26 ธันวาคม 2552 13:22 น.

วันโลกาวินาศ....

คีตากะ

          บ้านของท่านอินทร์เป็นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยหญ้าคา บ้านของท่านอยู่ลึกเข้าไปจนถึงท้ายทุ่ง บริเวณแถวนั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่และท้องทุ่งนาเรียงรายจนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา การที่บ้านของท่านอินทร์อยู่กระเด็นห่างออกมาจากหมู่บ้าน ทำให้บ้านของท่านเสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก บ้านของท่านเป็นเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา หน้าบ้านมีบ่อน้ำเล็กๆซึ่งมีดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยตอนที่ยังเป็นเด็กอายุซักประมาณ ๑๐ ขวบเห็นจะได้ เคยติดตามยายไปเยี่ยมท่านอินทร์และครอบครัวครั้งหนึ่งและข้าพเจ้าเคยเผลอตกลงไปในสระบัวของท่าน ดีที่ข้าพเจ้าเกิดในชนบทซึ่งเต็มไปด้วยคลองคูมากมาย เคยจมน้ำมาบ่อยครั้งจนสามารถว่ายน้ำได้สบายไม่ว่าน้ำนั้นจะลึกหรือไหลเชี่ยวขนาดไหน ยังจำได้ว่าชีวิตในวัยเด็กมักชวนเพื่อนๆไปเล่นน้ำในคลองกันแทบทุกวันตอนเย็นๆ แต่ถ้าวันไหนที่เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเด็กๆอย่างเราก็มักจะเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันทั้งวัน จนมืดค่ำ
 
               หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านหนองม่วง อาชีพส่วนใหญ่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยท้องทุ่ง มีต้นตาลยืนเรียงรายสลอน มีคลองส่งน้ำของกรมชลประทานตัดผ่านมาถึงหมู่บ้านของเราเป็นแห่งสุดท้าย ชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ยากจน สมัยตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พอโตขึ้นมาหน่อยจึงเริ่มมี แต่สมัยนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าเริ่มมีทีวีซึ่งยังเป็นเพียงทีวีขาวดำ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เจริญกว่าเก่าเยอะ ภายหลังจากที่ยายเสีย ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมท่านอินทร์อีกเลย ท่านอินทร์เป็นชาวนาที่ค่อนข้างยากจนคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาคนหนึ่งและลูกสาวอีกคนหนึ่ง ถึงท่านจะไม่มีตำแหน่งที่สำคัญอะไรภายในหมู่บ้าน แต่ท่านก็เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถวนี้มานาน ใครมีปัญหาเรื่องใดก็มักจะเดินทางไปหาท่านให้ช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากท่าน ท่านได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ท่านมีเมตตาและมักช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอๆ ตามกำลังที่ท่านจะสามารถช่วยได้ ท่านจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านไม่เคยรับตำแหน่งใดๆ และเงินบริจาคใดๆจากใคร แม้ชาวบ้านจะอยากให้ท่านเป็นผู้นำหรือผู้ใหญ่บ้าน หลายต่อหลายครั้งแต่ท่านมักปฏิเสธไม่ยอมลงสมัคร ท่านชอบที่อยู่แบบสันโดษและมีความสุขกับครอบครัวของท่านมากกว่า ชาวบ้านทั้งในตำบลและตำบลอื่นๆ มักจะเชิญท่านไปร่วมงานต่างๆ อยู่เสมอๆ และก็มักให้ท่านพูดปราศรัยในเรื่องต่างๆให้ฟัง ท่านจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป
               
                 ข้าพเจ้าหาโอกาสมานานที่อยากจะสนทนากับท่านอินทร์เป็นการส่วนตัว และไม่เคยหาโอกาสได้สักที จนเมื่อครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตกงานและกลับมาอยู่บ้านที่ชนบทแห่งนี้ ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าจึงเป็นจริง ในสมัยก่อนการเดินทางไปบ้านของท่านอินทร์นั้นค่อนข้างลำบาก จำได้ว่าสมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่ ยายต้องลุกตื่นแต่เช้า เตรียมกับข้าวและของฝากเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านอินทร์ ยายเดินเท้าตามถนนซึ่งตัดผ่านทุ่ง ก่อนที่จะลงเดินลัดเลาะตามคันนาไปอีกไกลโข ใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวันกว่าจะถึงบ้านของท่าน ข้าพเจ้าเดินตามหลังยายผ่านคูคลองและผืนนามากมาย ก่อนที่จะถึงบ้านของท่านยังต้องเดินลัดป่าทึบเข้าไปอีกลึกทีเดียว ป่าทึบส่วนนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไม่มีใครกล้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวนี้ยกเว้นท่านอินทร์ครอบครัวเดียว แต่สมัยนี้มีถนนหนทางดีขึ้น และก็เริ่มมีบ้านสองสามหลังเข้ามาปลูกอยู่ตรงชายป่าบ้างแล้ว และป่าที่เคยทึบก็เริ่มเบาบางลง กลายเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ สมัยก่อนบ้านท่านอินทร์ไม่มีไฟฟ้าใช้และครอบครัวของท่านเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ได้ไม่นานมานี้ เพราะทางการไฟฟ้าบอกว่ามีบ้านของท่านเพียงหลังเดียวที่อยู่ปลายสุดของถนนจึงไม่ลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าให้ พวกเขาบอกว่าท่านอินทร์จำเป็นต้องลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าเอง ซึ่งต้องใช้เสานับกว่า ๑๐ ต้นเรียงรายกันไป แน่นอนด้วยฐานะที่ยากจนของท่านอินทร์ ท่านจึงไม่มีเงินลงทุนและต้องอยู่ในความมืดมายาวนาน แม้ปัจจุบันเสาไฟฟ้าบริเวณทางเข้าบ้านท่านอินทร์จะมียืนเรียงรายให้เห็น พาดด้วยสายไฟระโยงระยาง แต่มันก็เป็นเพียงเสาที่ทำจากไม้ไม่ใช่เสาปูนเหมือนบ้านเรือนส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะบ้านของท่านอยู่ลึกจนเกินไปจากถนนหลัก แต่รู้สึกว่าตัวท่านจะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ภรรยาและลูกสาวของท่านยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ซึ่งก็เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเมื่อปีกลาย ข้าพเจ้าขี่มอเตอรไซด์มาจนถึงหน้าบ้านของท่าน แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่บ้านพบแต่เพียงลูกสาววัยเพียง ๙ ขวบ ข้าพเจ้าสอบถามว่าท่านอินทร์อยู่หรือเปล่า ลูกสาวตอบว่าไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงลังเลว่าจะกลับก่อนดีหรือจะรอท่านซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมา ไม่รู้จะทำอะไร ข้าพเจ้าก็เลยชวนลูกสาวของท่านพูดคุย โดยเริ่มต้นถามว่าท่านอินทร์ไปไหนเหรอ? ลูกสาวของท่านอินทร์วัย ๙ ขวบตอบมาดังนี้

ไม่มีใครรู้หรอกว่านักบุญท่านหนึ่งจะไปที่ไหน และจะกลับมาเวลาใด
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจกลับคำตอบนี้และถามต่อว่า
เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
ก็เพราะร่างกายของท่านไม่มีตัวตนอยู่จริงนาซี แม้แต่เทวดา พระอินทร์ หรือแม้แต่พระพรหม ในพรหมโลกชั้นสูงสุด ก็ยังไม่ทราบการไปมาของท่าน เด็กน้อยตอบ
แม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยแต่ก็สอบถามเด็กน้อยต่อว่า
ท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือทำไมไม่มีตัวตนอยู่จริงหล่ะ
ร่างกายของท่านไม่เหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ร่างกายท่านอยู่เหนือการหยั่งวัดหรือประมาณได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะนักบุญย่อมอยู่เหนือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วนาซี เด็กตอบ
ที่ที่นักบุญไปนั้น พี่จะไปได้ด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
เป็นเรื่องยากที่จะไปได้ เพราะถนนที่ไปนั้นมันลื่นมากจนมดสักตัวยังไม่สมารถไต่ขึ้นไปได้ มันสูงและชันมากจนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเดินทางไปถึงหรือจินตนาถึงได้ เด็กน้อยอธิบาย
แม้ข้าพเจ้าจะงุนงงและประหลาดใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่ก็ถามต่อว่า
พี่มีคำถามเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่จะถามท่าน ไม่รู้ว่าน้องสามารถตอบได้หรือไม่ ข้าพเจ้ายิงประเด็น
มีคำตอบอยู่ในทุกคำถาม และทุกคำถามล้วนมีคำตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็มีมาก่อนที่จะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมีคำถามก็รีบถาม เด็กน้อยกล่าว
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจถ้อยคำของเด็กหญิงคนนี้หรือไม่ แต่ปัญหาคาใจที่สงสัยมานาน ที่จำอุตสาห์เดินทางมาจนถึงที่นี่เพื่อหาคำตอบมันรุนแรงยิ่งกว่าที่จะรอต่อไป ข้าพเจ้าจึงถามออกไปว่า
จุดจบของมนุษยชาติจะมาถึงอีกเมื่อไร นักบุญช่วยอะไรได้บ้าง
ไม่มีจุดจบของมนุษย์ที่แท้จริง เพราะมนุษย์เป็นเพียงสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น เป็นเพียงมายาภาพ และกาลเวลาก็เป็นเรื่องหลอกลวงไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งเป็นเพียงพระจิตที่เป็นอมตะแยกมาจากองค์รวมของพระผู้สร้างและจะต้องกลับไปสู่พระผู้สร้างหรือพุทธะภาวะสูงสุดอีกครั้ง เด็กน้อยหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อว่า
 อย่างไรก็ตาม ๓ ปีต่อจากนี้จะมีการชำระล้างขยะโลกครั้งใหญ่เพื่อปรับสมดุล สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ ๙๐ จะหมดหน้าที่บนโลกลง เด็กหญิงเอามือจับไม้กวาดขึ้นมาและเริ่มปัดกวาดบริเวณนั้นพร้อมกับเชิญให้ข้าพเจ้านั่งบนแคร่ไม้ไผ่ ก่อนที่เธอจะพูดต่อไปว่า
นักบุญหลายต่อหลายท่านช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์กลับไม่เคยเข้าใจและยังคงสร้างบาปกรรมไม่หยุดหย่อน เธอหยุดพูดและเดินหายไปหลังบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและชมพู่หนึ่งตะกร้า นำมันวางลงที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสต่อว่า
จนถึงขณะนี้ สวรรค์ไม่ยินยอมให้นักบุญที่มีชีวิตอยู่บนโลกช่วยเหลืออีกแล้ว มนุษย์จะต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อ ถึงขนาดบอกให้นักบุญหยุดการเผยแพร่สัจธรรมเลยทีเดียว 
ไม่มีทางแก้อีกแล้วหรือ แล้วใครจะเป็นคนที่อยู่รอด? ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดจากปากเด็กหญิงพร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ
คนที่มีระดับชั้นทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง อยู่เหนืออำนาจของพญามาร เด็กหญิงตอบ
คงจะมีจำนวนน้อยมากๆเลย ข้าพเจ้าลงความเห็น
คนส่วนใหญ่จะต้องถูกจัดการเพื่อนำจิตวิญญาณที่เสื่อมทรามเหล่านี้เข้าสู่ขบวนการรักษาเยียวยา เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์มากขึ้น จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาใหม่ เด็กหญิงอธิบาย
ทำไมสวรรค์ไปเตือนพวกเขาก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาหล่ะ  ข้าพเจ้าพูดออกไปเพราะรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ค่อยยุติธรรม
 สวรรค์เตือนมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผ่านโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านสงครามต่างๆ ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อกรได้ เธอกล่าว
แล้วโลกภายหลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี่เล่า จะเป็นอย่างไร คนที่เหลือรอดจะไม่ยิ่งแย่ไปอีกเหรอ? ข้าพเจ้ายังสงสัย
คนที่สามารถผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ไปได้ล้วนเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจากสวรรค์ สวรรค์จะดูแลอย่างดี เพื่อเป็นต้นแบบของคนยุคต่อไปซึ่งจะมีแต่ความดีงาม และจะทำให้โลกถูกยกระดับสูงขึ้นใกล้เคียงกับสวรรค์ โลกและสวรรค์จะติดต่อถึงกันได้ง่ายขึ้นเหมือนครั้งบรรพกาล เธออธิบาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะรอดหรือไม่ สวรรค์จะเลือกเราหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
ถือศีล กินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์ บำเพ็ญเพียรภาวนา เธอสรุป
ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะอยู่รอด พร้อมตั้งคำถามสุดท้ายว่า 
พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่ายุคสุดท้ายพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้ เป็นความจริงหรือไม่และพระองค์มาแล้วหรือยัง?
ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และเฉพาะคนที่มีบุญสัมพันธุ์กับท่านเท่านั้นจึงจะได้พบ ถ้าไม่มีบุญสัมพันธุ์ถึงได้พบก็ไม่รู้จัก เพราะพวกท่านเหล่านั้นมักจะมาในรูปลักษณะที่เปลี่ยนไปเสมอ สุดวิสัยที่ปุถุชนจะเข้าใจ เด็กหญิงกล่าว
พระศรีอารย์มาแล้ว และขณะนี้ท่านกำลังช่วยเหลือสรรพสัตว์อยู่อย่างเร่งด่วน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ภายหลังภัยพิบัติทุกคนที่รอดจะทราบว่าท่านคือใคร เด็กหญิงตอบคำถามในท้ายที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกมึนงงและจนด้วยถ้อยคำ.....

				
24 ธันวาคม 2552 15:10 น.

ความเข้าใจที่ผิดพลาดเรื่องภาวะโลกร้อน

คีตากะ

1119630170.jpg             ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกตีพิมพ์ออกมาจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก พบว่ามันมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงอยู่บ้าง โมเดลหรือแบบจำลองต่างๆ อันเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพยากรณ์อนาคตของปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อนยังคงมีความผิดพลาดให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีการแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า แน่นอนอนาคตเป็นสิ่งที่ยากคาดเดา แต่มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหายนะต่อมวลมนุษยชาติอย่างเรื่องภาวะโลกร้อน ข้อมูลบางส่วนถูกบิดเบือนและปกปิดอำพรางด้วยเหตุผลนานับประการ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนา ฯลฯ แต่สุดท้ายผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมยังคงเป็นประเทศที่ยากจน ประชาชนที่ยากจน ซึ่งไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าภาวะโลกร้อนยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน เช่น ใครจะไปทราบว่าน้ำแข็งขั้วโลกที่มีอายุนับ ๑๕๐,๐๐๐ ปีจะละลายไปแบบไม่หวนกลับมาอีก เพราะทุกครั้งมันจะละลายหายไปบางส่วนในฤดูร้อนและกลับมาอีกในฤดูหนาว แต่ปัจจุบันมันกลับไม่เป็นเหมือนเดิม ความผิดพลาดต่อความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนที่พอสรุปได้ตามความเข้าใจของผู้เขียนมีดังต่อไปนี้

๑.	การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้โลกร้อนจริงหรือ?
เชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างเช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นสารประกอนไฮโดรคาร์บอน ส่วนใหญ่เมื่อถูกเผาไหม้จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งทำให้โลกร้อน ในขณะเดียวกับจากปฏิกิริยาการเผาไหม้มันยังได้ ละอองลอย (Aerosol) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็น ผลจากการหักล้างกันทางความร้อนส่วนต่างเกือบเป็นศูนย์ นั่นแสดงว่าตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนในช่วงทศรรษที่ผ่านมาอาจไม่ใช่มาจากคาร์บอนไดออกไซด์ นักวิทยาศาสตร์บางคนพบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้โลกร้อน ๔๐% และ ๖๐% มาจากก๊าซมีเทน แต่ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศในช่วง ๑๐๐ ปีและพบว่าก๊าซมีเทนมีความรุนแรงกว่าซึ่งทำให้โลกร้อนกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ๒๓ เท่า และพบว่าปัจจุบันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีอยู่ในบรรยากาศ ๓๘๓ ppm (หนึ่งส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร) แน่นอนพวกเขาจึงพยายามเพื่อจะลดมันลงเพราะดูจากค่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นแปรผันโดยตรงกับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ แต่ถ้าลองวัดก๊าซเรือนกระจกในช่วงเวลา ๒๐ ปี เขากลับพบว่ามีเทนมีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๗๒ เท่า เพราะอะไรหรือ? เพราะนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ ลืมคิดไปว่าก๊าซมีเทนที่ตกค้างในชั้นบรรยากาศจะมีอายุเพียง ๑๑ ปี มันก็จะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์จนไม่เหลือร่องรอย ผลก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนหนึ่งในชั้นบรรยากาศมาจากมีเทนและส่วนอื่นๆ จากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก

๒.	อัตราการละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเร็วขึ้นจริงหรือ?
แบบจำลองที่ใช้พยากรณ์อัตราการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกค่อนข้างจะเด่นชัดที่สุด หลายครั้งความจริงที่ปรากฏทำให้นักวิทยาศาสตร์ถึงกับช็อกหรือหวาดผวา เมื่อพบว่าน้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มากนัก การใช้กราฟแบบเส้นตรงหรือข้อมูลในช่วงเวลาสั้นๆ นำไปสู่ความผิดพลาดของการพยากรณ์ มันชัดเจนขึ้นแล้วว่าการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเป็นปฏิกิริยาแบบสะท้อนกลับ พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อน้ำแข็งละลายเริ่มจากช้าๆ จากการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น และมันจะเพิ่มความเร็วสูงขึ้นจากปัจจัยหลายๆอย่างที่พวกเขาอาจไม่ได้นำมาคิด อย่างเช่น ทะเลน้ำแข็งอาร์กติกขั้วโลกเหนือสะท้อนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ประมาณ ๘๐% ทำให้อุณหภูมิความเย็นของมหาสมุทรคงที่ น้ำแข็งไม่เพียงรักษาอุณหภูมิของโลกมันยังช่วนสะท้อนความร้อนออกสู่บรรยากาศด้วย เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้น ทะเลเปิดมากขึ้น ทะเลจึงอุ่นมากขึ้นด้วย ส่งผลให้น้ำแข็งยิ่งละลายเร็วขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ชายฝั่งที่เคยมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี เกิดการละลาย ทำให้มีเทนก้อนที่ถูกเก็บไว้ในชั้นดินเยือกแข็ง (Permafrost) ละลายเป็นฟองก๊าซมีเทนถูกปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศ ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้น และทำให้โลกร้อนขึ้น  เป็นวงจรวัฏจักรที่รวดเร็วจนยากคาดการณ์  จนนำไปสู่การพยากรณ์ระดับน้ำทะเลและระยะเวลาต่างๆ ผิดพลาดตามมา ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ จะปราศจากน้ำแข็งบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือ และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนผันที่ไม่สามารถย้อนกลับได้อีก

๓.	การเกิดแผ่นดินไหวกับภาวะโลกร้อนเกี่ยวกันไหม?
แผ่นดินมีค่าความจุความร้อนน้อยกว่าน้ำในมหาสมุทร มันจึงร้อนมากกว่า ที่ผ่านมาอุณหภูมิผิวดินได้เพิ่มเร็วขึ้นประมาณ ๒ เท่าเมื่อเทียบกับการเพิ่มอุณหภูมิของผิวทะเล ซีกโลกเหนือมีมวลแผ่นดินมากกว่าซีกโลกใต้ ซีกโลกเหนือจึงร้อนเร็วกว่า จากหลักฐานพบว่าการการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของบรรยากาศเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวจากการเคลื่อนที่ของชั้นเปลือกโลก สาเหตุเพราะว่าน้ำแข็งได้ละลายอย่างรวดเร็ว เช่น อาร์กติกและกรีนแลนด์ ขณะที่มันกำลังละลาย มันได้ปลดปล่อยแรงดันจากพื้นผิวโลกเป็นผลสะท้อนกลับ ผลสะท้อนกลับจากบริเวณเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากความเครียดของเปลือกโลกอย่างง่ายดาย ส่งผลต่อการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ในปัจจุบัน เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเหตุให้มีความถี่สูงขึ้นในการสั่นไหวของพื้นผิวโลก นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าภาวะโลกร้อนได้ก่อให้การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความถี่สูงขึ้นอีกด้วย และมันมักจะเกิดในช่วงที่น้ำแข็งกำลังละลาย นอกจากนั้นยังอาจมีสาเหตุมาจากปริมาณน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มากเกินไปจากการละลายของน้ำแข็งทำให้แกนโลกต้องปรับสมดุลใหม่ และจากการที่แกนกลางโลกร้อนจัดถึง ๓,๖๗๖ องศาเซลเซียสใกล้เคียงกับพื้นผิวดวงอาทิตย์ที่ร้อนถึง ๕,๕๒๖ องศาเซลเซียส ทำให้ชั้นเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง

๔.	ต้นไม้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แทนที่จะปล่อยก๊าซออกซิเจนจริงไหม?
ภายหลังคลื่นความร้อน (Heat Wave) คร่าชีวิตชาวยุโรปราว ๓๕,๐๐๐ คน ในช่วงเวลาเพียง ๓ เดือนของฤดูร้อนปี พ.ศ. ๒๕๔๖ อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจว่าต้นไม้จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมา แต่เขากลับพบว่าปัจจุบันนี้มันกลับทำงานตรงกันข้าม ผลจากการที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ต้นไม้จะเกิดการห่อใบและเก็บออกซิเจนไว้โดยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน นอกจากนั้นความร้อนยังทำให้แบคทีเรียในดินบริเวณในป่าเร่งการย่อยซากพืชไปเป็นก๊าซมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างรวดเร็วและปล่อยสู่บรรยากาศ ซึ่งเร่งภาวะโลกร้อนให้เลวร้ายไปอีก
      
๕.	แหล่งเก็บกักคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในมหาสมุทรจริงหรือ?
 นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าแหล่งเก็บกักคาร์บอนที่สำคัญคือป่าหรือไม่ก็ชั้นบรรยากาศ แต่ปัจจุบันพวกเขากลับค้นพบว่า แหล่งเก็บกักคาร์บอนถึง ๙๓% อยู่ในมหาสมุทรไม่ใช่ต้นไม้หรือชั้นบรรยากาศ มหาสมุทรคือแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในการรักษาสมดุลของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเสมือนรากฐานของโลก ๓ ใน ๔ ส่วนของโลกเป็นมหาสมุทรปกคลุมไปด้วยน้ำทะเล สัตว์และพืชทะเล เช่น ไดอะตอม ไฟโตแพลงก์ตอน สาหร่ายทะเล เป็นตัวควบคุมปริมาณของก๊าซทั้ง ๒ พวกมันจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำเพื่อสังเคราะห์แสงและสร้างเปลือกแข็งห่อหุ้มตัวเองเพื่อความปลอดภัยโดยจะปล่อยก๊าซออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตออกมา ผลจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เพิ่มคาร์บอนในชั้นบรรยากาศมากเกินไป จนต้นไม้หรือมหาสมุทรเกินกว่าจะรับได้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในชั้นบรรยากาศ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ก๊าซจะละลายในน้ำได้น้อยลง จากที่มันเคยมีหน้าที่คอยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศมันจึงทำในสิ่งตรงกันข้ามคือปล่อยคาร์บอนแทน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตพวกแพลงก์ตอนก็ลดจำนวนลงจากการที่น้ำทะเลมีภาวะเป็นกรดจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตกค้างมากเกินไป นำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล รวมทั้งการเกิด ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว และเสียสมดุลระบบนิเวศทางทะเล

๖.	พื้นที่มรณะ (Dead zones) ทางทะเลคืออะไรมีอยู่จริงหรือ?
พื้นที่มรณะทางทะเลคือบริเวณที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เนื่องจากขาดก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้เกิดบริเวณเหล่านี้ขึ้น การปล่อยของเสียจากกิจกรรมของมนุษย์และการที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้กระแสน้ำไม่เกิดการไหลเวียนหรือชะลอช้าลง การที่กระแสน้ำไหลเวียนจะนำพาสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตไปหล่อเลี้ยงชีวิตในส่วนต่างๆ ของมหาสมุทร นอกจากนั้นการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายจะทำให้การหมุนเวียนของกระแสน้ำอุ่นช้าลงหรืออาจหยุดไหล ทำให้เกิดพื้นที่มรณะ บริเวณที่ขาดออกซิเจนนี้แบคทีเรียจะสร้างก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่าปริมาณมาก ในบางบริเวณจะสังเกตุเห็นน้ำมีสีชมพู ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่ได้สัมผัสแม้แต่มนุษย์ ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ ๕-๗ องศาเซลเซียส จะเกิดการปลดปล่อยก๊าซพิษนี้จากท้องทะเลน้ำไปสู่การสูญพันธุ์ของทั้งสิ่งมีชีวิตทางทะเลและบนบกจำนวนมหาศาล ก๊าซพิษนี้มีความรุนแรงพอๆ กับไซยาไนด์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่ามีพื้นที่มรณะทางทะเลถึง ๔๐๐ แห่งทั่วโลกและไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่า พบก๊าซไข่เน่าปริมาณมากผุดขึ้นมาบริเวณชายฝั่งของนามิเบีย และพบสัตว์ทะเลจำนวนมากล้มตาย

๗.	มีเทนก้อนหรือมีเทนไฮเดรตคืออะไรมีจริงหรือ?
เมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสต์ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ขณะเดินเรือสำรวจอยู่บริเวณไซบีเรียที่ขั้วโลกเหนือ เนื่องจากพบก๊าซมีเทนปริมาณมากผุดลอยขึ้นมาจากทะเลสาบและชั้นดินเยือกแข็งที่กำลังละลายบริเวณแถบนั้น สร้างความงุนงงให้แก่พวกเขาเป็นอย่างมาก มีเทนก้อนหรือเรียกว่ามีเทนไฮเดรตเกิดจากการสะสมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลานับล้านปี แบคทีเรียได้เปลี่ยนให้มันเป็นมีเทนไฮเดรต มีลักษณะเป็นของแข็งลอยน้ำได้พบได้ในบริเวณชั้นตะกอนใต้ทะเลสาบหรือมหาสมุทร ที่ระดับความลึกมากกว่า ๒๐๐-๕๐๐ เมตร นอกจากนั้นยังพบได้ตามทะเลสาบและชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) บริเวณที่เคยมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี มีเทนก้อนจะเปลี่ยนเป็นก๊าซมีเทนลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเมื่อชั้นดินเยือกแข็งละลายจากการที่น้ำแข็งหรือหิมะชั้นบนละลายนื่องจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นหรือน้ำท่วมถึง ส่วนในมหาสมุทรเมื่อน้ำมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ๕-๗ องศาเซลเซียสการปลดปล่อยมีเทนจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลและนำมาสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมาย ก๊าซมีเทนสามารถติดไฟได้ ถ้ามีปริมาณมากในอากาศสามารถเกิดการระเบิดในอากาศ และหากมันเข้นข้นในบรรยากาศจะลดความเข้มข้นของก๊าซออกซิเจนลงทำให้หายใจไม่ออก นอกจากนั้นมันยังสามารถสร้างโอโซนระดับพื้นดินทำลายสุขภาพมนุษย์ได้อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่ามีมีเทนในบรรยากาศ ๓,๕๐๐ ล้านตัน  มีมีเทนไฮเดรตใต้ชั้นดินเพอร์มาฟรอสต์บริเวณอาร์กติกประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านตันและบริเวณใต้ท้องมหาสมุทรทั่วโลกมีประมาณ ๕๐๐,๐๐๐-๒,๕๐๐,๐๐๐ ล้านตัน

๘.	จุดวิกฤติของภาวะโลกร้อนจะมาถึงอีกนานแค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่คำนวณจุดวิกฤติหรือจุดเปลี่ยนผันของภาวะโลกร้อนไว้ในอีก ๕๐-๑๐๐ ปี ข้างหน้า แต่ปัจจุบันพวกเขาเริ่มมองเห็นความเปลี่ยนผันของการละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกที่เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าโมเดลของพวกเขาทำนาย และพบว่าบริเวณอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ นั่นแสดงว่าภาวะโลกร้อนจะทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้อีกตั้งแต่ปี ๒๐๑๒ เป็นต้นไป เมื่อน้ำแข็งละลายหมดกระแสน้ำในมหาสมุทรจะหยุดไหลเวียนลงหรือเปลี่ยนทิศทางสิ่งมีชีวิตทางทะเลส่วนใหญ่จะสูญพันธุ์ อุณหภูมิผิวมหาสมุทรจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พายุจะรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น การระเหยของน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้ฝนตกหนักและน้ำท่วมบางพื้นที่ ในขณะที่บางพื้นที่จะต้องประสบกับภัยแล้งขั้นรุนแรง แม่น้ำ ลำครอง ทะเลสาบ ต่างๆ รวมทั้งน้ำใต้ดินจะแห้งระเหยไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในฤดูร้อน พื้นที่ทางการเกษตรจะพบกับความแห้งแล้ง และบางพื้นที่พบกับน้ำท่วมฉับพลัน เช่น พื้นที่เพาะปลูกข้าว นอกจากนั้นพื้นที่ทางการเกษตรจะได้รับความเสียหายจากการรุกเข้ามาของน้ำเค็มเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และจะสูญเสียแหล่งน้ำจืดไป พื้นที่ที่เป็นเกาะและอยู่ตามแนวชายฝั่งจะถูกคลื่นที่รุนแรงกัดเซาะและจมหายไปทำให้สูญเสียแผ่นดินจำนวนมาก จนนำไปสู่การปล่อยก๊าซพิษทางทะเลสิ่งมีชีวิตจำนวนกว่า ๙๕% จะสูญพันธุ์

๙.	สงครามเกี่ยวข้องอย่างไรกับภาวะโลกร้อน?
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าต้นไม้และมหาสมุทร จะช่วยดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกมันกลับปล่อยคาร์บอนออกมาแทนทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการเร่งภาวะโลกร้อนในทิศทางที่ไม่เคยคาดการณ์มาก่อน สมดุลวัฏจักรของคาร์บอนและออกซิเจนต้องสูญเสียไปพร้อมกับการการเสียสมดุลทางระบบนิเวศวิทยาของสิ่งมีชีวิต ทั้ง คน พืช สัตว์ โดยเฉพาะน้ำและอาหาร เมื่อพืชผลทางการเกษตรต้องเสียหายจำนวนมากจากภาวะโลกร้อน การขาดแคลน้ำ และป่าที่อุดมสมบูรณ์ต้องสูญสิ้นไปจากการที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อาหารและน้ำดื่มเกิดความขาดแคลน มนุษย์เริ่มอดอยากและนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อการเอาชีวิตรอด เกิดปัญหาทางด้านสังคมที่รุนแรงตามมา และอาจกลายเป็นปัญหาระดับโลกจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำลง คนว่างงานจำนวนมาก เกิดการอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถที่จะก่อสงครามกันเพื่อแย่งชิงแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือประชากรของตนตามมา การมีอาวุธที่ทันสมัยนำไปสู่การสูญเสียชีวิตจำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดาย

๑๐.	มังสวิรัติคือทางออกของปัญหาโลกร้อนจริงหรือ?
นักวิทยาศาสตร์พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นต้นตอของภาวะโลกร้อน พวกเขาเก็บข้อมูลจากกระบวนการผลิตแฮมเบอร์เกอร์แต่ละชิ้นในสหรัฐฯ พบว่าทุกขั้นตอนการผลิตแฮมเบอร์เกอร์ล้วนมีร่องรอยของคาร์บอนแฝงอยู่ทั้งสิ้นและเมื่อคำนวณออกมามันก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าที่เกิดจากรถทุกคันบนท้องถนนในสหรัฐฯรวมกันเสียอีก การปศุสัตว์ผลิตก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ๓ ชนิดคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ สรุปแล้วมันผลิตก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศถึง ๕๑% ปัจจุบันหายนะของโลกร้อนกำลังจะถึงจุดที่เปลี่ยนผันไม่ได้ มนุษย์ไม่มีเวลามากนักที่จะจัดการกับก๊าซที่มีอายุยืนนับ ๑๐๐ ปีอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จำเป็นต้องจัดการกับก๊าซที่รุนแรงและมีอายุสั้นกว่าอย่างก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ อย่างเร่งด่วนก่อนจะสายเกินไป ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ของมันมาจากการปศุสัตว์ การปศุสัตว์ก่อให้เกิดการทำลายป่าเพื่อการใช้ที่ดิน พื้นที่ทางการเกษตรส่วนใหญ่ใช้ปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่มนุษย์ ของเสียจากการปศุสัตว์ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำและทำให้ทะเลเกิดพื้นที่มรณะขาดออกซิเจนจนถึงทำให้ทะเลกลายเป็นกรด นอกจากนั้นฟาร์มปศุสัตว์ไม่เพียงเป็นแหล่งเชื้อโรคที่สามารถติดต่อสู่คนได้เท่านั้นมันยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล เช่น ก๊าซมีเทนถูกขับถ่ายจากวัวและถูกสะสมในระบบย่อยอาหารของมัน ฟาร์มสุกรเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลสู่บรรยากาศ อุตสหกรรมที่เกี่ยวกับการปศุสัตว์ล้วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ฟาร์ม โรงงาน การขนส่ง ดังนั้นการไม่ทานเนื้อสัตว์หรือการทานมังสวิรัติจะสามารถลดกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เพียงการปศุสัตว์ แต่ยังรวมส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องอีกด้วย และสามารถคำนวณออกมาได้ว่าการทานมังสวิรัติจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อนได้ถึง ๘๐%



fruit_veget.jpg				
17 ธันวาคม 2552 06:03 น.

โคเปนเฮเกน ลมหายใจสุดท้าย....

คีตากะ

gl.gif                แม้จนเกือบถึงวันสุดท้ายแห่งการประชุมว่าด้วยเรื่อง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คงยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังคงเกี่ยงกันรับผิดชอบในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ ประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ ๑ ของโลกแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐฯเคยครองแชมป์โลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้โลกร้อนมายาวนานโดยต้องตกมาเป็นรองแชมป์ แต่สองยักษ์ใหญ่ก็ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อจะลงเอยกันได้ ที่ผ่านมาในพิธีสารเกียวโต ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศได้ให้สัตยาบันที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลง และมีเพียง ๒ ประเทศที่ไม่ยอมร่วมลงสัตยาบันซึ่งก็คือ สหรัฐฯและออสเตรเลีย ( ซึ่งภายหลังออสเตรเลียก็ยอมร่วมลงนามในเวลาต่อมา)  ในสมัยรัฐบาลของบุช ที่มุ่งเน้นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสากลและก่อสงครามมากกว่าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ผู้คนต่างคิดกันไปว่าที่รัฐบาลของบุชไม่ยอมร่วมลงนามนั้นใช่มาจากธุรกิจของเขาที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันหรือไม่? มันก็อดคิดไม่ได้ว่า น้ำมัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันกันว่าเป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อน เช่น เดียวกับถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
ในขณะที่โลกยังมีความหวังจากประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯคนปัจจุบันซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปหมาดๆ จะมีท่าดีที่เด่นชัดมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะในขณะที่หลายประเทศที่เป็นเกาะและอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลกำลังจะจมน้ำตาย การประชุมที่เมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ถือเป็นความหวังสุดท้ายสำหรับชะตากรรมของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรเลย แต่ต้องมารับเคราะห์จากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีน สหรัฐฯและยุโรป และทำได้แค่การส่งเสียงและยกมือขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังจะจมน้ำในอีกไม่ช้า การประท้วงเริ่มมีขึ้นจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน และมันดุเดือดขึ้นทุกที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสลายการชุมนุม เหมือนกับว่าโลกกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง? 
ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก ! แม้โลกจะพินาศวันพรุ่งนี้ก็ตาม แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือความ อวิชชา ต่างหาก ความไม่รู้หรือรู้ผิดนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่ความทุกข์ ความกลัว ความวิตก กังวลโดยไม่จำเป็น ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนไว้เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเรียกคนที่มีความทุกข์ว่าคนโง่ ถ้าสรุปกันง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ คนชั้นต่ำหรือว่าอะไร โลกเดินผิดทางมายาวนานมากระหว่างคำว่า โง่ กับ ฉลาด ระหว่างคำว่า ปัญญา กับคำว่า อวิชชา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปโทษผู้นำประเทศหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน ความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์ และความเพิกเฉยของผู้นำประเทศในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเทียบเท่ากับ ความเข้าใจธรรมชาติผิดของตัวเราเอง ยกตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนและแหล่งผลิตอันดับหนึ่งของมันมาจากภาคอุตสาหกรรม นี่เป็นความเขลาประการที่หนึ่ง ความเข้าใจผิดอันนี้นำไปสู่ทิศทางและกลยุทธุ์ในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดไปด้วย ผลก็คือมนุษย์ พืช และสัตว์ เกือบ ๙๐% สูญพันธุ์ตามมาในอีกไม่ช้า เหมือนการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ ๖๐๐ ,๑๔๐,๒๕๐ และ ๕๕  ล้านปีก่อน(ค่าประมาณ) พวกมันล้วนพบจุดจบเดียวกันคือภาวะโลกร้อน ถ้าในแง่ศาสนามันคือเรื่องของ กรรม ซึ่งก็มีพวกรู้มากบางคนบอกว่าสิ่งนี้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำได้อย่างเดียวคือ รอวันตาย นี่คือความเขลาประการต่อมา คุณเชื่อไหมหล่ะว่าถ้าทุกคนบนโลกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ หายนะวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือในอนาคตโลกจะถึงจุดจบก็ต่อเมื่อมนุษย์ถึงจุดจบแห่งความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าต่อมนุษย์ด้วยกันเอง พืชหรือสัตว์.............
 นักวิทยาสาสตร์บอกว่าการเป็นมังสวิรัติไม่มีทางหยุดภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งปัจจุบันเสียงก็เริ่มอ่อยลง เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องศาสนาหรือพลังจิตอะไรหรอก มีพวกอุตริธรรมอยู่เยอะ แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพื่อลาภยศชื่อเสียงศรัทธาของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรอกที่เข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาด ดร.เจมส์ ฮันเซ่นน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศแห่งนาซ่าเป็นหนึ่งในหลายคนที่รู้จริง ท่านกล่าวว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งทำให้โลกร้อน ขณะเดียวกันมันก็ได้ควันของละอองลอยซัลเฟต (Aerosols) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็นลง ผลของการหักล้างอุณหภมิของก๊าซทั้งสองตัวอุณหภูมิที่ได้เกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เป็นก๊าซมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ฯลฯ ซึ่งการค้นพบที่สำคัญนี้สอดคล้องกับนักฟิสิกซ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ นาย Noam Mohr ซึ่งพบว่าในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี คาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน ๔๐% ส่วนอีก ๖๐% มาจากก๊าซหลักที่สำคัญคือมีเทน นั่นหมายความว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๔๐% นั้นมาจากไหน? คำตอบนี้ยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน ทุกคนก็เหมาเอาว่าจากโรงงาน การขนส่ง การเกษตร บ้านเรือน การเผาขยะ เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะจริงแต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น
แม้แต่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยังกล่าวว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตภัณฑ์นมทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพียงร้อยละ ๑๘ มากกว่าการขนส่งทั่วโลกรวมกัน อย่างไรก็ตามมันชัดเจนมากขึ้นต่อนักวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมาว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีบทบาทสำคัญมากกว่านั้นและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการผลิตก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึงร้อยละ ๕๑  ดร.ที คอเลน จากมหาวิทยาลัยคอเนล สหรัฐอเมริกากล่าวว่า ผมแค่มีข้อมูลบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโครงสร้างใหม่ตอนนี้ ระบุว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่แค่ ๑๕ หรือ ๒๐% แต่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งและบางทีมากพอใช้ ซึ่งเนื่องมาจากการปศุสัตว์  คำตอบนี้พอคาดเดาได้หรือไม่ว่า ถ้าสิ่งที่ค้นพบโดย ๓ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย) ข้างต้นนั้นเป็นความจริง คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศและทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ตามกราฟที่อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายอัล กอร์ แสดงไว้ในหนังสืออันโด่งดังชื่อ  โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง( An Inconvenient Truth)  ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้นมาจากที่ใด? เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้ทำให้โลกร้อน การเผาผลาญน้ำมันจากการขนส่ง รถ เรือ เป็นต้นก็ย่อมได้ผลแบบเดียวกันคือจะเกิดละลองลอยที่ทำให้โลกเย็นด้วย หรือแม้แต่การเผาก๊าซธรรมชาติ NGV LPG ต่างๆ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน  คำตอบที่น่าสนใจก็คือว่า ฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรหรือ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฟาร์มปศุสัตว์นั้นผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง ๓ ก๊าซคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ พูดถึงความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก๊าซไนตรัสออกไ.ซด์รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๒๙๖ เท่าแต่มันมีปริมาณน้อยมากจึงส่งผลน้อยกว่า ส่วนฆาตรกรตัวจริงอย่างก๊าซมีเทนทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๗๒ เท่า (วัดในช่วง ๒๐ ปี) และมีปริมาณมากกว่า ๓๗% มาจากการปศุสัตว์ แต่มันมีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ กล่าวคือมันมีอายุแค่ ๑๑ ปีก็จะสลายตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดค่าก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศในช่วงเวลา ๑๐๐ ปี ทำให้พบปริมาณก๊าซมีเทนน้อยมาก พวกเขาเลยสรุปผลง่ายๆ ว่าตัวการทำให้โลกร้อนคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตได้เลย เพราะอะไรหรือ? เพราะเพียงแค่ ๑๑ ปี ก๊าซมีเทนก็อันตธานล่องหนหายไปไม่เหลือซากแล้ว มันถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุภาษิตจีนกล่าวว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดในโลก หาใช่อาวุธที่มองเห็นได้ง่าย อาวุธในมือศรัตรูที่สามารถมองเห็นได้ ท่านยังมีโอกาสหลบหนีได้ทัน แต่ท่านจะไม่มีทางมองเห็นอาวุธลับ ของศรัตรูที่ซ่อนอยู่ รอจนอาวุธนั้นปรากฏ ท่านจึงสามารถมองเห็นว่ามันมีลักษณะเยี่ยงไร พร้อมกับ เลือดที่หลั่งรินและ ชีวิตของท่านที่หลุดลอย ก๊าซแอบแฝงลำดับที่ ๒ อย่างมีเทนกำลังเป็นประเด็นร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน ถ้าผู้นำทุกประเทศกลับไปรณรงค์ให้ลดการทานเนื้อสัตว์ลงเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายนี้ลงได้ก่อนที่จะสายเกิน หากทั่วโลกสามารถจัดการกับมีเทนได้ เวลาที่เหลือนับร้อยปียังมีเวลาจัดการกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทัน( แน่นอนเราต้องจัดการทั้ง ๒ ตัว) ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีหรือการใช้พลังงานแบบยั่งยืนแทน เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้นำก้าวเดินผิดทางย่อมนำประเทศและโลกไปสู่หายนะอย่างแน่นอน ผู้นำสามารถใช้อำนาจทางการเมืองแก้ปัญหาโลกร้อนได้หากตระหนักรู้ว่ามันคือหายนะตัวจริง คำถามคือว่า คุณจะยอมเว้นอาหารเลิศรสจากเนื้อสัตว์ แล้วมาอดทนกินแต่พืชผักผลไม้ แลกกับการสูญพันธุ์ของตัวคุณเองและลูกหลานไหม?  หากคำตอบคือไม่สิ่งเหล่านี้จะอุบัติขึ้น.......
อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นจาก ๑-๖ องศาเซลเซียส ถ้าถึง ๖ องศาโลกนี้จะไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ สัตว์และพืชอีกต่อไป ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น
๑ องศาเซลเซียส - บริเวณอาร์ติกขั้วโลกเหนือจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนด์ติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน (พายุร้อยปี) จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และตะวันตกของสหรัฐ จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง จนกลายเป็นทะเลทราย
๒ องศาเซลเซียส -  มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ กรุงเทพมหานคร น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น หมีที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐฯ จะละลายเกือบหมด ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น ๗ เมตร
๓ องศาเซลเซียส -   ป่าฝนอะเมซอนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกและผลิตออกซิเจนมากที่สุดจะเหือดแห้ง ภาวะอากาศที่รุนแรงอย่างเอล นิโญ (ก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง และภัยแล้งขั้นรุนแรงคนละฝั่งของทวีป)จะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับคลื่นความร้อนในฤดูร้อนขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน(ปี ๒๕๔๖ คลื่นความร้อนคร่าชีวิตชาวยุโรปจำนวน ๓๕,๐๐๐ คนในฤดูร้อน) คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง
๔ องศาเซลเซียส - น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ชายฝั่งจมลง ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยจะแห้งหมดไป ทำให้ประชาชน ๓.๒ พันล้านคน(ครึ่งโลก) ขาดแคลนน้ำจืด แม่น้ำ ๘ สายหลักของเอเชียจะแห้งขอดรวมทั้งแม่น้ำโขง แม่น้ำคงคา แม่น้ำแยงซี เป็นต้น ธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ซึ่งมีน้ำแข็ง ๙๐% ของโลกและเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดจะพังทลายลง ทำให้ระดับน้ำทะเลยิ่งสูงขึ้นอีก อุณหภูมิอากาศในฤดูร้อนของลอนดอนจะสูงถึง ๔๕ องศาเซลเซียส
๕ องศาเซลเซียส  บริเวณที่อาศัยอยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและธารน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำจืดให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง จะมีผู้อพยพลี้ภัยจากความรุนแรงของภาวะอากาศนับล้านคน อารยะธรรมของมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และจะเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์และพืชในมหาสมุทร รวมทั้งสึนามิขนาดยักษ์จะทำลายแนวชายฝั่งจนราบคาบ
๖ องศาเซลเซียส  จะเกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ถึง ๙๕% สิ่งมีชีวิตจะทุกข์ทรมานจากพายุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทะเลทรายจะครองโลก การผุดขึ้นมาของก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า(ก๊าซชนิดเดียวกับที่รั่วไหลจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) และก๊าซมีเทนซึ่งติดไฟได้จากท้องทะเลและทุกแห่งทั่วโลกจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันคือระเบิดอะตอมที่มีศักยภาพสูง (ในอดีตเคยทำให้ดาวทั้งดวงระเบิดกลายเป็นฝุ่นธุลี) และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้ ยกเว้นแบคทีเรีย (เหมือนครั้งกำเนิดโลก) และนี่อาจจะเป็น สถานการณ์วันล้างโลก

ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็อบอุ่น
มวลหมู่บุปผาชาติก็เบ่งบานสวยสล้าง
เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
สุภาพชนเมื่อมีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก
กินอิ่มสวมอุ่นไม่ทุกข์ร้อน
กลับไม่คิดที่จะเผยแพร่ความรู้และกระทำความดีแล้วไซร้
แม้จะมีอายุยืนถึงร้อยปี
ก็เหมือนยังมิได้ถือกำเนิดเกิดมาแม้สักวันเดียว


วันเวลานั้นยาวนาน
แต่คนวุ่นอยู่กับงานเห็นว่าสั้น
ฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่
แต่คนใจคอคับแคบเห็นว่าเล็ก
บุปผามาลี
แสงจันทร์วันเพ็ญ
เป็นสิ่งจรุงจรรโลงใจ
แต่คนชอบความอึกทึกจอแจกลับเห็นว่าไร้สาระ


ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต
แต่แมลงเม่ากลับบินเข้าหาเปลวเทียน
ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ
แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า
เออหนอ
คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลก
จะมีสักกี่คน?


ศิลปินต่างผัดหน้าทาแป้ง
ประชันโฉมไม่ลดราวาศอก
เมื่อปิดฉากลง สวยไม่สวยอยู่หนใด?
เล่นหมากรุกหน้าดำคร่ำเครียด
เอาเป็นเอาตายกันที่ตัวหมาก
เมื่อจบกระดาน แพ้ชนะอยู่แห่งไหน?


จากสุภาษิตรากผัก
ของหงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง เขียน





%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ