7 กุมภาพันธ์ 2553 00:35 น.

ด้วยรักและผูกพัน

คนกรุงศรี

เธอหรือเป็น ดาวทอง ของชีวิต
         ฉันไร้สิทธิ์ หวังวาด ปรารถนา
         เธอสูงส่ง เกินไป ในเมฆา
         ฉันไขว่คว้า ไม่ถึง สักครึ่งทาง

ดาวกระจาย กระจ่าง อยู่กลางสรวง
ยิ่งแสนห่วง กลับเหมือน เริ่มเคลื่อนห่าง
แสงแวววาว ระยับ ลับเลือนลาง
สุดอ้างว้าง ดวงมาน กับการรอ

         น้ำตาเริ่ม รินหยด รดแก้มผ่อง
         น้ำค้างต้อง กายร้าว หนาวจริงหนอ
         น้ำใจคน คอยนั้น ฉันซึ้งพอ
         น้ำคำพ้อ เพ้อหา ยังอาลัย

หลับอยู่ใน นิยาม แห่งความฝัน
ตื่นก็พลัน สลด สิ้นสดใส
เพราะแท้จริง นั้นต่าง ห่างกันไกล
จึงหมองไหม้ ทุกข์ตรม ระทมจินต์

        ขอแบ่งปัน สักนิด เสี้ยวคิดถึง
        ด้วยเธอคือ ส่วนหนึ่ง จึงถวิล
        รักด้วยความ เข้าใจ ไร้ราคิน
        ตราบจนสิ้น ชีพฉัน ยังมั่นคง

ให้เธอเป็น ดาวทอง ของชีวิต
แม้ไร้สิทธิ์ ที่หวัง ดั่งประสงค์
อธิษฐาน ทุกคืน รักยืนยง
พร้อมซื่อตรง แน่นัก รักเพียงเธอ				
7 กุมภาพันธ์ 2553 00:18 น.

เช้าคืนแรม

คนกรุงศรี

เดือนแรมเรียว เกี่ยวฟ้า สิบกว่าค่ำ
จันทร์ขึ้นนำ สุริยัน ก่อนวันใหม่
หนาวลมเหนือ เนื้อเหน็บ เจ็บภายใน
คนรักไกล จากลา มิมาเยือน

      เสียไก่กู่ ก้องดัง ฟังแล้วเศร้า
      อยู่กับเหงา เดียวดาย ใครจะเหมือน
      แต่รักยัง ฝังใจ ไม่ลืมเลือน
      สัญญาเตือน ยังก้อง กับน้องนวล

เวลาเวียน เปลี่ยนผัน เหมือนนานนัก
อยากจะหัก ห้ามใจ ยิ่งไห้หวล
ทนเก็บรัก หนักอึ้ง ถึงรัญจวน
ใจปั่นป่วน ยิ่งเหลือ เมื่อไกลเธอ

      หนาวลมเหนือ เมื่อก่อน ยังสอนเจ้า
      ทุกค่ำเช้า อย่าเลือน เตือนเสมอ
      คืออาหาร หยูกยา อย่าเผลอเรอ
      มิเจอะเจอ ตกเย็น เป็นกังวล

ตะวันเยือน เดือนลับ ไปกับแสง
ฟ้าสีแดง แต้มลาย ป้ายเวหน
รัตติกาล ลาไป ในบัดดล
แต่กมล เรายัง มืดดั่งเคย

     มีชาติหน้า ฟ้าใหม่ ใจมุ่งหวัง
     พี่กับเจ้า ใจยัง ดั่งเฉลย
     จะมิรี รอท่า ชักช้าเลย
     คำภิเปรย เคยมั่น ตามสัญญา				
4 กุมภาพันธ์ 2553 22:37 น.

คิดถึงเธอแล้วอยากร้องไห้

คนกรุงศรี

ผลงานของ   นก สุวิมล

ฉันชอบนั่ง นับดาว บนราวฟ้า
ห้วงเวหา แสนไกล ด้วยใจหวัง
อยากยลเยี่ยม เปี่ยมฝัน อันจีรัง
อยากจะนั่ง ร่ายฝัน อันเรืองรอง
      
      ดาวกระจาย กระจ่าง สล้างนัก
      แต่ความรัก ไยจึง ถึงหม่นหมอง
      มีเพียงความ ทุกข์ฌศร้า เข้าครอบครอง
      มิสมปอง ขื่นขม ตรมอุรา

ความเข้มแข็ง แกร่งกล้า กลับล้าอ่อน
เก็บซุกซ่อน ในทรวง หร้อมห่วงหา
เกลื่อนร่องรอย บอบซ้ำ กลบน้ำตา
ที่หยาดมา เอ่อนอง ทั้งสองปราง

     พบเพียงความ แรมร้าง อย่างที่เห็น
     ด้วยอาจเป็น เราสอง ต้องเหินห่าง
     เส้นขนาน ยาวทอด ตลอดทาง
     แต่อ้างว้าง จนฉัน นั้นเดียวดาย

คิดถึงจัง คำนี้ ที่ยึดมั่น
ความผูกพัน คงอยู่ มิรู้หาย
ขณะนี้ จนถึง ซึ่งวันตาย
ไม่แหนงหน่าย ยิ่งรัก และภักดี

     ฉันคงนั่ง นับดาว บนราวฟ้า
     หยดน้ำตา ใสใส ก็ไหลปรี่
     ตราบกระทั่ง ทิวา แทนราตรี
     ฟ้าเปลี่ยนสี ก็ไม่ เปลี่ยนใจเลย				
3 กุมภาพันธ์ 2553 23:28 น.

นิทานขรัวตา ตะกั่ว

คนกรุงศรี

ตามีนิทานมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว


นิทานกลอน สอนใจ เล่าไว้ว่า
สองยายตา หากิน แบบสิ้นหวัง
ปล่อยหญ้ารก ปรกทุ่ง แสนรุงรัง
มัวแต่นั่ง ขอพร อ้อนเทวา

            พระธุดงค์ องค์เดียว ท่านเที่ยวค้น
            หวังมรรคผล สงบ พบสุขา
            ปักกรดที่ ท้ายคุ้ง ริมทุ่งนา
            ทั้งยายตา เตรียมใจ ได้ของดี

ฉันขอลาภ หวังรวย ท่านช่วยเถิด
พระก็เกิด เมตตา เรียกมานี่
ให้ตะกั่ว เก้าก้อน สอนวิธี
อยากมั่งมี นำไป หลอมในเตา

             เมื่อละลาย กลายเป็น เช่นทองแท้
             กับข้อแม้ มีว่า อย่าโง่เขลา
             ถ่านที่รุม สุมไฟ ให้เลือกเอา
             รากต้นพริก มาเผา เก็บเถ้ามัน

ทั้งยายตา มานะ จะหาถ่าน
จึงไถหว่าน ที่นา พาขยัน
ปลูกต้นพริก หลายไร่ ไม่นานวัน
พริกพวกนั้น ออกเมล็ด ให้เด็ดกิน

            ก่อนต้นแก่ เก็บขาย มากมายนัก
            ยึดเป็นหลัก ถึงกับ รวยทรัพย์สิน
            มีเงินทอง พอเพียง เลี้ยงชีวิน
            ทิ้งเสียสิ้น ตะกั่ว .........มิมัวรอ
                
                                              ขรัวตา				
3 กุมภาพันธ์ 2553 23:08 น.

เพียงเท่านั้น

คนกรุงศรี

ไม่มีแล้ว ดาวทอง ที่ปองหวัง
หมดกำลัง แรงจิต จะคิดหมาย
ก็ทางเลือก มากล้น กลอุบาย
ฉากสุดท้าย ที่เห็น เป็นมายา
         
        เมื่อคาดหวัง สิ่งใด ในชีวิต
        ยังมีสิทธิ์ ดั้นด้น เสาะค้นหา
        ที่เห็นเรือง อร่าม แลงามตา
        เป็นดารา หรือหิน ดินโคลนตม

จากนิยาม ความจริง สิ่งทั้งผอง
ฤๅจะปอง ดังใจ หมายสุขสม
ก็เบื่อกับ วาจา หวานคารม
อกระทม มามาก จึงอยากไกล

       น้ำตาเธอ รินแต้ม แก้มทั้งสอง
       มีคนจอง จ้องซับ รับขวัญให้
       แต่น้ำตา ของฉัน นั้นตกใน
       แม้กล้ำกลืน ฝืนไว้ ยังไหลริน

เถอะจงเลิก คิดถึง ไม่ซึ้งแล้ว
เหมือนหมดแวว คืนกลับ คงลับสิ้น
หวังว่าเป็น ดาวทอง ของชีวิน
แค่เศษดิน เอาเปรียบ มิเทียบกัน

      เลิกอยากเป็น ดาวทอง ของใครอีก 
      ขอหลบหลีก หมู่ชน คนเย้ยหยัน
      จะทำเฉย เยือกเย็น เป็นเดิมพัน
      รอคอยวัน เวลา ......มันชาชิน
    

                              ขอบพระคุณที่เข้าชม
                                   คนกรุงศรี ฯ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคนกรุงศรี
Lovings  คนกรุงศรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคนกรุงศรี