12 มิถุนายน 2547 18:49 น.

หลังอาน

เสือยิ้มมุมปาก

[ เพราะรักในสิ่งที่ทำ..จึงเลือกทำในสิ่งที่รัก ]

  ห  ลั  ง  อ  า  น  

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ย้อนไปราวๆ ครึ่งปีให้หลัง	ฉันต้องรอนแรมไปค้างคืนที่ในตัวเมืองสงขลา   ณ มุมหนึ่ง ภายใต้ชื่อ  โรงพยาบาลจิตเวชราชนครินทร์  แต่ก็ติดปากกับชื่อเก๋ๆ ว่า    โรง-บาน-ประสาท  (ความเคยชิน + การเล่นลิ้นของชาวใต้) นั่นแหละ! ฉันไปที่นั่น..?! เป็นผู้เฝ้าไข้ตามคำบัญชาจากเบื้องบน
..จนกระทั่ง..ฉันเต็มที่..เต็มทนกับความเบื่อหน่ายที่ต้องทนนั่ง..นอนอยู่ในกรอบมีมิติ ..ดีดตัวจากเสื่อข้างเตียงผู้ป่วย พลันหัวก็กระแทก ..โป๊กก..ก เข้าอย่างจังกับขาเตียง และค่อยๆเปิดประตู ลงบันไดไปยังที่ที่หนึ่ง ด้วยความครึ้มใจ แน่ล่ะ! ยังไม่มีใครรู้..
ฉันค่อยๆเอื้อมตัวเปิดประตูรถ หยิบกระดานไม้อัด พร้อมด้วยกระดาษปอนด์ 2 แผ่น ( เปล่าๆๆ ไม่ได้เอาไปสเกตรูปหรอก แต่จะเอาไป เขียน ) เปิดท้ายรถ ใช้พลังช้างยกจักรยานเสือภูเขา สีเหลืองแปร๋น .. สายตามุ่งมั่น มองลอดรั้ว .. นู่น!ลิบๆเลย
.........กายพร้อม-ใจพร้อม
สองล้อเลื่อนเคลื่อนไปในทางหน้า
เห็นแผ่นฟ้าทิวสนโอนลู่ไหว
ยินเสียงคลื่นระลอกน้ำครืนครืนไป
มือจับแฮนด์รถไว้..ใจเบิกบาน

ฉันควบเสือ..ตะบึงมาเรื่อยๆผ่านย่านตลาดเก้าเส้ง ลดเลี้ยวไปละแวกถนนสายต้นสน ปั่นไปบนเส้นทางพิเศษสำหรับจักรยาน ตอนเช้าๆ อากาศกำลังดี ลมพัดอ่อนๆ เย็นสบาย แหงนหน้าคอตั้งบ่า ฟ้าใสมีเมฆสีขาวปกคลุมบางๆ ปั่นไปเรื่อยๆ เริ่มปวดน่องตุบๆ แวะพักข้างทางหยิบกระดานมาหนีบกระดาษ นั่งแหมะบนที่เหมาะริมทางเท้านั่นแหละ เริ่มต้นงานเขียนชิ้นเล็กๆอย่างสุขใจ อาจจะไร้ซึ่งราคา..แต่เปี่ยมด้วยคุณค่าด้านกมลาใจ มันดีนะ! ที่ได้ขีดได้เขียนท่ามกลาง ฟ้าสวย  น้ำใส  ใต้เงาสน  ผืนทรายขาวละเอียด นี่แหละ.. โลกส่วนตัว ..ที่ฉันโปรดปรานที่สุด เหมือนดั่งฉันได้ปลีกวิเวกออกจากความวุ่นวายรอบตัว เหมือนบนโลกใบนี้ ที่ตรงนี้มีเพียงฉันคนเดียว ฉันบรรจงบรรทัดแรก ด้วยความตั้งใจยิ่ง 


 ..ครั้งหนึ่งนั้นฉันเดินบนปุยฟ้า
..เดินท่ามกลางเวหาอันกว้างใหญ่
เกิดเป็นเทวดาแสนสุขใจ..
ทำอะไรอำเภอใจในทางดี..
..โลกเรานี้บางคนว่านรก
..สกปรกหมกไหม้ไร้ราศี
เพราะคนเรานั้นขาดกระทำดี..
จึงไม่มีความสุขสำราญใจ..
..ถ้าคนเราลองทำกรรมดีบ้าง
..ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้สดใส
เหมือนฉันเดินท่ามกลางปุยฟ้าไกล..
แสนสุขใจศานตรสเพราะทำดี..
				ตุลา  46

แม้เนื้อหามันจะไม่ค่อยเกี่ยวกับบรรยากาศสักเท่าใดนัก แต่สุนทรียภาพทางอารมณ์และความคิดในเวลานั้น มันบ่งบอก ให้กระเสือกระสนด้นมือไปตามใจฝัน ร้อยรำพันรจนาประสาเขียน ใช้ดินสอร่างภาพด้วยความเพียร รูปสำเร็จไม่แนบเนียนแต่เนิบใจ ...
..ฉันปั่นจักรยานไปสักพักก็ถึง ท่าแพขนานยนต์ ลังเลรีรออยู่พักหนึ่ง ตัดสินใจจอดรถไว้ เดินไปตามลู่จ่ายเงินเพื่อลงแพ ค่าโดยสารครานั้น ได้ยินแล้วทำให้ฉันตกตะลึง  ..100 สตางค์  คำถามแรกที่เกิดขึ้นและล้วนเฟ้นหาคำตอบของตัวมันเอง ..ไม่ขาดทุนเหรอเนี่ย.. 
ตอนที่ก้าวลงแพก็ไม่มีจุดมุ่งหมาย คิดแค่ว่า ยืนไป-ยืนกลับ อยากสัมผัสวิถีชีวิตชาวเลดูบ้าง .. สุดแสนจะมีเสน่ห์ เย้ายวน ดึงดูด และกลายเป็นตราตรึงในที่สุด ยืนไปเรื่อยๆ สายตาทั้งสองข้าง ก็มองเชิดไปข้างหน้า ราวกับว่า ผืนฟ้าแห่งนี้ มีเพียงฉันเป็นเจ้าของ ... และเพียงครู่หนึ่ง ฉันก็ได้ยินเสียงพ่อลูก คู่หนึ่งคุยกัน ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะจับความได้ แต่มันจับใจ ((ความรู้สึก))

ลูก: พ่อๆ เรือมันอิจมหม่ายนิ ?
พ่อ: อิ๊!ม่ายจมหรอก เรือมันเติบ
ระหว่างนั้น คุณลูกก็ชะโงกหน้า คาดว่าคงจะตื่นเต้นกับกระแสน้ำที่กระเพื่อมไปมา
		พ่อ: เห่ๆ!ระวังแว่นอิเหลิ่นนะลูก
		ลูก: ม่ายเหลิ่นหรอกพ่อเหอ ..ครุบทัน..
	แล้วเสียงหัวเราะต่างทำนองก็ดังขึ้นพร้อมกัน..
ฉันยืนไป..สายตาก็มองลงน้ำ..ดูวิถีชลที่กระเพื่อม..ดูไปดูมา  ฉันเริ่มเกิดอาการลมใส่ เวียนหัว คลื่นไส้ หน้ามืด ... ((ยังดีที่ยังรอด)) พอขึ้นจากแพแล้วฉันเริ่มทนไม่ไหวกับสังขารที่ร่อแร่ในขณะนั้น โทร.หาพ่อให้มารับที่ท่าเทียบแพ พอพ่อรู้ว่าฉันปั่นมาไกลถึงนี่ .. เต็มๆเลย กับเทศนากัณฐ์ใหญ่ เป็นต้นว่า อันตราย เดี๋ยวไม่สบาย บ้างล่ะ..
	แต่..มันก็คุ้มนะ กับเส้นทางริมวิถี หนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมด้วยบทกวีสั้นที่เกิดขึ้นจากสุนทรียภาพทางอารมณ์ในขณะนั้น ..ได้ทราบถึงสมรรถภาพทางกายของตัวเอง (ไม่เอาไหนเลย) แต่ก็ยอม เพราะฉันคนนี้
		 รักในสิ่งที่ทำ...จึงเลือกทำในสิ่งที่รัก 				
3 พฤษภาคม 2547 13:28 น.

สำหรับคนที่เห็นแฟนสำคัญกว่าพ่อแม่

เสือยิ้มมุมปาก

>~~>แด่ คนที่เห็นแฟนดีกว่าพ่อแม่ 
> 
> 
>....หลังวาเลนไทน์ 
> 
> 
>วันที่ 14 กุมภา ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป 
>กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก 
>สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผมเพื่อให้คนคนหนึ่งทุก ๆ 
>ปีในวันนี้ 
> 
>ก่อนวันที่ 14 กุมภา 
> 
>ผมเดินออกจากบ้าน 
>ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม 
>เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา 
> 
>ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม 
>ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ 
> 
>หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว 
>ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ 
>โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น 
> 
>ผมเห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด 
>"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห 
> 
>พ่อหน้าซีดทันที 
>" ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด" 
>"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน 
>พ่อเงียบ ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา 
>ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ 
> 
>พ่อเบือนหน้า 
>"พ่อขอโทษ มานี่....." พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า 
>"พ่อจะเอาไปซักให้เอง" 
> 
>ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร ไม่ยอมลงจากบ้าน 
>เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้า 
>ใคร หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม 
> 
>ยามเมือ่ผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา 
>ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป 
> 
>14 กุมภาพันธ์ 
>ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ 
>ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า 
>ผมยอมออกมาจากห้อง 
> 
>ผมไม่เห็นพ่อ 
>เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน 
>ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี 
>ผ้าเช็ดหน้าของผม ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด 
>ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่ 
> 
>พ่อ ผมอยากขอโทษครับ 
> 
>หันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล 
>วิ่งมากอดผม 
>" พ่อเสียแล้วนะ " 
> 
>ผมอึ้ง 
> 
>แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า 
>พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ 
>รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจาม 
>ออกมา พ่อมองไม่เห็น 
>"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย " 
>"ทำไมล่ะครับ" 
>"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน" 
> 
>ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง 
>"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก 
>ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาด 
>โอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว 
>พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก 
>แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำ 
>ดีที่สุดแล้ว" 
> 
>ผมกอดแม่ ร้องไห้ 
>วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป 
> 
>พ่อครับ ผมขอโทษ....... 				
3 พฤษภาคม 2547 13:22 น.

ความหมายของชีวิต

เสือยิ้มมุมปาก

ความหมายของชีวิตอยู่ที่ตัวของเราเอง......
ว่าจะทำตัวให้มีความหมายแค่ไหน
ทรัพย์สินและชื่อเสียงเป็นสิ่งภายนอก.....ที่ลวงตา
แต่ความดีจะเป็นเกียรติยศ.ที่มั่นคงถาวร ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ดวงจิตที่บริสุทธิ์. จะไม่หวาดหวั่นต่อความทุกข์ยากทั้งหลายในโลกมายา
จะมีชัยชนะต่อมวลกิเลสตัญหาทั้งของตัวเองและผู้อื่น
พลังแห่งความบริสุทธิ์ จะก้าวพ้นข้ามผ่านกาลเวลา
จะข้ามผ่านห้วงจักรวาลอันยิ่งใหญ่
ไปสถิตย์มั่นเป็นถาวรนิรันดร์กาล

ท่ามกลางความเวิ้งว้างของห้วงมหรรณพและหมู่ดาว
และ ณ.ที่นั้น.ดาวแห่งความรักและศรัทธา
จะเปล่งประกายฉายแสงแห่ง....ความรักอันอบอุ่น
ที่ให้ความหวังแก่ผู้ทุกข์ยาก ....หัวใจอ่อนล้า
ให้ลุกขึ้นมา...และก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
เพื่อต่อสู้ฟันฝ่าความชั่วร้าย ทั้งมวล
ด้วยหัวใจแห่งความรักและเมตตาที่มนุษย์พึงมีให้แก่กัน
แก่สัตว์โลกทั้งหลาย
และมวลหมู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์อยู่ในวัฎสงสารแห่งนี้
............
ขอให้หลอมรวมดวงใจทั้งหลายไว้เป็นหนึ่ง.
หนึ่งเดียว ที่รวมอานุภาพแห่งความรักในทุกรูปแบบเข้าด้วยกัน
หนึ่งเดียว.ที่มีพลังมหาศาล
จนสามารถทำลายล้างซาตาน....
และทลายอุปสรรคทั้งหลายลงได้....
แม้ว่าจะต้องข้ามฝ่าทะเลทรายอันร้อนระอุ....
ต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บและมืดมนแห่งรัตติกาล
แม้ว่า....เลือดจะท่วมกาย......และร่างจะต้องแหลกสลาย
แต่...ขอให้รักษาไว้ซึ่ง ....จิตวิญญาณแห่งความดีที่เป็นอมตะ
จงกระทำเหมือนอย่างที่วีรบุรุษวีรสตรีผู้กล้าที่ได้ต่อสู้
จนได้รับชัยชนะแห่งจิตวิญญาณ
ด้วยศรัทธาที่มั่นคงและไม่คลอนแคลน

ขอให้ดวงใจดวงนี้จงเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและอดทน
และหากน้ำตาจะต้องหลั่งไหล..
ก็ขอให้เป็นไปเพื่อปลดปล่อย.
ความอ่อนแอและโลเลออกไปจากหัวใจ
และเหลือไว้แต่พลังแห่งความเข้มแข็ง
ที่จะมีค่ามากและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น				
3 พฤษภาคม 2547 12:53 น.

โอเวอร์....เพ้อเจ้อ....ไร้สาระ...แต่สุดท้ายก็....มันดี (ตอนที่1)

เสือยิ้มมุมปาก

จั่วหัวอย่างนี้...
อ่านดูกี่เที่ยวกี่เที่ยวก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา  เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าพิศวงใดๆทั้งสิ้น แต่...ถ้าหาก
           นพพลเริ่มกำมือแน่นขึ้น..เม็ดเหงื่อไหลชุ่มผุดพรางขึ้นเต็มร่างกาย หัวสมองปวดตุบๆๆ ราวเส้นเลือดจะกระเด็นขาดออกนอกสมอง...เฝ้าวนเวียนกับถ้อยปุจฉาว่า 2 + 3 มีผลลัพธ์เท่าใด ทำไม..ทำไม..ทำไม ในเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครูบอกว่า 2+ 3 เท่ากับ 5 แล้ว สัปดาห์นี้ทำไมคำตอบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเลย...มันมีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นหรือ?? ...  นพพลเก็บความเคร่งเครียดไว้ในภวังค์ความคิดของเขาเพียงคนเดียว...สักพักหนึ่ง..ความเงียบครอบคลุมคนทั้งสอง นพพลเริ่มใช้เท้าสะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ ตอนนั้นความคิดมันใหญ่..ใหญ่เกินจะเฉลียวใจว่าไอ้เพื่อนที่นั่งข้างๆน่ะ นักเลง  นพพลใช้เท้าสะกิดเพื่อนข้าง..ราวกับจะให้ช่วยขบคิดหาปรัชญาอรรถาธิบายกับถ้อยปุจฉานี้ว่า.. คำตอบจะเพิ่มขึ้นไม่ได้เหรอ 
	นพพลคิดนึกอนาถในใจว่า สังคมการเรียนรู้ของไทยยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการพัฒนา อาทิตย์ที่แล้ว 2+3ได้ 5 มาอาทิตย์นี้คำตอบก็ยังเหมือนเดิม...คิดไปใจก็ฟุ้งซ่านไปถึงอดีตเพื่อนร่วมห้องเรียนกว่า 40 ชีวิตที่ยอมให้การศึกษาซึ่งล้าสมัยไม่พัฒนาลากจูงไปเจอกับสิ่งเดิมๆอีก...ไม่มีใครเลย..ไม่มีใครเลยจริงๆที่ยอมลงเรือลำเดียวกับเขาแล้วหาทางแก้ไขนโยบายการศึกษาวิชาคำนวณให้ 2+3 ได้คำตอบอย่างอื่นบ้าง...??!! 
	
                               .........................ตอนต่อไป  ((ติดตามด้วยนะ))				
16 เมษายน 2547 22:53 น.

เสียงกระซิบในสายลม

เสือยิ้มมุมปาก

ไกลออกไปที่ผืนฟ้าดูเหมือนจะจรดขอบน้ำ
และขอบน้ำพบแผ่นดิน
ต้นไม้และป่าที่เขียวชอุ่ม
กำลังช่วยกันโปรยปรายละอองไอน้ำแห่งความชุ่มชื้นให้แผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
ณ. ที่นั้น สายรุ้งทอแสงงามระยับสดใส พาดข้ามขอบฟ้า
กลิ่นอายของดินหอมตลบอบอวล
สรรพสิ่งต่างเริงร่าอย่างมีความสุข
เสียงคนตรีแห่งชีวิตประสานกันอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
หวานแว่วดั่งพริ้วลอยล่องมาจากสวรรค์เบื้องบน


--------------------------------------------------------------------------------

ป่าคือผู้หล่อเลี้ยงชีวิตบนแผ่นดิน
ป่าคือผู้ประสานความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดิน
แผ่นน้ำและแผ่นฟ้าให้เข้ากันได้อย่างสมดุลย
เพื่อให้เหมาะสมแก่วัฎจักรแห่งการดำรงค์ชีวิต
ป่าคือผู้เรียกฝนให้มาบังเกิด
และสร้างแหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตทั้งมวล
ป่าจึงเป็นที่มาของแหล่งน้ำ, อาหาร , อากาศและปัจจัยสี่
ในขณะเดียวกันป่าก็เป็นที่ปกป้องและคุ้มกันภัยพิบัติทั้งหลาย
ถ้าไม่มีป่า ก็จะไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง, และจะไม่มีชีวิต


--------------------------------------------------------------------------------

เสียงจิ้งหรีดกรีดร้อง ไปก้องฟ้า ท่านเทวาผู้พิทักษ์ อยู่แห่งไหน
เคยสถิตอยู่ ตามดง ป่าพงไพร ตอนนี้ไม่มีป่า ช่างน่าตรม
เหตุไฉนใยมนุษย์ ไม่รู้ค่า มาตัดป่าทำลายสิ้น ถิ่นเหมาะสม 
ทำลายแหล่งคุ้มชีวา ที่รื่นรมย์ ล้าง แหล่งห่มชีวิตให้ปลอดภัย 

ป่าคือแหล่งพิทักษ์ ทุกชีวิต ก่อลิขิตให้ชีวา แหล่งอาศัย
ให้ร่มเงาเกื้อหนุน อุ่นอำไพ โลกสดใสก็เพราะป่า เอื้ออาทร
เสียงเทวาสะอื้นไห้ ในสายลม ด้วยขื่นขมหมองไหม้ ใจสะท้อน
เหตุไฉน คนฆ่าป่า จนรานรอน แต่กาลก่อน คนอยู่ได้ เพราะป่ามี


--------------------------------------------------------------------------------

ไกลออกไปที่ผืนฟ้าดูเหมือนจะไม่มีวันจรดขอบน้ำ
และแผ่นน้ำแห้งงวดไปจากแผ่นดิน
เปลวแดดร้อนแรงเต้นระยิบอยู่ในฝุ่นของสายลมหมุน
ไอร้อนแห่งความแห้งแล้งแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ
ณ. ที่นั้น ท้องฟ้าดูเวิ้งว้างไร้ก้อนเมฆ
และแผ่นดินแห้งผาดจนแตกระแหง
ซากสัตว์แห้งกรัง ระเกะระกะ อยู่ทั่วไป
เสียงสายลมกรีด หวีดหวิวอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
เสียงรุกขเทวาสะอื้นร่ำไห้  กระซิบคร่ำครวญ อยู่ในสายลม
เสียงกระซิบนั้นสะท้อนกลับไปมา เนิ่นนาน.ดังไม่มีที่สิ้นสุด
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"
"ไม่มีป่า ไม่มีผู้ค้ำจุนปกป้อง ไม่มีชีวิต"				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสือยิ้มมุมปาก