวย
เราต้องการมัน เราต้องการชม
อาจจะเป็นดอกไม้ ผีเสื้อ

แสงของหิ่งห้อยอาจสว่างน้อยกว่าแสงโคมไฟข้างทาง
แต่บางทีเราก็รู้สึกว่า เราต้องการให้แสงของหิ่งห้อยนำทางในค่ำคืน

รถประจำทางจอดรับผู้โดยสารในทุกๆป้าย นั้นละคือผู้ร่วมเดินทางของเรา
การสละที่นั่งให้คนชราหรือสุภาพสตรีเป็นสิ่งที่เราควรทำ
เราอาจจะทำหรือไม่ทำไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะมีผู้ร่วมเดินทางอีกหลายคนที่ควรทำ!

รถประจำทางจอดรับผู้โดยสารที่ป้าย ผู้คนเบียดแย่งกันขึ้นนั่ง ฉันเดินลงพร้อมกับความเห็นแก่ตัว
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิจิตร ภู่เงิน