30 ตุลาคม 2547 20:33 น.

ปล้องข้าวที่จมน้ำ

วิจิตร ภู่เงิน

จากลมเย็นๆที่พัดผ่านกระท่อมลมเริ่มทวีแรงขึ้นตามลำดับของค่ำคืน แสงไฟที่ยังติดดุ้นฟืนในเตาสว่างวาบๆเปลวไฟตะเกียงลู่ตามแรงลมที่พัดหรี่แสงลงคล้ายจะมอดดับ

ข้าพเจ้านับเบ็ดที่จะเอาออกไปวางทีละหลัง ไส้เดือนในกระป๋องเลื้อยพันกันจนกลายเป็นก้อนกลมๆเท่าลูกส้มโอลูกเล็กๆ คันเบ็ดถูกข้าพเจ้ารวบรวมกันแล้วมัดด้วยยางเส้นที่ข้าพเจ้าใช้กรรไกรตัดมาจากยางชั้นในของรถจักรยาน มันใช้ได้ดีทีเดียวละ

คันนารกไปด้วยหญ้าที่ขึ้นงอกงามตามฤดูหน้านา ข้าพเจ้าฉายไฟฉายส่องทางไปตามคันฝาย เสียงปลาฮุบเหยื่อในพุ่มพงไม้ดังมาปลุกความกระตือรือร้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มวางเบ็ดไปตามคันฝายโดยเว้นระยะห่างตามช่วงก้าว หกก้าวจะวางเบ็ดหลังหนึ่งบางทีก็นับลืมเหมือนกันก็จะกลายเป็นห้าก้าวหรือเจ็ดก้าวไป ที่ข้าพเจ้าวางเบ็ดทุกระยะหกก้าวก็เพราะเชื่อจากประสบการณ์ที่เคยวางที่ผ่านมา การวางในทุกช่วงก้าวนี้ จะเป็นโชคที่ข้าพเจ้าปักเบ็ดแล้วปลาจะติดเบ็ดมากกว่าช่วงก้าวระยะอื่นๆ

เบ็ดหลังสุดท้ายถูกข้าพเจ้าวางลงข้างพงหนามพุ่มเล็กๆใส้เดือนโชคร้ายเลื้อยดิ้นอยู่ก้นน้ำ อาจเป็นเพราะความเจ็บปวดจากคมเบ็ดที่เกี่ยวทำให้ใส้เดือนดิ้นช้าลงและหยุดดิ้นไปในที่สุด

ข้าพเจ้าผูกเชือกฟางสีแดงไว้ตรงพงหนามทำเครื่องหมายกันลืมไว้ในการวางเบ็ดหลังสุดท้าย เสียงน้ำฝายไหลผสมกับเสียงจักจั่นเป็นท้วงทำนอง ข้าพเจ้าฉายไฟไปตามแนวคันฝาย นั่งรอเพื่อที่จะเดินกลับตรวจดูเบ็ดที่วางเอาไว้

ปลาช่อนโชคร้ายถูกข้าพเจ้ายกขึ้นมา กระชังไม้ไผ่ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว ข้าพเจ้าดึงเบ็ดที่เกี่ยวติดเหงือกปลาช่อนตัวนั้นออกแล้วปล่อยลงกระชัง ตัวแล้วตัวเล่า

เหยื่อใส้เดือนที่ข้าพเจ้าใช้วางไม่ค่อยจะเปลืองนักผิดกับหลายๆวันที่ผ่านมาที่มักจะหมดไปโดยที่ปลาไม่ติดเบ็ด เมื่อตรวจดูเบ็ดหมดทุกหลัง ข้าพเจ้านั่งลงใกล้ๆกับเบ็ดหลังแรกที่ปัก ปลาในกระชังที่ข้าพเจ้าแช่ไว้มุมคันนาเบียดกันดิ้นตีน้ำเสียงดังเป็นระยะ เมฆฝนเริ่มเคลื่อนเข้ามาบดบังดาวบนท้องฟ้าและแสงดาวก็ค่อยๆจางลงและหายไปในที่สุด คงเหลือไว้แต่แสงเสียงอสูรที่ไล่ฟาดฟันเทวดาบนฝากฟ้า

ข้าพเจ้ากระชับสายไฟส่องที่ศรีษะให้กระชับแล้วเดินไปหยิบกระชังและกระป๋องไส้เดือน เพียงหลังที่สามข้าพเจ้าก็ได้ยกปลาดุกตัวเขื่องขึ้นมาใส่กระชัง ฝนเริ่มลงเม็ด ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะเดินดูเบ็ดจนครบไม่ได้หรอกเพราะฝนเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆจึงเดินตัดคันนามายังกระท่อม ข้าพเจ้าจัดแจงกับสัมภาระในตัวห่อข้าวในผ้าขาวม้าที่ห้อยไว้กับไม้สังกะสีเปียก ข้าพเจ้าลืมเสียสนิท ยังดีที่มีถุงยางกันสองชั้นแต่ถึงกระนั้นปลาแห้งก็ชุ่มน้ำฝนเลยละ

ควันไฟจากกองเตาชั่วคราวลอยโขมง ข้าพเจ้าสำลักควันไฟ สักพักหนึ่งไฟก็ลุก ลมกรรโชกแรงฝนเทลงอย่างบ้าคลั่งไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ข้าพเจ้าเหลาไม้ไผ่เพื่อที่จะเสียบปลาแห้งย่างไฟอีกที เพื่อไล่ความชื้น

น้ำฝนไหลหยดลงตามร่องรั่วของสังกะสีเปือกพื้นไม้ของกระท่อม ข้าพเจ้ารีบเอาหม้อจากข้างฝากระท่อมไปรอง ถ้าฝนไม่ตกก็คงจะดีนะ ข้าพเจ้าถอนหายใจเบาๆแล้วหยิบห่อข้าวจากผ้าขาวม้าออก กลิ่นปลาแห้งที่แม่ห่อให้มามันช่างหอมหวนเหลือเกินในยามนี้

ข้าพเจ้ามองฝ่าสายฝนออกไป ต้นข้าวพื้นนาถูกฟาดฟันด้วยแสงอสูรอย่างเกรี้ยวกราด มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ลมกรรโชกพัด ข้าพเจ้ามองเห็นต้นไม้หลายต้นคล้ายยืนหนาวอยู่กลางทุ่งนาอันเวิ้งว้าง มันคงหนาวที่ต้องตากฝนในค่ำคืน ข้าพเจ้ายกขวดน้ำขึ้นจิบหลังจากรู้สึกถึงการเดินทางของปลาแห้งในหลอดส่งอาหารของข้าพเจ้าที่ติดขัด
เม็ดฝนสาดเข้ามาในกระท่อมจนข้าพเจ้าต้องหลบไปแอบตัวที่ข้างฝา แต่มันก็ไม่ค่อยจะดีขึ้นชักเท่าไร ละอองฝนยังลอดเข้ามาตามรูรั่วของฝากระท่อม ลมพัดกระป๋องไส้เดือนลงไปกลิ้งกลางคันนา ไส้เดือนเลื้อยตะเกียดตะกายหลบลงใต้ดิน แต่บางตัวก็ยังพันกันเป็นก้อนกลมๆ

น้ำฝายเริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆข้าพเจ้าสังเกตเห็นน้ำเริ่มล้นคันฝายบางที่แล้ว แปลงข้าวบางแปลงจมลงไปกับความลึกของน้ำแล้ว มดคันไฟเกาะกันตามกิ่งหญ้าสูงๆตามคันนา น้ำในฝายเริ่มเปลี่ยนสีและเพิ่มความแรงในการไหลขึ้นเรื่อยๆ

ข้าพเจ้าไม่อยากคิดเลยว่าปลาในกระชังที่ข้าพเจ้าขังไว้จะเป็นอย่างไร มันคงจมน้ำและเบียดดิ้นหาอิสระจนเฮือกสุดท้ายของลมหายใจ ใช่แล้วละ ปลาก็จมน้ำตาย 

ความหนาวเย็นเข้ามาเยือนข้าพเจ้าแล้วละ ข้าพเจ้ากอดรัดตัวเองไว้แน่นแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวเย็นนั้นลดลงกลับยิ่งหนาวสั่นไปทั้งตัว

ข้าพเจ้าหยิบไฟส่องฝ่าสายฝนออกไปบัดนี้พื้นนาที่รกร้างกลายเป็นลานทะเลไปแล้วละ ข้าวกล้าจมอยู่ใต้น้ำ เสียงน้ำฝายกระโจนตัวลงยังกับกำลังสนุกสนานในค่ำคืน ต้นยางนาที่ริมฝายโค่นลงมากองกับพื้นนา ห่าลมฝนยิ่งพัดกระหน่ำเทลงอย่างย่ามใจ

อย่าไปเลยลูก ดูเหมือนฝนจะตกข้าพเจ้าคิดถึงคำที่แม่เตือนก่อนที่จะออกจากบ้านและก็อดคิดไม่ได้ว่าท่านจะเป็นห่วงแค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นพ่อแล้วละก็กลับบ้านข้าพเจ้าคงถูกพ่อกระหนาบด้วยคันเบ็ดยาวๆสักหลัง แต่พ่อไม่ได้อยู่บ้าน พ่อข้าพเจ้าท่านไปทำงาน เป็นโชคดีของข้าพเจ้าก็ว่าได้ ข้าพเจ้าอยากจะออกมาปักเบ็ดตั้งนานแล้วละ เคยไปกับพ่อก็บ่อย แต่มันก็เป็นฝีมือพ่อที่ปัก ข้าพเจ้าอยากจะปักเองบ้าง และเพื่อนที่เขาออกปักเขาก็บอกว่าปักตอนกลางคืนปลาจะกินเหยื่อและติดเบ็ดดีกว่าตอนกลางวัน ข้าพเจ้าก็คิดอย่างนั้นละ ข้าพเจ้าเคยออกไปปักเบ็ดตอนกลางวันกับเพื่อน ปลาที่กินเบ็ดตอนกลางวันก็มักจะมีแต่ตัวเล็กๆอย่างปลาหมอ ปลาสร้อยและก็เจ้าปูนากล้ามโตที่ชอบห้อยตัวกินเหยื่อของข้าพเจ้าจนหมดแถมกัดเชือกเบ็ดของข้าพเจ้าจนขาด บางครั้งปลาช่อนตัวโตๆก็โดนปูฉีกกินได้เหมือนกันถ้าหากไปดูช้า ถ้าจับปูได้ข้าพเจ้ามักจะฉีกกระดองปูแล้วโยนลงกลางนา เพราะถ้าขืนฉีกแล้วทิ้งไว้บนคันนามดคันไฟคงมาเป็นศัตรูข้าพเจ้าอีกราย
ข้าพเจ้ามองออกไปนอกกระท่อมดูเหมือนฝนจะซาเม็ดลงบ้างแล้ว ต้นไม้กลางนายืนสั่นหนาว ลมพัดเมฆฝนเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆผ่านท้องทุ่งนาอันเวิ้งว้างแห่งนี้ไปเหลือไว้เพียงความข้นขุ่นของน้ำในฝาย

ข้าพเจ้าฉายไฟส่องทางเดินฝ่าน้ำที่ไหลล้นคันนาเพื่อไปเอากระชัง ปลาในกระชังตายหมด ข้าพเจ้าจึงเก็บขึ้นกระท่อมโดยไม่เอาแช่น้ำเหมือนเดิม ดวงดาวบนท้องฟ้าดูสดใส ไก่ขันแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร พ่อเคยสอนให้ข้าพเจ้าดูดาวแต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใส่ใจ 

เสื้อผ้าของข้าพเจ้าเปียก เมือกไส้เดือนยังติดที่ขอบเล็บของข้าพเจ้า พื้นกระท่อมชื้นเย็นเพราะฝนที่สาดเทเข้ามา ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียและม่อยหลับไปในที่สุด

บุง บุงข้าพเจ้าพยายามจะลืมตาขึ้นแต่ก็รู้สึกแสบตา
แม่...ข้าพเจ้าอุทานเบาๆ
แม่บอกแล้วว่าอย่ามา ฝนจะตกเห็นไหม ถ้าพ่อเองอยู่คงบ่นให้แม่เสียจนเป็นเรื่องแม่เก็บกระชังสะพายขึ้นบ่าและบ่นไปเรื่อย
กลับบ้านลูกมันสายแล้ว น้ำในฝายเยอะถ้าฝนตกมาอีกท่วมสะพานจะแย่ ตอนที่แม่ข้ามมาน้ำก็ปริ่มๆคานสะพานแล้วแม่หยิบไฟส่องปลาขึ้นสะพายด้านเดียวกันกับด้านที่สะพายกระชัง ข้าพเจ้างัวเงียลุกขึ้น
กลับแม่ข้าพเจ้าพูดสั้นๆแล้วเดินไปหยิบกระป๋องไส้เดือนแล้วออกเดินนำหน้าแม่ไป

ข้าพเจ้าสังเกตเห็นข้าวในนาบางแห่งจมไปกับน้ำฝนที่ตกมาเมื่อคืน
น้ำป่าคงยังมาไม่ถึงแม่ว่า
ข้าพเจ้าและแม่เดินตามคันฝายไปเรื่อยๆเสียงน้ำในฝายกระโจนไหลอย่างย่ามใจ บางแห่งคันนาก็หักขาดดินทรายไหลเข้าทับถมต้นข้าวเห็นใบข้าวสีเขียวโผล่พ้นดินได้ในบางส่วน

ตะวันยามเช้าๆส่องแสงสุกใสเปล่งประกายอุ่นๆแม่และข้าพเจ้าเดินเลาะริมคันฝาย และคงเดินจนกว่าที่จะถึงสะพานข้ามฝาย แม่และข้าพเจ้าจะข้ามสะพานฝาย ข้ามเพื่อจะกลับบ้าน

......				
29 ตุลาคม 2547 21:52 น.

ความรู้สึกระหว่างทาง

วิจิตร ภู่เงิน

เวลากับการศึกษาค้นคว้าอาจตอบเราได้เพียงบางส่วน

ยังไม่มีปราชญ์ท่านใดตอบได้ว่าไก่หรือไข่ที่เกิดก่อนกัน
อาจจะเป็นไก่
หรืออาจจะเป็นไข่
หลายคนตอบตัวเองได้จากความรู้สึก ซึ่งมันปราศจากเหตุผล

การผลิใบของต้นไม้บ่งบอกถึงฤดูกาลที่ผ่านเลย
จำเป็นด้วยหรือ? ที่คนเราจะต้องรับรู้
เหตุผลของชีวิตคืออะไร?
การเกิดการตายคืออะไร?
เกิดทำไม?
ตายทำไม?
เกิดเพื่อดับสูญไป ตายเพื่อที่จะได้มาเกิดใหม่งั้นหรือ หรือจะมีเหตุผลมากกว่านั้น ชีวิตต้องเดินทางตามหลักคำสอนของพุทธองค์ท่านเท่านั้นหรือถึงจะเป็นคนดีได้ดั่งว่า

การก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆอาจจะวนมาที่เก่าก็ได้ถ้าโลกกลมดั่งว่า
ฉะนั้นจำเป็นด้วยหรือที่เราต้องเดินไปข้างหน้าทั้งที่รู้ว่าผลลัพท์ต้องกลับมาที่จุดเดิม

หรืออาจจะเป็นเพราะความงามระหว่างสองข้างทางที่สดสวย
เราต้องการมัน เราต้องการชม
อาจจะเป็นดอกไม้ ผีเสื้อ

แสงของหิ่งห้อยอาจสว่างน้อยกว่าแสงโคมไฟข้างทาง
แต่บางทีเราก็รู้สึกว่า เราต้องการให้แสงของหิ่งห้อยนำทางในค่ำคืน

รถประจำทางจอดรับผู้โดยสารในทุกๆป้าย นั้นละคือผู้ร่วมเดินทางของเรา
การสละที่นั่งให้คนชราหรือสุภาพสตรีเป็นสิ่งที่เราควรทำ
เราอาจจะทำหรือไม่ทำไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะมีผู้ร่วมเดินทางอีกหลายคนที่ควรทำ!

รถประจำทางจอดรับผู้โดยสารที่ป้าย ผู้คนเบียดแย่งกันขึ้นนั่ง ฉันเดินลงพร้อมกับความเห็นแก่ตัว
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตร ภู่เงิน
Lovings  วิจิตร ภู่เงิน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิจิตร ภู่เงิน