30 กรกฎาคม 2547 14:09 น.
				
												
				
								อัลมิตรา
		
					
				
..๏ แดนดินถิ่นแว่นแคว้น........กันดาร
ซากปรักประภาคาร.................ซ่อนเร้น
ป่ารกปกครึ้มนาน....................นครสงบ
แฝงซึ่งศิลปะเน้น.....................อยู่ใต้ธรณี ฯ
..๏ ภูผาหินตั้งเด่น..................อัศจรรย์
ช่างสลักแสนรังสรรค์..............ซับซ้อน
รูปทรงบ่งพรสวรรค์.................ศิลป์ศาสตร์
นูนต่ำแกะจากค้อน.................เหล็กย้ำสะกัดทรง ฯ
..๏ อัปสรงามเลิศล้วน..............เริงระบำ
จำหลักรูปนูนนำ....................ต่างฟ้อน
หลากรูปลักษณ์ร่ายรำ.............เรียงส่าย-  สะโพกเฮย
ปรากฏดั่งควรย้อน.................อดีตครั้งเรืองสมัย ฯ
..๏ ลายนูนดุนขึ้นรูป...............เทวา
เทียบทัศนะศิลป์พา.................ชื่นแท้
นารายณ์ลักษมีครา..................พิศเพ่ง
งามดั่งคงชีพแล้.......................สถิตเบื้องเมืองแมน ฯ
..๏ หินทรายหลายขนาดตั้ง......ตามทรง
ซ้อนทับรับเรียงคง...................เขตขั้น
เป็นปราสาทดำรง....................เกินสหัส-  สวรรษแฮ
โดดเด่นเฉกชนชั้น.................เลิศด้วยบารมี ฯ
..๏ ขอบเขตอันกว้างใหญ่.......ไพศาล
งามวิจิตตระการ.....................อวดอ้าง
ยังแฝงซึ่งวิญญาณ..................ผู้เสก-  สรรค์นา
เคยถูกปล่อยรกร้าง.................เช่นนี้มานาน ฯ
..๏ พันหมื่นแสนล้านต่าง.......เรียงราย
หินสลักจำหลักหลาย..............ขนาดนั้น
กำเนิดจากพลังกาย................แลจิต
เป็นปฏิมากรรมชั้น-...............เลิศล้ำงานศิลป์ ฯ
..๏ เทวาอารักษ์ล้วน................ดังคง-  ชีพแล
ปกปักษ์รักษ์ยืนยง...................คู่ฟ้า
มวลมนุษย์ใดประสงค์.............ลักลอบ-ขายเฮย
จงสาปชนชั่วช้า......................สู่ก้นอเวจี  ๚ะ๛
 				
			 
			
				28 กรกฎาคม 2547 08:08 น.
				
												
				
								อัลมิตรา
		
					
				
  
 ..๏ กาพย์ยานี  ๑๑   
..๏ กฎเกณฑ์ใช่เช่นกรง..........ที่ประสงค์จะกักกุม
ข่มเหงและครอบคลุม............ขังดวงจิตให้ติดตรวน
วางแบบเป็นขอบเขื่อน..........ข่มจิตเหมือนให้เรรวน
ครั้นขลาดจะกำสรวล..............แสนสลดปรากฏมี ฯ
..๏ สรรพสิ่งที่สิงสู่.....................ดวงจิตรู้แล้วหลีกหนี
อาจซ้ำและย่ำยี........................ให้พ่ายแพ้นิรันดร์กาล
รวนเรร่วมตอกย้ำ....................ดุจตามย่ำประจัญบาน
ขลาดเขลาราวรุกราน...............ดังลวงหลอกให้ลุ่มหลง ฯ
..๏ จองหองคะนองศักดิ์............ทรลักษณ์ทรนง
สิงสู่ดูมั่นคง............................หลอนจิตหลงไม่ตรงจริง  
ควรมีเสรีภาพ.........................ให้ซึบซาบปลาบปลื้มอิง
น้อมรับสรรพสิ่ง......................อันปลดเปลื้องเครื่องโซ่ตรวน ฯ
..๏ จินตนาการแสนบรรเจิด.....จักบังเกิดผลตามควร
พินิจคิดใคร่ควร.....................การทั้งมวลล้วนเลิศแท้
ยืนหยัดองอาจเทอญ...............จักจำเริญยิ่งนักแล
โซ่ตรวนล้วนเป็นแค่................สิ่งบังคับกำกับใจ ๚ะ๛ 
 ..๏ อินทรวิเชียรฉันท์   
..๏ กฎเกณฑ์ ฤ เช่นกรง...........และประสงค์จะย่ำยี
รุกรานหทัยที่............................ผิว์ขยาดและขลาดเขลา
คุกคามมิหวั่นเกรง....................ดุจเพ่งบ่ทำเนา
ข่มเหงและยั่วเย้า......................สติเร่าก็ลนลาน
..๏ หากดวงหทัยรน.................ดนุพลวิกลนาน
ดั่งคล้ายพระเพลิงผลาญ..........ธุระการสิบรรลัย 
ควรคิดพินิจทัศน์......................นยะอัธยาศัย
อันต้องจริตใด..........................สละไร้อุปาทาน ฯ
 ..๏ กอปรกิจประสิทธิ์ผล..........อนุพนธ์พิเคราะห์การ
จักสุขเกษมศานต์....................ปณิธานสิสมปอง
กฎเกณฑ์มิเช่นกรง.................สุริคงจะไตร่ตรอง
ถ้วนสรรพสิ่งผอง....................นิติต้องประจักษ์จริง
 ..๏ เห็นชัดนิทัศน์แท้..............วิเคราะห์แลตระหนักอิง-
อ้างแบบบุราณสิ่ง-...................สรพันมินิ่งเฉย
หมั่นเร่งและพากเพียร............สิริเกียรติ์สิงอกเงย
ปรากฏละบือเผย.....................สิเจริญสถาพร  ๚ะ๛
 
...ผู้เขียนตั้งใจเขียนถึงเรื่องความหวาดกลัวต่อกฏเกณฑ์ทั้งมวล...
...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนัก(อยาก)เขียนที่หวาดกลัวต่อกฏฉันทลักษณ์...
...รวมไปถึงกรอบกั้นขวางจินตนาการของตน...
...ทั้งนี้ ก็เพื่อสะกิดใจตัวเอง..เท่านั้น..มิบังอาจจาบจ้วงมโนผู้ใด...
				
			 
			
				23 กรกฎาคม 2547 23:51 น.
				
												
				
								อัลมิตรา
		
					
				
ไทรเอยไทรโศก
ลมโกรกโยกคลอนทั้งกิ่งก้าน
ใบลู่บ้างรวนคล้ายลนลาน
ขับขานรันทดหาใดเทียม
หนาวเนื้อเหน็บในหทัยแท้
คงแต่คำนึงถึงเจ้าเรียม
เห็นไทรไหวเอนโอ้อกเจียม
แต่เปี่ยมใจภักดิ์สิเนหา
ลมพลิ้วเพรียกแผ่วอีกแล้วหนอ
ใคร่ขอพักพิงอิงพฤกษา
ฝากเอยพระพายจงพัดพา
แจ้งตรมอุราเกินข่มแล้ว
ฤๅน้องนวลงามทรามวัยเจ้า
คงเคล้าคลอเคียงคู่ขวัญแก้ว
ลืมเลือนคนไกลไร้วี่แวว
ไม่แคล้วดับดิ้นสิ้นใจเอย 				
			 
			
				23 กรกฎาคม 2547 07:47 น.
				
												
				
								อัลมิตรา
		
					
				
..๏ หยิบดินสอเตรียมไว้ตั้งใจขียน 
สู้พากเพียรตามกฏบทแบบผัง
กลับนึกหวั่นพรั่นค่อนยอกย้อนกรัง
จะประดังทับถมจนจมใจ
ลานชลาอารมณ์เคยพรมฝัน 
ต้องแปรผันจนปากเหมือนยากไข
เอื้อนมาอึ้งตรึงพจน์กำสรดใด 
จะเท่าในอุราของข้าฯนี้
กำแพงขวางเขื่อนธารกันดารแห้ง 
เหมือนจิตแล้งจินตนาพร่าศักดิ์ศรี
เคยดินชุ่มชอุ่มพร่างข้างนที 
ก็สิ้นดีด้วยแดดที่แผดพราย
เงื้อมเงาไม้ใต้ต้นใบหล่นโกร๋น 
ลิงทะโมนรอรางให้สางสาย
แอบน้ำตาค่าต่ำเขาย่ำกราย
ฤๅร้อยพ่ายคือเรา..เศร้าเหลือเกิน! ๚ะ๛				
			 
			
				21 กรกฎาคม 2547 07:59 น.
				
												
				
								อัลมิตรา
		
					
				
..๏ สักวาเจ้านกขมิ้นน้อย 
เจ้าจักคล้อยโบยบินเยือนถิ่นไหน
ยามอรุณรุ่งแสงส่องผ่องอำไพ 
จึ่งลาไกลถิ่นเก่าเหย้าเรือนรัง
ข้ามหุบเขาแนวป่าพนาสัณฑ์ 
ไม่หวาดหวั่นสิ่งใดด้วยใจหวัง
คราปีกล้าเหนื่อยกายไร้กำลัง 
ร่อนลงฝั่งคลองใสใคร่กลืนกิน
ระเริงเล่นริมธารอันกว้างใหญ่ 
พอฉ่ำใจมุ่งแคว้นแดนทักษิณ
ชมทะเลฟ้าครามตามสมจินต์ 
แม้นแปลกถิ่นไม่ถอยชะลอยเพลิน
ผ่านแมกไม้บ้านเรือนเยือนเมืองเหนือ 
เรี่ยวแรงเหลือร่อนฟ้าถลาเหิน
ครั้นค่ำไหนค้างนั่นหวั่นเหลือเกิน 
เกรงเจ้าเพลินทิ้งรังให้ร้างเอย ๚ะ๛