1 ธันวาคม 2547 11:18 น.

ค่ำแล้วในฤดูหนาว!

สาวบ้านนา


urlhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=330
(ค่ำแล้วในฤดูหนาว)
***************************


เช้านี้ฟ้าหนาว
เศร้าเทาทึมไปทั่วท้องนภางค์แม้นจะสว่างแล้ว
ไร้ดาวเดือนเหมือนเช่นเคยทุกคืนค่ำ


ลมเย็นเริ่มพร่างพรู
ดอกแก้วคู่กระท่อมวิมานไพรวิมานดิน
ร่วงพราวให้สาวนากวาดเช้าเย็นเหมือนเช่นเคย

การะเวกเลิกให้ดอกพราว
เพราะไปริดกิ่งที่เลื้อยพันพาดไปทั่ว

เล็บมือนางก็เลิกกางฟ้อนวอนเว้าเฝ้ากวักรัก
มาทายทักหลายวันแล้ว


ในยามดึกยามน้ำค้างระริน
สาวนา...นอนถวิลรำลึกนึกถึงใครบางคน
บนกระท่อมเรือนจำปี

ที่ยังพอมีระรินหอมพรายให้คลายเศร้า..
ให้ใจดวงร้าวได้จำปีจำเดือน
เตือนถึงคืนวันที่ผันผ่าน

ที่หัวใจยังหอมพราวคราว
มีอ้ายเคลียคลอเคล้าลบหนาวใจ..หนาวเนื้อ
ให้อิงอ้อมใจอ้อมกอด
ได้พรอดรักได้รับไออุ่นจากเจ้าแก้วจอมขวัญยอดดวงใจ..


หากทว่าในวันนี้..เช้านี้..หนาวนี้
หอมหอมหอมในห้อมห้วงหัวใจสาวนา
เริ่มจางคลายหายไปกับกาลเวลา

ราวกลีบดอกไม้ที่รอเวลาราโรยร่วง
ตามแม่พวงพะยอมไพร
มาสอนสัจจะใจสัจจธรรม

ให้ดอกดวงใจเลิกถวิลหวังเริ่มนับถอยหลัง
รอเวลาลบเลือนลืม....โบกมือลา
กับวันเวลาแสนดี
ที่มีใครบางแสนรักมาให้ร้อยรัดพันผูกใจ
ที่ดวงใจอยากเพียงเก็บไว้ในความทรงจำรำลึก
ให้ยามนึกถึงมีเพียงสดฉ่ำงาม
*ดั่งดอกบานมิรู้โรย*...แบบรักไม่รู้ลา
ก่อนที่ฟ้าดิน..จะเรียกคืน
ไม่เป็นใจ..ไฉนเลย..อย่าให้ฝันไกล..อย่าให้ฝันลอย..



สาวนา
แว่วๆเพลงหวานหวานรานรานร้าวร้าว
ชื่อเศร้าเศร้าแสนไพเราะ
*ต้นรักดอกโศก*จากวิทยุทรานซิสเตอร์
เลย...
ฟังเศร้าๆ..ร้าวร้าว..รานราน..หวานหวานตามไป..ด้วยกัน

พอกับ
ใจดวงร้าวของสาวนาในยามนี้
ที่แสนสับสนปนหนาวเนื้อหนาวใน
หนาวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

กับหอมหวาน
ของดอกดวงใจ
กับดวงดอกปีบที่ชูช่อไสวรับลม
ที่บ้างก็พรายพรมหล่นลงบนผืนหญ้า
ที่ราวบีบหัวใจสาวนาให้ไหวครวญคะนึงหาไปตามบทเพลง



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=710
ต้นรักดอกโศก 
โอ้ ต้น รัก เอย
เสียแรงเคยถนอมไว้
ไม่เว้นเลยทุก เช้า ค่ำ
เฝ้าพรวนดิน รดน้ำ ให้
ไม่เห็นใจ
ว่าเรา นี้ รัก
รัก ควรหรือจักกลับกลาย
กลัวแมลงแฝงชม
กลัวแดดลม
จะกล้ำ จะ กราย
ระวังกลีบเจ้าช้ำ
เมื่อยามจะสาย
ระวังกลิ่นเจ้าจะหาย
เมื่อลมระเหย
รัก ปลูกเจ้าไว้
หวังใจว่าจะเชย
ไม่นึกเลยว่ารัก
เจ้าจักกลาย
พอผลิดอกออกช่อ สิ
กลับท้อไม่สมหมั่นหมาย
รัก ร้าย กลายออก
เป็นดอกโศก
กลิ่นกล้ำช้ำชอกอกสลาย
แสนเสียดาย
ต้นรักเจ้าเอ๋ย
ปลูกเอาไว้
หวังใจว่าจะเชย
ไม่นึกเลย
ว่ารักจะกลาย

รัก ควรหรือจักกลับกลาย
กลัวแมลงแฝงชม
กลัวแดดลม
จะกล้ำ จะ กลาย
ระวังกลีบเจ้าจะช้ำ
เมื่อยามจะสาย
ระวังกลิ่นเจ้าจะหาย
เมื่อลมระเหย
รัก ปลูกเจ้าไว้
หวังใจว่าจะเชย
ไม่นึกเลยว่ารัก
เจ้าจักกลาย
พอผลิดอกออกช่อ สิ
กลับท้อไม่สมหมั่นหมาย
รักร้ายกลายออก
เป็นดอกโศก
กลิ่นกล้ำช้ำชอกอกสลาย
แสนเสียดาย
ต้นรักเจ้าเอย
ปลูกเอาไว้
หวังใจว่าจะเชย
ไม่นึกเลย
ว่ารัก จะ กลาย...

*******



สาวนา...
จึงคิดขึ้นมาได้ถึงดงดอกรัก
รีบพาตัวเองไปทายทัก
เด็ดดวงดอกรักซ้อนสีม่วงพราวสีขาวบริสุทธิ์

ที่กำลังอ้อนสายลมหนาว
รีบเช็ดยางพราวเหนียวหนึบ
และนำมาเสียบใส่ในกระบอกไม้ไผ่ลายนวลนวลทองทอง
ไว้มองดูไว้สอนจิตเตือนใจ..
อย่าไหวครวญหวนหาพันธนารักรักให้ตอกสลักจิต...

เพราะรักอันคือทุกข์หนัก
หากอยากแบกไว้..ยิ่งกว่าหนักใดในหล้าโลก
โศกมิสิ้นเลยเชียว



สาวนา..
คิดว่าน่าจะก่อกองไฟสักกอง
ริมกระท่อมริมนาให้กายอุ่น
และ
ลงไปเก็บผักบุ้งมาสักกำมือ
มาไว้แกล้มน้ำพริกอีกตามเคย

สาวนา..
คิดได้อีกแล้ว..ว่า
สาวนา
น่าจะพายเรืออีแปะไปเก็บสายบัวจะดีกว่า
และ
อยากออกไปปลีกวิเวก
รับสายแสงพระอาทิตย์ยามเช้า

ที่หมุนมาทายทักท้องฟ้าในยามฤดูหนาวมาเยือน
เตือนย้ำให้หัวใจสาวนารำลึกนึกถึงบทเพลงอมตะ
*ค่ำแล้วในฤดูหนาว*



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=330
ค่ำแล้วในฤดูหนาว... ดนุพล แก้วกาญจน์ : : 

พอย่างเข้าเขต หน้าหนาว 
ลมหนาวก็โชย พัดกระหน่ำ
สายลมเอื่อยมา ในเวลาค่ำ ฮึม
ฉ่ำชื่นกว่าทุกวัน
น้ำค้างพร่างพรมลมเย็นรำเพย
หนาวโอ้อกเอ๋ย หนาวจนสั่น
เสียงเรไรร้อง ก้องสนั่น ฮึม
ทำให้ฉัน เป็นสุขใจ
เสียงเพลงค่ำแล้วๆ ๆ ดังแว่วมาแต่ไกล
นี่ใครหนอใคร ฮึม 
ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำ ๆ 
หนาวลมยิ่งทำให้ใจคนึง 
คิดถึงแต่รักที่หวานฉ่ำ
หารักอื่นใดไหนจะหวานล้ำ ฮึม
ฉ่ำเท่ารัก เราไม่มี
สวนลุมพินีถิ่นที่เคยไป 
เขาดินถิ่นไกลก่อนนี้เคยชื่น
เดี๋ยวนี้ผ่านไปเห็นแล้วขมขื่น ฮึม
ไม่ชวนชื่นเหมือนก่อนนั้น
นภาสะอาด ดูงามสดใส 
ฉันรักจับใจ สะอาดน่ะนั่น
หนาวลมเยือกเย็นนั้นทำให้สั่น ฮึม
จิตใจฉันเลื่อนลอยไป
เสียงเพลงค่ำแล้วๆ ๆ ดังแว่วมาแต่ไกล
นี่ใครหนอใคร ฮึม
ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ
คิดถึงร่วมทางเคยเที่ยวด้วยกัน 
ทุกคืนก่อนนั้นหนาวชื่นฉ่ำ 
ทุกทีที่ไปฝังใจจดจำ ฮึม
ไม่ลืมคำที่ฝากกัน

*******



สาวนาหัวใจละมุนมากเลย
ยามคิดถึงบทเพลงเก่าเก่านี้
ที่มักจะมีเนื้อหากินใจให้ไหวครวญ
ให้ประทับใจให้หัวใจไหวหวามเตลิด
ปลิดปลิวลิ่วโลดไปตามคำครวญคร่ำพิร่ำพิไรร่ำร้องนั่น



สาวนา..จึงมักไหวหวามไหวหวั่นตามและรีบ
คว้าผ้าคลุมไหล่ไพลเพลาะสีโศก
ที่อ้ายฝากไว้ให้สาวนาห่มหอมแทนกาย
ยามไร้ร่างอ้ายมาคลอให้ไออุ่นยามไกลห่าง



สาวนากระชับผ้าคลุมไหล่
ให้คลุมใจดวงดายเดียวอ้างว้างด้วย
ราวกับมีร่างอ้ายตามติดเหมือนวันเก่าก่อน
ที่เคยแอบชิด
พากันไปว่ายวนเที่ยวท่องราวขวัญเรียมในบึงบัว



สาวนา..หยุดคิด..
ก่อนที่
น้ำตาซึมซึ้งจะหยาดปร่าบ่าลงมาอย่างไม่สิ้นสาย

แล้วพยายาม
รำงับดับฝันดับใจดวงดายเดียวเหว่ว้าเปลี่ยวเหงา
งึมงำบทเพลงในดวงใจไปเบาๆจะดีกว่า
พร้อมกับจ้วงพายพาเรือไปตามลำประโดงอย่างช้าช้า



นัยน์ตาสาวนาเห็นทุ่งกว้างสุดสายตา
เห็นดงโสน..ไหวเอนเหว่ว้าริมบึงรัก
เห็นดอกผักบุ้งสีขาวทายทักใจ
เห็นหลังคนไวไว
ไม่ทันรู้ว่าใคร
กำลังทอดแหรอรับปลาตะเพียนเป็นอาหารมื้อเย็น



เห็นดงไม้ผลริมคลองยามล่องเรือพายผ่าน
เห็นหวานหอมของพวงชมพู่ที่ห้อยพวงพราวดกคู่ชายสวน
เห็นดงดอกลำดวนดาวเรืองและดวงดอกไม้พื้นบ้านหลากสี
มีชบาราตรีสีแดงเด่นริมเรือนไทยสองฟากฝั่ง

เห็นกระทั่งควันไฟ
ที่กำลังลอยพรูพร่างเป็นสาย
มาจากบานหน้าต่างกระท่อมในครัวไพร
ราวหมอกสีขาวพราวพราย..



และ
ไม่ช้านานสาวนา..ก็หยุดลอยลำเรือ
ลงเก็บบัวผันใบกลมดอกพราวเหลืองละมุน
ให้กรุ่นกลิ่นเกสร
มาหอมพรมห่มพร่างลงกลางกลีบใจในนาทีนั้น



นอกจากบัวผันที่ไม่ใช่บัวเผื่อนที่รสเฝื่อนขมแล้ว
สาวนาขอเก็บบัวตูมบัวบานหลากพันธุ์หลากสีสันไว้กำใหญ่
ที่หวังนำมาฝึกพร้อมพลีจิตพลีใจ
ดวงใสดวงงามดวงดี
ยามก้มกรานกราบถวายต่อเบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธผู้บริสุทธิ์คุณ
ในยามค่ำคืนแห่งฤดูหนาวอันยาวนานนี้..



และ
สาวนาตั้งใจไว้ว่าจะชวนเพื่อนเพื่อนมาอิงไฟริมกองฟาง
แล้วร้องเพลงต่างต่างนานา
ฝากไปกับฟากฟ้ากว้างสายลมหนาวดาวบนฟ้า
อาจจะมีเพลง*ร้องไห้กับเดือน*ที่แสนเชือดเฉือนใจ

ให้คละเคล้าทิวไผ่ลำประโดง
สายลมโปรยไพรสายลมไหวรำเพยไปเผยใจ
ไปปลอบประโลมใจผู้เป็นที่รัก
ที่มีใจดวงเหว่ว้าอ้างว้างในทุกถิ่นที่

ที่จำใจจำพรากลาจากบ้านดินถิ่นเกิดถิ่นนาจำ
ลาแม่พ่อลูกเมียไปเผชิญโชค..ลำพัง..
อย่างมิสินหวังสิ้นหวานสิ้นรับผิดชอบ
คิดประกอบเพียงอาชีพซื่อสัตย์สุจริต..

ใช้นำพักน้ำแรงเข้าแลกอันแสนน่าภาคภูมิใจ
แบบหัวใจชายชาติไพรชายชาติไทยใจเกินร้อย

ที่มิคอยเป็นภาระเบียดเบียนสังคมและทำสิ่งผิดกฎหมาย
เพราะใจบอดใบ้บ้าวัตถุไร้คุณธรรม..
อย่างบางคนที่กำลังทำผิด..หลงผิด



และ
หากเป็นไปได้สาวนาอยากร้องเพลง
ฝากให้ด้วยดวงใจพิสุทธิ์ใส
ให้แทนไออุ่นมอบให้เด็กน้อยน้อยทั้งโลก
ที่กำลังนอนเหน็บหนาวไร้ผ้าห่มคลุม
และ
กลุ่มเพื่อนๆสาวนาคิดว่า
จะพยายามหาเสื้อหนาวไปบริจาคไม่ช้านานนี้
ก่อนปีใหม่จะยิ่งดี..ก่อนที่หนาวจะคลาย..



สาวนา
มองดูฟ้า..ดูน้ำงาม..
ราวแก้วในยามต้องแสงสายพรายอาทิตย์กระทบ

แล้ว
สาวนาค่อยค่อยเอนทบร่างเหนื่อยล้า
ระนาบไปกับกราบเรือ....
เนื้อนอกสาวนาคลายหนาวแล้วด้วยดวงดอกแดดที่ให้ไออุ่น
และด้วยสไบนวลสไบรัก..แนบละมุนร่างนวลนุ่มนี้



แต่ไยเล่า
จิตภายใน
บางครา
ที่สาวนาเพียรพยายามรำงับดับคิดถึงอ้าย
ดวงหนาวเหน็บเหน็บหนาว
ถึงยังหนาวแสนหนาว

ถึงราวระรินน้ำตาอยู่นะภายใน
เมื่อมองเห็น..

ขอบฟ้ากว้างไกล
ที่ราวแยกร่างแสนรักให้จำห่างตา
แม้นจะเพียรพยายามลบเหว่ว้า
ตามคำอ้ายปลอบ
ให้จิตดวงดีดวงใสคิดให้ได้ว่า

ถึงอย่างไรนั้น
ระหว่าเงรา
เพียงขอแค่ให้พลังปาฎิหารย์รักมหัศจรรย์รัก
จักกระซิบคำไปบอกแก่กันว่า



*หากมีจิตใสหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงดั่งคำมั่นสัญญา*

ฟ้ากี่ฟ้า..ที่ว่ากว้างกว่ากว้าง..ไกลกว่าไกล
ห่างกันสักแค่ไหน
ก็หาจักทานแรงรักแรงคิดถึงคะนึงได้ไม่..
ใช่ไหมเล่าเจ้ายอดดวงหฤทัย

และ
ฟ้าไหนฟ้านั่นฟ้าฝันก็จักแคบลง
ให้ดวงใจรักอันแสนสัตย์ซื่อถือตรงคงมั่นนั้น
จักดำรงอยู่
ราวหลอมรวมราวกลายเป็นหนึ่งเดียวกันตราบชั่วนิจนิรันดร...



และจัก
เสมือนเรือลำน้อย..
ลอยไปในกระแสธารโลกธารโศกสุข

ดั่งเรือมนุษย์เรือชีวิต
ที่นะวันนี้ที่รวมชีวิตรอลงลำเดียวกัน

ที่จักจะค่อยๆพากันประคับประคองพายพาไป
ด้วยจิตธรรมจิตทอง
ลอยล่องคู่กันไปอย่างมีจุดหมาย

เพื่อข้ามสายมหานทีสีทันดร
สู่ฝั่งฝันอันคือ..ความว่าง งามเงียบสงบ..
จบ..ด้วยความรำงับรู้ดับรักรัดร้อย
ดั่งสร้อยโซ่พันธนาที่มาให้ชดใช้มิรู้สิ้นมิรู้จบ
ทบทวีกรรมไปอีกไม่รู้กี่ภพชาติ
หากยังสวาทหมาย
มิคลายเกรียวเสน่หาพามืดบอดหลงใหล
แบบรักไม่เป็นไม่เย็นไม่เห็นงามแง่คิด



สาวนา..
จึงหวังเพียงลิขิตจิตให้เพียรเพียงพบ
จบจริงๆด้วยพลังแห่งจิตปิติปัจจุบันเกษมด้วยดวงจิตใสจิตงาม
ที่ฝึกไว้อย่างดีราวแก้วมณี

รอเวลาที่จะก้าวลงเรือสำเภาธรรมสำเภาทอง
ด้วยดวงดอกจิตนั้น
อันงามผ่องงามใสงามพร่างดั่งอัญมณีไพรดวงจำรัส



ให้ไร้ร่างไร้ร้างสิ้นสุข..ทุกข์อีกต่อไป....
ดั่งคำมั่นสัญญาของใครบางคน
ที่รักสาวนาแบบยิ่งใหญ่
เหนือโลกย์เหนือโศกสุขเหนือทุกข์ 
จักไม่ทิ้งทอดถอดใจให้สาวนาไปไม่ถึงไหนไม่ถึงฝั่ง
และให้พลังใจให้สาวนาพลันรีบเพียรด้วยตนเองด้วย



และยินดีที่จะเคียงครองพาสาวนาไป
ในแดนดินแห่งว่ายเวิ้งฝันนิรันดร์รัก
อันจักได้พักพบและหวังจักจบแบบ
ไม่..ไม่มี...ว่ายวน วนว่ายวัฎฎะ
อีกเลยแล้วนะแก้วตานะจอมใจ..ของสาวนา..

				
23 พฤศจิกายน 2547 08:28 น.

สาวนาคว้าไมค์

สาวบ้านนา


URLhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4913
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=518
*************



ใกล้วันเพ็ญเข้ามาทุกขณะแล้ว
สาวนา  นอนไม่หลับเลย
คิดถึงงานลอยกระทง

ที่แว่วๆ
เพลงลอยๆกระทงมามาตามลำน้ำ ลำประโดง
อย่างครึกครื้นรื่นเริง..น่าสนุกเป็นที่สุด

นานๆจะมีเสียงพลุ 
และประกายสีสันจากดอกไม้ไฟพรูพร่างท่ามกลางฟ้ามืด.....

สาวนาจุดเทียน..ระริบหรี่
และวางไว้ในโคมไม้ไผ่..รายรอบกระท่อมใบไม้


ดงดอกทองกวาวกำลังรอเวลาผลิดอก
ทิวไม้งามรายล้อม..แลดูตะคุ่ม 
เสียงไผ่นาเสียดสีพ้อพร่างท่ามกลางลมหนาว
ดาวประจำเมืองและจันทร์เสี้ยวดวงเศร้า
โผล่พ้นดงไม้ ดูราวกับ 
กำลังกระพริบพราวปลุกปลอบประโลมใจสาวนา
รอเวลารับงามในคืนวันเพ็ญเด่นดวงจรัส
ในอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้านี้แล้ว



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=518
รำวงลอยกระทง 
วันเพ็ญเดือนสิบสอง
น้ำนองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิงสนุกกันจริง
วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง
ลอยกระทงกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง
รำวงวันลอยกระทง
รำวงวันลอยกระทง
บุญจะส่งให้เราสุขใจ
บุญจะส่งให้เราสุขใจ
วันเพ็ญเดือนสิบสอง
น้ำนองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิงสนุกกันจริง
วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง
ลอยกระทงกันแล้ว
ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง
รำวงวันลอยกระทง
รำวงวันลอยกระทง
บุญจะส่งให้เราสุขใจ
บุญจะส่งให้เราสุขใจ...
*********



ที่ปีนี้ทางวัดเตรียมจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม
หลวงพ่อบอกว่าเผื่อจะปลอบประโลมใจทุกคน
ที่ทนทุกข์ยากได้บ้าง
ที่สู้ฝากหยาดเหงื่อ สู้นามาทั้งปี 
แถมโชคไม่ดี นามาแล้งราวแกล้งซ้ำเติมเสียอีก


แต่เอาเถอะนะ...
หลวงพ่อ ว่า
* คนเรา
ต้องอย่ายอมแพ้พ่าย
ล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่ สู้ไม่ถอย
อย่ามัวแต่น้อยใจรอคอยโชคชะตาฟ้าดิน*
เพราะ
*แม้แต่นายกคนดี ยังส่งใจมาเคียงข้าง
ให้เงินมาแก้ปัญหาเรื่องน้ำ
แบบไม่ต้องรอของบประมาณให้ยุ่งยาก
มากเรื่องมากขั้นตอน ที่จะไม่ทันการณ์
และ
ไหนยัง จะพยายามทำฝนเทียม ให้อย่างทั่วถึง
นี่แหละคือฟ้า..ไม่ทิ้งดินจริงๆ*


สาวนา..ตื่นมาพร้อมไก่ขันเอ๊กอีเอ๊กๆ
นอนหลับตานิ่งๆ..
สักพักเห็นจันทร์ค่อนดวงยังแขวนฟ้าอยู่เลย
คิดคิดบางที่ก็น่าขำและแปลกดี

ที่อะไรๆในโลกนี้เปลี่ยนไป
แต่สาวนายังใช้เสียงไก่ขันกับเสียงนกเป็นเสียงนาฬิกาปลุก
ในทุกเช้าเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย..


สาวนา..ลงไปเก็บไข่ในเล้า ที่ยังสบายดี ไม่มีหวัดนก
ใส่ตะกร้าที่รองด้วยฟางข้าวไว้จนล้นพูน
ไข่ไก่สีนวลนวลกลมกลมใบเล็กๆสดสด
ที่สาวนาไม่เคยต้องไปซื้อหามาบำรุง
เพราะว่ามีไก่ออกไข่ให้กินทุกวัน
จนต้องปันแบ่งไปให้บ้านลุงใหญ่กับพี่ทองเสมอๆ


ฟ้าสว่างรำไรแล้ว
พร้อมทำกิจวัตรประจำวัน
สาวนาก็จะเริ่มซ้อมร้องเพลงในยามย่ำรุ่ง
ยามลงทุ่งลงนา


ยามที่แดดสีทองเริ่มค่อยๆทอทอด
ลอดส่องผ่านม่านเมฆม่านหมอกหยอกดงไผ่ตำลึงริมรั้ว
พ้อล้อละออหยาดน้ำค้างกลางเรียวรวงระยับระย้าย้อย
ที่กำลังห้อยคลอเคลียดินราวหยาดน้ำเพชร


รอร่วงพรมห่มพร่างลงกลางพื้นพสุธานาทอง
สาวนา..
จะค่อยๆเพิ่มสปีดเสียงไปตามอารมณ์เพลง
ให้ดังขึ้น ดังขึ้น 
ราวจะตรึงพาปลุกทุกสรรพสิ่ง
ให้หันมาหยุดนิ่งฟังสาวนาร้องเพลง

ให้มนต์เพลงรักลูกทุ่ง บรรเลงกล่อมแมกไม้ สายน้ำ
ลำประโดง รวงเรียวพราวให้ยักย้ายส่ายระบำตามไปด้วย


สาวนา จะใช้ไม้ไผ่บ้องกลมขนาดกำลังดี
หรือไม่ก็ไม้กวาดลานบ้านคว้ามาเป็นไมค์

แล้วก็เริ่มประโคม
เติมต่อพ้อมนต์เพลงฝัน
ด้วยเสียงทรงพลังเสน่ห์แหบห้าว
เลียนแบบสาวนักร้องลูกทุ่งในดวงใจ
*จินตหรา พูลลาภ*
ที่มีลูกคอ คลอคลึงขลุกขลิกกระดุ๊กกระดิ๊กน่ารักน่าชัง
ตามอย่างเพลงแบบอิสานขนานแท้
พลางส่ายสะโพกโยกซ้ายย้ายขวาตามแบบเธอ..


หากเพลงที่สาวนานำมาหัดร้องไปเต้นไปในวันนี้
กลับเป็นเพลง

*ทาแป้งรอ.ศิรินทรา นิยากร *

http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4913

หรีดหริ่งเรไร
กล่อมพฤกษ์ไพรกล่อมใจชาวทุ่ง
เสียงกริ่งกริ๋งกรุ๋ง ที่คอควาย
บอกความหมายบ้านนา
กลิ่นแก้มชาวไพร
ไม่หอมไกล อย่างสาวเมืองฟ้า
การพูดการจา ก็ข้าแก
เพราะธาตุแท้ของเรา
ใครจะมาเป็นแฟน
ต้องให้เห็น
เกี่ยวข้าวเป็น หรือเปล่า
ใครจะมาเป็นแฟนชาวบ้านนา
เกลียดปลาร้า หรือเปล่า
น้องเกลียดคนเมา กับเจ้าชู้
เกลียดผู้ชาย หลายใจ
ถ้าอยากดูตัว
เปิดหลังครัว เข้าจอง กันได้
พร้อมจะเปิดใจ ให้เข้ามา
น้องจะทา แป้งรอ

หรีดหริ่งเรไร
กล่อมพฤกษ์ไพรกล่อมใจชาวทุ่ง
เสียงกริ่งกริ๋งกรุ๋ง ที่คอควาย
บอกความหมายบ้านนา
กลิ่นแก้มชาวไพร
ไม่หอมไกล อย่างสาวเมืองฟ้า
การพูดการจา ก็ข้าแก
เพราะธาตุแท้ของเรา
ใครจะมาเป็นแฟน
ต้องให้เห็น
เกี่ยวข้าวเป็น หรือเปล่า
ใครจะมาเป็นแฟนชาวบ้านนา
เกลียดปลาร้า หรือเปล่า
น้องเกลียดคนเมา กับเจ้าชู้
เกลียดผู้ชาย หลายใจ
ถ้าอยากดูตัว
เปิดหลังครัว เข้าจอง กันได้
พร้อมจะเปิดใจ ให้เข้ามา
น้องจะทา แป้งรอ...

***********

สาวนา..รู้สึกดีมาก 
กับอิสระเสรี 
ที่ได้เปล่งเสียงออกมาระบายรักระบายใจ

บางเพลงร้องไปอยากสะอื้นไป
เพราะอินกับเนื้อหาที่ดิบโดนใจเหลือทน
จนพาลน้ำตาจะรินร่วงห่วงหาอ้าย


ที่พาให้ใจเศร้าราน
ไปตามเสียงดนตรี
จากธรรมชาติไพรในท้องทุ่งนา
ที่พากันร้องขับขานหวานรับระงมพรมพราย
มี 
เสียงกบเขียด 
และหรีดหริ่งเรไร ในยามพลบค่ำ
และ
ในยามเช้าตรู่..
ที่ สายลมหนาวพรูพลิ้วผ่านมา
พัดพากลิ่นทุ่งอันละมุนหอมหลอมละลายละลนใจ
ให้รวงเรียวเอนพลิ้วหวิวไป
เป็นระลอกคลื่นเขียวไพลเขียวตอง
เขียวส่องเขียวสดที่ช่างแสนงดงามใจเป็นที่สุดแล้ว


ในทุกยามที่สาวนาร้องเพลงขับกล่อมประสานประสม
ไปกับสายลมพรมหอมแห่งท้องทุ่งในอรุณ..เรือง..อรุณเลือน..

ที่เสมือนโลกทิพย์ฟ้าขลิบทอง 
ให้ตื่นนอนมารับไอฉ่ำ
อันหวานเย็นสดชื่นจากอวลอากาศ
ที่ไม่ต้องระแวดระวังมลพิษ



สองสามคืนมานี้ 
สาวนารู้สึกมีชีวิตชีวามาก
บางค่ำคืน....
พี่ทองจะก่อกองฟืนจุดไฟใกล้ลอมฟาง
เอาเสื่อไปปูเอนนอน
แล้วพากันช้อนตา
ดูเดือนเสี้ยวราวเคียวทองเกี่ยวกิ่งฟ้า
ดูดวงดารา มากระพริบล้อพ้อเพลงหวานผ่านม่านเมฆ
แล้ว
หมกมันเทศ กินกัน 
บางคืนก็ทำข้าวหลามหอมๆกันเดี๋ยวนั้น
ให้หวานมันส์อร่อย
แกล้มกินกันกับ การหัดซ้อมเพลงดึกๆยามหิวกิ่วท้อง
ที่ครึกครึ้นมารวมตัวกันหลายคน



คืนนี้..
พี่ทองเริ่มร่ายมนต์ขยับนิ้วพลิ้วไหวไล่เสียงขลุ่ย
ด้วยเพลง-เดือนเพ็ญ 
อันเป็นเพลงแสนรักแสนอมตะ..ในดวงใจชาวทุ่งชาวไทย



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=367
เดือนเพ็ญ คาราบาว 

เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม
นภาแจ่มนวลดูงาม เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา
แสงจันทร์นวล ชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา
คิดถึงท้องนา บ้านเรือนที่เคยเนาว์

กองไฟ สุมควายตามคอก
คงยังไม่มอดดับดอก จันทร์เอยช่วยบอก
ให้ลมช่วยเป่า
สุมไฟให้แรงเข้า พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรา นอนหลับอุ่นสบาย

เรไร ร้องดังฟังว่า
เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา
ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย
ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย
ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย
คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน
ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้
นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป
บอกเขานั้นหนา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย

เรไร ร้องดังฟังว่า
เสียงที่เจ้าพร่ำครวญหา
ลมเอยช่วยพา กระซิบข้างกาย
ข้ายังคอย อยู่ไม่หน่าย
ไม่เลือนห่างจากเคลื่อนคลาย
คิดถึงไม่วาย เมื่อเราจากกัน
ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้
นำรักจากห้วงดวงใจ ของข้านี้ไป
บอกเขานั้นหนา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้า กับอกแม่เอย...
************



ใจสาวนา..
แสนมีความสงบสุขเหลือเกิน...
เป็นดึกดื่นใกล้คืนเพ็ญ....
ที่จันทร์ค่อนดวง..ลอยเด่น ลอยงาม
ประดับบนฟากฟ้า..
สลับกับดวงดาราระยิบกระพริบพราวพราย.....

เสียงหรีดหริ่งเรไรระงม..... 
พรมพร่างด้วยน้ำค้างกลางหาว...... 

บทเพลงป่าขับกล่อม
มากับหวานแว่วของหยาดน้ำค้างระริน
กับกลิ่นข้าวใหม่ในนา
ที่ต่างพากันชูช่อล้อสายแสงจันทร์
รอคืนเพ็ญเช่นเดียวกันกับสาวนา


บางคราสาวนาได้ยินเสียงนกแปลกๆร้องขับขาน
เสียงนกคุ่ม นกกระทา 
แต่หามีเสียงโฮกๆให้วิ่งหนีนาป่าราบไม่

สาวนา ตั้งใจว่าจะพยายามร้องเพลง
ให้หวานแสนหวานแข่งกับเสียงจิ้งหรีด
หากแม้นยังไม่ได้ดื่มหยาดน้ำค้างก็ช่างเหอะ


เพราะพี่ทองบอกว่า
คืนวันงานนั้น 
ให้สาวนา หาดอกไม้ทัดแก้มแซมผม
และแต่งตัวให้สวยสมด้วยเอกลักษณ์ไทย
ด้วยสไบไพลสไบแพรสีตอง
ที่จะขับผิวผ่องเนียน
ให้ยิ่งผ่องไพลพิลาสพิไล
สวยแบบบาดใจแบบสาวนาสาวไพร
ก่อนขึ้นคว้าไมค์ครวญมนต์เพลงรักลุกทุ่งให้จรุงหูแจ่มจรัสใจ


เผื่อจะมีหนุ่มเมืองกรุงหลงทุ่งมาเที่ยวบ้าง 

ซึ่ง..จริงๆ
สาวนาหาได้ไยดีไม่
เพราะหัวใจสาวนา แค่อยากทำสิ่งที่รักที่ชอบ

ได้ร้องเพลงหวานหวาน
ฝากกระซิบผ่านฟากฟ้ากว้าง..ขุนเขา..
ในเงาฝนเงาฝัน 
ฝากสายลมพลันพัดพร่างไปประโลมร่างอ้าย
ให้หนาวคลายให้เลิกดายเดียวก็พอแล้ว...



เพราะอ้ายรู้ดี
คืนวันลอยกระทงอย่างนี้ 
คือคืนที่*สาวนาและอ้ายได้พบรัก*
คืนที่..
อ้ายเคยร้องเพลงรักแล้ว..แอบอ้อน
วอนสาวนาด้วยน้ำเสียงรานร้าว
ยามเข้าไต้เข้าไฟบนเวทีวัด

ในเพลงที่ชื่อว่า..*รักนี้มีกรรม*



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=5448
รักนี้มีกรรม สันติ ดวงสว่าง : : Key Abm 
เกิด มา ชาตินี้
มีบาป กรรม
แสนจะเจ็บช้ำ
ในหัว ใจให้ หม่นหมอง
สิ่งที่หวัง พังทลาย
สิ่งที่หมาย ไม่สมปอง
แสนเศร้าหมอง ในหัว ใจ
โอ้ สอง เรานี้ มีแต่ ช้ำ
น้อง ร้อง ครวญคร่ำ
พาให้พี่ใจ หาย
จำจากกันแล้ว แก้วตา
จำจากลาแล้ว แก้วใจ
ต้องจากไกล ไปจากกัน
เรา รัก กันไม่ได้
รัก กันไม่ได้
เพราะถูก ผู้ใหญ่กีด กัน
เก็บความช้ำ ไว้ในใจ
เหมือนว่าเรา ตายจากกัน
คิดว่าฝัน พลันอับปราง
เกิด ใหม่ ชาติหน้า ถ้ามี
ขอ สอง เรานี้
อย่ามี ใครกีดขวาง
สิ้นหวังน้อง นองน้ำตา
ไว้ชาติหน้า เถิดน้องนาง
จะสร้างทางรัก ของ เรา

เรา รัก กันไม่ได้
รัก กันไม่ได้
เพราะถูก ผู้ใหญ่กีด กัน
เก็บความช้ำ ไว้ในใจ
เหมือนว่าเรา ตายจากกัน
คิดว่าฝัน พลันอับปราง
เกิด ใหม่ ชาติหน้า ถ้ามี
ขอ สอง เรานี้
อย่ามี ใครกีดขวาง
สิ้นหวังน้อง นองน้ำตา
ไว้ชาติหน้า เถิดน้องนาง
จะสร้างทางรัก ของ เรา...



และ
ด้วยน้ำเสียงอันโหยไห้ของอ้ายในคืนนั้นแน่เชียว
ที่ได้มัดเกี่ยวดวงใจสาวนา
ราวข้าวกล้าถูกมัดฟ่อนด้วยฟอนไฟแห่งรักภักดี
ที่แสนจริงใจหนักแน่นมั่งคง
จากดวงใจอ้ายคนมั่นคงคนดี
ที่มีน้ำใจใสซื่อยึดถือรักภักดิ์พลี
แบบคนโบราณ



ที่จะมั่นใจในรักจริงเพียงหญิงเดียว
อย่างคำมั่นสัญญา
อันแสนมีค่าแสนศักดิ์สิทธิ์ที่ช่างแสนหายากเย็น
ในโลกอลวนคนมากมายมากมีแบบโลกในปัจจุบันสมัยนี้
ที่หมุนเร็วจี๋เปรี้ยวจิ๊ดในทุกลีลาชีวาชีวิต 
ที่สาวนาคนโง่ซื่อตามไม่ทันเลยจริงๆ



หลังจากคืนนั้น 
ที่สาวนาได้พากันไปลอยกระทงหน้าวัด
และ
อ้ายยังบอกให้สาวนาตั้งใจฟังชัดๆ
ยามที่ได้ยินใครบางคนกำลังครวญคร่ำบทเพลง
*จูบไม่หวาน*ว่า
อย่าให้สาวนาใจดำทำกับอ้าย
แบบบทเพลงฝากพ้อเพ้อเลยนะ


และให้..ราตรีและแม่พระคงคา
จงมารับรู้เป็นพยานรักแห่งสองดวงวิญญาณ์

ที่จะอธิษฐานร่วมใจต่อหน้าสายน้ำ
ที่ยิ่งใหญ่ในดวงใจไทยทุกดวงเสมอมา
คำที่ว่าให้รักกันตลอดไปเหมือนสายน้ำ
ที่ไม่เคยขาดจากชีวิตจิตวิญญาณคนไทยมานานเนาเช่นกัน

ได้แบ่งฝันปันใจ 
ได้เลี้ยงชีวิตผู้คนและพืชพรรณ
หล่อเลี้ยงอู่ข้าวมายาวยืน
ให้ทุกดวงใจได้มีกินมีชีวิตชื่นเลี้ยงชีวิตชอบ


ได้ฝากฝันฝากพลังรัก
พลังศรัทธาใจไทยทั้งชาติ
และ
ได้แสดงความกตัญญูชื่นชมยินดี
ที่ทุกดวงใจรู้สึกดีและมีความพันผูกต่อสายน้ำ
มายาวนานนัก
ที่ได้พี่งพิงพึ่งพา
ฝากชีวิตชีวาไทยโบราณไว้ริมฝั่งมหานที


และแทบทุกเรื่องราว
ในชีวีนี้ก็หนีไม่พ้นได้มาจากสายน้ำ 
ไม่ว่าอาหาร การสื่อสารเส้นทาง
และแม้กระทั่งความรัก
ที่มักมากับประเพณีเทศกาลจากลำน้ำ...

ที่เชื่อกันมาแต่โบราณนานมาว่า..
แม่น้ำลำคลองทุกสาย
จะไหลรวมกันไปยังนัมทามหานที..
ที่ไหลผ่านไปยังพระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์


ดังนั้น การลอยกระทง
จึงเป็น
ดั่งการสักการะต่อองค์พระธาตุบนสรวงสวรรค์
และเชื่อว่าจะเป็นการลอยทุกข์โศกโรคภัย 
ความเคราะห์ร้ายทั้งปวงออกไปจากชีวิตได้


สาวนาคงเพียรเฝ้า
ขออธิษฐานบานบนต่อแม่พระคงคา
ให้บุหลันกลางฟ้าและดวงดารา..รับรู้รักนี้
ที่หนักแน่นมั่นคงซื่อตรงคงมั่น เป็นดั่งสักขีพยานใจ..
แม้นในวันนี้วันนั้นนั้น
ดวงชีวันชีวินจะปราศจากอ้าย
มาคอยคู่เคียงประคอง
ค่อยๆลอยกระทงไปด้วยกัน


สาวนาก็ ..คิดว่าหาใช่เรื่องสำคัญไม่
หากจิตใสสองดวงนั้น
ดั่งหลอมละลายเป็นดวงเดียวกันแล้ว
และจะเป็นเช่นนี้ไปตราบชั่วนิจนิรันดร!

***********************





http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=932
กระทงหลงทาง ไชยยา มิตรชัย : : Key C NS
เป็นลาง สังหรณ์
เมื่อตอน วันลอย กระทง
สายน้ำไหลเชี่ยว ไหลส่ง
กระทงสองเรา แยกทาง
กระทงเจ้านั้น
ล่องไปเหมือนใจมุ่งหวัง
กระทงของพี่ หลงทาง
ลอยขวางหาทาง ไม่เจอ
ตั้งแต่วันนั้น พี่ก็กังวลไม่หาย
เฝ้าคิดกลุ่มใน หัวใจ
กลัวใครเข้ามา แย่งเธอ
กลัวพี่กลับน้อง แยกทางหากันไม่เจอ
กลัวใครเข้ามา พรากเธอ
เหมือนดังกระทง หลงทาง
ล้างร้ายวันลอยกระทง
บอกเรื่องราวโดยตรง
ว่าความรักเรา อัปปราง
เจ้าเปลี่ยนหัวใจ มีใหม่สมใจมุ่งหวัง
พี่เหมือนกระทง หลงทาง
อ้างว้างหัวใจลอยวน
เพ็ญเดือนสิบสอง พี่ล่องกระทงเดียวดาย
ปีนี้ไม่มีหวานใจ
เคียงกายเหมือนใครหลายคน
กระทงอ้างว้าง ล่องไปกับสายน้ำวน
เปลี่ยนความรักที่ มืดมนต์
หาคนร่วมทางไม่มี

เพ็ญเดือนสิบสอง พี่ล่องกระทงเดียวดาย
ปีนี้ไม่มีหวานใจ
เคียงกายเหมือนใครหลายคน
กระทงอ้างว้าง ล่องไปกับสายน้ำวน
เปลี่ยนความรักที่ มืดมนต์
หาคนร่วมทางไม่มี...



***********


เพลงประกอบใจประกอบไมค์สาวนาจ๊ะ

http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=518=ลอยกระทง
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4913=ทาแป้งรอ
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=5448=รักนี้มีกรรม
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4688=สาวนาสั่งแฟน



				
18 พฤศจิกายน 2547 11:01 น.

ฤดีทองฤดูทุ่ง

สาวบ้านนา


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4721
(ข้าวคอยเคียว)

*******************************

มนต์รักข้าวรอเคียว..ลำน้ำน่าน 


พอสิ้นสายสร้อยฝนพรมทุ่งท่า
ลมเหมันต์เร่ฟ้ามาอีกหน
ห่มท้องทุ่งสีทองของคนจน
เจิมตำบลข้าวนาก่อนลารวง

แล้วเพลงเกี่ยวป่าวร้องจึงก้องไป
สู่ทิวตึกศิวิไลซ์ในเมืองหลวง
บอกข่าวนาไม้ดอกออกพุ่มพวง
ว่าตะแบกหม่นม่วงจะร่วงลา

เรียกหนุ่มสาวชาวทุ่งมุ่งกลับถิ่น
สู่แผ่นดินเถียงน้อยคล้อยพรรษา
คืนมาเกี่ยวรวงทองของท้องนา
คืนมาสู่วิญญาญ์ชาวป่าพฤกษ์

สู่วิมานฟางข้าวเมื่อหนาวเยือน
ฟังพ่อแม่สอนเตือนจนเดือนดึก
ตราบน้ำค้างหยดยวงในห้วงนึก
ร่วมรำลึกเพลงเกี้ยวเกี่ยวอุรา

แหล่ะเมื่อคลายวังเวงบทเพลงไพร
สิ้นเสียงหริ่งเรไรใกล้อุษา
กล่อมอรุณด้วยโนรีสาริกา
ยามฝั่งฟ้าแสงทองเรืองรองรับ

แม่ดอกกระถินริมรั้วทั่วท้องทุ่ง
บานจรุงอีกคราวเกร็ดหนาวจับ
ไกลออกไปโพ้นคุ้งรุ่งระยับ
ปวงไก่ป่าแซ่ศัพท์เสียงลับลอย

ข้าวอ่อนโยนโอนช่อพ้อหมอกหนาว
ระบัดโศกทิ้งเศร้าร้าวร่วงผล็อย
โน้มรวงรอคล้องเกี่ยวคมเคียวคอย
จากมือน้อยสาวบ้านนามิช้านาน

สิ้นเพลงข้าวอกหนุ่มก็รุ่มร้อน
เมื่อกระโดนแดงดอนซ้อนสีหวาน
บานสาดทุ่งหนุ่มคอยรอยกันดาร
จะลาลานลิ่วลับไปกับลม

ดอกโสนเริ่มแย้มแต้มมนต์รัก
พยานภักดิ์สองใจได้สุขสม
เพลงสงฟางกลางนายังน่าชม
เคียวลับคมเหน็บฝาสัญญาไว้

นี่ก็หนาวอีกแล้วแก้วกานดา
เสียงนกร้องปร่าปร่าว่าหวั่นไหว
น้ำในคลองแห้งเหือดเดือดเป็นไอ
ราวหัวใจพี่แห้งแล้งหน้านาง

ข้าวรอยุ้งของน้องก็อ้อนโหย
กลัวร่วงโรยไร้ใครเกี่ยวใส่ฉาง
จะเรี่ยราดหล่นดินสิ้นหนทาง
หากไร้คู่เคียงข้างช่วยงานนา

ช่อรวงทองเหลืองสุกทุกท้องทุ่ง
เถิดหมายมุ่งคืนถิ่นทิ้งยศฐา
พี่ลับเคียวคมแวววับกับน้ำตา
รอสาวนาคืนมาเกี้ยวเกี่ยวรวงโอน

***********



ฤดีทองฤดูทุ่ง..ลำน้ำน่าน(สาวนาตั้งชื่อให้จ๊ะ)

กลับมาเถิดมาสู่ฤดูทุ่ง
มาหมายมุ่งถางทางที่ร้างเรื้อ
หอบเอาฝันไออุ่นมาจุนเจือ
มากอดเนื้อกอดน้องร้องรอบกาย

เก็บเกี่ยวแล้วพี่เอ๋ยเลยลงแขก
พลังแรกสามัคคีมีความหมาย
ความสัมพันธ์บ้านเราหรือเฉาตาย
แม้นข่าวร้ายราคาข้าวยังร้าวราน

เราอาจอยู่เพียงพอไม่ง้อใคร
รู้พอใช้รู้เก็บเม็ดข้าวสาร
ตื่นเช้ามาจับไถไปลุยงาน
ไม่เกียจคร้านให้ใครได้นินทา

กลับมาซิ..มาสู่ฤดูเกี่ยว
มาจับฟางจับเคียวเหนี่ยวเหน็บฝา
ลับคมงามล้างรอยคราบน้ำตา
อิ่มสุขอยู่ใต้ฟ้า..ผืนนาเนาว์

********************************


คมเคียว..เกี่ยวรวง    ราชิกา  

**  รวงข้าวเหลือง  เรืองรอง  ครองพิสุทธิ์
เปรียบประดุจ  เมืองแมน  แดนสวรรค์
ข้าวออกรวง  สีทอง  ผ่องอำพัน
รอคอยวัน  คมเคียว  ที่เกี่ยวรวง

**  เฝ้าพร่ำเพรียก  เรียกหา  จนฟ้าสาง
ไม่จืดจาง  คอยเธอ  เพ้อห่วงหวง
คำสัญญา  จะกลับมา  มิหลอกลวง
สิ่งทั้งปวง  มอบไว้  ให้แก้วตา

**  ตะแบกบาน  สีม่วง  ร่วงหล่นพริ้ว
ถูกปลิดปลิว  ปลดวาง  กลางเวหา
หริ่งเรไร  ร้องระงม  พรมพนา
อนิจจา  ทุ่งร้าง  อ้างว้างใจ

**  รวงข้าวเหลือง  เรืองรอง  สีทองทาบ
เหลือเพียงคราบ  น้ำตา  มารินไหล
ไร้คมเคียว  เกี่ยวรวง  ดวงหทัย
รอคอยใคร  ดั่งคมเคียว  เกี่ยวรักคืน.......ฯ

********************


http://thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_65507.php

ลุยทุ่ง---กลับบ้าน..........ฤกษ์  

ขี่ควาย ลุยทุ่ง มุ่งเดิน
โขดเขิน คันนา ฝ่าข้าม
กอกก โคกคลอง หนองน้ำ
ทุ่งงาม รวงทอง ยองใย

เจ้าทุย ดุ่ยย่ำ โคลนเลน
โอนเอน ปรือปรง พลิ้วไหว
ปลิงเกาะ ดูดเลือด ท้องควาย
ตัวกลม หลุดไป อิ่มเอม

กบเขียด ตระหนก ตกใจ
แมงปอ ล้อไล่ เกษม
ปลาช่อน ฮุบเหยื่อ ปรีเปรม
จอกแหน แผ่เต็ม บึงบาง

นกยาง เดินย่อง คันนา
ฝูงกา บินลิ่ว พลิ้วหาง
ตัวหุ่น ไล่กา ขากาง
เถียงนา เก่าร้าง ผุพัง

กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยืนคอย เจ้าของ คืนหลัง
เหมือนนก หลงปลื้ม ลืมรัง
ลืมถิ่น เคยสร้าง ฝันงาม...  

********************



สาวนา..กำลังอ่านบทกวีนี้
ในท่ามกลางแสงตะเกียงอันริบหรี่
และแสงจันทร์เสี้ยวอันรุบหรู่


ฝนหลงฤดูเพิ่งหยุดตก..
พัดดวงดอกลั่นทมปลิดปลิวโปรยปรายหอมห่มลงบนพื้นหญ้า

ตะแบกนากลีบม่วงละมุน
หมุนวนไปตามทิศทางลมควะคว้าง..ควะคว้าง..กลางนาน้อย

เสียงดุเหว่าไพร
นกน้อยๆกระจ้อยกระจิ๊บเงียบสนิทราวนิทราแนบในรวงรัง
ที่พักพิงอันแสนอบอุ่นเป็นสุข


หากมวลมนุษย์มากมาย
ไร้รังถาวร
ไร้รวงรอที่นาเดิม
ต้องมาเติมตามต่อหารังรวงกันเอาเอง

มาบรรเลงบทเพลงเศร้าคลุกเคล้าชีวาชีวิต
มาสถิตฝากความหวังนะใจกลางเมืองหลวงเมืองลวง
มากมาย
ที่ต่างตีนถีบปากกัด
กระจัดกระจายพรายพลัดพรากจากรังเดิมรวงดิน


มาถวิลหาชีวิตที่ดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
ในความดีกว่านั้น 
แท้จริงแล้วไซร้
คือการติดกับแบบใหม่กับโลกศิวิไลซ์
หากดวงใจไม่หนักแน่นพอ 
ไม่รู้คำว่าสมถะพอเพียงเพียงพอ

เพราะ คนเราหาเท่าไรก็ไม่พอใช้ 
หากหัวใจและร่าง 
มีความอยากได้ใคร่มีในเรื่องวัตถุมิสิ้นสุดมิหยุดคิดมิรู้พอ


สาวนา เศร้าสะเทือนใจ
นอนเอนอิงพิงต้นทองกวาว
มองนาแล้ว
ใจก็ยิ่งรานร้าวเศร้าระบม
เพราะนาแล้งแห้งไปหมดทั้งหมู่บ้านตำบล..

ไร้น้ำไร้นาไร้ข้าวไร้ร้าง....ช่างแสนอ้างว้างใจเป็นยิ่งนัก


สาวนาจำคำอ้ายได้
ที่เคยบอกสาวนาไว้ว่า ...
สงครามใด
ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าสงครามความอดอยากแลเจ็บไข้
หากคนในชาติ ไม่มีกิน ท้องกิ่วหิวสิ้นไปทั้งแผ่นดิน
แล้วจะมีอะไรให้หวังให้ฝันอีกเล่า 
นะเจ้ายอดดวงใจไทยทุกดวง


เมื่อคืน...
พี่ทองพี่ชายคนดีลูกคุณป้า
ที่ไปร่ำเรียนเมืองบางกอกเกี่ยวกับวิชาการเกษตร
และกลับมาพัฒนาบ้านเกิด

บอกกับสาวนาว่า..
ตอนนี้
แผ่นดินทองที่ราบสูงของผองเราหลายจังหวัดนั้น
ได้พบกับปัญหาภัยแล้งปัญหาน้ำวิกฤต
ที่รัฐบาลต้องทุ่มเทพลังปัญญาช่วยชีวิตชาวนาและนาแล้ง
นับล้านไร่มิให้แห้งกรอบบอบช้ำไปกว่านี้


และจะมีผลกระทบไปทั่วทั้งประเทศ
หากเรามีผลผลิตข้าวน้อย
และ..
ไหนยังจะ
มีปัญหาทางภาคใต้..ที่ผลผลิตทางผลไม้พืชพรรณ
ราคาตกต่ำเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปรับซื้อ
ด้วยกลัวความไม่ปลอดภัยแห่งชีวิต
ที่พี่ทองกระซิบด้วยความซาบซึ้งใจว่า


*สมเด็จพระบรมราชินีนาถ*
ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับ
สถานการณ์ภาคใต้ ที่ทรงห่วงใยมาก
และช่างน่าเศร้าสลดใจสะเทือนใจ
ที่คนไทยผู้บริสุทธิ์ได้ถูกฆ่าตาย
อย่างสิ้นไร้ความยุติธรรม
ทรงมีพระเมตตาธรรมได้วิงวอนให้ทุกฝ่ายได้ยุติปัญหานี้โดยเร็ว*


และ
สาวนาหยาดน้ำตาซึ้งเศร้าสะเทือนใจเช่นกัน
เมื่อ
พี่ทองเล่าว่าพระองค์ท่านทรงมีพระราชกระแสว่า
จำต้องมาเรียนรู้วิธีการป้องกันพระองค์ท่านเอง


โอ้.พระแม่เจ้า.จอมขวัญเกล้าแห่งชาวไทย
จอมใจไทยทุกดวง
ที่เทิดไว้เหนือเกล้า
เป็นพระแม่เจ้าพระแม่เมืองพระมิ่งขวัญ

ที่ชาวไทยนั้นยอมพลีภักดิ์
ยอมถวายร่างรักและจิตวิญญาณแห่งภักดี
ขอเป็นข้าธุลีใต้เบื้องพระบาทตราบชั่วนิจนิรันดร์

ทรงมีพระน้ำหฤทัย
อันแสนงดงามหยาดเย็นมากมี
ทรงมีพระบารมีเมตตาธรรม
มาน้อมนำค้ำจุนโลกและชาวไทย
ที่แสนยิ่งใหญ่เลิศล้ำ
เกินจะหาค่าคำงดงามใดใดในหล้าโลก
มากล่าวเทิดสดุดีรำพึงรำพัน..


ที่ทรงสอนนำ
ให้ผสานใจรู้รักษ์สามัคคีกันเถอะนะ
อย่ารบราฆ่าฟันกันเลย

จงปันแบ่งน้ำใจใสรินหยาด
เพื่อดับความร้อนเร่าไม่เข้าใจ
แทนสาดกระสุนใส่กัน
และ
กระสุนนั้น กลับไปทำร้ายชีวิตผู้บริสุทธิ์
ที่ยังมีผู้ที่รักที่รออยู่เบื้องหลัง
แสนโศกเศร้าสะเทือนใจ
อย่างไม่เข้าใจในชะตากรรมนี้

ที่จะฝังความรู้สึกสิ้นศรัทธาไว้ให้ตราในดวงจิต
ตราบจนชีวิตจะหาไม่..ว่าเขาได้ทำผิดใดกันเล่า..


สาวนา..ทอดถอนใจ
เมื่อ
พี่ทองเล่าถึงประเทศอิรัค..
ประเทศที่นะบัดนี้เป็นดั่งเมืองร้างแห่งทะเลทราย

ว่าก็คือตัวอย่างแห่งสงคราม
ที่นะวันนี้คือดินแดนมิคสัญญี
และ
เล่าว่าล่าสุด
มีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์หญิงสัญชาติอังกฤษถูกฆ่าตายอีก
ทั้งๆที่เธอ ไปบรรเทาทุกข์ให้แก่เด็กๆและผู้คนที่อดอยากยากไร้


โอ้โลกเอ๋ย
ไยหมุนเฉยเลยลา..
พามวลมนุษย์ให้หัวใจยิ่งหยาบช้าหนานัก
ด้วยกิเลสแห่งความไม่รู้จักคุณค่าแห่งความสงบสุขและสันติภาพ
ความรักเมตตาแด่เพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น..เล่าละหนอ 

ไหนบอกทุกศาสนาสอนให้รักโลก
รักเด็กและผู้คนบนผืนโลกเดียวกัน


แล้วไยยังใจดำจำต้องมาเข่นฆ่าห้ำหั่น ราวสัตว์ร้ายใช่คนเล่า
เพราะการเมืองที่เบียดเบียน
เพราะความไม่รู้ค่าความยุติธรรมที่จริงแท้
หรือมากมายปมปัญหาที่ยากแก้ไข เสียแล้วเล่า


นอกจาก
เราชาวเหล่าชมพูทวีปที่ยังมีดวงพระประทีปธรรม
มาน้อมนำส่องสว่างนะกลางใจ

ให้เลือกดำรงประเทศ
และดวงใจด้วยความรักเมตตาและ
เพียรใช้วิธีเจรจาด้วยวิธีทางการทูตน่าจะดีที่สุด
เหมือนวิธิอหิงสาของท่านมหาตมคานธี
ผู้ใช้วิธีดับความร้ายด้วยความเย็นด้วยสันติ..


และนี่คือโลก...
ที่เราถือเป็นโชค...
ได้เกิดมาในแดนดินถิ่นขวานทอง
ที่เคยอุดมด้วยอู่ข้าวอู่น้ำ
ทำให้หัวใจไทยงดงามด้วยอารยธรรม
วัฒนธรรมประเพณี
ที่มีแต่ความละเมียดละมุนมาช้านานนับพันปีแล้ว


ลองคิดดูนะคนไทยทุกพี่น้อง
ว่าเราจะหันหน้าพาประเทศเราเดินไปในทิศทางใด

แบบเยอรมันที่มีสงครามเข่นฆ่าชาวยิวนับล้าน
หรือ
ให้ตายแบบอดอยากราวเมืองร้างราวอิรัค
เพราะความคิดต่างกัน


สาวนา..นั้น
คิดแบบ
คนที่มีสมองสองมือยึดมั่น..
ในเงามสงบแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยอันแสนร่มเย็นเป็นสุข
แบบพุทธศาสนิกชนมานานช้า
ที่เน้นว่าให้มีความปรานี
มีศีลมั่นไม่มีการเบียดเบียนฆ่าฟันให้ชีวิตผู้อื่นเดือดร้อน
ไปทุกหย่อมหญ้า


และ
สาวนาเชื่อว่า
ความลำบากแบบชาวนาชาวไร่
ที่มีมือตืนหยาบกร้านหากทว่าจิตวิญญาณมิได้หยาบตาม
หากมีแต่ชีวิตรักโลกงามรักความสมถะ ไม่เบียดเบียนใคร
กลับให้คุณค่ามากกว่า 
ขอเพียงให้รู้ค่าการใช้ชีวิตให้เป็นเพียงนั้น
ใช่ฝันไกล ..


สาวนา..
ฟังคำพี่ทอง
พี่ชายที่ได้รับการศึกษา
ที่คอยให้ความรู้สาวนา
ให้เข้าใจว่าโลกเรานี้กำลังหันหน้าไปในทิศทางใด
ให้สาวนาได้ทำใจตามทัน

สาวนาคนโง่งมนั้น
แม้น
มีชีวิตจมอยู่แต่กับวัวควายท้องทุ่งท้องนา
ก็ได้แต่คิดตามประสาซื่อว่า


ทำไมหนอคนเรามีที่ทำกิน
ที่แสนอุดมสมบูรณ์แล้ว
มีร่มฉัตรเพชรฉัตรแก้ว
อันแสนพราวเพริศเลิศล้ำค่า
ให้ยึดมั่นในความเที่ยงธรรมเที่ยงตรง
คอยกางกั้นปกป้องเกศคุ้มผองภัยแล้ว

มีดวงแก้วพระรัตนตรัย
ที่ดั่ง*ดวงมณีใส*แห่งศาสนา
คอยส่องกระจ่างนำทางสว่างแล้ว

ทำไมเล่า
เจ้ายังไม่หันมาลบรอยร้าวด้วยน้ำใจใสเย็น
ดั่งหยาดน้ำค้างแห่งรสพระธรรม


และด้วยรสความดีแห่งศาสนานั้นๆ
ที่มุ่งสอนไปในทิศทางเดียวกัน
ให้ทุกคนนั้นเป็นคนดีมีหัวใจใสฉ่ำเย็น

ให้เป็นผู้มีเหตุมีผล
ให้มนุษย์หมดทั้งสิ้นทั้งนั้ทั้งนั้น
ได้พึ่งพาพึงพิงกันได้รักกัน
ได้ปันแบ่งแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ไม่ว่าชาติศาสนาใด..มิใช่ดอกละหรือ


และ
สำหรับ
ชีวิตสาวนา...คือ
ขอเพียงแค่มีที่ทำกิน
มีกระท่อมพอซุกหัวนอน

มีนามีไร่ไว้เลี้ยงชีพชอบประกอบกรรมดี
มีดวงชีวีได้คืนกลับแบ่งปัน 
ข้าวในยุ้งฉางอันแสนงามงดจากหยดหยาดเหงื่อ
จากสองมือนี้ที่หยาบกร้านจับเคียวคม


ยอมก้มหน้าทนสู้..สู่ดิน 
มิยอมทิ้งถิ่น
ยอมเหนื่อยยากพลีสิ้นทุกหยาดเลือดรัก
ให้เพียงได้ปันรวงเรียวแห่งรัก
ไปเลี้ยงผู้คนบนผืนดินแม่มาตุภูมิ
ที่ให้ชีวิตสาวนาได้หยัดยืน
อย่างภาคภูมิใจในคำว่า*ไท*ใช่ทาส*ก็เพียงพอ



ก็ขอแค่มีชีวีชีวิตที่เรียบง่าย
ได้ใช้ชีวิตแสนงาม
ในท่ามกลางธรรมชาติอันสดใส
ฟ้ากระจ่างใสเมฆสวยงาม

ทุ่งรวงทองที่ระย้าย้อยห้อยรวงเรียวรอเคียวคม
ราวกับผืนพรมทองระยับ
ยามสายแสงอุษาวะวับ
สาดพรายพร่างกระทบอาบเอิบเจิมจรัสทาบทา


มีมวลหมู่นกกานกไพรทุกสรรพสัตว์
ที่ไม่เบียดเบียนกัน

มีพงไพรพฤกษ์พนา
ให้สาวนาไปเก็บเห็ดหาผักหญ้ามากินมาทำยาสมุนไพร


ไปนอนนับดาวเหนือเนินผา
ไปเฝ้าดูดวงดอกไม้ป่า
ร่ายฟ้อนอ้อนแสงสีเวทีโลกเวทีฝันอันโอบเอื้องาม
ไร้การแบ่งแยก

ใช้เพียงใจดวงงามแผกพิเศษพิสุทธิ์ใส
รับรู้สึกในทุกอณูนึก
ที่ธรรมชาติเฝ้ารินร่ำพร่ำให้ในทุกงามอันคือความจริงแท้


ที่จะเพียรสอน
ให้จิตเราผสานผสมเป็นหนึ่งเดียว

ยอมรับว่าเรานั้นไซร้เปรียบประดุจดังธุลีหล้า
หาใช่ยิ่งใหญ่ไม่รู้ตายไม่


เราเพียงมาฝากร่างใจ
มาฝึกจิตให้สนิทสนมกลมกลืน
ไปกับธรรมชาติดินน้ำลมไฟอย่างไร้ตัวตน

เมื่อวันหนึ่ง..
ดวงชีวิตปลิดปลง
ก็คงเน่าเปื่อยดั่งใบไม้ในราวป่าราวไพร
หลุดลอยลิ่วลดลงมา
ฝากทุกสิ่งทิ้งทุกอย่างไว้กับผืนหล้าพสุธาที่รัก

อันคือจักเป็นความจริงนิรันดร์
ว่า..
ร่างเรานั้นยามปราณแตกดับ
ไม่มีใครจักห้ามให้ไม่เสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ที่จำต้องพลีคืนสู่ธรรมชาติ


นี่แหละคือธรรม 
ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบมานานนับพันๆปี
และ
หวังเพียงก่อนมลายชีวีและร่างที่หายึดมั่นได้ไม่นั้น

ขอเพียงเพียรอบร่ำด้วยรสพระธรรม
ให้พบพลังแห่งจิตไสวพร่างด้วยปิติเกษมแห่งความเอมอิ่ม
ที่เข้าใจเข้าจิตว่าชีวิตจิตวิญญาณ
เพียงผ่านร่างผ่านภพ
มาจบสิ้นไม่เหลือรอยคืออะไร...


คือ..
ความวาง ว่างไง ใช่แบกหนัก
แล้ว..
ดวงจิตอันประภัสสรนั้น
จะได้พลันลอยลาเลื่อนลับข้ามพ้นมหานทีสีทันดร
อย่างเบาสบายคล้ายปุยนุ่นสีขาวอันงามพราว ไร้ห่วงใด
ไปสถิตทอด
ในแดนดินงามไสวในว่ายเวิ้งฝันนิรันดร์รัก อันแสนงามว่างงามเย็น


มิจำต้องแบกเข็ญทุกข์ในจิต
กลับมาสถิตทับทอดในร่างหนักร่างใหม่

ที่เสมอทุกข์ทนพอกันกับจิตที่ยังมิหลุดพ้นรัก
ให้หนักให้บ่วงรัดร้อยห้อยห่วงหาโหยหาพันธนา
มามีชีวิตชดใช้กรรมมาเกิดใหม่เป็นวงรอยเป็นวงกรรม


จนกว่าวิบากรรมวิบากเก่านั้น
จะน้อยลงๆจนเบาสบาย
คล้ายพบว่างโล่งก่อนจะสายเกิน
ก่อนจะลงโลง

จะโลงทิพย์โลงทอง..โลงไม้ 
หรือใช้เสื่อหรือกระดาษห่อร่างไร้ลมแทน
ก็ขอแค่ให้วาดหวังว่า
จะได้พบโล่งวางว่างนั้นนะคนดีนะทุกดวงใจ

และนี่คือมรณานุสติ
ที่สาวนาคิดเองคิดได้ไปตามประสาสาวนา
ที่เรียนรู้ธรรม
จากธรรมชาติและมาวาดฝันมาวาดคิดเอาเอง
มาบรรเลงเป็นบทเพลงแห่งชีวิตไว้สอนจิตสอนใจตัวลำพัง


มิจำต้องมาแบกบ่นเบื่อบ้า
ราวบอดใบ้อีกหลายชาติ

จนกว่าจะค้นพบยอดแห่งพระธรรม
คือการรักษาศีล
สร้างทานบารมีให้มีสติปัญญาพาเพียรหลุดพ้น


หรือ
ได้มาวงวนพบรอยร่างแห่งยอดกัลยาณมิตร
ที่แสนรักเอยแสนรักในกมล
มาทายทักมาให้พักพิงอิงใจอิงไหล่อิงธรรม
อิงฤดีอันราวทองคำแท้

ที่จะช่วยพากันแก้จิต
คอยคิดเคียงครองเพียงประคองให้
ลอยล่องไปตามกระแสธารธรรมอันแสนงามเย็น 


อันนี้สุดแต่ดวงใจใครจะเล็งเห็นธรรม
เห็นรอยกรรมรอยเก่ารอยทอง
ที่จะพลันพามาส่อง
เมื่อถึงกาลเวลาที่เคยได้ร่วมสร้างสมบารมีมาด้วยกัน
ในภพก่อนชาติปางก่อน
ได้ย้อนมาเป็นคู่บุญคู่ธรรมคู่ทอง..


สาวนา
จึงมีความสุขมากมาย
ยามได้ชิดใกล้ฝากกายใจร่าง
ในท่ามกระท่อมรึมบึงบัว 



ที่มีรั้วตำลึงกระถิน
ผักนานาสารพันเลื้อยพันพร่างพันผูก
ที่ปลูกด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก
ที่รดน้ำรักจากนวลใจ
ที่มีเนื้อใสราวสายธารระรินมิสินสาย

หวังให้พันธุ์ไม้งามงอกแตกกอช่อผลิในดวงจิต
ให้มิมีวันสิ้นสุดในความรักผืนไพรผินดินมิสิ้นรักในธรรมชาติ
และ
ทุกหวานหอมดวงพะยอมหอมไพรดวงดอกไม้ป่า
ต้นไม้ทั้งโลกหล้าที่ได้ชิดใกล้ 
ได้น้อมนำมาหอมห่มร่างจิต
ให้งามเย็นงามเป็นไม่แล้งไร้
และยังปันแบ่งให้ทุกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง
ได้ชิมเชยชิด


และ
ชีวิตสาวนา
ในยามนิทราฝัน
ก็ยังได้พบความบรรเจิดใจ


มีเตียงโบราณม่านมุ้งไสวรับลมเย็น
ให้นอนฝันพราวเคล้าเสียงงามเศร้าแสนสุข
จาก
ดนตรีแห่งท้องทุ่ง
ดนตรีที่ราวสายรุ้งในยามเช้า
ที่แสนพริ้งพราว
ให้เคล้าคลุกกล่อมจิตให้หลับลึกและฝันดี


ไหนจะยามฝนพรำ
สาวนา
ยังมีบทเพลงฝันบทเพลงฝน
ที่หล่นกระทบหลังคาจากหยดติ๋งๆ

ดนตรีประสานเสียงระงมจากกบเขียดในท้องนา
หรีดหริ่งเรไรที่พากันมาประลองบรรเลง
ราวเพลงพรหมบันดาลงามง่าย
ใช้เพียงใจสัมผัสแผ่วก็จะแว่วหวานวังเวง 
ในทุกราตรีหวานทิวากาลมานานเนา...



แล้ว
ยามเหงาใจ
อยากฝึกจิตให้ยิ่งพร่างใส
ให้งามยิ่งกว่างาม...ราวหยาดน้ำค้างกลางใบบัว

สาวนา
ยังมีวัด.มีหลวงพ่อ
มีมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม
ที่คือที่พึ่งทางจิตสนิทราวพี่น้องท้องเดียวกัน

ได้ปันแบ่งทั้งทุกข์สุข
มิให้หมายมากรายกล้ำทำร้าย
กลายกลบจิต
ให้ดวงชีวาชีวิตอับแสงหมองหม่นมืดดำนาน


ฝึกดวงจิตให้รู้คิดรู้รักหักใจได้
ให้รู้นิยามค่าคำ*ยิ่งให้ยิ่งได้*
ในทุกลีลาชีวิต

มีบทเรียนธรรม
คอยสอนใจ
คอยกำกับใจ
คอยรู้ทันรำงับใจ

ให้ชีวิตสาวนาสาวไพร
ไม่มีวันยอมพ่ายเแพ้อุปสรรคใด
แม้นใจจะดายเดียวเดียวดาย
หากยังฝากไว้เพียงหวังดีแด่ทุกชีวีเพื่อนมนุษย์


ขอเพียง
สาวนามีใจดวงพิสุทธิ์ใส*ดั่งอัญมณีไพร*
เช่นเฉกนี้ที่แสนดีที่แสนติดดิน
มีดวงชีวินเรียบง่ายมีดวงจินต์มิหวังร้ายทำลายใคร


และ
ขอให้ได้ใช้ชีวิตและสมองสองมือแบบสาวนาสาวไพร
สร้างโลกสวยด้วยหยาดเหงื่อด้วยสมองสองมืองามนี้
ก็เหลือที่จะพอแล้วจ๊ะทุกยอดดวงใจ..ของสาวนา..นะ..นะจ๊ะ!

********************************





หอมอรุณธรรมทองของท้องนา..ลำน้ำน่าน


น้องหุงข้าวหนาวนี้ที่เพิ่งเยือน
อย่าแชเชือนน้ำข้าวซาวให้พี่
เหยาะเกลือแกงข้าวหอมย้อมฤดี
ความสุขมีในสามัญธรรมดา

ดอกมะลิหอมอุ่นกลิ่นกรุ่นแล้ว
ข้าวสารแก้วหอมพร่างกลางพรรษา
หอมอรุณธรรมทองของท้องนา
สาวบ้านป่าหอมแก้ม...เอียงแก้มให้

ปลุกตื่นแล้วดวงใจในหน้าหนาว
ปลุกมาสู่แดดเช้าของวันใหม่
บุพเพสันนิวาส...สะอาดไพร
ร่วมกราบไหว้ถวายข้าวอย่างชาวพุทธ

เตรียมแบกไถไปนาเมื่อฟ้าเรือง
สว่างเหลืองจีวรพรพิสุทธิ์
พระธรรมทองสัมมาฯ มายื้อยุด
สองเราหลุดพ้นจิต....สู่นิพพาน






สร้อยฝนสร้อยฝันสวรรค์ไพร....สาวบ้านนา


สร้อยฝนสร้อยฝันสวรรค์ไพร
สร้อยเกี่ยวใจเคียวเกี่ยวรวงห่วงหอมหา
มนต์เพลงทุ่งรุ้งรวงเรียวเกี่ยวข้าวนา
เพลงเหว่ว้ายามดายเดียวเคียวรอใคร

อ้ายสัญญาคืนถิ่นทุ่งมุ่งกระท่อม
จะมาหอมแก้มสาวนาเนียนแดดใส
จนวันนี้ข้าวเหลือซังหวังซมซานรอเคียวใจ
คมบาดใจไหวบาดซ้ำย้ำระทม

ตะแบกแบกรักหนักรอกี่ปีแล้ว
ดงดอกแก้วตระการหวานหอมห่ม
หล่นเลือนลาพร่างพื้นหอมพร่างพรม
เหมือนคำลมคำมั่นคำสัญญา..

เพียงคิดถึงแค่นั้นใช่หันกลับ
ลอมฟางรับรู้ใจใครห่วงหา
สาวนาเอ๋ยนอนนิ่งเฉยมองเพียงฟ้า
อ้ายลับลารวงระย้าย้อยเฝ้าน้อยใจ

ไม่เป็นไรใจสาวนาชินชาเฉย
อ้ายอย่าเอ่ยคำหวานให้หวามไหว
ลั่นทมริมกระท่อมยังหวานเศร้าเฝ้าปลอบใจ
เหมือนดวงใจสาวนาล้าแรมรัก

สวดมนต์ทำบุญหมุนวงล้อ
ข้าวกี่กอใจกี่เจ็บเหน็บหนาวหนัก
ไม่เป็นไรใจสาวนายังแน่นหนัก
ยังพลีภักดิ์ยังเฝ้ารอกับกอรวง

หากรักจริงไยอ้ายไม่คืนกลับ
กี่วันนับกี่เดือนรอพ้อห่วงหวง
อ้ายมีเพียงลมลิ้นวิ่นวาดสวาทลวง
ว่ารักรวงรักสาวนาน่าน้อยใจ

สี่ในสี่ห้องหัวใจให้อ้ายหมด
เป็นงามงดรักบริสุทธิ์ดุจน้ำใส
เป็นน้ำค้างกลางป่าพงนะดวงใจ
คือสาวไพรคือสาวนา..อย่าลืมเลือน!อย่าลารวง!.ให้ห่วงรอให้พ้อรัก!

***********


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4721
  ข้าวคอยเคียว   
ผ่องศรี วรนุช : : Key Cm  

ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา
พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย
คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย
ปีเคลื่อนเดือนคล้อย
รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล
อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย

ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย...
 


				
13 พฤศจิกายน 2547 23:36 น.

กระท่อมปลายนา!

สาวบ้านนา


Urlhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=234
**************


ปลายฝนแล้ว...
ไม่มีสายวสันต์โปรยปรายลงมาพร่างพรมพรำ
ให้สาวนานอนฟังเสียงพร่างพราว
ราวดนตรีไพรดนตรีฝันดนตรีธรรมชาติอีกต่อไป



หมอกบางๆ
ยังเรี่ยรายพรายพลิ้วโอบตระกองกอดยอดภูและทิวไผ่
ยังห่มคลุมไปทั่วทั้งผืนนา..สีไพล
รอสลายลาไปกับสายแสงแรกแห่งอรุณรุ่ง



กบเขียดในนาพากันเลิกร้องระงมแล้ว
เฝ้าจำศีล..ในรูมิสู้แล้ง

ลำห้วยสายเล็กๆเริ่มแล้งแห้งน้ำ
มีเพียงดอกไม้ป่าเริ่มบานสะพรั่งรับลมร้อน..ระริน



ใบไม้พากันปลิดปลิวลิ่วร่อนว่อน เกลื่อนกล่นไปทั้งราวไพรราวป่า
พาให้ทุกสัมผัสคราย่างเหยียบเกิดเสียงดังกรอบแกรบๆ



วันนี้
สาวนาตั้งใจเข้าป่าเข้าไพรมาว่ายน้ำระเริงร่างใจ
ในลำห้วยสวยใสสั่งลา อำลา
ก่อนที่จะแห้งขอด

ที่นะบัดนี้
ลำห้วยสายที่สาวนาเลือกนี้ยังมีน้ำเนืองนองสองฟากฝั่ง
ไม่เหมือนลำห้วยบางลำเล็กๆ
ที่เห็นแต่กรวดหินโผล่ระดะแล้ว



สาวนาวักน้ำในลำห้วยใส่ปาก
น้ำอันแสนหวานหอมด้วยรสธรรมชาติ
ให้อาบเอิบในหอมห้วงหัวใจ
รินไหลเข้าไปในดวงจิตดวงใจ
วิญญาณดวงไพรอันแสนสงบงาม



ให้รู้ค่าน้ำค่าดิน..นานเนา..
ที่ยามได้ดื่มกินจะชื่นจะอิ่มงาม
ยิ่งกว่าการดื่มน้ำแร่แสนแพง
ที่พากันเข่งโหมโฆษณาตามทีวี ที่สาวนาเคยเห็น
เพราะน้ำที่นี่ดื่มฟรี
และ
ยังมีธรรมชาติรายรอบให้ยิ่งใสเย็นเป็นของแถม
แกมด้วยความหอมแห่งมวลดอกไม้ป่า
ที่กำลังพากันบานสะพรั่งรินโชยกลิ่นหอมหวานมาตามสายลมเย็น
ที่ยิ่งเน้นให้หัวใจบรรเจิดบรรจง..เป็นยิ่งนักยามที่ได้พักตาพักใจ



สาวนา ค่อยๆถอดเสื้อออกช้าช้า
และนุ่งผ้ากระโจมอก

โน่นดวงดอกข่าสีแดง
บานแรงบานแฉ่งแข่งขับสีเขียวไพลเขียวตอง
ลอดร่องเรียวไม้มาทายทักสาวนา



และนั่น
ชบาไพรดอกใหญ่สีส้มจัดจ้า
ที่สาวนาอดใจไม่ได้ต้องขอเด็ดมาทัดแก้มแซมผม

ก่อนที่จะค่อยๆเลื่อนตัวลง
แหวกว่ายในสายน้ำอันแสนฉ่ำเย็น



สาวนาดำผุดดำว่าย 
จนเข้าไปใกล้รากไทรเอน
ที่มีเถาวัลย์พันห้อยระย้าย้อย
ให้เหนี่ยวตัวเล่นราวชิงช้าไพร 

แล้วค่อยๆปล่อยตัวหล่นโครมคราม
ในท่ามสายธารอันงามใสงามสวย


ซึ่งเป็นฉากงามเคียงลำห้วย
ด้วยดวงดอกจิกสีชมพูหวาน
ที่กำลังหว่านโปรยปลิดปลิวพลิ้วพรายพรม
ห่มหอมหวานไปทั่วทั้งธารน้ำรัก



มีเพียงเสียงกู่ก้องของสรรพสัตว์
เสียงนกไพรแว่วมาตามสายลมพรมไหวไปกับยอดไม้ไหวเอนอ่อน

สาวนานอนหลับตานิ่ง
ให้จิกน้ำ..ดอกงามดอกชมพูร่วงพรูพราวใส่ร่าง
ที่ยามนี้ทำตัวเบาแสนเบาให้ลอยเหนือน้ำ
และราวไร้ร่างไร้จิต
ฝึกสนิทผสานร่างไปกับธรรมชาติงามแห่งสายน้ำ



ที่เบื้องล่างใสแสนใส
จนเห็นกรวดเม็ดกระจ่างพร่างระยิบระยับวะวิบวับวะวับวาว
รับสายแสงละออของดวงดอกแดด
ที่ทอทอดลอดโลมไล้
ให้ลำห้วยนั้นยิ่งงามล้ำราวอัญมณีไพร
มณีใจอันแสนล้ำเลอค่า...อย่างยากยิ่งหาคำใดมาอธิบาย..



สาวนา..มองฉากป่า
ที่นะบัดนี้ราวเวทีฝัน
ที่ถูกเติมแต่งแต้มด้วยฝีมือธรรมชาติ
อย่างไม่กลัวเปลืองสี
ที่ดาระดาดเต็มไปด้วยดวงดอกไม้ป่านานาพันธุ์
มีทั้งหางนกยูงฝรั่ง สร้อยอินทะนิล
คูนเหลืองพราว 
ตะแบกพราวกลีบบางบางม่วงละมุน
หอมกรุ่นด้วยดวงดอกกล้วยไม้ไพรตามคาคบ



บ้างก็ผลิช่อตูมตั้ง
บ้างก็กำลังชูช่อไสวแย้มบานประดับไพรพนา
ที่สาวนา ไม่เคยอยากเด็ดกลับบ้าน 
เพราะกล้วยไม้ไพรนั้นจะงามเมื่ออยู่ตามคาคบไม้
ที่ราวสวรรค์จะชลอไว้ให้สาวนา
มาเสพสุนทรีย์เพียงลำพังในยามนี้ในฤดูนี้
ที่ฤดีสาวนาเพียงผู้เดียวจะรู้เวลาบาน


สาวนา..เพลินไพร.
กับน้ำในลำห้วยใส
จนเกือบสายัณห์ตะวันรอน
ที่เริ่มอ่อนแสงจะอัสดง



สาวนา..ค่อยๆคุ้ยหาเห็ด
เห็ดหมู เห็ดหล่ม เห็ดโคน เห็ดขิง เห็ดข่า
เห็ดถอบ เห็ดไข่ห่านเหลือง..
หากทว่าหายากยิ่งนักแล้วในฤดูกาลนี้

*ไม่เป็นไรสาวนาคิด*..ด้อมๆมองหาผักกูดผักหวาน
แค่นี้ก็บานเบิกใจแล้ว



ก่อนที่จะมาถึงกระท่อมไพร
สาวนาตรงไปแวะเด็ดยอดกระถินริมรั้ว
และตำลึงที่เลื้อยพัน

นั่นชะอมอิ่มงามยอดเขียวใส..
สาวนาจะไปเก็บไข่ในเล้ามาคลุกเคล้าทอดแนมน้ำพริกก็คงอร่อยดี



มีถั่วฝักยาวผักขิงกับพริกขี้หนูสวน
และเติมใบกะเพราให้หอมหวลหอมอวลน่ากิน

สาวนา อดใจไม่ได้คิดถึงเพลงสาวชาวสวนขึ้นมา
จึงร้องฮัมเพลงเบาๆคลอเคล้าผลไม้ผักหญ้าริมรั้วบ้าน
ที่งามวันงามคืน ให้สาวนากินไม่หมด



ไหนจะกล้วยสวนกอยักษ์ที่ห้อยหวีหนักหวีไหว
จนในวันนี้สาวนาต้องตัดมาห่มหอมรอง
ด้วยใบตองอันงามราวสไบไพรสไบนางไม้
ไว้ใส่ตะกร้าคอยแจกญาติธรรมมิ่งขวัญกัลยาณมิตรวันไปวัด..
ที่ทุกคนราวนัดกันกินอาหารพิ้นบ้าน
แบบชีวจิตที่เพิ่งฮิตตามไม่กี่ปีนี่เอง



สาวนา..แสนมีความสุขสงบใจ
ตั้งใจว่าคืนนี้จะทำกล้วยบวชชีและ
เอาไปให้เพื่อนบ้านแถวนี้
ดีกว่านอนเปล่าให้เหงาเงียบใจ

สาวนา..ค่อยๆไล้ตะเกียงในครัว
และจุดไฟในเตาพร่างให้หอมกลิ่นไม้ปะทุ
จนคุโชนแล้ว
สาวนา ค่อยๆจัดแจงขูดมะพร้าว
กับกระต่ายอย่างเร็วหากเบามือ
และ
ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวที่ทอทอดลอดไล้
ผ่านครัวโปร่ง
โล่งแลด้วยไม้ไผ่สาน
หากจะเห็นงามง่าย
ของชีวิตสาวนาในท่ามกลางงามเหงื่อ
ที่อวลอบไปด้วยรสมือ
ที่คือชีวีชีวิตดิบเดิม
งามเพิ่มค่าคำกุลสตรีไทย
ที่งานครัวนั้นไซร้คือความละไมละมุน
ให้ทุกคนอิ่มอุ่นท้อง..ครองรักยาวยืน..




และหลังเสร็จงานครัว
ราตรีนี้ก่อนที่จะนิทรา
สาวนาตั้งใจร้อยมาลัยมะลิ 
มะลิซ้อนมะลิลามะลิฉัตรอันแสนหอมกรุ่น
ไว้พลีบูชาพระพุทธ
กราบสวดมนต์ก่อนนอน 



เพี่ออธิษฐานจิตขอพร
ให้พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จงคุ้มครองป้องปักอ้าย
คนดีที่แสนรักเอยแสนรักในกมล  
ในยามนี้ที่ไกลกัน



ให้อ้ายนั้นปลอดภัย
และมีแต่ความงามสงบในจิตใจดวงใสดวงดี
มีแต่ความอิ่มในรสบุญการุณย์ธรรม 
มาน้อมนำห่มหอมใจ



ไม่ว่าร่างใจจะอยู่ณ.แห่งหนไหน
ให้มีพลังจิตติดต่อกันได้ 
ให้รู้ว่ายังมีสาวนารอคอยด้วยรักภักดี



ยังมีจิตดวงดีดวงสวยดวงหอมงาม
ด้วยความหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงกับคำมั่นสัญญา
มิลาเลือน จนกว่าเรือนกายจะแตกดับ 
หาก
ทว่าเรือนจิตนั้น
ก็ยังตามติดหลอมรวมผนึกแน่นเป็นหนึ่ง
ในรักภักดิ์พลีมิมีวันสิ้นสลาย



สาวนา..
จึงมีจิตเอิบงามนอนหลับตาสยายผมดอมดมดวงดอกไม้
ใกล้ชายคากระท่อมปลายนา
ในท่ามแสงตะเกียงริบหรี่ไหวในม่านมุ้งสีขาว
แม้นหนาวใจลำพัง
ในกระท่อมแห่งรักแห่งหวังใกล้ลานฝันลานลั่นทม
ใกล้ผืนนาอันอุดม
ด้วยรวงเรียวระย้าย้อย
ที่รอคอยเคียวเกี่ยวเก็บไม่ช้านาน



กับดอกดวงจิตตระการราวอัญมณี
ที่มิมีวันมอดแสงด้วยแรงแห่งปาฎิหารย์รัก
อันจักโชนแสงสวยจรัสโชติช่วงชัชวาลไปตราบนานเนานิรันดร์..!




http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=234
กระท่อมไพรวัลย์ 
แดน นี้มี กระท่อมไพร 
สุข กว่า แดน ไหน ในพนาป่านี้ปานว่า
ดังจะเป็น กระท่อม รา ชา
ดี กว่าแดนไหนในหล้า ป่าเขาลำเนา ไพร
ฟัง เสียงพิณกอไผ่สี ดังหนึ่งมโหรี
เป็นดนตรีขับขานมาให้
เวียงวังทอง ก็รองกระท่อม ไพร
มี ป่าเป็นรั้วกว้างใหญ่ 
แดนไพรนี้เป็นประหนึ่งธานี
มี แต่เราเหงาใจดังว่า 
ชวน ฉัน น่า อนาถใจแสนทวี
ยัง ขาดนางเป็นราชินี 
ถ้า หาก แม้น มีกระท่อมไพรนี้สุขสมปอง
ทิว เขาปานดังม่าน บัง 
หริ่ง ต่าง แตร สังข์ 
ดังเวียงวังสวรรค์หอห้อง 
วังเวงพา ปักษา แว่ว ร้อง 
ชะนีกู่ เรียกหาคู่ครอง
ชวนให้ฉันปองกระท่อมไพรวัลย์...

*************


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4086
กระท่อมปลายนา   

กระท่อมปลายนา หลังนี้
ไงล่ะเจ้า คือเหย้าเรือนหอ
ที่สร้างไว้รอ คอยนางนอ้ง
แม้นไม่ ใหญ่โต โอฬาร
ใช่ตึกสถาน วังทอง แต่ถัา
เจ้าครอง จะยิ่ง สวรรค์
กระท่อมปลายนา หลังน้อย
นี้ละเจ้า เทียบเท่า เมืองฟ้า
ถ้าได้แก้วตา มาเคียงขวัญ
น้องครองเป็นรา ชีนี ส่วนพี่
จะเป็น ราชันย์ร่วมกัน
สร้างสรรค์ วิมาน ปลายนา
จากแรงงาน หยาดเหงื่อ
พี่สร้างขึ้นเพื่อ นางน้อง
เพื่อเราทั้งสอง ร่วมครอง
วิวาห์ โปรดเห็นใจพี่ มาเป็น
เทพี กระท่อมปลายนา พี่รัก
แก้วตา ยิ่งกว่า ดวงใจ
กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง
เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้
แม้ย่าง เดือนออก พรรษา
เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร
จะไป สู่ขอ ตาม ประเพณี

กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง
เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้
แม้ย่าง เดือนออก พรรษา
เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร
จะไปสู่ขอ ตาม ประเพณี...

				
7 พฤศจิกายน 2547 15:39 น.

สร้อยสายบัว!

สาวบ้านนา


URLhttp://thaipoem.com/web/songshow.php?id=255
(สายสร้อยร้อยใจ)

*********************

ปลีกวิเวกพายเรือล่องท่องทุ่งน้ำ
ใจเงียบงามเคียงใกล้ไม้ในสวน
โน่น ชมพู่  ฝรั่ง มังคุด ห้อยเชิญชวน
งามดกสวนดูสดชื่นระรื่นตา...

ต้นโสนเคียงน้ำงามชิดใกล้
ลำพูพรายร่ายใบพ้อรอห่วงหา
คู่กรรมเอ๋ยเคยฝากไว้คำสัญญา
ราวกับว่าแสงหิ่งห้อยพร้อยเตือนใจ..

โน่น ใครหนอทอดแหอยู่ท่าน้ำ
ได้ตะเพียนงามเป็นเหยื่อเหลือหวั่นไหว
โอ้ปลาเอ๋ยเกิดชาติหน้าอย่าได้หลงติดเบ็ดใคร
เกิดชาติใดได้อิสระว่ายว่องท่องวารี..

เรือลำน้อยลอยสู่ทุ่งสุดสายน้ำ
สงบงามลมพัดพริ้วบัวหลากสี
ทุ่งบัวผันบัวเผื่อนดอกสวยดี
เด็ดสายบัวสดฉ่ำนี้อาหารไพร..

ลอยเรือคว้างพลางแกะข้าวใบบัวห่อ
น้ำพริกรอสายบัวแกล้มกลางบึงใส
เป็นมือเช้ากับธรรมชาติเงียบงามใจ
แสนสุขใจชีวิตนี้ทุ่งที่รัก..

มองฟ้ากว้างกระจ่างใสสีสวยหวาน
ท่ามบัวบานบัวตูมอ่อนไหวนัก
นั่นภมรผีเสื้อน้อยบินทายทัก
มาหลงรักรสเกสรหวานปานน้ำผึ้งไพร..

เป็นธรรมชาติหมุนวนมหัศจรรย์รัก
เป็นกงจักรเป็นวงบัวกลั้วใจใส
เป็นความหอมความงามนิยามไพร
หากตราบใดโลกนี้มีคู่กัน...

เหมือนเธอฉันหากไร้รักจักเกิดมาได้ละหรือ
ขอเพียงซื่อเพียงใสใจคู่ขวัญ
เป็นคู่ธรรมคู่ทองส่องชีวัน
ใช่รักนั้นผิดใดใจคิดดี...

เด็ดสายบัวหักเป็นข้อต่อสายสร้อย
คล้องใจร้อยสร้อยโซ่รักสร้อยศักดิ์ศรี
โลกเงียบงามโลกนิยามฝันปันสิ่งดี
คล้องชีพพลีด้วยสร้อยบัวด้วยสร้อยธรรม..หอมล้ำค่า..นะที่รัก!

(คล้องชีพพลีด้วยสร้อยบัวด้วยสร้อยธรรมชาติวาดเวิ้งฝันนิรันดร์รัก!)

*******************


สาวนา..พายเรือ..รับอรุณรุ่ง 
พุ่งออกจากท่าน้ำเรือนไทยริมคลอง อย่างช้าช้า 
ด้วยดวงใจสุขสงบ..
ให้พายกระทบพรายน้ำ
ได้ผสานผสมเข้ามาบ่มห่มหอมในห้วงใจ



ดวงอาทิตย์ สีไพล ดวงใหญ่ เปลือกบางใสสุกชัด
กำลังค่อยๆโผล้พ้นน้ำนะท่ามกลางลำคลองร่มครึ้ม
มาโผล่ผึ่งอวดผลิคลี่แย้มงาม
บานแอร่มแรง..
บานแดงจัดจ้า
แข่งทายท้าสีสดสวย
ระยับฟ้าระยับตาระยับใจระยับไพร จรุงตา



นะท่ามกลางป่าเขียวใสเขียวไพลสดชื่น
สลับกลมกลืนแตะแต้มพร่างน้ำตาลทองอมส้ม
ราวภาพโมเน่ต์จิตรกรเอก
ผู้สามารถสรรเสกหวานงามได้ตามใจฝันสู่ผืนผ้าใบ



และในท่ามเรียวไผ่ใบหนา
ที่ซู่ซ่าเซาะแทรกซัดส่ายร่ายมนตรา
ราวดนตรีไพรดนตรีธรรมชาติ
กับในวาดเวิ้งงามข้าวกล้าในนา
ที่พารวงระบัดพลิ้วระลอก
ตามยอดลมอ่อนอ่อนแวะผ่านนา
มาหยอกล้อมาพ้อทายทัก

กับเสียงไรไรจิ้งหรีดกรีดเสียงแข่ง
กับกบเขียดในนาข้าวพราวทุ่งร้องระงมระงำพร่ำหอมห่มใจ



ท่ามแมกไม้ในสวนชวน
ที่อยากเด็ดชิมลิ้มลองรสหวานฉ่ำ
ที่กำลังระย้าย้อยแน่นขนัดเหนือท้องร่องยามล่องเรือผ่านพบ



ท่ามกลางสงบงามแห่งต้นโสนลำพูไม้คู่เคียงชิดใกล้ริมชายชล
ท่ามหมู่เรือกสวน ผลไม้ ไร่นา
บึงกว้างหากไม่ดายเดียวเหว่ว้า
ทว่างามงดด้วยดวงดอกบัวหลากสีนานาพรรณ
ทั้งบัวผันบัวเผื่อน
ที่งามตระการบานชูช่อ
ทั้งตูมตั้งเต่งตึง
ที่กำลังรอผึ่งค่อยๆคลี่แย้มแต้มโลก
อวดอรชรอ่อนหวานด้วยกลีบอ่อนอ่อนใสใสกลีบไหวไหวบางเบาๆ



ให้เกสรเพราพิไลหอมไสวหอมสะพรั่ง
ให้หอมไกลหอมหวานหอมพร่างหอมพรมอบอวล
ชวนชมให้มวลหมู่ภู่ผึ้งภมรหมาย
ได้มาว่อนร่อนภิรมย์ได้มาเชยชมสมรัก..



ราวกับธรรมชาติ
กำลังสอนบางสิ่งให้หยุดนิ่งหยุดคิดพินิจดู

ไม่มีรัก ไม่มีเรา ไม่มีเขา 
ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ไม่มีฝัน ไม่มีหวังไม่มีหวาน
ให้ได้แบ่งฝันปันดี
ให้ได้คิดพลี
คิดให้..ดับโลกร้อนผ่อนเพลาเย็น



ให้มีชีวิตเย็นได้เห็นงาม
ได้พบธรรม ธรรมชาติพิลาสพิไล
ได้ไหวรับความงามความดี..

ให้ดวงชีวี 
ได้ต่อเติมเพิ่มพบฝึกเพียรพาค้นหาค่าคำค่าคน
พบวางว่างไร้ร่างไร้ใจไร้จิต
พบนิมิตรงามล้ำค่าคำศีลสมาธิภาวนา
พาหลุดพ้น..
จนรำงับดับสู่การเวียนว่ายวกวนดงกรรมดงกาม



ให้พบงามพร่างงามจิตใส
ราวมีดวงแก้ววิเศษนะภายในใช่ไกลอื่น
*อัญมณีจิต*ที่สนิทแนบเนามานานช้า
รอเพียงเวลาลบเงาใจมืดดำ


ให้เพียงเพียรภาวนา
อย่ารู้หยุดยอมแพ้พ่ายกระแสกรรมกระหน่ำโหม
ทั้งภายนอกภายในใจเราเอง
ที่มาเองบรรเลงตามชะตาพรหม



และ
หวังสักวัน คงลดตรมระทมตื่น
ให้ชื่นฉ่ำใจ
คงมีสักวันใจดวงใสดวงงามนั้นจะพลันพา
พบเพชรพลังปิติเกษม 
หากหัวใจใครหัวใจคนนั้น
เพียงตั้งใจใฝ่บุญกุศลหนุนนำมิท้อมิรอลา



ธรรม..ธรรมชาติเตือนจิตเตือนชีวิตเราได้ในทุกงามแง่
ทุกแห่งหน
ให้รู้รักเป็นรักเย็นรักงามฝากนิยามความดี
พลีเพื่อพสุธาแลเพื่อนมนุษย์นี้
ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
อย่างไร้เผ่าพันธุ์ชาติศาสนามาปันแบ่ง



สำหรับสาวนา..หาใช่ผู้หลุดพ้นไม่
เพียงเพียรพยายามเสมอมา
ที่จะคิดใฝ่ดีมีเมตตาธรรม
และน้อมนำมาบ่มพร่ำสอนใจให้หอมใจ



แม้นจะวกวนในบางครั้งบางครา กับชะตากรรม
ก็ใช่จะว่านานช้าก็ไม่..

และ
หัวใจดวงใสดวงงามนี้
ขอเพียงพลี
ให้กับความกลางๆ
ความงามความเงียบสงบตามธรรมชาติ
จนกว่าวิบากเก่าวิบากกรรมจะหมดสิ้นไปในชั่วชีวิตหนึ่งนี้



ที่ขอใครอย่าได้มาคาดหวังคาดหมาย
ให้สาวนานั้นต้องดีต้องเป็น
ต้องเว้นเลิกละดับหมดได้ทุกสิ่ง

ในเมื่อโลกจริงกับโลกเลือกในฝันนั้น
บางครั้งใช่จะเลือกหมายได้ดั่งจิต
หากต้องอิงกับชะตาลิขิตพรหมบันดาล
วิบากตามวิบากแก้ให้ต้องยอมรับความจริง



และเพียงไม่เคยคิดจะวิ่งหนี
ขอเพียงชั่วชีวีชีวิต
มีใครสักคน
มาสถิตทอดทางนำแสงพร่างสว่างใส



ที่ดวงกมลมีรักแบบใสใสมีร่มธรรมร่มใจ
มีเมตตามากปรานีมีน้ำใจ
อย่างจริงแท้
แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ได้หยิบยื่นความหวังความฝันนั้น
ให้จิตจับรับรอยงามตามรอยธรรมรอยทองไปด้วยกัน



คงแค่นั้น...
ก็แสนภาคภูมิใจ
คงแสนดีแสนงาม

คงเจียมตัวเจียมใจ
คงเพียงพอคงพอเพียง..
นะยอดดวงหฤทัยยอดชีวี...ยอดขวัญไพร
เป็นหนึ่งในดวงใจดวงอาภัพนี้..
ที่จะสถิตจดจำไปตราบชั่วนิจนิรันดร..

******************




http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=255
สายสร้อยร้อยใจ   
ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ : : Key Dm  
สายสร้อยร้อยใจสายไยสวาท
หมายขาดหลุดสุดหนทาง
รักจางตรอมตรมไม่หาย
โอ้ใจเอ๋ย ไหน เลย มาหน่าย
ฟ้า ดินแม้สิ้นสลาย รักมิคลายรักสุดบูชา
สายจิตร้อยทรวงไยลวงหลอกหลอน
อกสั่น หวั่นรักรอน ยามกินยามนอนผวา 
ภาพความหลัง นั้น ยัง เตือนตา 
น้อง คงมิปรารถนา จึง ลาระทมตรมใจ
พี่ แพ้ เจ้าไม่แลเหลียวมองมาเลย 
อก เอ๋ย ไปชื่นชมหลงคารมใคร 
พี่ รัก ใช่หลอกลวงรักเต็มทรวงใน
รัก ซ่อนซ้อนใจ ห่วงหรือไรทิ้งพี่ให้ตรม
สายโซ่คล้องใจสายไยสวาท
พี่อยู่ ก็เหมือนคน ไม่กายไร้ใจชื่นชม 
สร้อยใจหาย รัก กลาย เป็นลม 
เหลือรอยสายสร้อยขื่นขม 
ร้อยอารมณ์ระทมตรมทรวง...

 
  

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสาวบ้านนา
Lovings  สาวบ้านนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสาวบ้านนา