30 สิงหาคม 2554 22:08 น.

ชีวิต จำต้องสู้

คนกรุงศรี

ที่ขอบฟ้า ระเรื่อ เมื่อจวนแจ้ง
ไก่กู่แข่ง ขันขับ รับเสียงขาน
เหมือนถูกปลุก ให้ตื่น จำชื่นบาน
เพื่อเตรียมการ งานหนอ ยังรอคอย

ลุกขึ้นเถิด พวกพ้อง เหล่าน้องพี่
ภาระมี มากก็ อย่าท้อถอย
อย่าให้สาย จนตะวัน นั้นสูงลอย
ถ้าละปล่อย เวลา อาจช้าเกิน

แสนลำบาก ตรากตรำ ต้องจำสู้
เกิดเป็นผู้ ยากไร้ ไยขวยเขิน
ชีวิตยัง หวังอยู่ รู้เผชิญ
ดั้นดุ่มเดิน ต่อไป ในสังคม

เหงื่อโทรมกาย กำยำ ทำหน้าที่
 เพื่อชีวี คนหลัง หวังสุขสม
แม้จะเหนื่อย เมื่อยล้า อุราตรม
ก็จำข่ม ใจหม่น เพื่อคนรัก

อนาคต ลูกเรา เขารออยู่
 เลยต้องสู้  ต่อไป ให้ประจักษ์ 
หมดสิทธิ์รอ วาสนา มาทายทัก
ที่พึ่งพัก ได้หรือ คือแรงกาย

เกิดมาเป็น อย่างไร ไม่ถอยผละ
มีฐานะ จนยาก อยากมุ่งหมาย
มั่นในกฎ อดทน จนมลาย
แต่มิหน่าย จะก้าวย่าง   เพียงทางดี				
30 สิงหาคม 2554 21:31 น.

คนบ้านนอก

คนกรุงศรี

ที่ท้องทุ่ง เรืองรอง ส่องด้วยแสง
อาทิตย์แดง แสดสอด จากยอดเขา
สายลมเย็น ล่องลิ่ว ผิวแผ่วเบา
ริมลำเนา ป่าดง พงพีไพร

ข้าวขึ้นเขียว ขจี แซมสีเหลือง
แลรองเรือง ตั้งกอ ช่อไสว
ตกรวงล้อ ลมพลิ้ว ปลิวแกว่งไกล
เสียงกู่ไก่ ขันก้อง ริมท้องนา

ห้วยละหาน ธารใกล้ ไหลเอื่อยเฉื่อย
ระรินเรื่อย ลิ่วหลาก จากภูผา
น้ำเย็นใส กระเซ็น เห็นฝูงปลา
แหวกธารา เวียนว่าย แทรกสายชล

จากบางกอก กลับมา อยู่ป่าเขา
เพื่อคลายเศร้า โศกใจ พอได้ผล
ธรรมชาติ บ้านนา ช่างน่ายล
หนีจากคน ที่ทำ ให้ช้ำทรวง

ตอนเข้ากรุง มุ่งหา อนาคต
อยากใสสด รุ่งเรือง ในเมืองหลวง
แต่หม่นหมอง ต้องผจญ คนหลอกลวง
น้ำตาร่วง ระกำ จึงจำจร

สาวบ้านนอก มิหลอกใคร ให้เจ็บช้ำ
กล่าวถ้อยคำ จริงใจ ไร้เล่ห์หลอน
ทั้งเกื้อหนุน จุนเจือ เอื้ออาทร
อยู่บ้านดอน สุขล้น กว่าคนกรุง/font>				
29 สิงหาคม 2554 22:09 น.

สังขารา

คนกรุงศรี

หน้ากระจก มองเงา นี่เราหรือ
อะไรคือ สิ่งแน่ ที่แท้หนอ
ทุกอย่างเปลี่ยน เวียนไป ไม่รั้งรอ
ใบหน้าก้อ วงเดิม แต่เพิ่มรอย

ขอบตาหย่อน ยานรับ กับริ้วย่น
เส้นผมบน ศรีษะ ดูจะถอย
ก่อนดำดก เดี๋ยวนี้ มีเพียงปอย
ฟันเหลือน้อย หลุดหรอ ไม่รอเรา

เคยผ่านร้อน ผ่านฝน จนชุ่มโชก
เมื่อทุกข์โศก หม่นหมอง ถึงต้องเหงา
สู้ฟันฝ่า อุปสรรค แม้หนักเบา
พ้นโศกเศร้า สังขาร จวบบั้นปลาย

หวังอะไร กันหนอ ต่อชีวิต
ค่อยค่อยคิด กันก่อน ถึงตอนสาย
มินานนัก จักจะ ละมลาย
สร้างความหมาย ของชีวิต ก่อนปลิดปลง

อายุเรา นั้นน้อย ถึงร้อยหรือ
สิ่งใดคือ ความดี ที่เหลือหลง
เวลากาล ผ่านไป ไม่ยืนยง
สักวันคง ดับม้วย ด้วยชรา

สังขารฉัน วันนี้ ยังมีอยู่
จึงจำสู้ ต่อไป ไม่กังขา
เอาพระธรรม นำใจ หวังได้มา
เพียงแค่ว่า มิโดดเดี่ยว หรือเดียวดาย				
27 สิงหาคม 2554 22:14 น.

จันทร์สีหม่น

คนกรุงศรี

ชะแง้คอ รอคอย จันทร์ลอยเคลื่อน
อยากย้ำเตือน ความหลัง เมื่อครั้งเก่า
จันทร์ลอยแล้ว ตรงหน้า ดวงตาเรา
แต่กลับเศร้า สีหม่น ปนสีจันทร์

เจ้าเคยแจ้ง แสงทอง ส่องลงหล้า
ก่อนเคยพา จิตให้ ใจสุขสันต์
ช่วยเป็นสื่อ สานเสริม เพิ่มสัมพันธ์
เพราะตัวฉัน หรือเปล่า เจ้าจึงตรม

จะฝากใจ ผ่านจันทร์ นั้นนำส่ง
พาใจตรง ถึงทรามวัย หมายสุขสม
ดูดั่งจันทร์ นั้นล้า กว่ารื่นรมย์
จึงขื่นขม เจ้าใย ไร้ปราณี

หรือจันทรา พาใจใครคนอื่น
พบทรามชื่น ปล่อยเรา เศร้าหมองศรี 
ไยไม่ช่วย เราสร้าง ทางไมตรี 
กลับหลีกลี้ เมฆา มาลับไป

แม้แต่จันทร์ ยังหลบ ไม่พบหน้า
แล้วกานดา ส่งจิต คิดถึงไหม
หรือฝากจันทร์ ส่งจิต คิดถึงใคร
ฟากฟ้าไกล คนอื่น คงยืนคอย

มองพระจันทร์ คืนนี้ ไยสีหม่น
มิยิ้มยล เลยนะ คงจะหงอย
ตัวข้าเอง ก็เหงา เฝ้าเหม่อลอย
ก่อนจันทร์คล้อย บอกเธอ ข้าเพ้อครวญ				
26 สิงหาคม 2554 22:47 น.

เงาในดวงใจ

คนกรุงศรี

ฝนกระทบ ผิวสาว จนหนาวสั่น
ความไหวหวั่น เหว่ว้า คราสับสน
อะไรแน่ แฝงเงา เร้ากมล
สู้ผจญ กับสิ่งใด ใครบอกที

รู้แต่เพียง คิดถึง คะนึงหา
ทุกเวลา ซึมเศร้า เหงาเหลือที่
เก็บภาพฝัน เคียงอยู่ คู่ฤดี
แม้ฝันนี้ สิ้นทาง จนร้างไกล

แล้วใจก็ ค่อยค่อย เกิดรอยด่าง
สุดอ้างว้าง อดสู เคยรู้ไหม
มีคำถาม หลายหลาก จากฤทัย
ทนเก็บไว้ กับดวงมาน จนซานซม

อยากจะปิด หัวใจ ให้ว่างเปล่า
เก็บความเหงา  อำพราง อย่างขื่นขม
หนามที่ติด เกี่ยวเกาะ เพราะแหลมคม
จึงต้องข่ม สะอื้น ฝืนร่ำลา

น้ำฝนพร่าง พรูพราย กายเปียกโชก
เย็นลมโบก พลิ้วไหว ให้ผวา
อยู่ท่ามกลาง สายฝน ปนน้ำตา
รอจนกว่า ซาสร่าง อย่างทุกคราว

ดูหยาดฝน สุดท้าย ใจหายนัก
ด้วยตระหนัก ความเจ็บ ที่เหน็บหนาว
คล้ายอยู่ใน โลกร้าง อย่างยืนยาว
แสนปวดร้าว หมองหม่น จนเลือนลาง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี