22 เมษายน 2546 09:28 น.

ลูกหมาที่เห่าดังที่สุดในโลก

หมอกจาง

โฮ่ง !! โฮ่ง!! โฮ่ง !!  ฮื่อออ..โฮ่ง!! ผมมีอันต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงนั้น เดินมาเงียบๆคิดอะไรเพลินๆ ดันมีตัวอะไรไม่รู้มาเห่าใกล้ๆ.. คงเป็นหมา ถ้าเป็นนกหรือแมวคงไม่เห่า แต่ไอ้หมาตัวนี้มันเห่าดังชะมัด ตัวคงใหญ่น่าดู แปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่เคยรู้ว่าซอยบ้านผมมีหมาดุ
ฮื่อ.. คำรามในคอเหมือนจะลองเชิง แล้วก็กรรโชกซ้ำมาอีกรอบ โฮ่ง !! โฮ่ง !!แฮ่!!  แง่ง!!  เห่าได้เพอเฟ็คมาก แต่ผมไม่อยากเสี่ยงที่จะอยู่ฟังต่อ  ประตูรั้วบ้านนั้นแง้มทิ้งไว้ มันอาจพรวดพราดออกมากระโดดกัดคอหอยผมก็ได้ เลยตัดสินใจสับเท้าวิ่งรวดเดียวถึงบ้าน ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นัก แค่ราวๆ 2-300 เมตร   แต่เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลัง
ทำอะไรมา หอบมาเชียว พี่สาวผมทักขึ้นหลังจากเห็นสภาพน้องชาย
วิ่งหนีหมา เห่าน่ากลัวชะมัด เปิดตู้เย็นหาน้ำกิน ..ฟู่.. นี่ถ้าได้ยาดมสักหน่อยคงดี ใ รู้สึกใจหวิวๆ
 วิ่งทำไม เสียเชิง ไม่ลองเห่าสู้กับมันดู แน้..เห็นน้องชายเป็นหมา
ไม่ละท่าทางมันจะตัวใหญ่เอาเรื่อง
อ้าว..ไม่เห็นตัวมันเหรอ ผมส่ายหัว พี่เลยถามต่อ
บ้านไหนล่ะ
ตรงกลางซอย บ้านที่ปลูกเฟื่องฟ้าสีขาวไว้หน้ารั้วน่ะ
ไม่เห็นเคยรู้ว่าบ้านนั้นมีหมา
วันหลังจะให้เขาติดป้ายประกาศ ตอนนี้บ้านนี้มีหมาแล้วจ้ะ ผมค่อน 
             พี่สาวค้อนควับ

สายวันรุ่งขึ้น  เป็นวันหยุด ว่าจะไม่ออกไปไหน แต่ยังอยากได้หนังสือพิมพ์สักเล่ม น้ำเต้าหู้หน้าปากซอยสักถุง เลยต้องเดินผ่านหน้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง หวังว่าวันนี้มันคงไม่เห่า วันหยุดนี่นา
ปรากฏว่าพอผมเดินเข้ามาใกล้ก็รู้ว่าคิดผิด เจ้าหมานั่นกำลังกรรโชกป้าคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าบ้าน วันนี้ประตูรั้วปิดอยู่มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ลอดออกมา แต่แค่นั้นก็ทำให้ป้าแกกลัวลานแล้ว
ไอ้หมาบ้า  เห่าคนแก่ แกบ่นของแกงึมงำ  โธ่ป้า..บุญแล้วหละที่ประตูรั้วมันปิด นี่ถ้าประตูรั้วเปิดอยู่อาจมีกรณีหมากัดคนแก่ไปแล้ว..
ป้าแกเดินผ่านไป และผม..เดินผ่านมา ไอ้เจ้านั่นมันก็เปลี่ยนเป้าหมายทันควันฮื่อ..แง่ง !! แง่ง !! มาฟอร์มเดียวกับเมื่อวานเลย แต่วันนี้ประตูรั้วปิด ย้ำอีกครั้งว่า ประตูรั้วปิด.. ผมเลยไม่ต้องออกแรงวิ่ง ยังไงเสียมันก็ออกมาไม่ได้
แอ้ดด ใจวูบลงไปที่ตาตุ่ม  เฮ้ย!! ไอ้หมานั่นมันเปิดประตูออกมาแล้ว มันเอาเราแน่  ..ลืมคิดไปว่ามันไม่มีหัวแม่มือ
แต่หน้าที่ยื่นออกมากลับไม่ใช่หน้าหมา เป็นหน้าใสๆของสาวน้อยคนหนึ่ง ก็..น่ารักดี  ถ้าพูดกันตรงๆก็ต้องบอกว่าสวยเลยหละ
มาหาใครคะ 
เอ่อ..ไม่ได้หาใครหรอกครับ จะออกไปซื้อน้ำเต้าหู้  ผมก็ตอบของผมไปตรงๆ   แต่ท่าทางเธอดูจะงงๆ   เอ ..หรือว่าเธอจะไม่รู้จักน้ำเต้าหู้..
อ้าว..ฉันเห็นหมามันเห่าอยู่ตั้งนานนี่คะ 
ก็ไม่ได้เห่าผมสักทีเดียวหรอกครับ
ไม่ได้เห่าคุณเหรอคะ
เห่าครับ.. แต่ก็..ไม่เชิง ดูท่าว่าเธอจะงงหนักขึ้น ผมเองก็เริ่มงงบ้างเหมือนกัน
เอ่อ..ตกลงว่ามันเห่าผมแล้วกัน
แล้วคุณมายืนให้มันเห่าทำไมตั้งนาน
เปล่า..ผมจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ กลับมาที่เดิมอีก ท่าจะไม่รู้เรื่องกันเสียที ผมเลยเปลี่ยนเรื่อง
หมาคุณกัดไหม
ไม่หรอกค่ะ เธอยิ้ม.. น่ารักเชียว คุณลองดูมันก่อนดีกว่า ว่าแล้วเธอก็หันไปอุ้มมันขึ้นมาให้ผมดู..  ลูกหมาครับ ลูกหมาไทยแท้ สีนวลๆหน้าตาบ้านนอกเชียว
ไอ้ตัวนี้เนี่ยนะที่เห่า ผมเอามือชี้หน้ามัน แล้วก็ได้คำตอบ มันเริ่มเห่าใส่ผมอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่
ฮื่อ..แง่.. เสียงมีพาวเวอร์เกินตัวไปเยอะทีเดียว พอเธอปรามมันเลยเงียบเสียงลง
จุ๊..จุ๊.. เธอกอดมันไว้กับอกพลางลูบหัว เป็นครั้งแรกที่ผมนึกอิจฉาหมา..
ให้อะไรมันกินเหรอครับ เห่าดังดีจริง อดไม่ได้ที่จะถาม เธอยิ้ม
น้ำเต้าหู้ค่ะ สะอึกไป อีกหน่อยผมคงเห่าดังเหมือนมัน
กินเหมือนผมเลย
แล้วก็พวกเนื้อ พวกไก่ แล้วแต่ อันนี้มันกินดีกว่าผม..
แต่ที่มันเห่าดังไม่ใช่เพราะอาหารหรอกค่ะ
เหรอครับ
มันเป็นลูกหมากำพร้า พ่อฉันเก็บมาเลี้ยงจากที่ทำงาน ตอนอยู่ที่โน่นเทศกิจเขาจับแม่มันแล้วก็พี่น้องมันไปหมด มีมันหลงรอดอยู่ตัวเดียว
ครับ ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านั่นมันทำให้มันเห่าดังขนาดนี้ได้ยังไง
ทีนี้พอมีมันเหลืออยู่ตัวเดียว หมาใหญ่ๆที่นั่นก็รังแกมัน
ครับ มันน่าจะฝึกร้องเอ๋งได้ดังๆมากกว่านี่นา
พ่อบอกว่าพอมันเจ็บๆขึ้นมามันก็สู้
ครับ
แต่ก็สู้ไม่ได้ โดนขย้ำอานไปทุกที มันเป็นแค่ลูกหมาเอง เธอลูบหัวมันทำตาแดงๆ ผมก็อยากเข้าไปลูบหัวปลอบเธอเหมือนกัน แต่กลัวโดนด่า..
ครับ 
เธอมองหน้า ผมคงครับถี่ไป
แล้วทีนี้..เธอเว้นจังหวะดูเชิงว่ามันจะครับอีกไหม ดีที่ผมยั้งไว้ทัน
แล้วทีนี้..  เธอขยับจะเล่าต่อ
ครับ อ้าว..หลุด
เธอหัวเราะคิก ท่าทางดูเป็นกันเองขึ้น
พ่อบอกว่าทีนี้มันเลยต้องหาทางเอาตัวรอด และวิธีที่มันเลือกคือ เห่าให้ดังขึ้น ให้ดังที่สุดในหมู่ ตัวอื่นจะได้ไม่กล้ารังแกมัน
แต่.. ผมอดไม่ได้ที่จะแย้ง เห่าดังยังไงมันก็ตัวเท่าเดิมนี่ ไม่มีประโยชน์หรอก
คุณยังกลัวเลย เธอว่า
ก็ผมมองไม่เห็นตัวมันนี่ ถ้าเห็นจ้างก็ไม่กลัว โถ..ตัวเท่าลูกหมา
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หมาด้วยกันอาจเกรงใจกันที่เสียงเห่าก็ได้
ผมว่าไม่มีทาง
ฉันบอกแล้วไงว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเสียงเธอเริ่มขึ้นจมูก ฉันไม่เคยเป็นหมานี่ 
ผมเริ่มรู้สึกว่าขืนเถียงไปท่าจะเข้าตัว
แต่พ่อฉันบอกว่ามันได้ผล ไม่มีตัวไหนเข้ามารังแกมันอีก
ครับ แบบเดิมท่าจะปลอดภัยกว่า
พอพ่อพามันมาเลี้ยงที่บ้าน มันก็ยังเห่าแบบเดิม จนคอมันอักเสบบ่อยๆ พาไปหาหมอ หมอบอกอย่าให้มันเห่าบ่อยนัก อ๋อ..ที่เธอวิ่งมาดูผมตอนแรกนี่คงเพราะห่วงหมา กลัวมันเห่าจนคอแห้ง.. นึกสงสารตัวเองอย่างไร้สาเหตุ ที่การเดินของผมไประคายเคืองคอหมาเธอเข้า
แต่บ้านคุณอยู่กลางซอยอย่างนี้ มันก็เห่าได้ทั้งวันนั่นแหละ
ไม่หรอก มันเลือกเห่าเฉพาะพวกที่หลุกๆหลิกๆดูไม่น่าวางใจเท่านั้นแหละ อ้าว..
หมอบอกว่าพอมันเริ่มโตขึ้น มันจะค่อยๆเห่าเบาลง ฟังดูกลับตาลปัตรยังไงไม่รู้
ผมเคยได้ยินแต่โตขึ้นก็เห่าดังขึ้น
หมอบอกว่าพอโตขึ้นมันเริ่มมั่นใจในกำลังมันมากขึ้น มันจะเริ่มค่อยๆเห่าน้อยลง เบาลง เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องคอยขู่ใครให้กลัวอีกต่อไป สงสัยหมอที่ว่าต้องเป็นจิตแพทย์แหงๆ
คุณเลยต้องบำรุงมันด้วยเนื้อ ด้วยไก่ให้มันโตไวๆ
ใช่ เธอยิ้มรับ น้ำเต้าหู้ด้วย น่าน..อุตส่าห์ข้ามไปแล้วเชียว
คุณจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ใช่ไหม ฉันฝากซื้อถุงนึงสิ
ได้.. ใส่น้ำตาลไหม ผมไม่รู้นี่ว่าหมามันกินน้ำเต้าหู้ใส่น้ำตาลหรือเปล่า
ยังไงก็ได้ เอาเหมือนของคุณนั่นแหละ อ้าว..

ขากลับ ผมแวะเอาน้ำเต้าหู้มาให้เธอ เธอส่งเงินให้ แต่ผมไม่รับ
ไม่เป็นไรครับ ถือเสียว่าสำหรับการได้รู้จักกัน
ขอบคุณค่ะ เธอยิ้มหวานก่อนหันไปกุลีกุจอเทน้ำเต้าหู้ลงชามใบเล็ก ให้ไอ้เจ้าสีนวลเสียงใหญ่ตัวนั้น
เอ่อ..ชื่ออะไรน่ะครับ เผื่อวันหลังผ่านมาจะได้ทักถูก
เธอหันมามองหน้าผมแวบหนึ่ง เบือนๆหน้ายิ้มเสไปลูบหัวลูกหมาเล่น
กี้ค่ะ
.
ผมกลับถึงบ้าน ครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ตรงเข้าครัว เล่าให้พี่สาวฟังเรื่องเจ้าลูกหมาเสียงใหญ่ และอดไม่ได้ที่จะเล่าถึงเจ้าของที่แสนจะน่ารัก
เค้าบอกชื่อกี้
ชื่อคนหรือชื่อหมาล่ะ
เออ..ผมก็ลืมนึกไป
..

				
14 เมษายน 2546 08:22 น.

นางนวล

หมอกจาง

วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีนักสำหรับผม อะไรต่อมิอะไรหลายอย่างดูจะผิดพลาดไปหมด ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ และส่วนใหญ่แล้ว กับวันที่แย่ๆอย่างนี้ ผมมักหลบมาอยู่คนเดียวสักพัก ทิ้งเรื่องราวต่างๆไว้ข้างหลัง พอสบายใจแล้วค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับมันใหม่ วันนี้ผมเลือกมานั่งที่ริมทะเล ไม่ไกลจากที่พักนัก
   ทะเลวันนี้ลมแรงเป็นพิเศษ ถึงแม้แดดจะดี แต่เพราะคลื่นลมที่แรง คนจึงดูบางตากว่าทุกวัน ผมเลือกเดินเลาะไปเรื่อยๆตามชายหาด จนรู้สึกเมื่อย เลยหยุดนั่งที่ที่พักริมทาง ทอดสายตาออกไปสู่ท้องทะเล นางนวลฝูงย่อมๆฝูงหนึ่ง เดินเล่นอยู่ริมหาด บางทีบางตัวก็ลงเล่นน้ำทะเล  บางตัวก็บินโฉบไปมาเหนือผิวน้ำ ผมชอบที่จะนั่งดูเวลามันบิน เวลานกนางนวลบินดูคล้ายกับว่ามันกำลังเล่นกับลมอยู่ ยิ่งลมแรงเหมือนมันยิ่งชอบ กางปีกออกต้านลม ลอยออกไปเหมือนว่าว บิดปลายปีกเพื่อคอยปรับทิศทางให้ตรงกับที่มันต้องการ ค่อยๆปรับทีละน้อย ทีละน้อย บางครั้งเวลาที่มันจะลงเกาะหัวเสาสักต้นหนึ่งก็เหมือนกับมันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือเสาต้นนั้น ค่อยๆลดเพดานต่ำลงในแนวดิ่ง ช้าๆอย่างไม่น่าเชื่อ จนขามันแตะเสาจึงค่อยๆหรุบปีกลง นึกสงสัยอยู่ว่ามันจะเคยรู้สึกเหนื่อยกันบ้างไหม เพราะดูเหมือนมันไม่ได้ออกแรงบินสักเท่าไหร่เลย
   นั่งมองคิดอะไรไปเรื่อยๆ หายเครียดหายล้าลงบ้าง แต่ความกังวลก็ยังวิ่งวนอยู่ในหัว.. เจ้านกนางนวลตัวหนึ่งเดินเตาะแตะแตกฝูงมาทางผม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงหน้า คงหวังที่จะได้อะไรกิน..
เป็นอะไรอ้ะ
 เสียงผู้ชาย แต่ฟังดูก็คล้ายๆเสียงเด็กที่เพิ่งย่างเข้าวัยรุ่น หันมองไปรอบๆ ไม่มีใครสักคน คงหูฝาดไป
เป็นอะไรไป
ผมมองไปรอบตัวอีกหนึ่งรอบ ไม่มีใคร มีเพียงเจ้านางนวลที่จ้องหน้าผมตาแป๋ว ผมส่ายหัวนึกขำตัวเอง
แกแน่ๆเลยที่ทักฉัน ใช่มั้ย รับมาเสียดีๆ อดไม่ได้ที่จะล้อเล่นกับมัน ที่มามองหน้าเหมือนจะคุยกับผม..
ก็ใช่น่ะสิ ทักตั้งสองทีแน่ะ คราวนี้ผมผงะแทบตกจากที่นั่ง
 เฮ้ย.. ร่ำๆว่าจะลุกวิ่ง แต่เจ้าตัวแสบก็ถือวิสาสะโดดขึ้นมายืนข้างที่ผมนั่งหน้าตาเฉย
วันนี้ลมแรงดีนะ

แดดก็ดีด้วย
..
นี่นายพูดไม่ได้เหรอ 
นี่นายพูดได้เหรอ 
เจ้านางนวลตัวนั้นมองหน้าผม เหมือนผมถามมันด้วยคำถามที่โง่ที่สุดในโลก ก่อนจะตอบแบบเสียไม่ได้
ก็ได้น่ะสิ ใช่สินะก็เห็นๆอยู่ว่ามันพูดได้ นกนางนวลพูดได้ ผมต้องเครียดมากไปแล้วแน่ๆ
ว่าแต่ว่านายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยว่าเป็นอะไร เห็นนั่งซึมมาพักใหญ่ๆแล้ว มันยังยืนกรานคำถามเดิม
ก็ไม่ได้เป็นอะไร เครียดนิดหน่อย
เรื่องอะไรล่ะ แน่ะ..อยากรู้อีก
ก็..เรื่องงาน
เรื่องงาน.. ไร้สาระว่ะ  อ้าว ไอ้นี่ หมั่นไส้มันขึ้นมาตงิดๆ ความกลัวความตกใจเริ่มจางไป ตัวมันก็กระจิดเดียว จะทำอะไรเราได้ อย่างมากก็ได้แค่พูด แต่แค่นั้นก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน
ไร้สาระยังไง
งานโง่ๆ พวกนายก็แค่หาอะไรที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่าทำ แค่หาอะไรยึดเหนี่ยว จริงๆแล้วพวกนายแทบไม่เคยสนมันเลยด้วยซ้ำว่ามันมีคุณค่าจริงๆหรือเปล่า นายแค่อยากเชื่อว่ามันมีคุณค่าเท่านั้น
หมายความว่าไง ผมตามมันไม่ทัน แต่มันกลับเปลี่ยนเรื่องพูด
ฉันชอบบินในวันที่ลมแรงอย่างนี้จัง นายนั่งดูอยู่ตั้งนาน นายว่าฉันบินเป็นไงมั่ง บางทีนะฉันรู้สึกว่าฉันเป็นนกที่บินเก่งที่สุดในฝูงด้วยซ้ำ  คุยอีกแน่ะ
ก็น่าจะเป็นยังงั้น ผมยอมันไป ดูจากอาการระริกระรี้ของมันแล้วก็น่าจะได้ผล จริงๆแล้วผมแยกไม่ออกหรอกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ลองคุยกับมันดูสักตั้ง
ไหมล่ะ ว่าแล้วว่านายต้องเห็นอย่างนั้น
ฉันชอบดูเวลาที่นายบินแล้วดูเหมือนนายลอยเฉยๆให้ลมพัดเล่นจัง นายทำได้ยังไงน่ะ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็น
ก็ มันยืดอกขึ้นเล็กน้อย ดูดีใช่ไหมล่ะ แน่ะ..จะให้ยออีก
ช่ายยย..  ดูดีมากก มันคงไม่ได้สังเกตหางเสียง เพราะผมเห็นมันทำท่าระริกระรี้อีกครั้ง..
  นายทำได้ยังไงนะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ ต้องถามย้ำ ท่าทางมันมัวแต่ภูมิใจจนลืมตอบคำถาม
เริ่มต้น นายต้องมีทัศนคติที่ดีก่อน หือ.. อะไรนะ  ทัศนคติ ผมคิดว่ามันจะพูดถึงวิธีการปรับปีก กางออก หุบเข้า อะไรอย่างนั้นมากกว่า
ทัศนคติเหรอ
ใช่น่ะสิ มันมองหน้าเหมือนผมเป็นคนโง่ นายจะบินอย่างพวกฉันไม่ได้หรอก ถ้านายมีทัศนคติที่ผิดๆกับลม 
หมายความว่าไง
หมายความว่าพอลมแรงๆพัดมา แล้วนายคิดว่านั่นคืออุปสรรคที่นายต้องเอาชนะ อืมม..ใช่ๆ นายต้องคิดว่าเป็นอุปสรรคแน่ๆ ถ้านายเป็นนก นายจะทำยังไง 
ฉันก็พยายามที่จะเอาชนะมันให้ได้น่ะสิ
แล้วถ้าลมมันแรงมากล่ะ
ฉันก็จะพยายามมากขึ้นไง
แล้วถ้ามันแรงเกินกว่านายจะต้านไหวล่ะ
ฉันก็จะสู้มันให้เต็มที่ กระพือปีกให้เต็มที่ ฉันต้องเอาชนะมันให้ได้ ผมแสดงความมุ่งมั่นออกมา
นายนี่โง่ว่ะ มันด่าเอาซึ่งๆหน้า ไม่ทันที่จะแย้งมันก็พูดต่อ
วิธีที่พวกฉันบินก็คือ เราไม่เคยต่อสู้กับสายลม เราปรับตัวให้เข้ากับลม เรียนรู้ทิศทางและกำลังของมัน กางปีกออกรับ ปล่อยมันพาเราไป.. นายเห็นหัวสีขาวของฉันไหม
เห็น มันเปลี่ยนเรื่องเฉยๆ ผมไม่รู้มันจะมาไม้ไหน ได้แต่เออออตามไป
มันเป็นสัญลักษณ์ของทัศนะคติที่เปิดกว้างและโอนอ่อน มองโลกในแง่ดี อ๊ะ..ไม่เบา เจ้านกนี่
แต่ถ้านายปล่อยให้ลมพานายไป ที่ไหนก็ได้แล้วแต่มันจะพัดไป..ยังไม่ทันพูดจบมันก็สวนขึ้นมาทันควัน
ใครบอกนายล่ะว่าเราลอยไปเรื่อยๆตามลม
อ้าว..
เรารู้อยู่ตลอดเวลาถึงที่ที่เราจะไป เรารู้จักใช้สายลมเป็นเครื่องช่วยที่จะพาไปสู่ที่หมาย แต่เราไม่เคยหลงทิศทางไปโดยสายลม และนั่นแหละคือความหมายของหางที่เป็นสีดำของนกนางนวล มันหมายถึงความมั่นคงในจุดหมายไงล่ะ
อืมม ผมอึ้งไปถนัด ไม่แน่ใจว่ามันแค่ขี้โม้หรือพูดจริง เลยลองแหย่มันไปต่อ 
 แล้วปีกสีเทาของนายล่ะ มีความหมายอะไรพิเศษไหม  เจ้านกนั่นมันมองหน้าผมแบบเดิมอีกครั้ง แบบว่าเหมือนผมเป็นคนโง่ที่สุดในโลก
ถ้าฉันบินด้วยทัศนะคติที่เปิดกว้างโอนอ่อนของหัวสีขาว และความมั่นคงในจุดหมายของหางสีดำละก้อ นายคิดว่าปีกที่ฉันใช้บินควรมีสีอะไรล่ะ
..  ผมคงโง่จริงๆน่ะแหละ..
เรานิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง ทอดสายตาไปที่ทะเล ฝูงของมันเล่นน้ำกันอยู่ ท่าทางสนุก ดูเหมือนมันอยากกลับไปเล่นกับฝูง
นี่ ผมเรียก
หืมม
นกนางนวลที่พูดได้เนี่ย มีแค่นายตัวเดียวหรือมีตัวอื่นอีก
พูดได้ทุกตัวนั่นแหละ มันทำหน้าลึกลับ ถ้านายใส่ใจที่จะฟังนะ
..
...
แล้วอย่างอื่นล่ะ.. ฉันหมายถึงนกชนิดอื่น ปลา หมา แมว อะไรพวกเนี้ย.. มันพูดได้กันมั่งไหม
เจ้านกนั่นมองหน้าผมอีกครั้ง พลางส่ายหัว
นายนี่มันเข็นไม่ขึ้นจริงๆว่ะ ว่าแล้วมันก็บินกลับไปเข้าฝูง เพียงชั่วครู่ผมก็แยกไม่ออก ว่าตัวไหนคือตัวที่ผมเพิ่งคุยกับมัน..
                                                  .				
9 เมษายน 2546 08:39 น.

ดังนั้น ฉันจึงเขียน

หมอกจาง

เธอรู้ไหม..
ครั้งหนึ่ง..ฉันเคยเกิดเป็นกลาสีเรือ
อยู่บนเรือลำใหญ่..ท่องไปในท้องทะเลกว้าง
แต่ฉันเป็นกลาสีเรือที่ไม่ได้ความนัก
ขาดทักษะในการงาน..
เพียงเพราะความรักในท้องทะเล
ฉันจึงเลือกมาเป็นกลาสีเรือ..
กัปตันเรือดุด่าฉันอยู่ทุกวัน
เพื่อนกลาสีพากันเหยียดหยัน
ด้วยรำคาญและหน่ายระอา..

เมื่อสิ้นสุดการงานของแต่ละวัน
ฉันจะปลีกตัวนั่งเงียบๆอยู่ท้ายเรือ
ทอดสายตาไปยังแสงสีทองที่ขอบทะเล
ฝูงปลาที่ไล่เล่นอยู่บนผิวน้ำ
ปล่อยจินตนาการเตลิดตามแต่จะฝัน
และเขียนบทกวี..
เขียนด้วยหมึกสีดำ ลงบนกระดาษสีน้ำตาล
เขียนเก็บไว้นับร้อยบท
ไม่มีใครสนใจในบทกวีเหล่านั้น
มีเพียงฉัน ที่เพียรรื้อมันออกมาชื่นชม
ในค่ำคืนที่เงียบงัน..ในแสงสลัวๆแห่งใต้ถุนท้องเรือ

วันหนึ่ง..
ฉันทะเลาะกับเพื่อนกลาสีด้วยกัน
ด้วยถ้อยคำถากถางที่ไม่รู้จบสิ้นของเขา
เราต่อสู้..
สุดท้าย..เขาแทงฉันด้วยมีด
ฉันขาดใจตาย 
กลางแสงแดดจ้า กลางท้องทะเล
เลือดไหลนองพื้นเรือ

หลายคนดูตกใจ
แต่ไม่มีสักคนที่เสียใจ
กัปตัน สั่งให้โยนศพฉันลงทะเล
เช็ดคราบเลือดบนเรือให้สะอาด
โยนสัมภาระทุกอย่างของฉัน
ทิ้งลงทะเลให้หมดสิ้น..

บทกวีหลายร้อยแผ่นเหล่านั้น
ปลิวไปตามแรงลม
บางแผ่น ตกลงบนร่างฉัน
บทกวีที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน..
นอกจากฉัน
บทกวีเหล่านั้น..ไม่เคยมีใครได้อ่าน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง