15 เมษายน 2547 19:26 น.

((กระดาษลายชีวิต)) บทที่ (5) ชีวิตใหม่

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[5]	 ชีวิตใหม่

 แย่แล้ว!! พ่อเหอ  เสียงพี่สาวของเถื่อนตะโกนโหวกเหวกพลาวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน 
 ไซ่ ? ลูก   
 ก็เพื่อนไอเถื่อนที่ชื่อเวดน่ะสิพ่อ มีลักษณะตรงกับที่ในวิทยุรายการร่วมด้วยช่วยกันประกาศเด็กหายเลยน่ะสิ รูปร่าง ผิวพรรณ และการแต่งกาย 
...ผมสงสัยอยู่แล้วเชียวพี่สาว ว่าทำไมแววตาของไอเวดเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ  เถื่อนปรารถขึ้น
 อย่าแชตะลูก แขบๆไปตามหาเวดดีกว่า  ฝนตกๆด้วย ไม่รู้อิแล้งต่อได๋ ? อันตรายมาก 
....สองพ่อลูกซ้อนท้ายจักรยานยนต์ขับตะบึงฝ่าสายฝนกันไป ด้วยน้ำใจของชาวบ้านที่ใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ  ...
- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -
	- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -- - - -
 เจอแล้วพ่อ!!  เถื่อนตะโกนด้วยเสียงอันดังเจือด้วยความปิติอย่างยิ่ง
  ...สองพ่อลูกวิ่งตามหลังกันไปติด แล้วค่อยๆโอบตัวเวดขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวตามซอกแขนของเวด พ่อยกตัวเขาแบกขึ้นหลัง 
โดยมีเถื่อน คอยส่องไฟฉายตามทาง แต่ละย่างก้าวของพ่อเต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวจะถลาลื่นล้มลงเบื้องล่างเป็นล้นพ้น
...แม่ของเถื่อนต้มข้าวรอไว้แล้ว เมื่อเวดมาถึง ก็จัดแจงสำรับกับข้าวให้เวดได้ทาน หาหยูกยาให้เวด ดูแลราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เวดรู้สึกปลาบปลื้มจนน้ำตาค่อยๆรินไหลลงมาเป็นทาง.....จนบัดนี้แล้ว เวดยังไม่ได้ปริปากถึงความจริงที่เกิดขึ้น เขาต้องการพักผ่อน ... เพียงแค่นั้น !!
........................เวดผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย....................
นาทีนั้น....
   พ่อมายืนอยู่ปลายเตียงที่เวดนอนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ เวดสะดุ้งเล็กน้อย...พยายามหันหน้าไปทางอื่น ทั้งๆที่ในใจของเขาโหยหาพ่อเหลือเกิน ... เขาอยากโผเข้าไปกอดพ่อ นั่งตักพ่อ พูดคุยกับพ่อเหมือนตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องการพ่อคนเดิมกลับคืนมา..
เวลาผ่านไปชั่วครู่...   ..ได้ยินไหม พ่อ .. ผมอยากได้พ่อคนเดิมของผมคืนมา  เขาตะโกนราวกับคนบ้า..ตะโกนทั้งน้ำตา 
..ผมต้องการพ่อ.. กำลังก้องกระทบกันในโสตประสาทของพ่อ...เขากำลังนึกทบทวนถึงการกระทำของตนเอง...
 เวด พ่อขอโทษ พ่อสัญญาว่าต่อไปพ่อจะเป็นพ่อคนที่ดีของลูก ... นะเวดนะ ยกโทษให้พ่อ ... พ่อรักลูกนะ ได้ยินมั้ยเวด พ่อรักลูก ลูกคือชีวิตจิตใจของพ่อ ลูกคือชีวิต   พ่อพูดพลางร่ำไห้กับความผิดพลาดของตน..น่าอนาถใจยิ่งนัก
 ไม่จริง!!! พ่อโกหก ถ้าพ่อรักผมจริง พ่อต้องไม่ทำกับผมเช่นนี้ ... พ่อเชื่อน้องแก้ว เชื่อแม่เลี้ยง แต่ไม่เคยเชื่อผม ... พ่อรักน้องแก้ว แต่พ่อ..เกลียดผม .. ผมเกลียดพ่อ 
 .....ถ้าพ่อไม่มีค่าสำหรับลูก...แล้วพ่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม...เพื่อใคร ที่พ่อทำทุกวันนี้ก็เพื่อลูกนะ 
...ความเงียบแผ่ซ่านระหว่างอารมณ์ของคนทั้งสอง...
และในที่สุด      .. พ่อครับ ผมรักพ่อนะครับ ผมขอโทษสำหรับความวู่วามที่ทำไป...
	 เวด พ่อดีใจนะที่ลูกยังมองเห็นความสำคัญของพ่อ พ่อให้สัญญานะลูก เราจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอีกครั้งหนึ่ง เราจะดูแลกันและกัน พ่อสัญญา 
      .......เวดและพ่อยิ้มทั้งน้ำตา ด้วยความปิติสุขอย่างยิ่ง...........				
11 เมษายน 2547 08:37 น.

กระดาษลายชีวิต ((บทที่ 4))

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[4]	 แรมรอนโดยลำพัง

เวดเดินไปตามทางเพียงลำพัง ... เขาค่อยๆย่างกรายอย่างช้าๆ เพื่อจะหยุดเวลาไว้ชั่วคณะ .... ภาพเหตุการณ์ซึ่งเป็นชนวนให้เขาต้องหนีออกจากบ้านหวนเข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง ...เขาเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงปากทางเข้าน้ำตก เขาค่อยๆไต่โขดหินลัดเลาะเพื่อไปยังที่ที่เขาได้เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า ถึงแล้วก็มิรอช้าจัดแจงผูกเต้นท์ หาผ้ารองหลัง สุมไฟ ตอนที่เขายังเป็นลูกเสือสำรอง คุณครูเคยสอนเขาว่า ไฟ คือเพื่อนแท้ ตอนนั้นเขาก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายสักเท่าใดนัก แต่บัดนี้ภาพลักษณ์นั้น มันแจ่มชัดยิ่งขึ้น...จริงสิ ไฟ..ไฟคือเพื่อนแท้
	...ห่มฟ้าต่างผ้าห่ม กอดลมต่างหมอนข้าง แผ่นหินเย็นเยือกจับสรรพางค์ รองเรือนร่างของข้าไว้ชั่วนิทรา...  แล้วเขาก็ค่อยๆล้มตัวลงนอนอย่างโล่งใจ....หลับไปนานเท่าใดก็มิรู้ตัว สะดุ้งอีกครั้งก็เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับใบหน้าน้อยๆของเขา เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้น  วักน้ำในน้ำตกขึ้นลูบน้ำ รู้สึกเย็นสดชื่นไปทั่วร่าง เขาเดินลงไปข้างล่างอีกครั้ง เมื่อเห็นพวกของผู้ใหญ่นุ้ยและชาวบ้านรวมทั้งเถื่อนยืนอยู่ข้างล่าง เขาสะดุดกึก พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เริงร่าและเตรียมตอบคำถามไว้ในใจ ..... ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้ เมื่อเถื่อนถามว่าทำไมเขายังไม่เปลี่ยนชุดอีก เขาก็ได้แต่อ้ำอึ้งและเฉไฉไปคุยเรื่องอื่นแทน....
	
	ยามรัตติกาลมาเยือนแล้ว  เสียงหริ่งหรีดเรไรพากันระงมดังเซ็งแซ่ เงาทะมึนของต้นไม้ใหญ่ช่างดูน่ากลัวราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างเหลือเกิน  ท้องฟ้ามัว ราวฝนห่าใหญ่ตั้งเค้าเตรียมจะตก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญของเวด .... มันยังมี 
	 แม่ง! ซวยฉิบ หมาไหนเอาบะหมี่กูไปแดกหมดวะ ??  เวดสบถอย่างอารมณ์เสีย .. แน่ล่ะ! สุนัขในแถบๆน้ำตกนั้นได้แอบมาย่องเบาขโมยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เขาซื้อเอาตามรายทาง ตอนนี้เขานึกเพียงแต่ปากท้องของตนเอง ว่าจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้อย่างไรกัน ในเมื่ออาหารยังไม่ตกถึงท้องเลยแม้แต่นิดเดียว แวบหนึ่งของความคิดที่จะกลับไปบ้านของเถื่อนหรือกลับไปหาพ่อ ... มันผ่านมา..ผ่านมาแค่ครู่เดียว	
	..เราต้องพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามศักดิศรี อยู่กันไม่ได้ก็แยกกันไปเลย... เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
....สักพักหนึ่งน้ำตาของเขาก็ค่อยๆไหลออกมาเป็นทาง  ระคนกับเสียงสะอื้นไห้ ของเด็กชายวัย 12 ขวบ ภาพวันวานหวนกลับเข้าสู่ภวังค์ของเขาอีกครั้งหนึ่ง
....พ่..ออ  แม่ฝากลูกด้วยนะ  ดูแลลูกดีๆ ให้ลูกเรียนสูงๆ จะได้มีการมีงานทำ .. แล้..ว ถ้าพ่อจะมีผู้หญิงใหม่แม่ก็ไม่ว่านะ ให้เขารักพ่อ รักลูกเวด แม่ก็นอนตายตาหลับแล้ว พ่อสัญญากับแม่สิ..สัญญา 
น้ำเสียงของแม่ที่เปล่งออกมาแม้จะแหบพร่าเต็มที แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ลึกล้ำ
	..จ้ะ  แม่ พ่อสัญญา พ่อจะดูแลลูกให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถของข้าราชการจนๆอย่างพ่อจะมี แม่เชื่อนะว่าวันหนึ่งลูกเราจะได้สวมชุดครุย เหมือนอย่างแม่ไงจ๊ะ..  พ่อกล่าวทั้งน้ำตา ราวกับจะอาลัยอาวรณ์กับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ 
	- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  แล้วเครื่องจับชีพจรก็หยุดทำงาน ตามด้วยสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า ..อนิจจาสังขารา ใดๆในโลกไม่เที่ยง  ...
	.............................................................................................
	...................................    เวดหลับไปนานแล้ว...
.........................................................
	ท้องฟ้าครารัตติกาล มีดาวประดับพร่างพรายและค่อยๆเพิ่มจำนวนมากที่ละดวงสองดวง เสียงแมลงต่างๆมากับร้องระงมดังเซ็งแซ่ มีเสียงประหลาดดังมาจากในป่ามากมาย มันเป็นเสียงที่เวดไม่เคยได้ยิน เพราะเขาเป็นเด็กเมือง เด็กเมืองผู้ซึ่งไม่เคยสัมผัสกับชีวิตธรรมชาติเช่นนี้ มันเป็นเสียงสัตว์ป่า และกับสภาพเช่นนี้ เวดกลัวเสือมากที่สุด ... เขาค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นไฟมอดดับไปนานแล้ว เขาจึงควานหาไฟแช็กท่ามกลางความมืด และค่อยๆจุดมันขึ้นมาท่ามกลางความมืด
	ไฟลุกพรึบ เวดค่อยๆหากิ่งไม้มาสุมไฟ จนกระทั่งไฟลุกโชนเขาจึงรามือ  ไฟทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจขึ้นมาอย่างประหลาด หลายๆคนบอกเขาเกี่ยวกับสัจธรรมของไฟว่า  ไฟให้ความเป็นเพื่อนอย่างยิ่งใหญ่ เปลวไฟส่ายไหวดูราวกับมีชีวิตจิตใจ   แสงสว่างของเปลวไฟทำให้เวดรู้สึกเหมือนมีกำแพงอันแข็งแกร่งคอยปกป้องอันตรายให้เขาด้วย 
	พื้นหินที่เวดนอนอยู่ค่อยๆลดอุณหภูมิลง ความเยียบเย็นค่อยๆซึมเข้าแทนที่ทีละน้อย เสียงน้ำตกที่ไหลเป็นจังหวะอยู่ตลอดไม่มีคำว่าพัก ดังก้องสนั่นหวั่นไหวราวกับจำนวนน้ำที่ไหลลงมาเพิ่มมากขึ้น เสียงน้ำในลำธารเบื้องล่างรินไหลลดเลี้ยงหลบโขดหินระริกๆได้ยินชัดเจนขึ้นตามลำดับ 
	เวดคิดถึงแม่
	แม่ชอบพาเวดไปเที่ยวน้ำตกมากกว่าทะเล เพราะแม่ชอบความร่มเย็นที่เป็นธรรมชาติของมันมากกว่า เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยปลุกพลังชีวิตได้อย่างประหลาด แม่บอกแก่เวดเช่นนั้น ส่วนน้ำทะเล เดี๋ยวนี้ก็ไม่สะอาดเหมือนแต่ก่อน อาบน้ำเค็มเสร็จก็ต้องอาบน้ำจืดอีก ... 
	เวดมองทะลุผ่านม่านน้ำที่ทิ้งตัวละลิ่วลงจากผาเบื้องหน้า 
..หลังม่านน้ำนี้จะมีอะไรหนอ..  เสียงแม่ดังแว่วมาจากม่านน้ำนั้น
	 ...ไม่รู้สิฮะ..   เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก 6 ขวบในวันวานดังขึ้นหลังจากแว่วแผ่วสำเนียงเสียงของแม่ ... แท้แล้วมันเป็นเสียงของเขานั่นเอง 
	...หลังม่านน้ำตกนั้นนะ เป็นทางไปสู่เมืองลึกลับ ซึ่งเล่ากันว่าถ้าใครที่เข้าไปในนั้นแล้วสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย แสดงว่าเป็นผู้ที่สร้างแต่บุญดี เอ่อ! บุญดีก็เช่นว่า แบ่งขนมให้เพื่อนเอย สอนการบ้านเพื่อนเอย แต่ถ้าใครที่ออกมาไม่ได้ ต้องถูกกักขังทรมาน แสดงว่าไม่เคยทำความดีอะไรเลย อาจจะชอบแกล้งเพื่อน อย่างนี้ เวดเข้าใจนะลูก..
	.......ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อน ฝนห่าใหญ่เทกระจาดลงมาอย่างไม่น่าเชื่อ ..... เวดนอนตัวสั่นเทากอดกระเป๋าใบเดียวติดกาย ไฟที่เคยลุกโชติช่วงดับมอดหมดแล้ว เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที อีกทั้งสงครามในกระเพาะอาหารก็อุบัติขึ้น  เวดรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เขาปวดเมื่อยตามแข้งตามขา เหน็บชาตรงปลายนิ้ว .... เขาร้องไห้คิดถึงพ่อและแม่ ... แต่แล้ว..........
	..เวด เวดอยู่ในนี้มั้ยลูก กลับบ้านกับพ่อเถอะลูก พ่อมารับลูกแล้ว ไม่มีใครรักลูกเท่าพ่อแล้ว...เวด เวดเอ้ย ยกโทษให้พ่อเถอะ 
.....แม้เขาจะปวดหัวมากเพียงใด แต่ก็ยังจำสำเนียงได้ว่าเป็นเสียงของพ่อ เวดดีใจมาก เขาเห็นพ่อค่อยๆย่างกรายเข้ามาที่เขา...เขาอยากจะลุกโผไปกอดพ่อ  แต่เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าเขาก็ไม่สามารถทำอย่างใจได้ 
        ..แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า ....
ดวงตาของพ่อกลมโตและค่อยๆพองขึ้นเรื่อยๆและเขียวปั้ด  ขนคิ้วที่เคยดกดำอยู่แล้ว ยื่นยาวหยาบกร้านแข็ง ฟันเขี้ยวค่อยๆงอกยาวลงมาจากปาก มันแหลมคมมาก มากพอที่จะทำร้ายชีวิตใครบางคนได้  เล็บนิ้วที่ได้รูปกลับกลายเป็นแข็งกระด้างราวกับเล็บเหยี่ยว พ่อค่อยๆโถมถลาเข้ามาหาเขา .... พ่ออ้าปากหัวเราะดังลั่นก้องหุบเขา
	 ฮ่าๆๆๆๆ ฮะ ฮะ ... ไอ้เด็กโง่ 
	  แกไม่มีวันหนีข้าพ้นหรอก 				
7 เมษายน 2547 07:26 น.

กระดาษลายชีวิต ((ตอน3))

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[3]	 เช้าวันใหม่

แดดอ่อนๆทอแสงเป็นประกาย รับกับอากาศสบายๆยามเช้า เวดค่อยๆลืมตาขึ้น หันไปรอบๆไม่เห็นเถื่อนในห้องเสียแล้ว เขาจึงเดินออกไปหน้าบ้าน เห็นเถื่อนก้มๆเงยๆเก็บก้อนหินใส่ถุงก๊อบแก๊บ จึงมิได้สนใจอะไรนัก เดินวกไปที่ริมลำธารข้างบ้าน วักน้ำใสเย็นขึ้นลูบหน้า รู้สึกโล่งโปร่งขึ้นมาทันที มองเห็นปลาหลากชนิดแหวกว่ายทวนไปตามกระแสน้ำ เขาจับจ้องอยู่นาน แต่ก็สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงของเถื่อนเรียกให้ไปทานข้าวด้วยกัน อีกครั้งที่เขาเดินตามเถื่อนไปอย่างว่าง่าย แล้วเถื่อนก็พาเพื่อนต่างถิ่นซ้อนท้ายจักรยานไปยังฝายน้ำตกท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางก็ชี้นกชมไม้กันไปเรื่อย สำหรับเถื่อนแล้ว ภาพบรรยากาศเหล่านี้ เขาชินตาแล้วล่ะ แต่สำหรับเวดแล้ว มันดูแปลกตาและน่าสนใจไปเสียหมด ขณะที่เถื่อนบังคับหัวจักรยานไม่ให้ลดเลี้ยวอยู่นั้น ฝูงสุนัขราวสี่ห้าตัววิ่งกระโจนพรวดพราดเต็มถนน เวดตกใจแทบจะกระโดดลงจากรถ แต่แล้วเถื่อนก็นึกขึ้นได้ว่าเขาพกหน้าไม้มาด้วย จึงจัดการง้างมือยิงซะเต็มแรง .... แล้วปั่นจักรยานต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต เวดเหลียวดูหลังเมื่อไม่เห็นวี่แววของฝูงสุนัขแล้ว จึงพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหันมายิ้มให้กัน ก่อนจะบึ่งรถไปยังจุดหมายปลายทางเบื้องหน้า ....
ลัดเลาะไปตามทางสายเล็กๆ ซึ่งเถื่อนบอกว่าเป็นทางลัดเข้าน้ำตก สถานที่ท่องเที่ยวหลักประจำหมู่บ้าน เวดรู้สึกแปลกที่เมื่อได้ซ้อนท้ายจักรยานของเถื่อน เขารู้สึกอบอุ่น..ไม่หวั่นต่อสิ่งใดๆเลย ดูเถื่อนจะเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดความอ่านที่กว้างไกล ผิดกับวัยของเขามาก เถื่อนชอบพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตให้เวดฟัง .. ไปตลอดทาง     เอ้อ!เถื่อน ขันธ์ 5 นี่คืออะไรน่ะเพื่อน 
เถื่อนยิ้มน้อยๆพลางตอบว่า  เพื่อนเรานี่ก็อีกคน เป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน...เวดลองมองดูที่จักรยานที่เราขี่มาคันนี้สิ เวดเห็นอะไร...ใช่ถูกต้องเห็นเป็นจักรยาน แล้วสมมติว่าถ้าเราถอยล้อ ถอดอาน ถอดเพลา ดึงโซ่ออก แยกส่วนหมดแล้วนี่ นายจะยังเห็นเป็นจักรยานอีกหรือไม่...ก็ไม่ นายก็ต้องเห็นเป็นส่วนต่างๆที่ตั้งเรียงรายอยู่ นี่แหละคือ ขันธ์ 5 .....  เวดได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกับความไม่รู้ของตน 
สายน้ำไหลเอื่อยๆมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายตะเกียกตะกาย เสียงน้ำกระเซ็นกระทบโขดหินดังซัดซ่า ลมเฉื่อยฉิวๆพัดผ่านตัวพวกเขาไป รู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกจับจิต ทั้งเวดและเถื่อนต่างตกอยู่ในภวังค์ราวกับความฝันอยู่พักหนึ่ง  แต่ก็ต้องสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงของผู้ใหญ่บ้านดังกึกก้องไปทั่ว 
 แขบๆ  เข้าหิดตะ หวันโด่งโม่งทึ้งแล้ว ไม่พักเสร็จกันแหละเดี๋ยว ... น้ำเสียงของผู้ใหญ่นุ้ย แม้อาจจะฟังดูโหดไปนิด แต่ก็เจือด้วยความเป็นกันเอง เด็กชายทั้งสองมองลงไปยังเบื้องล่างเห็นภาพการทำงานอย่างแข็งขันของชาวบ้าน พวกเขาช่วยกันสร้างฝายน้ำหมู่บ้าน เนื่องจากในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อถึงหน้าร้อน หมู่บ้านจะไม่มีน้ำกินน้ำใช้ เดือดร้อนไปถ้วนทั่ว เคยมีชาวบ้านคนหนึ่งส่งเรื่องร้องเรียนไปยังอบต.แต่ก็ไร้วี่แวว ผู้ใหญ่นุ้ย จึงคิดจะแก้ปัญหาให้กับลูกบ้านด้วยวิธีพึ่งตนเอง นับว่าดีมาก ที่ชาวบ้านทุกคนให้ความร่วมมือ ... เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเกือบ 10 คน กำลังดำผุดดำว่ายอยู่อย่างสนุกสนาน เถื่อนจึงลากข้อมือเวดลงไปยังแผ่นน้ำเบื้องล่าง เร็วเท่าความคิดเถื่อนจัดแจงถอดเสื้อผ้าของตน เหลือไว้เพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว แล้วกระโจนลงน้ำ ... ..ตู้มม..!!    แต่เวดยังยืนหันรีหันขวางเหมือนจะไม่แน่ใจนักว่าจะลงไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆดีหรือไม่ เขาเริ่มนึกถึงสภาพการณ์คืนนี้ 
....ถ้าชุดเปียกแล้วคืนนี้ชั้นจะใส่อะไร มีอยู่แค่ชุดเดียวด้วย จะนอนที่ไหนยังไม่รู้เลย พ่อจะมาตามหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย เฮ้อ ..
เวดจึงปฏิเสธคำเชิญชวนของเพื่อนๆ เขาเดินขึ้นไปทางน้ำตกข้างบน  สอดส่ายสายตาหาซอกหลืบที่จะใช้เป็นที่พักพิงในคืนนี้ .... ตรงนี้แหละว่ะ ดีที่สุดแล้ว พื้นหินก็ราบเรียบ มีโขดหินด้วย จะได้ใช้ผูกเต้นท์.. เขาพร่ำพึมพำกับตัวเองคนเดียว
                แล้วจึงผละจากนิวังคสถานซึ่งหมายปองไว้ว่าคืนนี้จะเป็นที่พักพิงชั้นเยี่ยมของเขา ... ปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ ลืมเรื่องราวทุกข์ร้อนทุกสิ่งแล้วลงไปหาเถื่อนตรงสุดทางของน้ำตก ตะวันสายมากแล้ว ผู้คนทยอยหอบเสื่อม ตะกร้าอาหาร จับจองหาที่ปิกนิก บ้างก็มากันเป็นกลุ่มเพื่อนส่งเสียงสรวญเสเฮฮา หรือมากันแบบคู่รัก แต่ที่มาแบบครอบครัวนี่นะสิ เมื่อเวดเห็นแล้ว ความน้อยเนื้อต่ำใจก็เกิดขึ้น พลันน้ำตาก็ค่อยๆไหลรินลงมา .. อย่างช้าๆ  ........				
6 เมษายน 2547 00:45 น.

กระดาษ....ลายชีวิต ((บทที่2))

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[2]	 ย้อนรอย

..เถื่อน กลับมาแล้วเหรอ อ้าว! แล้วนั่นใครล่ะลูก เห็นมายืนด้อมๆมองๆอยู่ เข้ามาก่อนสิ   เวดนึกขำตัวเองอยู่ในใจ คุยกับเด็กชายตัวโตมาก็หลายคำ แต่ยังมิได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาเลย พึ่งจะรู้เดี๋ยวนั้นเองว่า เด็กชายตัวโตที่รูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูไม่น่ามอง น้ำเสียงอาจจะแข็งกร้าวไปบ้าง แต่จิตใจอ่อนโยน ผิดกับชื่อและลักษณะของเขาจริงๆ  ..เถื่อน..เอ๊ะ! แล้วทำไมต้องชื่อเถื่อนด้วย พ่อแม่เขาคงจะมีเหตุผลบางอย่างที่อาจจะลึกซึ้งก็ได้ และไม่นานนัก เวดก็เดินตามหลังเถื่อนต้อยๆเข้าบ้านไปอย่างว่าง่าย แนะนำตัวกับพ่อแม่ของเถื่อนพอเป็นพิธีจากนั้นก็จัดแจงอาบน้ำแล้วเข้านอน เด็กทั้งสองนอนคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ เถื่อนเล่าให้ฟังว่า เหตุไฉนพ่อของเขาจึงตั้งชื่อให้เขาว่า เถื่อน  เขาบอกว่า พ่อตั้งชื่อว่าเถื่อนเพื่อจะได้เป็นเครื่องเตือนสติตน เวดฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก เถื่อนจึงอธิบายต่อพร้อมด้วยแจงถ้อยสาธกว่า หากตัวเขาชื่อเถื่อน พฤติกรรมเถื่อนๆ คนจะดูถูก ย่ำยีเอาได้ว่า ไอ้นี่ ชื่อเถื่อนยังทำตัวเถื่อนอีก หรืออะไรทำนองนี้ ... เวดพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง ด้วยการพูดจาที่เป็นกันเองของเถื่อนทำให้เขาค่อยๆลืมเรื่องราวเศร้าๆของตัวเอง และทั้งสองก็ผล็อยหลับไปพร้อมๆกับห้วงแสงแห่งรัตติกาล 
 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
 อุ้ย! สวยจังเลย  พร้อมๆกับเสียงนั้นมือน้อยๆก็หยิบกระถางเพ้นท์ลายซึ่งยังคงหมาดอยู่มาดูอย่างตื่นเต้น กระถางใบนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะไม้เก่าคร่ำครึซึ่งแม่ของเวดเป็นคนให้ไว้ เวดรักโต๊ะตัวนี้มาก เวลาที่เขารู้สึกมีปัญหาหรือถูกแม่เลี้ยงด่าว่า เขามักจะมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของแม่ เวดเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า 
 วางลงเถอะนะ แก้ว ขอร้องเถอะคนดีของพี่ งานยังไม่เสร็จสมบูรณ์เสียทีเดียว    ................
ดูเหมือนแก้วจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของพี่ชายนัก เธอยังคงชื่นชมกับกระถางใบนั้นต่อไป ... เธอประคองกระถางใบนั้นพร้อมกับเดินไปทางหน้าห้องน้ำ จงใจจะละมือจากกระถางให้ตกลงมา ... เร็วเท่าความคิด เสียงดัง เพล้ง ก้องกังวานขึ้น พร้อมๆกันกับแก้วซึ่งล้มกลิ้งอยู่หน้าห้องน้ำอย่างไม่เป็นท่า เธอแผดเสียงร้องไห้จ้าเต็มที่ หวังจะให้แม่ของหล่อนได้ยิน จริงดังที่คิด หญิงสาวท่าทางเปรี้ยวจี๊ดคนนั้น เดินเข้ามาตบใบหูของเวดอย่างจัง รู้สึกได้ถึงความชาไปเพียงครู่...ตามมาด้วยเสียงสบถพจนาอีกมากมาย คำพูดที่แม่เลี้ยงของเขาพูดยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท   ... แกคอยดู ทำลูกแก้วของฉันเจ็บ ฉันจะบอกพ่อแก ให้ตีแกให้ตายเลย... 
             ...แกไปทำอะไรหนูแก้วเขา ถ้าน้องหัวร้างค่างแตกจะว่าอย่างไร ฮะ?? แกมันไอลูกเนรคุณ อิจฉาได้แม้กระทั่งน้อง ... มานี่เลยมา มาให้ข้าลงโทษเสียดีๆ ....  เท่านั้นยังไม่พอ เสีงแก้วตะโกนมาแต่ไกลจากในบ้าน ..ตีไอเวดเลยพ่อ ตีมันเลย มันผลักหนูล้ม แค่นี้ทำขี้เหนียว ขอดูดีๆก็ไม่ได้ ผลงานของตัวเองสวยตายหล่ะ คิดว่าเขาอยากดูนักเหรอ  โธ่เว้ย ผลงานห่วยๆ ซังกะบ๊วยที่สุด... เสียงเจื้อยแจ้วแฝงด้วยความรั้นแกมอิจฉาดังมาเป็นชุดๆอย่างไม่ขาดสาย
	...เงียบเดี๋ยวนี้นะ...  ดูเหมือนเวดจะอดรนทนไม่ไหว...นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้...เวลาผ่านไป เวดรู้สึกอื้ออึงอย่างบอกไม่ถูก เขาวิ่งกลับเข้าไปในบ้านกระชากเสื้อผ้าสองสามชิ้นจากไม้แขวน เงินติดตัวห้าสิบบาท แล้ววิ่งโร่ออกจากบ้านไปอย่างเร่งร้อน....ได้ยินเสียงแม่เลี้ยงของเขาตะโกนไล่หลังดังแว่วๆ ฟังดูแล้วน่าน้อยใจยิ่งนัก ...  เชอะ! ไปซะได้ก็ดี 
	...เชอะ! ไปซะได้ก็ดี ..... - - - - - - -  คำพูดนี้ยังคงก้องอยู่ในภวังค์ความคิดของเวด .... 
...ไม่อยู่แล้ว คนผิดสัญญา ...  พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นเรื่อยไป				
6 เมษายน 2547 00:41 น.

กระดาษ..ลายชีวิต ((บทที่1))

เสือยิ้มมุมปาก

บทที่	[1]	 ต่างถิ่น

เวลาล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็นแล้ว แดดสุภาพลดความเกรี้ยวลงไปบ้าง ต่างจากช่วงบ่ายที่ผ่านมา  ลมพัดอ่อนๆทำให้เด็กชายวัย 12 ขวบในชุดกางเกงยีนส์สีซีดตามสมัย เสื้อคอกลมลายฮิปฮอปสีฟ้า พร้อมกระเป๋าสะพายสีน้ำเงินขนาดย่อม รู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง เขาแทบจะไม่รู้เลยว่าเขายืนอยู่ ณ ตรงจุดนี้นานเพียงใดแล้ว ดูเหมือนเขาจะยืนอยู่อย่างคนไร้จุดหมายปลายทาง เขามองตามรถสองแถวที่พึ่งจะขับผ่านไปทางถนนลูกรังท้ายหมู่บ้าน เห็นเขม่าฝุ่นราวกับพายุยักษ์สีส้มเรื่อๆตลบอบอวลฟุ้งไปทั่ว จนเด็กชายต้องเอามือมาป้องจมูกไว้ ตามด้วยเสียงไอถี่ๆสองสามที ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เชิดหน้าด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง ...
เสียงโหวกเหวกดังมาจากสวนเงาะโรงเรียนซึ่งแซมด้วยต้นมะม่วงเบาริมทางที่เขายืนอยู่ อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังไปตามต้นเสียงนั้น ก็พบกับภาพของเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่ร่างกายและผิวพรรณผิดแผกกับเขาพอควร เด็กๆเหล่านั้นกำลังสนุกสนานเฮฮาไปตามวัยกับการละเล่นที่เขาไม่รู้จัก เด็กชายจึงคิดว่าคงจะเป็นเจ้าถิ่นที่นี่เป็นแน่แท้ เขารวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยปากตะโกนถามออกไปว่า   
ทำอะไรกันน่ะ .... เงียบ .... ไร้เสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น เด็กๆที่อยู่บนคบคานกิ่งไม้พากันมองหน้าเลิ่กลั่ก เหมือนกับจะขอคำปรึกษาจากกันและกัน สักพักหนึ่ง มีเสียงตอบรับจากเด็กชายที่ตัวโตกว่าเพื่อน คาดว่าคงจะเป็นพี่ใหญ่ ไม่มีตาเหรอวะ พวกเรากำลังเล่นตำรวจจับโจรกันอยู่ โง่จริงเลย  เสียงนั้นอาจจะฟังดูแข็งกร้าวกระด้างกระเดื่องน่าหวั่นหวาดเสียจริง ... และเด็กชายก็มิได้ให้ความสำคัญกับเจ้าถิ่นกลุ่มนั้นอีก จนกระทั่งเด็กชายตัวโตที่เขาคุยด้วยเมื่อก่อนหน้า เดินตรงเข้ามาพลางถามว่า เอ็งชื่ออะไรน่ะ แล้วมาจากบ้านไหน หน้าตาไม่คุ้น ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลย เด็กชายค่อนข้างสะดุ้งตัวเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยความเป็นมิตรอย่างยิ่ง 
 ชื่อเวดครับ พอดีผมมาเที่ยวแถวนี้  คิดว่าจะกลับบ้านเย็นนี้แหละครับ แต่บังเอิญพ่อผมไม่อยู่บ้าน ก็เลยคิดจะนั่งรถประจำทางกลับไปในตัวอำเภอ รอรถอยู่นานแล้วล่ะ แต่ไม่เห็นมีเลย ชั่วโมงกว่าแล้วนะ   น้ำเสียงของเขาดูเริงร่ายิ่ง ผิดกับบางความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึกๆในใจเขา
ยังไม่วายที่เด็กชายตัวโตจะเดินหันหลังกลับไป เวดตะโกนถามขึ้นมาว่า  ขอโทษนะ นายช่วยบอกทางไปวัดที่ใกล้ที่สุดในหมู่บ้านนี้ให้เราหน่อยสิ  .. เด็กชายตัวโตมีสีหน้าฉงนเล็กน้อยแต่ก็มิได้เคลือบแคลงใจอะไรมาก จึงอธิบายทางไปวัดให้แก่เวดอย่างละเอียด แต่ก็อดสงสัยมิได้ จึงถามขึ้นว่า แล้วนายจะไปยังไงล่ะ รถสองแถวหมดแล้วนะ เอาอย่างนี้ไหม คืนนี้ไปข้างบ้านเราก่อนแล้วพรุ่งนี้ถ้านายจะไปวัดลิงขบ ข้าจะพานายไปเองนะ   เด็กชายตัวโตสังเกตเห็นสีหน้าของเวดแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเป็นมิตรว่า 
 ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เวด พ่อเราใจดี ท่านไม่ดุหรอก ยิ่งพาเพื่อนใหม่เป็นเด็กเมืองมาอย่างนี้ พ่อคงดีใจ เพราะพ่อข้าเคยไปเป็นนายทหารอยู่ในเมืองเหมือนกัน มีเพื่อนในเมืองอยู่ก็สองสามคน  ไปนะ เวด ถึงอย่างไรเราก็ไม่กล้าปล่อยนายไว้คนเดียวหรอก ทางเดินไปวัดลิงขบที่ว่าใกล้น่ะ ก็น้องๆกิโลแม้วเหมือนกันล่ะ  
เวดรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ขอบตาปริ่มด้วยน้ำตาแต่เขาพยายามกลั้นไว้..อดทนไว้อย่างลูกผู้ชาย มันหาใช่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ เสียใจแต่ตรงกันข้ามมันกลับเป็นหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติแห่งน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเพื่อนซึ่งเป็นเด็กต่างถิ่น เพื่อนซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน กลับหยิบยื่นไมตรีให้เขาได้ถึงเพียงนี้ 
               ...ทั้งสองเดินกอดคอกันไป เสียงหัวร่อต่อกระซิกปนจังหวะสะอึกสะอื้นดังกังวานไปตามท้องถนนลูกรังสายนั้น....เสียงก้องที่ดังตามหลังราวกับจะบอกอะไรบางอย่าง...ที่ซึ่งรอเขาทั้งสองในเส้นทางข้างหน้า....				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสือยิ้มมุมปาก
Lovings  เสือยิ้มมุมปาก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสือยิ้มมุมปาก