12 มีนาคม 2553 23:53 น.

ศรัทธาตราบนิรันดร์

คนกรุงศรี

ฝากหัวใจ ใส่ห้อง ช่องที่ว่าง
อาจเปราะบาง เพียงใจ ได้ประจักษ์
โปรดดูแล ไว้ด้วย ช่วยพิทักษ์
มีเพียงรัก บริสุทธิ์ เป็นจุดยืน

อบอุ่นกับ นิยาม ของความฝัน
แม้บางวัน ปวดร้าว ราวขมขื่น
แต่ก็ยัง มั่นหมาย มิคลายคืน
แปรเป็นอื่น ใดเลย มิเคยคิด

มีคนมา มอบใจ ให้ก็มาก
แค่เพียงฝาก ความเป็นเพื่อน ไว้เตือนจิต
มิเคยจะ ด่างพร้อย แม้น้อยนิด
คงมีสิทธิ์ ขอบเขต เจตจำนง

ใจดวงน้อย อยู่เรียง ร่วมเคียงข้าง
เดินตามทาง แสนดี ที่เธอส่ง
เพียบพร้อมด้วย ความภักดิ์ รักซื่อตรง
เพราะมั่นคง แม้กาล จะผ่านไป

เมื่อคราฉัน อ่อนแอ แพ้ชีวิต
เธอคือมิตร ปลอบขวัญ ยามหวั่นไหว
จุดประกาย แห่งหวัง กำลังใจ
คอยซับน้ำ ตาให้ เมื่อไหลริน

ศรัทธามอบ ตอบแทน ด้วยแสนซึ้้ง
รักคิดถึง ห่วงใย ใคร่ถวิล
จวบเปลือกตา ล้าหลบ จบชีวิน
ไม่สร่างสิ้น รักที่ มีต่อเธอ				
12 มีนาคม 2553 23:10 น.

รอ

คนกรุงศรี

จากทุ่งนา ฟ้ากว้าง ไปสร้างฝัน
ใกล้คิมหันต์ จะเยือน เหมือนปีก่อน
สู่แดนที่ รุ่งเรือง เมืองอมร
ทิ้งดินดอน จากไกล ไม่กลับมา

    ตั้งความหวัง สูงส่ง คงพบสุข
    ไม่ต้องทุกข์ บากบั่น สู้ปัญหา
    ลืมสาบบัว ผักบุ้ง ปลายทุ่งนา
    ลืมชายคา มุงจาก ริมฟากคลอง

ทิ้งลอมฟาง กลางลาน ถิ่นบ้านเก่า
พ่อแม่เจ้า ทุกข์ทน แสนหม่นหมอง
ถึงสุดสาย ตาแล ชะแง้มอง
น้ำตานอง คอยเก้อ จนเพ้อครวญ

    เมื่อตอนกลาง ปีกลาย พ่อตายจาก
    เพราะเหนื่อยยาก เร่งเสริม เพิ่มงานสวน
    เหลือเพียงแม่ แก่เฒ่า เฝ้าทบทวน
    อายุจวน แปดสิบห้า นัยน์ตาฟาง

มองสวนรก นาร้าง อย่างอ่อนล้า
วันเวลา คล้อยเคลื่อน เดือนปีห่าง
ความหวังมี เล็กน้อย ค่อยเลือนลาง
แล้วเจือจาง จากใจ ไปทุกครา

    ลมหายใจ เฮือกหนึ่ง คิดถึงนัก
    โอ้ลูกรัก ยามเป็น มิเห็นหน้า
    หรือรอจน แม่ตาย วายชีวา 
    เจ้าจึงมา หมอบร่าง อยู่ข้างโลง				
28 กุมภาพันธ์ 2553 23:08 น.

สัจจธรรม

คนกรุงศรี

เมื่อพบแล้ว จำพราก จากไกลพ้น
ชีวิตคน บนเวที ที่กว้างขวาง
อาจไม่เน้น จำเพาะ ความเปราะบาง
ตลอดทาง สายยาว ที่ก้าวเดิน

มีสุขเศร้า ปรุงแต่ง ทุกแห่งหน
ปุถุชน ชี้ชัด มิขัดเขิน
อย่ายึดมั่น ถือมั่น ฝันไกลเกิน
เมื่อเผชิญ สัมผัส อนัตตา

กิเลสคือ ตัวแปร ที่แย่มาก
มีหลายหลาก ปมเปิด เกิดปัญหา
เข้าเกาะกุม สุมจิต อนิจจา
รอเวลา ลุกลาม ท่ามกลิ่นไอ

เมื่อเกิดแล้ว สุดท้าย ต้องตายแน่
คือจริงแท้ จวบบรรลุ อายุขัย
หมดกรรมของ ภูมิภพ จบชีพไป
ร่างมอดไหม้ สูญสิ้น ทั้งอินทรีย์

รวมดินน้ำ ลมไฟ ในมนุษย์
เพื่อเป็นจุด ประกาศ ธาตุทั้งสี่
หล่อหลอมขึ้น มาทำ กรรมชั่วดี

แล้วแต่มี ดุลยพินิจ คิดไฝ่ปอง

รักจะเกิด ต่อเมื่อ เชื้้อเริ่มคุ
โลภประทุ เร้ารุม สุมสมอง
โกรธเกลียดแค้น ดั่งให้ ไฟเข้าครอง
หลงจักต้อง ทุกข์ทน  จนตัวตาย				
28 กุมภาพันธ์ 2553 00:49 น.

วงเวียน

คนกรุงศรี

วันและวัย ปรากฎ กำหนดแน่
   ความเปลี่ยนแปร มิยั้ง ต่อสังขาร
   ต่างร่วงโรย มอดไหม้ ไปตามกาล
   เวลาผ่าน พานพบ ครบชั่วดี

ได้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ งานชีวิต
เพื่อใช้สิทธิ์ ยึดย้ำ ทำหน้าที่
บทบัญญัติ แห่งกรรม นำชีวิ
เครื่องบ่งชี้ แนวทาง อย่างแน่นอน

  เส้นหนึ่งคือ หนทาง สร้างความชั่ว
  หากเกลือกกลั้ว วุ่นวาย มิถ่ายถอน
  จมอยู่กับ ความคิด ผิดขั้นตอน
  ตราบม้วยมรณ์ ดวงจิต ติดมายา

เส้นหนึ่งคือ ความดี ที่ก้าวย่าง
เพื่อสรรสร้าง สืบสาย สู่ภายหน้า
คุณธรรม ปรานี มีเมตตา
ถือสัจจา เหนือยิ่ง กว่าสิ่งใด

  ชั่วและดี มองเห็น อย่างเด่นชัด
  จงขจัด ขัดเกลา เฝ้าแก้ไข
  โลภโกรธหลง ละวาง ห่างกายใจ
  แม้คลั่งไคล้ ตามต่อ ก่อเกิดกรรม

วันและวัย ปรากฎ กำหนดแล้ว
เดินตรงแนว เถิดหนา อย่าถลำ
พุทธองค์ ทรงตรัส สัจจธรรม
ควรจดจำ ปฎิบัติ ด้วยศรัทธา				
28 กุมภาพันธ์ 2553 00:17 น.

ม่านฟ้า ม่านฝัน

คนกรุงศรี

จันทร์รูปเคียว เรียวรี แสงสีหม่น
ดั่งใจคน คนหนึ่ง ซึ่งผิดหวัง
วิมานสวย จบสิ้น อย่างภินท์พัง
น้ำตาหลั่ง รินแต้ม แก้มบางบาง

    แต่ละหยด ละหยาด บาดดวงจิต
    ดุจยาพิษ ล้อมรุม สุมทั่วร่าง
    มีเหตุผล มากมาย หลายแนวทาง
    ล้วนแตกต่าง จริงแท้ ไม่แน่นอน

ฉันยืนอยู่ ตรงนี้ ตรงที่เก่า
พร้อมความเหงา เรียงราย คล้ายภาพหลอน
ซ้อนสลับ หมุนเวียน เปลี่ยนขั้นตอน
ใจอ่อนอ่อน รับไหว หรือไรกัน

   จันทร์เริ่มจะ จางหาย จากปลายฟ้า
   ม่านดวงตา ปิดลง ตรงภาพฝัน
   อยากหลับให้ สนิท นิจนิรันดร์
   พร้อมผูกพันธ์ แห่งค่า สัญญาเรา

ดาวจะเลือน เดือนลา จากฟ้าแล้ว
ลิบลิบแนว โน้มต่ำ ย้ำรอยเหงา
ยินเสียงครวญ หวานแว่ว ดังแผ่วเบา
ยิ่งแสนเศร้า สับสน จนหมองตรม

   ลาก่อนนะ เดือนดาว พราวเวหน
   คิดถึงคน อยู่ห่าง อย่างขื่นขม
   สุดอ้างว้าง เดียวดาย กลางสายลม
   ร้าวระบม ดั่งคล้าย...ตายทั้งเป็น				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี