21 มกราคม 2549 11:45 น.

ค่าเพียงดิน..!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html
(ฝากดิน..กลิ่นโคลนสาบควาย)


สาวนาตื่นมายามฟ้าสาง
กับดาวพร่างดวงเต็มอ้อมฟ้า
กับ..
เดือนดวงเหว่ว้า..ที่ยังแขวนสวย
เรี่ยปลายไผ่..เหนือทิวไม้
ริมคอกควายของเจ้าสายน้ำ
กับลาแล้งที่อีกไม่กี่วันจะตกลูกแล้ว


สาวนาดีใจ..
ที่จะได้มี..
ลูกควายน้อยๆหน้าตาดำดำตาดวงใสใส
มา..
ดำรงรอยไถให้ไม่แปรให้ยังมีวิถีไทยแท้
วิถีที่ไม่แปรไปตามระบบทุนนิยม
ให้ยังมีกลิ่นโคลนตมปลักควาย
ไว้ใช้งานไว้หว่านไถ..คู่ทุกข์คู่ยาก
และ..
ฝากให้นวลใจสาวนาแสนปิติยินดี
ที่ยังได้..
พลีธำรงวงศ์ตระกูลควายไว้
มิให้สิ้นหายไปกับกาลเวลา


สาวนา..
จึงนอนยิ้มอิ่มบุญกับฟ้าสลัว
ในม่านมัวของมวลหมอกเมฆ 
กับ
อวลกลิ่นดวงดอกการะเวกรสสุคนธา
ที่เลื้อยพันพาพร่างพ้อมาล้อถึงริมหน้าต่าง
กลายเป็นม่านเขียวสล้างแถมให้หอมไกลหอมใจจรุง


สาวนา...ตลบมุ้ง
และกลับนอนลงไปใหม่
ขอขี้เกียจสักวันก่อนจะผันตัวเองไปทำหน้าที่
ที่มีภาระมากมาย
ไหนจะดายหญ้า
ไหนจะเก็บผักหาฟืน 


หากสาวนายังไม่อยากตื่น
อยากนอนนิ่งๆ..ทิ้งใจว่างๆ
ทอดตารับพร่างละมุนจากเถาตำลึงริมรั้ว
และ..
นอนดูม่านฟ้ารำไรในแสงสลัว
ที่เริ่มสาดส่องประกายทอง
ผ่องตามอาทิตย์อุทัยแรกแย้ม
ที่..
กำลังไหวพรายแสงแต้มนภา
มาทายทัก อย่างเช่นทุกทิวาวัน


ฟังเสียงดุเหว่านกเขาไพร
ไก่ป่าไก่บ้านร้องขันเทือนไปทั้งท้องทุ่ง
ให้..
คนมุ่งลงนาพาตัวไปทำหน้าที่
ตามวิถีทองวิถีไทยแต่โบราณ
ได้หว่านข้าวให้ผลิรวงตระการ 
มาเลี้ยงท้องให้คนไทได้อิ่มหนำสำราญ
ในผืนดินได้มีกินอุดม
ไปตราบนานแสนนาน...


สาวนาเพิ่งรับคนงานมาไว้สองคน
ผัวเมีย.. ที่ไม่มีงานทำ 
มาปันแบ่งที่ริมนาให้ได้ปลูกกระท่อม
ผักหญ้าพอเลี้ยงตัว
และ..
บางครั้งครา
สาวนาก็ยังพอออกปากฝากให้ช่วยดูแลนาได้บ้าง
รวมทั้ง
ปลาในหนองน้ำในคลองมิให้แห้ง..
ช่วยกันขุดลอกแบ่งหน้าที่กันทำ


และ
สาวนา..เพียรรินร่ำสอนด้วยการกระทำ..
ให้สองคนนั้น...
ได้รู้จัก...
การมีชีวิตเกษตรกรรมแบบพอเพียง แบบเพียงพอ
แบบ..สมถะตามประสายาก
แบบดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
ตามแนว..*ทฤษฎีใหม่*


วันก่อน
สาวนาได้อ่านบทความในหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ทอง
นำมาฝากจากในเมือง
และ
อ่านต่อให้สองคนผัวเมียฟัง
ด้วยความที่สาวนาประเทืองประทับใจ
เพื่อ..
จะเน้นย้ำ..
ให้ได้ตระหนักถึงความมีชีวีชีวิตแบบธรรมดา
ทว่า..
แสนจะมีความสุขแบบเรียบง่าย


บทความที่สาวนายังจำได้
ที่ท่านดร.สุเมธ ตันติเวชกุลบรรยายไว้ชื่อ
ข้อคิดใช้ชีวิตแบบธรรมดา ตามธรรมชาติ*
ที่ท่านได้กล่าวเล่าไว้ดังนี้..
****************


เศรษฐกิจพอเพียงความพอดี

*ทฤษฎีใหม่*ที่ได้รับพระราชทาน..
เป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจแบบพอเพียงสำหรับเกษตรกร
ที่สามารถอุ้มชูตัวเองให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน

โดยทำการเกษตรในพื้นที่ 
ซึ่งไม่ว่าพื้นที่นั้นจะมีกี่ไร่
แต่มีการแบ่งจัดสรร
ให้..
ส่วนที่เป็นน้ำ30%
 เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน
เพื่อใช้ในฤดูแล้ง 
รวมทั้ง...
ใช้เลี้ยงปลาด้วย ดังนั้นตอนฝนทิ้งช่วง
ก็ยังมีน้ำในพื้นที่ตัวเอง 
มีปลารับประทานได้ตลอดเวลา


อีก30% 
ใช้ปลูกผัก พืชต่างๆ  

ที่เหลือ 10% ไว้สร้างบ้าน ทำถนน 
ดังนั้นเราจึงมีอาหาร
ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปเกือบครึ่ง
เหมือน*มีเซเว่นอีเลเว่น*ส่วนตัวอยู่หลังบ้าน


ท่านยังกล่าวว่า...
นักพัฒนาสมัยใหม่ต้องการสร้างรายได้
นักพัฒนาที่บรรลุธรรมจริงๆ
จะไม่สนใจเรื่องสร้างรายได้..
แต่..
ใช้ชีวิตอย่างฉลาด
ไม่กระหายเกินไปก็สามารถอยู่ได้
การทำเกษตรตามทฤษฎีใหม่ 
ถ้ายังเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปขายได้


ท่านกล่าวว่า....
การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องยึดหลัก..สายกลาง..เป็นที่ตั้ง
ต้องอยู่ด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัว
ไม่ได้ให้คุณค่าทางวัตถุหรือเงินตราเป็นที่ตั้ง


แต่
เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส 
พระพุทธเจ้า..
ทรงเผยแพร่หลักธรรมมา2548ปีแล้ว...ยังสู้ไม่ไหว
ดังนั้น
เราต้องชนะกิเลสก่อน
ต้องยอมรับว่า
*ทุนนิยม..เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลส*

พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงสอนให้จน
รวยก็รวยไป 
แต่...
พฤติกรรมในการดำรงชีวิต
ต้องมีมาตรฐานเส้นระดับความพอดีของตนเอง


สำหรับ
เรื่องของการเป็นอยู่ท่านบอกว่า
ลองสังเกต คนรวยต้องใช้ยากันทุกคน
 ไม่ว่า..
ยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพร
เพราะ..
กินดีอยู่ดี 
แต่..
ของกินดีอร่อยๆเป็นพิษทั้งนั้น 
ไขมันมากเกินไป
เดี๋ยวไขมันขึ้นเดี๋ยวเส้นเลือดอุดตัน
*เรียกว่าเป็นโรคเศรษฐี*

คนจนไม่มีใครเคยเป็น
ชาวไร่ชาวสวนมีใครบ่นที่ไหนว่า
ไขมันอุดตันเนื่องจากเขาออกแรงทั้งวัน
............


*อยู่อย่างธรรมดา..ดีที่สุด*

ท่านเล่าว่า..
ท่านเคยบวชเป็นพระป่าเมื่ออายุ64ปี
ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาท
แต่..
กลับมีความสุขที่สุด..ท่านว่าอย่างนั้น
ฉันอาหารปลอดสารพิษ
ข้าวเหนียวแข็งๆกินผักตามรั้วบ้าน
ที่..
ชาวบ้านนำมาใส่บาตร มีปลาปิ้ง
อาหารไม่ต้องใช้น้ำมัน 
ระหว่างบวชจึงไม่ต้องกินยา
ความดันโลหิตสูง
ไม่มี ไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอลปกติ
ร่างกายแข็งแรงน้ำหนักหายไป 8 ก.ก

ท่านกล่าวว่า...
ทำไมอยู่อย่างอดอยากแต่ร่างกายกลับแข็งแรงขึ้น


ท่านมีบ้านอยู่ที่เพชรบุรี
สร้างแบบไทยๆเย็นสบาย..ไม่เหมือนบ้านสมัยนี้
ลอกแบบฝรั่งมากเกินไป
สถาปนิกคงจะมาจากต่างประเทศ
ใช้หลักการที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน 
เช่น..
ถ้าไม่มีพลังงานก็ใช้อะไรไม่ได้
การออกแบบตึกสมัยใหม่..
น่าจะออกแบบให้ใช้ได้แบบยั่งยืน
เช่น..
ใช้แสงธรรมชาติ    
ที่สะท้อนไปมาได้
มีการถ่ายเทอากาศ ใช้ธรรมชาติให้มากที่สุด
ลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลรักษา


การกำจัดน้ำเสียก็เช่นกัน
แทนที่จะต้องเสียพลังงานไปสร้างโรงบำบัด
ก็ใช้ธรรมชาติช่วยบำบัด ใช้พืช เช่นพุทธรักษาบำบัด
และ..
ทำให้เกิดการตกตะกอน 
ตะกอนก็เป็นจุลินทรีย์เน่าสลายไปเป็นปุ๋ย
เลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ดูดซึมซับโลหะหนัก
ที่..
ถ่ายทอดออกมาเป็นคาร์บอนมอนออกไซด์
นี่คือขบวนการตามธรรมชาติ


ท่านกล่าวว่า..
คนทำร้ายธรรมชาติมาก
จนธรรมชาติเตือนเช่นเกิดวาตภัยเกิดอุทกภัย
ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิต
เรารังแกธรรมชาติมากเกินไป

ความจริง..
ธรรมชาติเขาสร้างขึ้นมาให้อยู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
ให้..
อยู่อย่างราบรื่น อย่างยั่งยืน
แต่เดี๋ยวนี้ คนดูต้นไม้เป็นซุง ดูเป็นเงิน
ถ้าดูเป็นซุงก็ตัด


ถ้าดูต้นไม้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ตัด
รักษาถนอมไว้ 

*ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ทำลายมนุษย์*
บริโภคจนทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่สามารถจะสนองตอบได้
ตอนนี้..
ก็เริ่มทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันแล้ว
*สงครามน้ำมัน*
อีกหน่อยก็
*สงครามแย่งน้ำ...เพราะไม่พอ
...................


สูงสุดคืนสู่ธรรมชาติ

ท่านกล่าวว่า....
มีการ์ตูนฝรั่งล้อว่า
มีคนจนฝรั่งใส่หมวกฟางตกปลาอยู่
อีกช่องถัดไป..
มีรถคาดิแลคมาจอด เศรษฐีแต่งตัวโก้มานั่งข้างคนจน

เศรษฐีถามว่า*เรียนหนังสือมาหรือเปล่า จนมากนักหรือ*
เศรษฐีเองบอกว่าตนเรียนมาสูง
มีอพาร์ตเมนท์หรูหราอยู่
ร่ำรวยแล้วจึงมานั่งตกปลากับยู
คนจนบอก...
ไม่เห็นต้องลำบากลำบนเลย
ไม่ต้องร่ำรวยก็มานั่งตกปลาเหมือนกัน


การ์ตูนให้แง่คิดบางอย่าง
คนเราตะเกียกตะกาย..
ก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม

พวกเศรษฐีมีเงิน 
เสาร์อาทิตย์ก็ไปอยู่ชนบทมากมาย
ถาม..ว่ามาทำไม
ก็บอกมาสูดอากาศบริสุทธิ์
คนเรา..
จะไปใฝ่หาอะไรที่มันสุดยอดทำไม
ในเมื่อลำบากแทบตายกว่าจะได้มา
สุดท้าย..*ก็กลับไปอยู่จุดเดิม*


คนบางคนสวมใส่นาฬิกา 
เรือนละล้านเรือนละแสนก็หามาใส่
ใส่นาฬิกาแพงแล้วต้องมานั่งผ่อนแล้วผ่อนอีก

พระเจ้าอยู่หัวทรงใส่นาฬิกาเมื่อปี2524 
พระองค์ทรงรับสั่งว่าทรงใส่นาฬิกา
ใส่แล้วโก้ ราคา 750 บาท
พระองค์สูงสุดแล้วเราอยู่แค่นี้
ทำไม...
ต้องโรแหลกตลอดเวลา 
โรแหลกกระเป๋าแหลก


ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป
ทางการองค์การสหประชาชาติพูดเรื่อง
GNH  (Gross Nationnal Happiness)
จะไม่เอาตัวเงินมาวัดอีกแล้ว
แต่จะวัดด้วย..*เครื่องชี้วัดความสุข*


ประเทศแรก..
ที่กล้าประกาศวัดด้วย GNH คือประเทศภูฏาน
มี..
ปัจจัย 4 มีอาหารการกิน
คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ภูฏาน เขากำหนดคนเข้าประเทศของเขาดวย
เพราะพื้นที่เขามีแค่นี้
ถ้าเศรษฐีจะมาเที่ยวต้องจ่ายเงินมาซื้ออากาศ
เราไปต่างจังหวัดกันคือไปซื้ออากาศ


*ข้อคิด
ชีวิตแบบธรรมดา..ตามธรรมชาตินี้
ไม่ว่าท่าน ไปบรรยายที่ไหน
ท่านจะตั้งไว้สิบเปอร์เซนต์สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ
ร้อยคนมีสิบคนนำไปปฏิบัติ
ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
และ..
หากเป็นจริงที่ท่านอาจารย์คาดหวังไว้
เชื่อได้ว่า..
ประเทศไทยจะมีคนถึง 6ล้านคน..
ที่เปี่ยมด้วยประโยชน์สุข
เช่นเดียวกับพลเมืองภูฏาน..*
...............


และ
ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่สาวนา 
ได้เพียรพยายามที่จะนำมาสอนจิตสอนใจ
สอนผู้ชิดใกล้ในดวงใจเท่าที่จะทำได้
และ..
สาวนาตั้งใจไว้ว่า
จะนำบทความนี้
ไปน้อมนมัสการถวาย..ให้หลวงพ่อที่วัดเทศน์ออกอากาศ
ให้ญาติธรรม กัลยาณมิตรทางธรรม ได้รับทราบรับฟัง


พร้อมบทกวีจากมิ่งมิตรคนดี
ที่เกี่ยวกับ*สวรรค์สรรสร้างทางงาม*
ให้สม..
กับที่เรายังมีลมหายใจในโลกหล้า
ได้เพียรปรารถนา
สร้างสมแต่กุศลจิตคิดทำแต่ในสิ่งดี
ตราบยังมีลมหายใจ..


และ..
พร้อมพลีเพียร...รักษา  ศีลทานภาวนา..อย่าให้ขาด
ให้ดวงใจใสสว่างพิไลพิลาสแสนสะอาดบริสุทธิ์
กระจ่างดุจดั่งได้แผ้วถาง
ทางแห่งธรรม ..
ให้มานำทางใจ..ไปตามรอยพระบาทแห่ง
สมเด็จพระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย


แล...
เมื่อยามใดดวงชีวี
พลัน..ถึงกาลเวลาจำพราก
จำต้อง..
ลาลับดับดวงไปดั่งเปลวเทียนระริบหรี่ไหวแล้ววูบวับ

ก็ให้มีเพียงจิตจับ
เดินไปตามรอยเบื้องพระบาทแห่งพระศาสดา
ที่ทรงยุรยาตรไปก่อนหน้าแล้ว 
ให้จิตวิญญาณใสดั่งดวงแก้วนิรมิต
ที่จักเปรียบประดุจ
*ดั่งอัญมณี*..ที่จักสถิตไปตราบชั่วนิจนิรันดร...........
.............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html

ฝากดิน

ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน
ดินอุ่นร้อนหรือเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน
ยามเมื่อเขาร้างไป ไกล
ใจก็ยังนึกหวั่นหวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา
ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า
ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา
เขาเป็นเหมือนเจ้าดวงใจ
ดินเรียกเขาคืนมา มา
บอกเขาเถิดดินจ๋าข้าคอย
อภัย เถิด ดิน
ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย
อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย
อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ
ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก
ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม
ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่
ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม

อภัย เถิด ดิน
ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย
อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย
อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ
ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก
ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม
ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่
ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม...
...............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html
กลิ่นโคลนสาบควาย


อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี
เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย
ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย
ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย
ไล่ควายไถนาป่าดอน
เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย
จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์
เพิง พักกายมีควายเคียงนอน
กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน
ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน
กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว
แห่งชาวบ้านนา 
ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์
หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน
กลิ่น กระแจะจันทร์
หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา
อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า 
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย

อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า 
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
				
27 ธันวาคม 2548 15:40 น.

น้ำตาเทียนน้ำตาทองน้ำตาน้องนางบ้านนา..

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
(น้ำตาเทียน)
...........


ยิน...เสียงจำปีกระซิบร่ำรำพันพ้อ
จำจากกอจากกิ่งทิ้งยอดขวัญ
จำปีพร้อมพรายพลัดพรากจากอ้อมภักดิ์ชั่วนิรันดร์
จำร้างฝันแรมไกลในวันนี้

ปล่อยผู้คนใจแล้งไร้หมายปลิดขวัญ
ไร้สวรรค์ไพรพฤกษ์ทุกถิ่นที่
ไม่รู้จักรักแมกไม้มากไมตรี
ใจดวงที่แล้งไร้คล้ายทะเลทราย

จำปีเอ๋ยเคยภิรมย์ดมดอมเจ้า
ทั้งค่ำเช้าเคล้ากมลหอมวนหมาย
ดั่งมิ่งมิตรสนิทใจมิเว้นวาย
ตราบวันตายหมายจำปีมิแรมไกล

สาวบ้านนาเพียรฝึกจิตชีวิตนี้
ปลูกไมตรีมิยึดมั่นขวัญหวั่นไหว
โลกและคนสิ้นไร้ธรรมน้อมนำใจ
ลมหายใจเหลือเเสนสั้นวันของเรา

พลีโอบเอื้อเผื่อแผ่ทุกสรรพสิ่ง
รักธรรมจริงธรรมชาติใช่ขลาดเขลา
งามภายนอกหากไร้ใจรักลำเนา
สักวันเราคงไร้โลกโศกสิ้นแล้ว

มีเพียงทะเลทรายคล้ายภาพฝัน
คงเงียบงันสิ้นงามน้ำค้างแก้ว
ราวสุสานโลกโศกสะเทือนเลือนลมแผ่ว
หมดหวานแว่วบทเพลงรักภักดีใด

เพราะหัวใจมวลมนุษย์สุดยากหยั่ง
ยังเซซังแสนเศร้าเคล้าหวั่นไหว
ไม่เคยพบสัจจะธรรมน้อมนำใจ
ดั่งบัวใจจมใต้โลกช่างโศกนัก

ในอ้อมโอบแห่งรักภักดิ์รวงเรียว
ยามดายเดียวไพรพฤกษ์ได้ทายทัก
ทุกทิวาราตรีหวานนานเนานัก
หากต้องหักลืมปีหวานให้ผ่านไป

เหลือเพียงรอยทรงจำดั่งไม้ทิพย์
ปลูกสถิตนิจนิรันดร์ขวัญไสว
ไม้มงคลสอนกมลให้งามกลางกอใจ
เนื้อดินใดไหนเล่าจะเท่าทัน..

เป็นไม้ทองครองจิตชีวิตหนึ่ง
เป็นที่พึ่งตรึงใจในยามฝัน
ผลิผลพราวราวอัญมณีเพชรตราบนิรันดร์
เป็นนาขวัญสวรรค์ใจไปชั่วกาล....
.........................



สาวบ้านนา..
ผู้รักรวงเรียวทุ่งนาและป่าเขา
ลำเนาไพรและแมกไม้ไพรพฤกษ์
ทั้งสายน้ำรักนิรันดร์
อันแสนบริสุทธิ์ใสงามเงียบ
ได้..
รจนาบทกวีบทนี้
พลีพร้อม
กับน้ำตาเทียนน้ำตาทอง
น้ำตาจากคลองใจที่กำลังไหลระรินหลั่ง...
ในท่ามราตรีกาล 
ดึกดื่นดายเดียว
ที่แสนเปลี่ยวเหงาในดวงใจ..
แสนสิ้นศรัทธาในชีวีวิถีผู้คนจนเศร้าโศกสะเทือน..
................


บทนี้บันดาลมาจากความโศก
ที่สาวบ้านนาจำต้องตัดใจ
ตัดต้นจำปีสูงใหญ่
เคียงกระท่อมไพรวิมานวนา..
ที่ให้..
ร่มเงารักพักอาศัย
ได้เอนอิงแอบอุ่นโอบใจ..
มานานวันมานานปี
จน..
ได้สร้างเรือนรังแห่งรักเอาไว้..
เพื่อได้อาศัยรจนางานงาม
ในท่ามธรรมชาติ..เงียบสงบ..


 และ...
จากเหตุผลที่น่าเศร้านัก
มิจำจักอยากอธิบาย
ให้หายลับลาเลือนไปกับน้ำจิตน้ำใจคน
ผู้หลงโลกย ์ ฝากโศกทำลาย
ทำร้ายแม้นพฤกษ์ไพร
ที่ดวงใจช่างแสนมืดบอด...


และ..
มาตรแม้น..
ฟ้าดินมีดวงตา..
คงแสนเวทนามวลหมู่มนุษย์
ที่..
เห็นงามภายนอกหลอนหลุดลวงโลก
นั้นแสนยิ่งใหญ่กว่างามธรรม...งามธรรมชาติ...


สาวบ้านนา..
มิปรารถนาให้เกิดบทเรียน
อันรันทดท้อต่อทุกทุกข์ผู้คน
ผู้มีจิตดวงหลงแล้งไร้
คล้ายทะเลทรายเข้าไปทุกทีทุกที..แล้ว

ไร้...สิ้น..
ใจดวงแก้วดวงทองดวงธรรม
มิรู้รักผ่องพรรณรายพันธุ์ไม้แมกไม้ใบบัง
และเรียวรวงข้าวกล้าในนาทอง..


ร่มไม้ไร่นา..
ที่มิเคยเกลียดชังผู้ใด
มี..
เพียงให้ร่มเงาอาศัย
ให้อิ่มท้อง
แลให้
อวลอากาศที่แสนสะอาดสดชื่นไว้หายใจชุ่มฉ่ำ
ก่อน..
ชีพชนม์เรานี้...ที่แสนสั้น
จะต้องพลีสิ้นไปกับดินน้ำลมไฟ..


และ...
นั่นคือธรรมชาติ...
ที่แสนยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยตระหนักชัด
แม้นจะวนกลับมาสอนบทเรียนซ้ำๆซากๆ
ฝากไว้ไม่รู้สักกี่หนกี่คราว...แล้ว
และ..
จนกว่าจะทิ้งผู้คนบนผืนโลกนี้
ให้หนาวเหน็บเจ็บร้าวเศร้ามิสิ้น
ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์...
..............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
น้ำตาเทียน ทูล ทองใจ


คืนหนึ่งฉันนอนสะท้อนดวงใจ
เห็นน้ำตาเทียน หยดไหล
เหมือนใครหลั่งน้ำ ตานอง
ในกระท่อมเหมือนดังเป็นวังเวียงทอง
ฉันนอนทอดถอนใจมอง
น้ำตาเทียนนอง หยดไหล
เพียงหยดหนึ่งน้ำตาเทียนเวียนวน
เหมือนน้ำตาใครหนึ่งคนเข้าดลสู่สิง ดวงใจ
ครั้นเราคู่พนอเดินคลอกันไป
ฉันเคยเศร้าช้ำใจได้ 
ว่าเธอร้องไห้คร่ำครวญ
เทียนหลั่งน้ำตาไหล ลงมา
หยดหนึ่งเทียนเสียน้ำตา ยิ่งพาให้มีแสงนวล 
น้ำตานางไหลคราง คร่ำครวญ
อาบลงแก้มน้องเนื้อนวล ยิ่งชวนฉันรัญจวนใจ
อดีตไม่ลับดับลงสักที
เห็นเทียนเรืองรองต้องมีทวีโศกหวลครวญไห้
มองเทียนหลั่งน้ำตาลงมาคราใด
ฉันทนปวดร้าวดวงใจ
จากไปแล้วแก้วตาเอย...
................
				
7 ธันวาคม 2548 08:58 น.

ในอ้อมโอบแห่งพระพุทธาหัตถาสวรรค์..!

สาวบ้านนา


ฟ้าใกล้ค่ำแล้ว
เสียงนกกาเริ่มร้องเพรียกหาพากันผกโผผินบินพรู
มุ่งสู่รวงรักแห่งรัก


สาวนานั่งพิงตาลเดี่ยวเดียวดายทอดตานิ่งเศร้า
ดูบึงบัว
ที่ณ..บัดนี้ไร้ฝนพร่าง
จนบัวดอกงามที่เคยสดฉ่ำได้รับพลังหยาดน้ำฟ้า
มาชุบชื่นชูดูเหี่ยวแห้งคาบึง...

ไร้สิ้นมวลหมู่แมลงภู่ผึ้งภุมรินทร์บินมาดอมดม
ปล่อยให้เพียงสายลมแล้ง มาลาไล้คล้ายปลอบประโลม

ท้องฟ้าเบื้องบนดูเทาทึมราวกับซึมเศร้าคิดถึงทุ่งข้าว
คราวออกรวงไสวสีทองงามผ่องไปทั่วทั้งท้องนา..


สาวนานั่งน้ำตาพรายบนเรียวแก้มซูบ
ยกมือลูบไล้คล้ายเพียรบอกกับใจตัวเอง
อย่าท้อแท้ แพ้พ่ายกับวันคืนฤดูกาลที่มีทั้งดีร้าย
เฉกเช่นฤดีผู้คน 
ที่หมุนวนหมุนเวียนเปลี่ยนแปรผันไปเช่นเฉกกัน

วันนี้รัก พรุ่งนี้ชัง
วันนี้ไร้หวัง พรุ่งนี้อาจจะดีกว่า
และ...ทุกสิ่งอย่าง
ขึ้นอยู่กับกาลเวลาจะเยียวยา
รอเวลาสมานประสานรอยแผลใจ
ไม่ว่าทุกข์บทเรียนใด จะเลือนรอย....


วันแรกรัก ..
มักลืมหลงมักพะวงคิดเพียงด้านเดียว
ด้านดี...
หากพอถึงวันที่รอยใจแปร ..รอยไถแปร..
แม้นเพียรฝากดีพลีให้สักเท่าไร
ทุกหยดหยาดน้ำใจ...
ก็ดั่งถมทับลงบนกลางดวงใจ
ที่แล้งไร้ คล้ายดั่งทะเลทราย ไร้ซึมซับ

รับแล้วหาย..รับแล้วหาย........มลาย..ไป...


พระพิรุณ..ใสดั่งหยาดน้ำค้าง
ดั่งหยาดพร่างจากน้ำตานางฟ้า
ที่..
ยอมเหว่ว้าเททุ่ม ให้โลกรุ่มร้อนได้จางคลาย
ให้มีสายน้ำรักนิรันดร์ 
หวังจักปันพลีคืนกลับแด่โลกนี้
ที่คือ..
ความดีไร้ผู้ใดรับรู้ หากยังคู่ฟ้าดินเสมอมา
ดั่งดวงตาสวรรค์ที่คอยเฝ้ามอง
แม้นนางฟ้าจะต้องเสียใจหลั่งพลีน้ำตาตราบชั่วฟ้าดินสลาย..



สาวนา...
เดินช้าช้า ช้าช้า พาร่างไปยังโบสถ์คร่ำ..วัดไร้ร้าง 
ทว่ายังแสนงามแสนยิ่งใหญ่
ในพลังใจพลังแห่งความศรัทธาปสาทะ
ในดวงใจบริสุทธิ์ใสซื่อของสาวนา

สาวนา...มีเพียงบัวบูชาแล้งน้ำ
ที่เหลือรอด มาเพียงดอกเดียว..!


เบื้องหน้า..
คือพระพุทธรูปองค์โตสีทองสุกปลั่ง
ที่ทอดพระเนตรลงมาราวกับกำลังเมตตาสาวนา
ผู้สิ้นไร้ใคร ไร้ใจ 
..*ไม่มีแม้คำตอบจากสวรรค์ *..
หาก..
สาวนาก็ยังเพียรที่จะคิดทำความดี
ไปตามวิถีแห่งสาวนา ที่มาตรแม้นว่าใครไม่เห็น
สาวนาก็แสนเย็นใจแสนชื่นในหัวใจ
ไม่ว่า...
ความเสียใจใด ความไม่เข้าใจใด
สาวนาจะไม่กักเก็บไว้นาน
จะปล่อยให้ไหลผ่านไปประดุจดั่งสายน้ำ


สาวนาจุดเทียนทองพริบพราว
จนภายในโบสถ์ราวอาบด้วยทองทา

พระพักตร์พระพุทธสะท้อนแสงพราวราวกับภาพทิพย์
จากสวรรค์นิรมิตมาลอยเลื่อนเยือนหล้า
มาฝากน้ำพระทัยมากพระพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณ
ส่องละมุนให้ห้องหัวใจสาวนา 
ยิ่งงามกล้างามกระจ่างสว่างหมดจด
ดุจดั่งอัญมณีไพร..
ที่จักไม่มีวันที่ผู้ใดจะทำร้ายได้นาน


ในน้ำตาแห่งปิติเกษมเงียบงามตามลำพัง
สาวนา..สวดมนต์ด้วยพลังเสียงหวานเศร้า
ปานประหนึ่ง...
ให้พลังเสียงนั้น
ดังไปถึง...
สวรรค์แลฟ้าดินสิ้นทั้งอินทร์พรหมได้รับรู้


ชีวิตนี้..
ลูกจะอยู่จะยังมีลมหายใจเพื่อ..ทำความดี..
พลีเพื่อทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
 แม้นประดุจดั่งปิดทองหลังพระ
ตราบจนกว่า...ผืนดินจะกลบหน้า..พสุธาจะกลบร่าง

และ..
วางใจดวงว่างของลูก...ในอ้อมโอบแห่งพระพุทธา...หัตถาสวรรค์...ไปตราบชั่วนิจนิรันดร..!

				
5 ธันวาคม 2548 06:10 น.

ราตรี..ฟ้าสีทองผ่องแผ่นดิน..!

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
แผ่นดินของเรา..บ้านของเรา)
................


ในคืนที่ฟ้านวลพราว
ด้วยดวงดาวดาริกาดารารายนับหมื่นพัน

หาก..ไยเล่า...!
ที่ดูยังพ่ายแสง
เมื่อเทียบกับแรงรัศมีแห่งความ
จงรักภักดีทั่วแคว้นอาณาเขตประเทศไทย*แดนสุวรรณภูมิพุทธ*
ที่..
พลีพร้อมใจกันน้อมศิระกรานกราบแทบเบื้องธุลีพระบาท
พระผ่านฟ้าผ่านหล้า 
เพื่อเทิดพระเกียรติ..ถวายพระพรชัย..
แด่พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย


เป็นคืน..
ที่แสนน่าอัศจรรย์ใจด้วยพลังพลานุภาพ
ที่อาบเอิบไปทั่วทั้งสกนธ์
จากเหนือจรดใต้
ที่ฉาบไล้ฉายด้วยพลังรัศมีสีทองจากแสงเทียนผ่องพราว
นับหลายสิบล้านดวง


ภาพผู้คนในแดนดินแห่งพุทธภูมิ
ที่ต่างร่วมกันจุดเทียนถวายพระพรชัย
และ..
ต่างหลอมรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเกี่ยวร้อย
แสดงความสมานสามัคคี
ที่..
มาจากจิตวิญญาณ
แห่งความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ..ดั่งหยาดน้ำฟ้า
ดับแล้งไร้ทุกหย่อมหญ้า
ให้..
โลกหล้า..สิ้น..ทั้งฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหม..ได้ทรงสดับ..
รับรู้ถึงความกตัญญุตา
อันเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบประมาณ..


สาวนา...
นั่งสมาธิตั้งแต่ย่ำรุ่ง
เพื่อน้อมจิตมุ่งเพียรอธิษฐานจิต
ให้...ทุก...
ลมหายใจปัจจุบันแห่งชีวาชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้ที่ยังมี


ได้รวมพลังเพื่อตั้งมั่น สร้างคุณธรรม ทำความดี
ตามรอยพระบาท..ตามรอยพระบรมศาสดา
ที่..
สาวนาคนหัวใจซื่อ เชื่อมั่นเทิดศรัทธาไว้เหนือหัว
ว่าคือสิ่งที่ล้ำค่าเกินกว่าสิ่งใดในหล้าโลกนี้แล้ว 


ราวมีดวงแก้วณ..กลางใจ
ราวมีดวงเพชรไสวลอยนำทาง
ที่แสนพร่างพรายประกายเจิดจรัสเหนือฟ้าไทย
ด้วยรัศมีใสฉ่ำเย็น โชติช่วง
ดั่งดวงแสงทองส่องแสงธรรม
ให้..
พบเส้นทางแสนงามล้ำแสนสะอาดสว่างสงบสมถะ..


และ..
เราคนไทยทุกดวงใจ..
แสนโชคดี สักเท่าไรแล้ว
ที่...
ได้เกิดมาพบทั้ง..ร่มฉัตรและร่มพระรัตนตรัย
ที่..ทั้งกางกั้นทั้งกายใจและจิตวิญญาณ
มิให้หลงทาง มิให้หลงผิด 
ใช้ชีวิตสูญเปล่าไปกับกาลเวลา
ที่คงมิรอท่าเรา ...

นอกเสียจาก..ต้องเริ่มทำทุกสิ่งด้วยความเพียรพลี
ราวกับทุกเวลานาทีแห่งความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม 
เพื่อเตือนใจมิประมาท


สาวนา..
หมอบกราบ..รับฟังพระราชดำรัส
ที่ทรงตรัส เพื่อสร้างมิ่งขวัญ
กำลังใจแด่ทุกหมู่พสกนิกรไทย 
ในค่ำคืนที่ผ่านมา
ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปิติเกษม

พร้อมสัญญากับใจตัวเองว่า
จะทำความดีพลีถวายตราบชีพนี้จะสิ้น
อย่างข้าแผ่นดิน อย่างรู้จงรักภักดี
ให้สมกับที่ได้เกิดมา 
ในแผ่นดินอันแสนสงบร่มเย็นเป็นสุข
มาแสนช้านาน ...


และ...
เพื่อให้ผืนดินอันแสนอุดมด้วยข้าว
ในนาราวรวงทองรวงเพชรพราวยังคงประดับหล้า
ได้หล่อเลี้ยงผู้คน..มิใช่เพียงคนไทยเพียงนั้น
หาก..
ยังได้ส่งไปเลี้ยงผู้คนทั่วโลก ให้มิอดตาย..
ด้วยพลังแห่งหยาดเหงื่อเลือดเนื้อน้ำตา..แห่งภูมิปัญญาไท
คนที่..
ใครบางคนคิดว่าไม่ศิวิไลซ์
และ...กับแรงควายไทยที่นับวันจะสูญพันธุ์


และ..
หาก..วันหนึ่ง...น้ำมันหมดแผ่นดิน
คนคงหันมาตระหนักชัด ...ซึ่งก็อาจจะสายเกิน..!
ฉะนั้น..
จงร่วมด้วยช่วยกันขวยขวาย
อย่างที่พระองค์ท่านทรงฝากไว้ว่า
*ให้เพียรหาพลังงาน
จากน้ำมันปาล์มมารอทดแทน*
ให้..
อย่างน้อยแผ่นดินไทย
ไม่ขาดแคลนลำบากอย่างนานาอารยะชาติ
หาก...เราเพียรพยายามเริ่มต้น ..


และ..
นี่คือ..
พระราชปณิธาณที่มากล้นคุณค่า 
ที่ทุกดวงใจทุกจิตวิญญาณไทย
ควรจักสำนึกว่า ช่างทรงมีพระปรีชามองการณ์ไกล
และ..
คือพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงมากล้นน้ำพระทัย
ที่มิเคยทรงท้อแท้ยอมแพ้พ่ายยอมพลีพระวรกาย
เพื่อทรงทำสงครามกับความยากจน มาตลอดพระชนม์ชีพ..


สาวนา...
ซึ่งเปรียบประดุจดั่งธุลีหล้า
จึงได้เพียง...
สวดมนต์ภาวนาทุกค่ำคืน

ให้ผืนแผ่นดินไทยแผ่นดินทองแห่งผองเรานี้
ได้ครองสงบสุข พ้นทุกข์วิปโยคจากผองภัยนานา
ให้..
ผองชน คนไทยทั้งหล้าได้หันหน้ามาปรองดองกัน


ได้รู้ธรรม รักธรรมชาติ
ฉลาดมีสติปัญญาที่จะใช้ชีวิต
ให้ได้สถิตพึ่งพาพึ่งพิงอิงโอบเอื้อกันไปตราบจนกัลปวสานต์
เ
พื่อ..
ให้ลูกหลานเหลนโหลนไทยภายหน้า
ยังได้มีฟ้าธรรม ฟ้าไท..
คุ้มใจคุ้มร่าง อย่างแสนน่าภาคภูมิใจ...
เมื่อเอ่ยถึงบรรพบุรุษไทย..อันมิเคยสิ้นสุดยอมพลีเลือดหลั่งทา
เพื่อรักษาผืนมาตุภูมิอิสรา นี้...เอาไว้ได้ ... เอาไว้ให้....!!!!!
..................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
แผ่นดินของเรา สันติ ลุนเผ่

แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
ใกล้ไกล
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
เลือดไทยไหลโลม ลงดิน
ใครหมิ่น ศักดิ์ศรี คนไทย
ย่อมมีวัน สักวัน ให้ไทย
ล้างใจ อัปรีย์
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน

แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
สัก วันต้องคืนกลับมา
มั่นใจ เถิดหนา
ขอพลี ชีวารักษาชาติไทย
ชาติไทยคู่ฟ้า
เลือดทา แผ่นดิน...







http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา สุเทพ วงศ์กำแหง

บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย





ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม   ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า "สาวบ้านนา"
                      * ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ * 


				
26 พฤศจิกายน 2548 23:30 น.

บุญข้าวประดับดิน..

สาวบ้านนา


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html
(ค่ำแล้วในฤดูหนาว..หนาวลมที่เรณู)
............



วูบแรก..ของไหวพรายแห่งสายลมหนาว 
กำลัง...พัดพร่างพาให้ สายหมอกกระจ่าง
และ..
มวลเมฆแสนงามค่อยๆพล้อยสายพรายพลิ้วปลิว
ฟ่องท่องทาบฟ้า
จน..ราวกับทาบทาด้วยอิ่มสีเทาทอง
พลางส่องล่องไล้ลูบจูบแผ่วผิวน้ำ
จนมองเห็นระยิบริ้วพลิ้วไหวดั่งแสงเพชรเกล็ดแก้วแวววะวับ
จับสายน้ำรักนิรันดร์งามดั่งภาพฝันในยามเหมันตฤดู


ที่คือ..
ฤดูกาลแรกแย้มแห่งปลายฝนต้นหนาว
อันแสนเหน็บหนาวหนาวเหน็บในดวงใจ
หาก..
ไม่ยอมรับความแปรไปในวัฎฎกาล
แห่งธรรม ..ธรรมชาติอันวนหวานเวียนย้อน
กลับมาสอนสัจจะใจ ราวกับฤดีใจฤดูกาล
ที่..
ทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะแค่ผันผ่านมาผ่านไป 
ไม่คงที่คงทน...

ราวกับ...
กมลแห่งมวลมนุษย์นี้ที่มากมีมากมาย
ที่จำต้องพบดีร้ายมากรายกล้ำ..
ให้รู้ปล่อยวางร้างไร้
อย่างเข้าใจ 
ให้..
ฝึกฝนเพียรพาจิตใสให้บานไสวราวบัวพ้นน้ำ


และ
กับยามนี้..ที่
สาวนา..คนดีกับอ้ายยอดดวงใจ
กำลังเดินคลอเคลียเคียงคู่กันริมชายชล
ริมบึงบัวกับฟ้าเริ่มสลัวโพล้เพล้สีไพลในยามค่ำ


กับ..
สายลมหนาว
ที่พราวพัดระร่ำระรินระรินมาพร่างพรมพราย
มาร่ายมนต์ให้หนาวกายหากมิหนาวใจ 
ด้วยได้ไออุ่นโอบเอื้อจากอ้อมกอดอันอวลรักจนได้ไอร้อน


อ้าย..หันมาแย้มยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน
ให้สาวนา
และ...
กระชับไหล่แข็งแรง
ให้เอนอิงพิงพักราวกับจะพิทักษ์ลมหนาว
ที่..
กำลังกรีดกรายมากรายกล้ำ..
มิให้ช้ำชอกหยอกเนื้อนวลเนื้อนาง..
ให้ระคางระเคืองผิวผ่องยองใยดั่งน้ำผึ้งไพรน้ำผึ้งรวง


เสียงบทเพลง...แห่งคิมหันตฤดู...กำลังครางครวญ
หวนไห้...ลอยแว่วแผ่วมา..ในมโนนึก
ให้..
ย้อนรอยถอยหลังรำลึก 
คิดถึงอดีตอันแสนงามในกาลโบราณ


บทเพลง...ที่หนุ่มสาว 
จะพากันรอวันเวลาแห่งสายลมที่มาพรมพร่าง
ให้..
ทุกคนเฝ้ารอ งานฤดูหนาว
ที่จะให้สนุกสนานเตรียมต้อนรับปีใหม่
อันคือ...
สัญญลักษณ์แห่งวัยวันให้ได้เริ่มต้นชีวิต
หากคิดผิดทำพลาด อย่างผู้ฉลาดหวัง
............



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html
ค่ำแล้วในฤดูหนาว 

พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว
ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ
สายลมเอื่อยมาในเวลาค่ำ ฮึม
ฉ่ำชื่นกว่าทุกวัน
น้าค้างพร่างพรมลมเย็นรำเพย
หนาวโอ้อกเอ๋ยหนาวจนสั่น
เสียงเรไรร้องก้องสนั่น ฮึม
ทำให้ฉันเป็นสุขใจ
เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว
ดังแว่วมาแต่ไกล
นี่ใครหนอใคร ฮึม
ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ
หนาวลมยิ่งทำให้ใจคนึง
คิดถึงแต่รักที่หวานฉ่ำ
หารักอื่นใดไหนจะหวานล้ำ ฮึม
ฉ่ำเท่ารักเราไม่มี
สวนลุมพินีถิ่นที่เคยไป
เขาดินถิ่นไกลก่อนนี้เคยชื่น
เดี๋ยวนี้ผ่านไปเห็นแล้วขมขื่น ฮึม
ไม่ชวนชื่นเหมือนก่อนนั้น
นภาสะอาดดูงามสดใส
ฉันรักจับใจสะอาดนั่น
หนาวลมเยือกเย็นนั้นทำให้สั่น ฮึม
จิตใจฉันเลื่อนลอยไป
เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว
ดังแว่วมาแต่ไกล นี่ใครหนอใคร ฮึม
ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ
คิดถึงร่วมทางเคยเที่ยวด้วยกัน
ทุกคืนก่อนนั้นหนาวชื่นฉ่ำ
ทุกทีที่ไปฝังใจจดจำ ฮึม
ไม่ลืมคำที่ฝากกัน...
...............


สำหรับ..สาวนา
เมื่อย่างเข้าเขตหน้าหนาว
ที่ลมหนาวพัดกระหน่ำ
ระร่ำริน...ให้ดวงใจแสนรักแสนถวิลหวัง
ตั้งใจจะไปอยุธยา..เมืองเก่าขอเงราแต่ก่อน


เพื่อไปสัมผัส
ประเพณีทำขวัญข้าว 
พิธีสำคัญของชาวนา 

ประเพณีพื้นบ้าน
ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย 
อันผูกพันกับสายน้ำมาเนิ่นนาน


โดยในฤดูฝนเมื่อเสร็จ สิ้นการดำนา 
นับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จนถึงราว เดือนพฤศจิกายน
ที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง 
ที่ชาวบ้านร้านถิ่นริมชายชลจะจัด งานแข่งเรือกันขึ้น
เพื่อความสนุกสนานและการ สมัครสมานสามัคคีกัน


และ..
ทำพิธี ที่ยาม เมื่อต้นข้าว
แตกกองอกงาม..
จะทำพิธี " ขวัญข้าว " เพื่อเป็นการขอบคุณ
และ...
เอาใจแม่โพสพที่ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนนา 
ที่พอถึง...
เดือนอ้ายชาวนาจะลงแขกเกี่ยวข้าว
 แล้ว...เอาข้าวเข้าลาน 
ก็จะทำพิธี " รับขวัญเข้าลาน " 
เชิญพระแม่โพสพกลับเข้าเรือน 

จากนั้นก่อนนวดข้าวจะทำพิธี " ขวัญลาน " ให้เป็น
สิริมงคล ซึ่งก็คล้ายกับรับขวัญเข้าลานนั่นเอง...


ประเพณีทำขวัญข้าว 
เมื่อข้าวเริ่มตั้งท้อง 
ชาวนาจะเอาไม้ไผ่มาสานชะลอมแล้วนำ
ครื่องแต่งตัวของหญิง ...
เช่นแป้ง น้ำมันใส่ผม น้ำอบไทย หวี กระจก
ใส่ในชะลอมพร้อมด้วยขนมหวาน ๒ - ๓ อย่าง 
ส้มเขียวหวาน ส้มโอแกะกลีบ 


ปักเสาไม้ไผ่แล้วเอาชะลอมแขวนไว้ในนา 
เพื่อให้แม่พระโพสพแต่งตัวและเสวยสิ่งของนั้น 
จะได้ออกรวงได้ผลดี..
 
ทำพิธีลงยันต์เสกเป่า 
แล้วเอาตอกไม้ไผ่มาขัดไขว้เป็นรูปยันต์ ๕ มุม 
ปักไว้ที่ปากหม้อ เขาเรียกว่า "เฉลว


ลักษณะเฉลวแบบหนึ่ง
ที่ใช้ไม้ไผ่สาน
จักเป็นตอกเส้นบางๆ
สานตาเหลี่ยม..หรือตาชะลอมมัดไว้กับไม้ไผ่
ปักให้แน่นในแปลงดำนา...
 หมายถึงการปัดรังควานสิ่งชั่วร้าย

ที่...จะทำให้ข้าวไม่งอกงาม 
รวมทั้งเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เจ้าของนาเป็นศิริมงคล
ในการประกอบอาชีพเก่ากาล ..
สืบสานตำนานนาต่อไปอย่างไม่รู้สิ้นรู้จบ.........



และ..
หวังดวงใจสาวนา
ก็คงถูกรับขวัญ...
ให้..
พบพลังอิ่มหวานในลานใจเฉกเช่นกัน
ในทุกยามย่ำแห่งเหมันตฤดู


สาวนา..
ผู้เกิดมาคู่กับวัวควาย...
รักวิถีไร่นาวิถี*บุญข้าวประดับดิน*

ผู้มิยอมทิ้งถิ่น..ลืมทุ่งทอง ลืมรวงหอมข้าวใหม่
ที่...ยังมีดวงใจใสงาม 
จึง..เพียงเพียรหวังไปต่อตามเติมใจ
ให้ยิ่งไสวงามเกิดก่อพอกันกับกอรวงเรียว


ที่..
ยังมีหวังรอคมเคียวพลีเกี่ยวเก็บ
ทุกเมล็ดข้าวพราวหอมงามจากผืนดินถิ่นแหลมทอง
ที่คงกลับมาหล่อเลี้ยงท้องผองพี่น้องคนไทย 
ให้...
ยังไม่สิ้นเรี่ยวแรงด้วยแรงรักในรวงเรียวเรียวรวง

มิหวงหยาดเหงื่อ..ที่ยอมพลีมิรู้สิ้น
แม้นใคร...จะหยามหมิ่น ว่าแสนเหม็นสิ้นงาม
ก็ตามทีตามใจ
ด้วยแรงใจแรงรักมิมีวันจักให้รอยใจรอยไถจักแปร..


และ..
เพียรมิท้อแท้
ที่จะพยายาม...*รักษาพันธุ์ควายเจ้าเพื่อนยาก..*
ให้ฝากอุดม...ช่วยกันหว่านพรมผืนนาให้แปรสี
ดั่งมี..
พรมแพรทองแห่งท้องนามาผลิกล้า
บานประดับหล้าประดับดินประทังท้องประทังหิว
ให้ทุกกายชาวไทยมีกิน..มิอดตาย 


มิหมายทะเยอทะยาน 
มิหวังรานยาก...ไปฝากผีไข้ในราวเมืองเรืองรุ่ง 
ให้ยิ่งยุ่งยากยิ่งนัก 
หาก..
มิพบกับความสงบงาม
มิสมถะมิมีธรรมชาติ
ที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ใส


ที่จะค่อยๆหลอมละลาย..ซึมดวงใจให้พบเงียบงาม
ในทุกยามทอดสายตา 
ไม่ว่า..
จะบึงเหว่ว้าที่เห็นผักบุ้งทอดยอดเลื้อยช่อชูชัน
ฤาเห็น..
ปลาตะเพียนในยามสายวสันต์กระโดดผึง
เพื่อรอกินข้าวที่พึ่งร่วงพรูกรูลงน้ำนา
ยามข้าวกล้าสุกหลงเหลือจากเรียวจากเคียวคม..เกี่ยว..



สาวนา..พร้อมดวงใจมิเปลี่ยวเหงา
หากงามเงียบในยามนี้...
ยามที่...ยังมีอ้าย
มาชิดใกล้เคียงกาย..ทรุดร่างไร้ลงรึมบึงบัว
กับฟ้าสีชมพูเจือส้ม
กลืนด้วยสีเทาทึม
ที่..
กำลังคลี่ทอดทาบเงาสลัวๆลงมาโอบไล้ร่าง
ให้ยิ่งงามอย่างนางไม้ในแสงละมุน..ละมุน


สาวนา....เอนกายสยายผม..หอมกรุ่นพิงไหล่อ้าย
รับสายลมหนาว...ริมชายนาใต้ตาลเดี่ยว..
ปล่อย..
ให้เจ้าสายน้ำ*ควายเดียวในดวงใจ*
ได้เลาะเลียบเล็มหญ้า 
นอนเคี้ยวเอื้องอยู่ใกล้ๆ อย่างแสนสุขใจ..



อ้ายคนดีค่อยๆไหวร่างแข็งแรงกำยำ
เอื้อมมือออกไปเด็ดบัวบูชา
ที่...
ผลิดอกงามแย้มแต้มตระการไปทั่วทั้งบึงฝัน
แล้วนำมามัดรวบใส่ไว้ในใบบัว
เขียวสดไสว 
แล้ว..
รัดร้อยด้วยสร้อยสายบัว
มากำนัลให้ในอุ้งมือสาวนา
พร้อม..กับรอเวลาให้เราสองไปวางพลีถวาย
เป็นพุทธบูชาสัการะหน้าพระพักตร์พุทธ
ในค่ำคืนนี้ ..ในราตรีนี้



ที่มีจันทร์เสี้ยวเกรียวทองดั่งเรือธรรมเรือทอง
คอยท่าพา..ลัดเลี้ยวลอยล่องท่องทิพยรุ้ง
พุ่งไป..
สู่แดนดินแห่งฝันว่างกระจ่างงาม
ให้เพียรพาร่างท่ามเดือนครึ่งดวง
มิห่วงหาใคร 


มี..เพียงจิตไสวเป็นหนึ่งเดียว
ผสานเสี้ยวสมาธิกับความสงบงามเงียบ

เปรียบประดุจดั่งปัญญาพิสุทธิ์ใส
ที่จะนำพาพายใจพาจิต
สู่แดนนิรมิตใต้ร่มพระรัตนตรัย
ที่มีบึงใจบึ้งใจเราเพียงนั้น
รอรับเรือธรรม ยามพบฝั่งแห่งความฝัน
ที่จะกลายกลับเป็นจริง..


 เมื่อเรากล้าพอ..
ที่จะสละทิ้งทุกสรรพสิ่งจากเรือใจ
อย่างไม่ไยดี...และยึดมั่นถือมั่นไว้นาน 

มิ..ให้เรือพานพาล่ม จมใต้น้ำ 
ก่อนการได้ขึ้นถึงฝั่ง
อันคือเกษมสานต์..
ตราบชั่วกาลกัลปาวสานต์
ตราบชั่วนิจนิรันดร...มิย้อนวน
มาปนเปื้อนกับกิเลสโลกย์โศกสุขทุกข์รัก
ที่..
หนักดั่งศิลาอีกแต่ไป..ในภพภูมิกรรม


สาวนาหลับตาราวบริกรรมคาถา
ภาวนาสมาธิ
และ..
ในคลองจิตที่คิดดีแสนเงียบงาม
กลับราวได้ย้อนรำลึกนึกจินตนาไปถึง
ภาพจาก..
*พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน *
ที่..
สาวนาเคยหลั่งน้ำตาปิติเกษมยามได้พลีอ่าน
ผ่านดวงตาและดวงใจแสนใสงาม..


และ...
กับในยามนี้ราวกับ
ในจิตดวงอัญมณี..ได้พลีพบภาพในทิพยนิรมิต
อันมีเพียงจิตไสวเลื่อมประภัสสรเพียงนั้น 
จึงจะจับได้....


คล้ายดั่ง....
มีมุกมณี..
ที่พร่างพราวฉายฉันท์ดั่งฉัพพรรณรังสี
ที่กำลังโชติช่วงแตกช่อ..
ดั่ง...กอเพชรพราวพร่างไสวในรวงใจของสาวนา
ราวกับ...ภาพตรงหน้าได้พบประสบเอง..เช่นฉะนั้น...!!!
....................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html
หนาวลมที่เรณู ..โอภาส ทศพร 

เรณูนคร ถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง
ได้พบนวลนาง ดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง
น้องนุ่งซิ่นไหม ไว้ผมมวยสวยเพริด พริ้ง
พี่รักเจ้าแล้วแท้จริง 
สาวเวียงพิงค์แห่งแดนอิสาน
เราเคยสัมพันธ์ 
พรอดรักเมื่อคราวหน้าหนาว
คืนฟ้าสกาว เหน็บหนาวน้ำค้างหรือนั่น
เพราะได้เคียงน้อง
ถึงต้องหนาวตายไม่หวาดหวั่น
รุ่งรางต้องร้างไกลกัน
สุดหวั่นไหว ก่อนลา
ผ้าผวยร้อยผืน ไม่ชื่นเหมือนน้องอยู่ใกล้
ดูดอุร้อยไห ไม่คลายหนาวได้หรอกหนา
ห่างน้อง พี่ต้องหนาวหนักอุรา
คอยนับวันเวลา จะกลับมาอบไอรักเก่า
เย็นลมเหมันต์ ผ่านพ้นยิ่งพาสะท้อน
โธ่น้องบังอร ก่อนนั้นเคยคลอเคียงเจ้า
ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนม
ยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์
โอ้แม่สาว เรณู...

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา