18 กุมภาพันธ์ 2547 23:08 น.

..๏ เยือนทุ่ง..

อัลมิตรา



..๏ แนวรวงข้าวลู่เรียงเพียงลมผ่าน	
แว่วกังวานผ่านต้นอันโอนอ่อน
เสียงหวีดหวิวพลิ้วเอนเห็นโยกคลอน
ยามลมย้อนหยอกเย้าต้นข้าวงาม

ดอกหญ้าปลิวลิ่วลอยคล้อยจากต้น	
เหมือนหลุดพ้นพันธนาการอันเกรงขาม
ฟุ้งกระจายทั่วนาท่องฟ้าคราม	
ระเริงตามความแรงแห่งสายลม 

ใบเสียดสีมีเสียงเยี่ยงเพลงกล่อม	
ดั่งถ้อยถนอมหัวใจให้สุขสม
ลำต้นลู่ลีลาน่าชื่นชม	                
ล่อล้อลมดุจระบำตามทำนอง

มวลนกน้อยขับขานผสานเสียง	
ด้วยสำเนียงสูงต่ำยามกู่ก้อง
แล้วบินโฉบเฉี่ยวมาช่างน่ามอง	
พร่ำเพรียกร้องพร้อมเพรียงบินเลี่ยงมา 

ดวงตะวันลับหาย ณ ปลายทุ่ง	
ต่างหมายมุ่งกลับรังยังเคหา
แล้วแยกย้ายจากฝูงมุ่งนิทรา	
บ้างร่อนหาแมกไม้ใคร่พักพิง

ที่โดดเดี่ยวไร้คู่ดูหงอยเหงา	
บ้างสั่นเทาอ้างว้างยืนจับกิ่ง
ที่มีคู่เคียงกันพลันแอบอิง	              
ซุกปีกนิ่งเอ่ยเอื้อนเหมือนเจรจา  

เสียงจิ้งหรีดเรไรทักทายทั่ว	
ยามคืนสลัวคงสนุกสุขดังว่า
จึงออกจากถิ่นที่ลี้กายา	                
แล้วต่างมากล่อมทุ่งจรุงใจ

สอดแทรกด้วยเสียงอึ่งซึ่งแหบพร่า	
กบเขียดนาต่างประสานกันขวักไขว่
ดั่งดุริยางค์แสนเสนาะเพราะพริ้งใจ
มากล่อมให้สุขสมข่มกังวล  

เห็นเดือนดาวพราวพร่างงดงามยิ่ง	
จรัสจริงเจิดจ้าเวหาหน
แต่งแต้มให้นภาเพริศเลิศล้ำจน-	
จิตสับสนเมียงหมายด้วยใฝ่ปอง

ดาวกระพริบระยิบระยับจับใจนัก	
แจ้งประจักษ์เปล่งประกายไปทั้งผอง
อวดรัศมีแข่งจันทร์อันน่ามอง	
แสนผุดผ่องพรรณรายในราตรี  

มากมวลหมู่หิ่งห้อยพลอยเปล่งแสง  
ต่างสำแดงเด่นพิลาสอวดราศี
คงหมายข่มดารานิศามณี*	                
ด้วยแสงมีในตนจนน่าชม

สายลมเย็นต้องกายคลายอ่อนล้า	
อีกทุ่งนาดลใจให้สุขสม
แล้วเดินเลี่ยงกลับเรือนเหมือนอภิรมย์	
ช่างสุขสมเยือนทุ่งนาคราเมื่อเย็น ๚ะ๛
				
17 กุมภาพันธ์ 2547 16:35 น.

อีกฝั่งฟาก..ที่ฝัน

อัลมิตรา


๏ ณ อีกฟากแผ่นดินถิ่นขัดแย้ง
บังเกิดแจ้งสัจจธรรมอันล้ำค่า
ฝันที่วาดช่างงดงามตามอุรา
ไร้ศักดินาชนชั้นกีดขั้นขวาง

ไร้ศาสตราอาวุธยุทธประหาร
ไร้คนพาลข่มขู่ดูถากถาง
ไร้ศัตรูคู่แค้นแม้นอำพราง
ไร้หนทางต่างประเด็นเช่นแตกกอ

มีแต่พี่และน้องครองสุขสม
น่าชื่นชมชื่นใจกระไรหนอ
อันความรักปกปักษ์ภักดิ์เคลียคลอ
ใจเกิดก่อสนุกสนานสราญฤดี

แลญาติมิตรร่วมเผ่าพงศ์พันธุ์มนุษย์
แสนพิสุทธิ์ล้ำเลิศบรรเจิดศรี
ร่วมปรองดองรักใคร่ไม่ราวี
จวบโลกนี้ดับสลายไปกับกาล 

แม้นแดนดินถิ่นนั้นฉันไม่พบ
ยากประสบเพราะไกลห่างทางขนาน
หากพวกเราร่วมใจในตำนาน
ฝันที่หวานคงมิยาก..หากเป็นไป..๚ะ๛				
17 กุมภาพันธ์ 2547 11:04 น.

โลกด้านหนึ่งซึ่งโหดร้าย

อัลมิตรา


๏ เผชิญโลกด้านหนึ่งซึ่งโหดร้าย
คนมากมายล้วนเบียดเกียรติ์ศักด์ข้าฯ
มิคำนึงอดีตย้อนเมื่อก่อนมา
เคยศรัทธาเยี่ยงสหายกลายชิงชัง ..

ข้าฯเพียงผู้พเนจรสัญจรผ่าน
ไยระรานข่มเหงเบ่งกระทั่ง -
แค่ความคิดผิดแผกแยกประทัง
ท่านก็หวังฟาดฟันให้บรรลัย

การที่ต่างความเห็นเป็นผิดหรือ
แล้วท่านถือตัวบทกฏจากไหน
จึงตัดสินหมิ่นหยามช่างย่ามใจ
รังแกได้พวกมากลากพากัน

อันนักเลงมิเกรงกลัวภัยดอก
ยืดอกบอกด้วยใจมิไหวหวั่น
หนึ่งต่อหนึ่งซึ่งหน้ามาท้าฟัน
ดีกว่าหันหลังเห่า..มิเข้าที

หากมนุษย์ล้วนจิตคิดเช่นท่าน
จะรังสรรค์โลกงามตามควรที่
คงต้องใช้ระยะนานผลาญหมื่นปี
เผื่อจะดีเท่าหนวดอวดเต่านา

ฤๅอาจโกฏิปีแสงแย้งส่องผ่าน
จบจักรวาลที่สนองมองเห็นค่า
อาจจะยังมิซาบซึ้งตรึงวิญญาณ์
เพราะบอดบ้ามิรู้ความชอบธรรมจริง ๚ะ๛ 				
17 กุมภาพันธ์ 2547 09:26 น.

ว่างเปล่า..

อัลมิตรา



...ฉันเดินทางมาจากแดนไกล
...ฝ่าความระอุร้อนแห่งอุทัย ย่างเท้าสู่ต่างถิ่น 
...พบเห็นบ้านเรือน มีกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่ริมรั้ว 
...กระหายน้ำเสียจน ตาพร่ามัว คิดว่ามีหยดน้ำอยู่ภายใน 
...เสียดาย .. เสียดาย .. กระบอกไม้ไผ่ไม่มีน้ำ 

...ท่ามถนนที่เวิ้งว้างยิ่ง 
...แปลกจริง .. แปลกจริง .. ไร้ผู้คน 
...แหงนมองบนฟากฟ้าไกล 
...อยากจะถามไถ่ กับใครก็ได้สักหน 
...ณ ที่ฉายฉานยามราตรีส่องสกล 
...สับสน .. สับสน .. ค้นเท่าไรไม่เห็นจันทร์

...บันทึกส่วนตัวคือสมุดเล่มขาว 
...สั่งสมเรื่องราวต่างๆที่ควรค่าแก่ความทรงจำ 
...วันนี้เปิดอ่านช้าๆ ด้วยใจที่บอบช้ำ 
...ตัวอักษรบทสื่อนำ ลำนำบางบท.. มันสูญหาย 
...เหลือเพียงกระดาษว่างเปล่า 
...และตัวเราที่เดียวดาย 
...อารมณ์พรั่งพรู สิ่งที่รับรู้คิดหวล 
...มิควร .. มิควร.. ล้วนไม่มีจริง ...

...อ่างดินใบโต ที่ชานบ้าน 
...ปลาหางนกยูงสีสวยๆว่ายไปมา 
...ดอกบัวงามกำลังงามสล้าง 
...อ่างดินยังอยู่ที่เดิม 
...แต่ว่าไม่ปลา ไม่มีบัว ไม่มีกระทั่งน้ำ 
...บรรจุเพียงมวลอากาศ ที่เหือดร้อน
...ความผ่อนคลาย หดหายไป เหลือเพียงสิ่งที่แห้งแล้งยิ่งกว่า 
...อารมณ์ .. อารมณ์ .. ขมขื่นหนอ...

...สรรพสำเนียงที่เคยยินอยู่รอบข้าง 
...บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไป 
...เหลือเพียงลมอู้..ใบไม้ระบัดไหว 
...กิ่งก้านเฉกเช่นเริงระบำสนุกสนานกวัดไกว 
...กลบเสียงร่ำไห้ ..ของผู้ที่ถูกทอดทิ้งไว้ ณ เบื้องหลัง 
...ลำพัง .. ลำพัง .. อย่างอาดูร				
14 กุมภาพันธ์ 2547 13:54 น.

๏..วิญญาณขบถ..๏

อัลมิตรา


..๏ ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรี ณ ที่นี้เอ๋ย
ข้าฯขอยอมสังเวยด้วยคำประณามหยามเกียรติ์ทับถม
จงเหยียบย่ำก่นด่าจวบชีวาข้าย่อยยับดับจม
ฤๅจนกว่า..แผ่นผืนฟ้าจะล่มพสุธาแตกแยกสลาย

..๏ ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรี..เท่าที่ข้าฯได้พบเห็น
ใจท่านซ่อนเร้นและอำพรางมิใสกระจ่างอย่างมิตรสหาย
เพียงสถานการณ์พลิกผันไมตรีก็สิ้นคนในถิ่นก็ออกลาย
ประดุจคอยจ้องจะทำร้ายเมื่อข้าฯพลาด..โอ้อนาถนัก

..๏ ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรีที่ข้าฯพยายามเคารพ
เหตุใดเล่าจึงเลี่ยงหลบอักษรตอนข้าฯแย้งแสดงให้เห็นประจักษ์
คงเทียบค่ามิได้เลยกับเศษเสี้ยวหนึ่งซึ่งก่อนเคยมีใจภักดิ์
ข้าฯแสนจะตระหนัก..ยามถูกพวกท่านหาญหักด้วยทุรจิตริษยา

..๏ พอกันทีเถิดหนอ..ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรี
นับตั้งแต่บัดนี้อันว่ากรอบที่เคยครอบรายรอบตัวข้าฯ
ขอกระชากแหกกฏเฉกกบฏด้วยจิตคิดอหังการ์
ประกาศก้องด้วยใจกล้า..มิหวั่นผู้ข่มเหง..มิเกรงภัย

..๏ เพียงหนึ่งวิญญานข้าฯ..หยัดยืนในศักดิ์ศรี
จะขอต่อสู้เท่าที่อิสตรีผู้หนึ่งพึงกระทำได้
ตอนนี้..เชิญเถิด เชิญเยาะหยันหากสิ่งนั้นทำให้ท่านสุขใจ
เพราะเกียรติยศของพวกท่านไซร้ ..หด..หาย..กระทั่งสลายกลายเป็นศูนย์ .....

 
..๏ เขียนอักษรย้อนความตามภาษา
ผูกคำมาบรรยายให้คลายหมอง
หลากคนคิดจิตพ้องต้องทำนอง
บ้างยืนจ้องเห็นแปลกผิดแผกไป ๚

..๏ เหตุใดเอยจึงเปรยว่า..ขบถ
ทุรยศประณามหยามจากไหน 
จึงประกาศโองการขานคับใจ
ฤๅเซ่นไหว้สังเวยเยาะเย้ยตน ? ๚

..๏ คำที่ท่านเสียดสีศักดิ์ศรีข้าฯ
คำก่นด่าถากถางในบางหน
คำสาปแช่งแหล่งร้ายใครบางคน
คำนี้ฤๅจักพ้นขอด้นคืน ๚

..๏ ท่านก็ชีพข้าฯก็ชีพเทียบเท่าค่า
ประกาศท้าด้วยใจหมายหยิบยื่น
ยามที่ข้าฯเซซังมิรั้งยืน
ท่านคิดขืนย่ำยีบีฑาซ้ำ ๚

..๏ วันใดที่ข้าฯด้อยแรงน้อยสู้
ความอดสูท่านให้คล้ายกระหน่ำ
ประดุจหนุนเจ็บตอกยอกใจจำ
นี่หรือการกระทำของผู้ดี ๚

..๏ เมื่อข้าฯก้าวขึ้นมากล้าอีกครั้ง
ลืมความหลังท่านทำย้ำบัดสี
ให้รู้เถิดยากลบเลือนสิ่งเตือนมี
คำบ่งชี้คือ ขบถ กฏพวกท่าน ๚ะ๛ 
 
 				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา