25 กุมภาพันธ์ 2551 19:26 น.

ปริศนาแห่งหยินหยาง

คีตากะ

 ปราศรัยโดยท่านอนุตตราจารย์ชิงไห่ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะ ฟอร์โมซา
                                 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม  ค.ศ. 1994
                    



ทำไมคนส่วนมากจึงชอบมีเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงกัน? มันก็เป็นเพราะว่าเขาหรือเธอขาดหยิน(ลักษณะของเพศหญิง)
หรือหยาง(ลักษณะของเพศชาย)เราเกิดมาด้วยความปรารถนาที่จะค้นหาพระเจ้าก่อนที่เราจะทำได้สำเร็จ เราก็รับเอาอะไรก็ได้ที่สะดวกง่ายดายที่สุด ดังนั้นเราจึงแสวงหาเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงหรือแต่งงานกัน เป็นต้น  เมื่ออยู่ในช่วงความรัก แต่ละคนก็จะให้หยินหรือหยางแก่อีกคนหนึ่งพวกเขาทั้งสองจึงมีความสุขมาก สบายใจและพึงพอใจมาก ดังนั้นเมื่อเธอกำลังอยู่ในความรักจริงๆละก็ ว้าว! เธอจะมีความสุขมาก เพราะว่าเธอได้ให้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติและเธอก็จะมีหยินและหยางตามธรรมชาติ พระเจ้าได้จัดการให้มันเลื่อนไหลถ่ายเทไปมาในระหว่างตัวเธอทั้งสอง อย่างไรก็ตามคนมักจะมีแนวโน้มที่จะลืมในเวลาต่อมา และก็กลายเป็นไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อรักกันไปนานๆขึ้นพวกเขาก็คาดหวังจากกันและกัน! พวกเขามีความสุขรักกันเรื่อยมา เพราะว่าพลังของหยินและหยางได้เสริมเติมซึ่งกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกสมบูรณ์เต็มตามธรรมชาติ แล้วพอวันหนึ่ง พวกเขาก็จะเคยชินกับความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา คิดว่ามันเป็นเพราะอีกคนที่ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าต่างหากที่กำลังบรรจุมอบมันให้แก่พวกเขาตามธรรมชาติอยู่ เมื่อเธอไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าก็ได้ปล่อยให้พลังงานนี้ไหลผ่านไปสู่พวกเธอทั้งสองพร้อมๆกัน และช่วยเติมให้เธอทั้งสองคนสมบูรณ์อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ นี่เป็นการให้ตามธรรมชาติในเวลาที่เธอไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอทั้งสองคนจึงมีความสุข
พอเธอเริ่มคิด เราก็เริ่มจะพูดว่า" คิดถึง" คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราคิดว่าเรามีความสุขเพราะคนนั้น แล้วเราก็เริ่มมีการยึดติด และต้องการที่จะผูกมัดเขาให้ติดอยู่ข้างเราตลอด อยากจะเก็บรักษาความสุขนี้ตลอดไปให้เหมือนตอนที่เธอกำลังรักกันใหม่ๆ พอเราเริ่มคิดอย่างนี้พลังงานนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานที่จำกัด เราคิดว่ามันมาจากอีกฝ่ายหนึ่งแทนที่จะคิดว่ามันมาจากพระเจ้า ดังนั้นพลังงานที่มาจากพระเจ้านี้จึงถูกตัดขาดไปทันที เข้าใจไหม? พลังของความคิดของเรามีกำลังแรงมาก จนไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น ดังนั้นขณะที่ความคิดของเธอผุดขึ้น ระบบนี้ก็จะถูกตัดขาดจากกันแล้วทั้งสองคนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! พวกเขาก็จะเฝ้าแสวงหา เมื่อไม่ได้รับความพอใจ พวกเขาก็จะยึดจับ ผูกมัดและเกาะติดซึ่งกันและกันและก็จมลึกลงไปในความทุกข์ทรมานมากขึ้นด้วยกัน
แรกเริ่มพวกเขาเป็นคน 2 คน แต่ตอนนี้พวกเขาเกาะติดกันราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ยังคงมีอัตตา 2 ตัว ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเธอเข้าใจไหม? พลังงานมาติดกัน แต่อัตตาไม่ติดกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วปัญหาก็เริ่มขึ้นตรงนี้เอง ดั้งเดิมพวกเราแต่ละคนก็มีพลังงานและอัตตาเป็นของตัวเอง ควบคุมชีวิตของเราเองและเป็นอาจารย์ของพวกเราเอง ก่อนที่จะรู้จักอีกคน เราเป็นอาจารย์ของตัวเราเองเสมอ ! วันนี้ฉันจะดูทีวี ทานอาหารมังสวิรัติอย่างหนึ่ง และตัวฉันเองที่อยากจะทานมัน โดยไม่สนใจใคร พอคนสองคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน และต่อมากลายเป็นหนึ่งเดียวพวกเขาก็มาช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันและก็มีความสุขด้วยกัน อย่างไรก็ตาม อัตตาของพวกเขาไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว ! ก็ลาก่อน ! นี่เป็นระบบที่อัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติ เข้าใจไหม? เธอจะได้รับในสิ่งที่เธอขอ ดังนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงกล่าวว่า ถ้าเธออธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกมอบมาให้เธอ ถ้าทั้งหมดที่เธอขอนั้นคือแค่หยดเล็กๆ เธอก็จะได้รับเพียงแค่นั้น อันนี้เป็นไปตามระบบอัตโนมัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในโลกจึงหาพระเจ้าไม่พบ พวกเขาสวดคัมภีร์มากมายหลายอย่างในแต่ละวัน แต่ก็ไม่ได้เห็นใครเลย ไม่ว่าพวกเขาจะอธิษฐานขออะไรก็จะไม่ได้รับคำตอบ เข้าใจไหม? พวกเขามัวพึ่งพาคนด้วยกันเองหรือไม่ก็พึ่งพาถ้อยคำที่พิมพ์หรือจารึกเอาไว้และพระเจ้าจะทำอะไรได้?
เมื่อเรากำลังอยู่ในความรักกับใครสักคน ความมีชีวิตชีวาของเราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น แยกจากกันไม่ได้ แยกจากกันไม่ได้แต่ว่ามีสองหัว เมื่อสองหัวนั้นมุ่งหน้าไปคนละทิศคนละทาง มันก็จะมีปัญหายุ่งยากลำบากมาก ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทโต้เถียงกัน เข้าใจไหม? ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมถึงมีการทะเลาะวิวาทกัน? คิดดูให้ดีแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจได้ ทั้งคู่อยากจะเป็นเจ้านาย บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยอย่างหนึ่ง เราเคยชินกับการอยู่คนเดียวเป็นโสดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งบัดนี้ 20 หรือ 30 ปี เราเดินคนเดียว ตัดสินใจเองเสมอว่าเมื่อไรเราจะกินและเมื่อไรเราจะเข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) อ้อ! นั่นยังพอเจรจาต่อรองกันได้ ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ส่วนมากการเจรจาต่อรองจะไม่ค่อยได้ผล แต่ละคนยังคงความเห็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกต้องอย่างแข็งขัน บางทีอาจจะไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยเท่านั้น ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาควรจะคำนึงถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น การแต่งงานและความรักเป็นส่วนมากมักจะพังทลายลงเมื่อถึงระยะหนึ่ง เราไม่สามารถจะไปตำหนิพวกคนข้างนอกนั้นได้จริงๆ หรอก ที่วันนี้รักกันแต่พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่รักแล้ว แต่งงานกันวันนี้และหย่ากันปีหน้า..พวกเขาเพียงแต่ไม่เข้าใจถึงสภาพทางจิตใจและระบบอย่างนี้
เมื่อคนสองคนกำลังอยู่ในความรักกัน พวกเขาก็เสริมเติมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันฝ่ายหนึ่งให้พลังหยินและอีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง(ถอนหายใจ ! ) มันช่วยรักษาเราได้ดีเหลือเกิน(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) น่ารื่นรมย์มาก แล้วพวกเธอก็จะติดมัน เข้าใจไหม ? เพราะว่ามนุษย์ก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเช่นกัน พวกเขาถูกประกอบติดมาด้วยเครื่องกำเนิดพลังงานอย่างหนึ่ง ที่คล้ายคลึงกับเครื่องกำเนิดพลังงานของพระเจ้า! ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นรักกัน มันก็คล้ายกับพระเจ้ากำลังรักเธอ เธอจึงมีความสุขมาก ถ้าเธอสองคนรักกันล่ะก็ เธอทั้งคู่ก็จะถูกชาร์จพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ใช่ไหม? เธออาจสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังอยู่ในความรักดูเหมือนคนโง่ ๆ ที่ไม่สนใจอะไรเลย(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลาที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาถูกละทิ้งไป หรือเมื่อความรักนั้นถูกตัดขาดสะบั้นราวกับว่าความมีชีวิตชีวาได้สูญหายไป กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาดจากกันอย่างฉับพลัน ดังนั้นมันจึงเจ็บปวดมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบที่จะอยู่ในความรัก ก็เนื่องจากความสุขนั่นเอง ที่จริงแล้วความสุขไม่ได้เนื่องมาจากคนคนนั้น แต่เนื่องมาจากความจริงที่ว่า พลังงานที่ทำให้มีชีวิตนั้นถูกเติมให้สมบูรณ์เต็มที่
เราจะไม่ผิดหวังเลย ถ้าหากว่าเราแสวงหาเครื่องกำเนิดพลังที่มีอานุภาพสูงสุดตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งคงทนถาวรให้เราใช้ได้ตลอดไป มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีคู่ ฉันเพียงแต่เกรงว่า เราอาจจะไม่ต้องการมีใครเลยในเวลานั้น มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีใครสักคนหรือไม่มีใครเลย เพียงแต่มันจะยุ่งยากมากขึ้น ถ้าหากว่าเธอมีอัตตาเพิ่มขึ้นอีกตัว(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มิฉะนั้นเธอก็มีอัตตาเพียงตัวเดียว ป้องกันความยุ่งยากของอัตตา 2 ตัว เวลานอนตอนกลางคืนคนหนึ่งอยากจะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ อีกคนอยากจะปิด คนหนึ่งชอบให้เปิดไฟไว้ อีกคนต้องการให้ปิด แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ ใช่ไหม? แล้วมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกหลังจากที่พวกเธอมีลูกออกมาคนหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็อยากให้ลูกทำตัวอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ต้องการอีกวิธี ฝ่ายหนึ่งสอนลูกอย่างนี้ อีกฝ่ายก็สอนอีกอย่าง ไม่มีใครยอมแพ้ และทั้งคู่ก็คิดว่าตัวเองถูก เพราะว่าพวกเขาก็เป็นพระเจ้าทั้งคู่ ขอโทษที ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ที่จริงแล้ว วิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของพวกเราจะไม่พบในโลกนี้ ต่อเมื่อเราได้ค้นพบตัวตนอันแท้จริงของเราแล้ว เราก็จะได้พบอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ในสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เราก็จะยังมีความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! เป็นเพราะว่าคนเพียงคนเดียวไม่มีพลังเพียงพอที่จะให้อีกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะเข้าใจว่าความมีชีวิตชีวาของทั้งสองฝ่ายจริงๆ แล้วมาจากไหน แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังของเราจะถูกตัดขาด มันอาจจะพูดง่ายแต่เข้าใจยาก อย่างน้อยที่สุดพวกเธอควรจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็จงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในแต่ละวัน กำลังใจของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นและสิ่งใดที่เราปรารถนาก็จะกลายเป็นความจริงได้ นั่นคือเวลาที่เราได้ครอบครองมหาพลานุภาพ พลังอำนาจปาฏิหารย์ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็นได้ จากนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องมนตร์คาถาใดๆ เพียงแต่คิดถึงมันแล้วพวกเธอก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง..



                               .GOOD   LUCK.
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:59 น.

เหตุใดคนเราจึงต้องบำเพ็ญ

คีตากะ

 
"ชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากที่เราได้ใช้พลังอันแท้จริงและปัญญาของเราแล้ว  ซึ่งเป็นสติปัญญาเดิมแท้ของเรา ทุกอย่างจะมา  ความสามารถพิเศษทุกอย่างจะปรากฏขึ้น  ธรรมชาติแห่งความรักและธรรมชาติที่ซ่อนเร้นของเราจะปรากฏขึ้น  ความสามารถพิเศษทุกอย่างของเราจะมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เมื่อเราบรรลุถึงความสงบสุขภายใน  เราก็จะบรรลุทุกสิ่งทุกอย่าง ความพอใจและความสมปรารถนาทุกอย่างทั้งทางโลกและสวรรค์ ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า  การตระหนักรู้ภายในถึงความสอดคล้องกลมกลืนชั่วนิรันดรของเรา  ถึงปัญญานิรันดร์ของเรา และถึงมหาพลานุภาพของเรา  หากเราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้  เราก็จะไม่มีวันพอใจ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจขนาดไหน  หรือไม่ว่าจะมียศตำแหน่งสูงสักเพียงไรก็ตาม"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"จงค้นหาทรัพย์สมบัติชัวนิรันดร์ของเธอ  และเธอจะสามารถนำสมบัติเหล่านั้นออกมาจากแหล่งซึ่งไม่มีวันใช้ได้หมด  นี่คือพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุด!  ฉันไม่มีคำพูดที่จะโฆษณาสิ่งนี้ได้  ฉันได้แต่กล่าวสุดดี และหวังว่าเธอคงจะเชื่อคำกล่าวของฉัน   หวังว่าพลังของฉันจะสามารถส่งผลกระทบถึงหัวใจเธอ  และช่วยยกเธอขึ้นสู่ความรู้สึกที่มีปิติสุข  แล้วเธอก็จะเชื่อ  หลังจากการประทับจิตแล้วเธอจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉันพูดนี้ได้อย่างถ่องแท้  ฉันไม่มีวิธีที่จะอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่นี้  ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน  และให้ฉันมีสิทธิที่จะแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นฟรีๆ  โดยไม่คิดค่าตอบแทนหรือมีข้อแม้ใดๆ "

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
" คำสอนของเราก็คือ อะไรก็ตามที่เธอจำเป็นต้องทำในโลกนี้  ก็จงทำไป ทำจนสุดความสามารถ จงมีความรับผิดชอบ และก็นั่งสมาธิทุกๆ วันด้วย  แล้วเธอก็จะได้รับความรู้มากขึ้น  ได้รับปัญญามากขึ้น  และได้รับความสงบสุขมากขึ้น  เพื่อที่เธอจะได้รับใช้ตนเองและรับใช้โลกนี้  อย่าลืมว่าเธอมีความดีของตัวเธอเองอยู่ภายใน  อย่าลืมว่าเธอมีพระจ้าอยู่ภายในตัวเธอ  อย่าลืมว่าเธอมีพุทธะอยู่ภายในใจของเธอ" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"ผู้ที่ประเสริฐบริบูรณ์ก็คือ  ผู้ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เต็มตัว  ผู้ที่เป็นมนุษย์เต็มตัวจะประเสริฐบริบูรณ์  ขณะนี้  เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตรา  เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้  เพื่อความเพลิดเพลิน  และเพื่อประสบการณ์ของเรา  เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โต แล้วก็ตัดสินตัวเองและคนอื่นไปตามนั้น  เราทุกข์ทรมาณจากการตั้งข้อจำกัดของตัวเอง  ว่าพระเจ้าควรจะทำอะไร  เข้าใจไหม?  ที่จริงแล้ว พระเจ้าอยู่ภายในตัวเราและเราจำกัดพระองค์ไว้ เราอยากเล่น อยากจะสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เราจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่า "อา!  เธอไม่ควรจะทำอย่างนั้นนะ "  และก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้  แล้วฉันควรจะเป็นมังสวิรัติไปทำไมกัน ? นั่นแหละ ! ฉันก็รู้อย่างนั้น  แต่ฉันเป็นมังสวิรัติเพราะว่า  พระเจ้าภายในตัวฉันต้องการแบบนั้น" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เราถูกแยกออกจากพระเจ้าก็เพราะว่าเรามีธุระวุ่นวายมากเกินไป  ถ้ามีคนกำลังพูดคุยกับเธออยู่  แล้วเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังอยู่ตลอดเวลา  แต่เธอกลับวุ่นวายอยู่กับการทำครัว หรือพูดคุยกับคนอื่นอยู่  ก็ไม่มีใครจะติดต่อกับเธอได้  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  ท่านกำลังเรียกเราอยู่ทุกวัน  แต่เราไม่มีเวลาให้ท่านเลย และคอยแต่จะวางหูโทรศัพท์ใส่ท่าน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:42 น.

ความอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้เข้าถึงสัจธรรม

คีตากะ

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา 
13  สิงหาคม 2532  
  
บุคคลที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะเข้าถึงพุทธโพธิสัตว์ได้ง่ายมาก จิตใจที่บริสุทธิ์จะเข้าถึงสัจธรรม เรายิ่งยโสโอหังก็ยิ่งห่างไกลจากสัจธรรม  เหตุใดจึงห่างไกลจากสัจธรรมเป็นเพราะเราพึ่งพิงอาศัยทางโลก  หากเราไม่ได้พึ่งพิงอาศัยทางโลกเราจะไม่ยโสโอหัง  เราอาศัยเงินทอง อำนาจ ความฉลาดและฐานะซึ่งเป็นการอาศัยทางโลก  อาศัยพึ่งพิงในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ สัจธรรมไม่ใช่โลกมนุษย์และไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย  ฉะนั้น เรายิ่งพึ่งพิงทางนี้ เราก็จะยิ่งห่างไกลอีกทางหนึ่งที่เป็นทางตรงกันข้าม ตามทฤษฎีเชิงตรรกศาสตร์ได้อธิบายไว้เช่นนี้ ซึ่งไม่มีอะไรยากแก่การเข้าใจ

ไม่มีเงินทอง ไม่มีอำนาจ ยามแก่เฒ่าก็ไม่มีใครดูแล ซึ่งคนแบบนี้จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนค่อนข้างมาก ฉะนั้น บ่อยครั้งพวกเธอจึงเห็นว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี หรือปฏิบัติต่อนักโทษในเรือนจำอย่างดี  แต่สำหรับพวกเธอแล้วบางครั้งกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่อาจารย์ต้องขออภัยด้วย แต่ธรรมชาติมันแสดงออกมาเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจดีกับพวกเขา และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ดีกับพวกเธอ  อาจารย์เป็นเพียงกระจกบานหนึ่งเท่านั้นพวกเธอส่องมาอย่างไรก็สะท้อนกลับอย่างนั้น  อย่าโทษอาจารย์เลยนะว่าทำไมต้องทำกับพวกเธออย่างนั้น  และอย่าเปรียบเทียบว่า "ทำไมอาจารย์ดีกับคนนั้นเหลือเกิน แต่ไม่ดีกับฉันเลย"  ถ้าอาจารย์ดีกับใครบางคนเธอลองสังเกตดูเขาก็ทราบแล้วว่าเขาต้องมีอะไรดีที่ทำให้อาจารย์ดีกับเขามาก เขาอาจจะไม่ได้สวยกว่าเธอก็ได้ ไม่แน่  บางทีอาจจะอยู่ในสภาพฟันหลุดหมดแล้วก็ได้ แถมอาจารย์ยังต้องเอาเงินให้เขาอีกด้วย แต่อาจารย์ก็ดีกับเขามากเหลือเกินเพราะใจเขาบริสุทธิ์มาก ถ่อมตนมาก ไม่มีมลทินใดๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีอัตตาใดๆ และไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจเขาจะเปิดกว้างสุดประมาณเกือบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

หากเรายังมีอะไรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวตัวเราก็จะกลายเป็นมีขีดจำกัด -- ฉันคือขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคือคนที่มีคุณธรรม ฉันคือคนที่เข้าถึงสัจธรรม เราจะยังมีพรมแดนและมีช่องว่างมุมหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกมา บุคคลที่บริสุทธิ์ถ่อมตนทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่การที่ไม่มีอะไรเลยคือการที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง
 
  
				
14 กุมภาพันธ์ 2551 08:12 น.

เรื่องบ่น ตอนที่หนึ่ง.....

คีตากะ

  รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ คำเหล่านี้เหมาะกับบุคลิกของตัวผมเป็นที่สุด พิจารณาดูแล้วชีวิตผมหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก การงาน หรือจะเรื่องไหนๆก็ตามแต่ คงไม่พ้นฉายาเหล่านี้ไปได้ โลเลเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน .เป็นไปตามอารมณ์ครับ!.....เหตุผลไม่ค่อยจะมี สมองไม่ค่อยจำ มันว่างๆกลวงๆ ยังไงพิกล จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร มันเลยผิดเพี้ยนไปหมด ก็มันดันไปสวนทางกับชาวบ้านเขาน่ะสิ  จ้องคอยหาเรื่องใส่ตัวอยู่เรื่อย เงียบๆไว้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด เวรกรรม ! ปกติเป็นคนเชื่อคนง่ายครับ ใครชวนไปไหนก็ไป แต่พอหลวมตัวไปกับเขาทีไรก็มักโดนปล่อยเกาะทุกทียิ่งหาทางกลับบ้านไม่ค่อยจะถูกเสียด้วย ทุกวันนี้ก็เลยสบาย การที่ต้องหลงทางบ่อยๆกลับกลายเป็นผลดีกับตัวเรา ได้เรียนรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆมากมาย เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนสบายครับ ! อาจมีหลงทางบ้างถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว คำว่ากลัวหลงทางหมดไปแล้วจากความทรงจำ เพราะถือคติว่า ถามทาง ดีกว่าวิ่งเร็ว มีปากครับ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไกด์มีทั่วโลก ด้านเข้าไว้ เพิ่มความหนาของใบหน้าอีกนิดหน่อยก็ดีเอง.ไม่รู้ก็ถาม มีหลายคนบอกว่าผมเป็นพวกเร้นลับ แปลกประหลาด อันธพาล ผมว่าก็มีส่วนถูกนะ  ถ้าเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ผมไม่รู้สึกว่าผมแปลกประหลาด เพียงแต่แตกต่างจากชาวบ้านเขาเท่านั้น ถ้าเรื่องความแตกต่างผมจัดได้ว่าเป็นตัวประหลาดอันดับหนึ่ง  ผมมีเพื่อนน้อยมาก เพราะความประหลาดของผมนี่แหละ ทำให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดเริ่มหวาดระแวงวิตกกันไปต่างๆนาๆตามระยะเวลาที่ยิ่งนานยิ่งมีมาก ส่วนใหญ่จะคิดว่า  วันนี้มันจะมาไม้ไหนหว่า?  อุณหภูมิความร้อนในตัวเขาจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆใกล้จุดเดือด ไม่ผิดกับกบที่กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ดีๆในหม้อต้มที่กำลังร้อนขึ้นๆบนเตาไฟ.สุดท้ายก็มีทางเลือกสองทางให้มันเลือกคือจะกระโดดหนี หรือจะกลายเป็นกบต้มความจริงคงไม่ถึงขนาดนั้น ผมว่าทุกคนคิดกันไปเอาเองต่างๆนาๆมากกว่า ทั้งๆที่สมองผมค่อนข้างว่างเปล่าไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะทำอะไรต่อไปในบางครั้งบางทีผมอาจจำเป็นต้องไปเช็คประสาทที่โรงพยาบาลบ้างน่าจะดีการที่สมองไม่ค่อยทำงานเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกันในการทำงาน ผมมักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ตำหนิบ่อยๆเรื่องทิศทางของชีวิตคุณต้องมีแผน คุณต้องมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ มีนโยบายชัดเจนในการทำงานและการดำเนินชีวิต เป้าหมายของคุณต้องวัดเป็นตัวเลขได้เวลาผมได้ยินประโยคเหล่านี้ทีไรก็มักเกิดอาการเซ็งอย่างบอกไม่ถูกผมอยากจะมีแต่ก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เป็นเรื่องยากสำหรับผมในการวางแผนชีวิต มันขัดกับนิสัยโดยสิ้นเชิง ผมกำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างอารมณ์ที่พลิ้วไหวเหมือนสายลมกับเหตุผลที่ล้อมกรอบเหมือนกำแพงอิฐบ่อยครั้งที่ผมจมอยู่กับช่องว่างนั้น แม้มันจะดูเหมือนสงบแต่มันก็คงยังไม่ใช่ในสิ่งที่ใจปรารถนาซึ่งผมก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าแท้ที่จริงตัวเองปรารถนาสิ่งใดกันแน่ ? แม้ผมจะเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์(Engineer)และต่อทางด้านบริหารธุรกิจ(MBA) แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีเหล่านี้ที่ร่ำเรียนมาจะใช้ไม่ค่อยได้กับความเป็นจริงในชีวิตที่ออกแบบไม่ได้ของผม.วิทยาศาสตร์สอนให้ผมเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ มีการตั้งสมมุติฐาน มีการทดลอง มีข้อสรุป แต่เท่าที่ผ่านมาหลายครั้งหลายคราวที่ผมต้องประสบกับเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆเสียด้วยกับผม หากจะเล่าไปก็คงจะยาวเป็นรามเกียรติ์และมันก็น่าหัวเราะเยาะคงไม่มีใครเชื่อ เพราะมันเหลือเชื่อ ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ(ไม่รู้เข้าใจป่าว) ส่วนเรื่องของธุรกิจที่ไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องของตลาดก็สอนให้ผมเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่เรียกภาษาทางการตลาดว่าผู้บริโภค ลูกค้า อะไรพวกนี้ แต่ผมก็ยังเอาวิชาพวกนี้มาใช้ไม่ค่อยได้อยู่ดี จนเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เข้าใจแม้แต่ความต้องการของตัวเอง แล้วผมจะไปหยั่งรู้ความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ออย่างไร มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และมันก็มากไปสำหรับผม สรุปแล้ววิชาการส่วนใหญ่ได้คืนอาจารย์ที่น่าเคารพไปเกือบหมดสิ้นแล้ว กรรม! ผมรู้สึกได้ว่าคนอื่นๆยิ่งเรียนมากยิ่งฉลาดมาก แต่ผมกลับตรงกันข้าม คิดเอาเองนะกันว่าเป็นแบบไหน ? ผมเคยทำงานบริษัทมา 3-4 แห่งเข้า-ออก และก็ออก-เข้า อยู่อย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม แต่สำหรับคนอื่นไม่ใช่ ! ทุกคนยึดขาเก้าอี้แน่น ลากพาตัวออกมาได้แล้ว แต่แขนยังหลุดเกาะขาเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย.ไหนจะผ่อนบ้าน รถ ครอบครัว หนี้สิน แบกอยู่บนบ่าจะปล่อยออกมาได้ไง ผมตัวคนเดียว(โฆษณาซะ) ก็คงเป็นแบบนี้แหละเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ง่ายๆชิวๆ สำหรับคนอื่นเขาก็เรียกไอ้พวกทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่ผมก็มักอดโต้แย้งไม่ได้ว่า ก็ความไม่เป็นชิ้นเป็นอันของผมนี่แหละคือความเป็นชิ้นเป็นอัน.เถียงข้างๆคูๆไปงั้นแหละสะใจดี ! สรุปได้ว่าไม่มีสักชิ้นสักอันเลยจะดีกว่า เข้าใจง่ายดี ผมรู้สึกว่าอายุเริ่มมากขึ้นแต่มันสมองกลับตรงกันข้ามไม่ค่อยรู้เท่าทันโลกเขาเท่าไร ทีวีก็ไม่ค่อยดู เพลงก็ไม่ค่อยฟัง ชอบเก็บตัวเงียบ ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่มีเพื่อน ไม่เรียกว่าตัวประหลาดจะเรียกว่าอะไร? บอกตรงๆเลยว่าผมชอบอยู่เฉยๆมากกว่า  ไม่ชอบความวุ่นวาย คนแถวบ้านผมเขาเรียกคนขี้เกียจสันหลังยาว  ผมไม่รู้ว่าทำไมสันหลังต้องยาว ? แต่ช่างมันเถอะ ! ยังไงผมก็คงไม่สามารถหนีพ้นข้อกล่าวหานี้อยู่ดี ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย  ขอเพียงเรามีความสุขในสิ่งที่ทำก็พอ ทำไมต้องสนใจขี้ปากชาวบ้าน มีหลายต่อหลายคนแนะนำให้ผมบวชตลอดชีวิต ซึ่งมันก็เข้าทางผมพอดี ผมหน่ะอารามบอยเก่า เรื่องวัดวาพอรู้ลู่ทางดี ไอ้เรื่องก่อกวนพระในวัดนี่ถนัดนัก พอมาคิดไปคิดมา ผมว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ผมชอบตรงที่มีที่พักฟรี อาหารพร้อม เผอิญผมมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาสแล้ว จบนักธรรมเอก เจอกันทีไรต้องเปิดเวทีโต้วาทีกันประจำ ดึกๆดื่นๆยังโทรมาถกพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ สนุกไปอีกแบบ มีเพื่อนแบบนี้ นานๆผมจะได้ไปนอนค้างวัดสงบจิตสงบใจสักที ผมไปทีไรพระในวัดก็ปั่นป่วนทุกที ก็เล่นจับคู่กับรองเจ้าอาวาสปิดโบสถ์นอนซะเลย พระอื่นไม่ต้องใช้ กรรม ! ช่วยไม่ได้หลวงพี่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสถือกุญแจทุกห้อง ใครจะกล้าแหยม ผมก็กลายเป็นเด็กเส้นไปโดยปริยายเส้นใหญ่เสียด้วย รอให้หลวงพี่ผมเป็นเจ้าอาวาสเมื่อไร วัดทั้งวัดเสร็จแน่ กรรม!....จะลงมั๊ยเนี๊ย !.....โบราณว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก คนลองมีนิสัยเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนมันก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่การแก้ไขตัวเองถึงจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่คงยังจะง่ายกว่าไปเที่ยวตามว่าคนนี้ทีว่าคนโน้นที คิดจะแก้ไขคนอื่น เขา ซึ่งโคตะระยากยิ่งกว่าหลายเท่านัก  เรื่องง่ายๆเลยกลายเป็นยาก ส่วนเรื่องยากๆก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ .กรรม !...ก็บ่นๆไปงั้นๆแหล่ะตามประสาคนแก่.ขอบคุณที่ยอมมาเป็นที่รองรับอารมณ์..คนขี้บ่น...............................


cartoon_shark_scooter_lunch_md_wht.gif				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ