8 มกราคม 2552 21:19 น.

เคยรัก

ฤทธิ์ ศรีดวง

ใบไม้หล่นบนม้านั่งหน้าบ้าน
มองสะพานผุพังกับกังหัน
ผ่านเวลาทุกข์สุขเหมือนทุกวัน
เฝ้าปลอบขวัญตัวเองด้วยเพลงเดิม

แลลานร้าวร้าวรานสงสารหญ้า
ต้องลมหน้าเหมันต์ก็สั่นเทิ้ม
ฤๅน้ำค้างจางหมดไม่หยดเติม
ใบจึงเริ่มแห้งเหี่ยวทั้งเรียวใบ

เปิดสมุดเก็บภาพเปื้อนคราบฝุ่น
แล้วอิงหนุนหมอนปลอกรูปดอกไม้
โล้ชิงช้าล้าแรงจะแกว่งไกว
เรียกดวงใจดวงดับให้กลับมา

เขาเผลอหลงลืมชื่อเธอหรือไม่
เขามิได้ลืมชื่ออย่าถือสา
ภาพปลายก้อยน้อยนิดยังติดตา
ตราบเวลากำหนดความจดจำ

สะพานข้ามลำน้ำเคยงามมาก
เหลือเพียงซากแห้งกรอบและบอบช้ำ
ภาพถ่ายเล่าเรื่องราวสีขาวดำ
เหลืองเป็นจ้ำโดยรอบริมขอบจาง

เธอเหินห่างจางหายเหมือนสายหมอก
อยากจะบอกคำหนึ่ง..คิดถึงบ้าง
เมื่อลาลับ..กลับเยือนคงเลือนลาง
อาจอ้างว้าง..นานลงก็คงชิน

วันที่เหลือเพื่อคอยนับถอยหลัง
จากรวงรังอ้อมอก..เธอผกผิน
จากตะวันโผผกจนตกดิน
จนสูญสิ้นความฝันไม่หันดู

เขาเรียนรู้เพื่อมีคู่ชีวิต
เมื่อครั้งคิดจะมีชีวิตคู่
เมื่อเธอเมินเดินออกนอกประตู
กลับเรียนรู้เพื่อทนอยู่คนเดียว

ขอผ่อนพักสักวันเถิดฝันร้าย
บนเส้นด้ายปลายขดที่คดเคี้ยว
จบความจำน้อยนิดที่ผิดเกลียว
จะโดดเดี่ยวก็ขอเดินต่อไป

ปิดสมุดเก็บภาพเปื้อนคราบฝุ่น
ใต้หมอนหนุนลายปลอกรูปดอกไม้
อาจไม่มีหลงเหลือแล้วเยื่อใย
แต่อย่างน้อยหัวใจ..เคยได้รัก

๘ มกราคม ๒๕๕๒				
28 ธันวาคม 2551 17:09 น.

ถ่วงน้ำ

ฤทธิ์ ศรีดวง

๑.โอมอ่านบาลีจับผีร้าย
คุมขังนางพรายด้วยสายสิญจน์
เดือนดับอับดาว..ค้างคาวบิน
หม้อดินปิดฝาตรึงผ้ายันต์

เลือกที่เพื่อถ่วงลงห้วงน้ำ
พายจ้ำคืนเปลี่ยวอย่างเสียวขวัญ
เสียงนก..กุกกุก..ขนลุกชัน
เงียบงันยินเพียงเสียงหัวใจ

ถึงบึงมืดเห็นน้ำเย็นลึก
รู้สึกเสียงเหมือนใครเคลื่อนไหว
หรือหม้อดินนั้นจะบรรลัย
จุดไต้มองหา..เบิกตาโพลง

หม้อแตกยันต์หล่นอยู่บนกราบ
ใจวาบวูบหาย..ซิตายโหง
เรือเอนเอียงกลับเหมือนจับโคลง
คุ้งโล่งโค้งเปลี่ยวน้ำเชี่ยวนัก

ร่ายมนต์วนเลขเสกคาถา
หลับตานิ่งนึกเจอศึกหนัก
หยิบกุมารองค์ที่ลงรัก
มึงยังรู้จักกูน้อยไป

หยิบโยนกุมารด้วยญาณกล้า
คาถาเสกทับกำกับไว้
กุมารทองแคล่วคล่องว่องไว
โถมใส่ผีห่าซาตาน

๒.ฟ้าแลบปลาบแปลบฟ้า
ล้วนฤทธาปาฏิหาริย์
กระแทกก็แหลกลาญ
กุมารน้อยก็ย่อยยับ

เสกควายธนูขลัง
ภาษาฟังไม่ได้ศัพท์
หุ่นควายก็หายวับ
แล้วโลดเต้นกลายเป็นควาย

กล้าแกร่งตาแดงกล่ำ
วิ่งถลำจะทำร้าย
ฤทธีแห่งผีพราย
กลับเข้มแข็งกว่าแรงชน

มิพ่ายแม้ควายแพ้
เพราะเพียงแค่ข้าเริ่มต้น
กอบทรายแล้วร่ายมนต์
แล้วซัดซ่าเป็นห่าไฟ

นางร้องอย่างร้อนเร่า
เปลวเพลิงเข้ามาเผาไหม้
หมอทรามก็ย่ามใจ
ล้วงมีดมาลงอาคม

เงื้อพร้านัยน์ตาเดือด
กูจะเชือดให้สาสม
กดกรีดจนมีดจม
อย่าเกิดดับชั่วกัปกัลป์

เชือกป่านปราบมารร้าย
ลงมนต์ร่ายมัดปลายขวั้น
มัดผีไม่มีวัน-
หลุดพ้นพันธนาการ

วางย่ามย่างสามขุม
เหงื่อมือชุ่มกุมเชือกป่าน
เรือโคลงจึงลงคลาน
ลมกรรโชกมาโยกเรือ

ใจฝ่อมีดหมอหล่น
จึงเสื่อมมนต์จะป่นเหยื่อ
เพลิงกรดก็หมดเชื้อ
คงเหลือร่างแต่นางพราย

ผีร้ายจับปลายเชือก
หมอตาเหลือกกระเสือกส่าย
รวบมัดมือรัดกาย
หมอหมดสิ้นแรงดิ้นรน

เรือล่มเพราะลมกล้า
หมอชราตาถลน
แพ้พ่ายเพราะภัยตน
ค่อยถูกถ่วงลงห้วงลึก..

๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๑				
22 ธันวาคม 2551 23:37 น.

ฝนหยดสุดท้าย

ฤทธิ์ ศรีดวง

แล้วลมหนาวก็กรายมาทายทัก
หรือมาผลักไล่ข่มสายลมฝน
จนสั่งลาฟ้ากว้างลงกลางชล
ทิ้งหยดบนใบไม้อย่างดายเดียว

บ้างระเหยแห้งผ่าวขึ้นหาวหน
บ้างรินหล่นร่วงไหลจากใบเขียว
หนึ่งหยดใสไหลวูบอย่างซูบเซียว
แล้วลดเลี้ยวเลยผ่านเรียวก้านนั้น

ลงซึมทรายไหลซ้อนใต้ก้อนกรวด
คงคราวชวดเชยชมลมวสันต์
ทิ้งท้องฟ้าว้าเหว่กับเหมันต์
ก่อนคิมหันต์แล้งน้ำจะตามมา

วสันตฤดูแห่งภูเขา
สุดคาดเดาเมื่ออยู่บนภูผา
คือเล่ห์กลหรือมนต์เสน่ห์แห่งเวลา
ที่พัดพาพ้นผ่านมานานปี

ต้นไม้เอ๋ยเคยเตี้ยจนเรี่ยพื้น
กลับยอดยื่นโตใหญ่จนได้ที่
จนสูงเกินเนินหินเพราะดินดี
เพราะวารีพิรุณที่จุนเจือ

พอหนาวจัดพัดใส่ผลัดใบหล่น
จึงหลับใหลรอฝนอีกหนเพื่อ-
จะผลิตาโผล่ตอชูช่อเครือ
ผลิหน่อเนื้อดกดื่นให้ชื่นใจ

แต่ต้นไม้ที่ชราหมดอายุ
กลับพังผุแม้ฉ่ำด้วยน้ำใส
เคยเขียวเข้มเต็มต้นทั้งผลใบ
กลับสิ้นไร้ไม่เหลือเช่นเมื่อวาน

เวลาคือผู้สร้างสิ่งทั้งหลาย
แล้วทำลายไม่ยั้งทุกสังขาร
ให้กลับคืนผืนดินทุกวิญญาณ
เถิดกล้าหาญพร้อมกับยอมรับมัน

๒๐  ธันวาคม ๒๕๕๑				
13 ธันวาคม 2551 22:10 น.

ชายผ้าเหลือง

ฤทธิ์ ศรีดวง

ชะเง้อเหม่อมองทาง..ช่างว่างเปล่า
เงียบเหงา..เนิ่นนาน..เหมือนวานนี้
เหมือนทุกเดือนทุกสัปดาห์ทุกนาที
และเหมือนกับทุกปีที่ผ่านไป

มองข้าวตายยืนต้นเมื่อฝนแล้ง
แม่หมดแรงปักดำทำไม่ไหว
แค่หาบคานคอนกระจาดแทบขาดใจ
ทิ้งคราดไถผุพังลงฝังดิน

ผ้าเหลืองในพานวางอยู่ข้างเสา
ก็เริ่มเก่าซีดสีทีละชิ้น
เมื่อลูกเห็นความจนเป็นมลทิน
จึงโบยบินข้ามฟากไปจากนา

ลืมวันเก่าเช้าสางน้ำค้างหมาด
เคยใส่บาตรในวันเข้าพรรษา
ถวายไตรจีวรก่อนสํญญา
จะกลับมาบวชให้แม่ได้ยล

แม่สะอื้นตื้นตันต้องกลั้นไห้
ปีผ่านไป..เชื่องช้าหลายหน้าฝน
ความหวังวังเวงวืดดับมืดมน
กลั่นตัวหล่นไหลนองเต็มสองปราง

แม่ไม่หมายชายจีวรแม้ก่อนดับ
เพียงลูกกลับมาแลดูแม่บ้าง
สองดวงตาพร่าเกินจะเดินทาง
เพราะฝ้าฟางเสื่อมทรามไปตามวัย

หากทำได้จะไปรับลูกกลับบ้าน
ลูกต้องการเงินตราจะหาให้
ขายที่นาแปลงสุดท้ายหรือขายไต
ขายหัวใจก็พร้อม..แม่ยอมแล้ว

๕  ตุลาคม ๒๕๕๑				
2 ธันวาคม 2551 21:36 น.

จดหมายถึงแม่ ฉบับที่ ๑

ฤทธิ์ ศรีดวง

เขียนบนแคร่.. แม่ครับ..อยากกลับบ้าน
ตอนนี้ลานนวดข้าวยังหนาวไหม
แม่อย่าลืมบอกพ่อให้ก่อไฟ
ใช้เศษไม้เหลือหล่นเมื่อต้นปี

น้องยังอ่านหนังสืออยู่หรือเปล่า
อย่าให้เขาอาภัพเหมือนกับพี่
อยากให้เขาเรียนต่อถึง ป.ตรี
ใช้เงินที่ลูกส่งให้คงพอ

แม่อย่าโหมงานหนักจงพักบ้าง
ตากน้ำค้างหนาวเหน็บจะเจ็บข้อ
ถ้าป่วยไข้ไม่สบายระคายคอ
หมั่นหาหมอสุขศาลาดูอาการ

เสื้อกันหนาวตัวใหม่อยู่ในกล่อง
ฝากให้น้องแม่พ่อแล้วก็หลาน
ของน้องมีตำราหลายอาจารย์
เอาไว้อ่านถ้าหากปิดภาคเรียน

แม่ครับ..
ตอนลูกจับปากกาขึ้นมาเขียน
อยากบอกน้องมากมากให้พากเพียร
จะจุดเทียนอ่านหนังสือก็คือทน

คิดถึงบ้านลานข้าวแต่เช้าตรู่
เมื่อมองดูฟ้าสางข้างถนน
ฟ้ามีเมฆเต็มพรืดดูมืดมน
อาจเป็นฝนสุดท้ายตอนปลายปี

หากอ่อนไหวใจฝ่อคงท้อแท้
สายเลือดแม่ยังเข้มอยู่เต็มปรี่
มีเหนื่อยบ้างล้าบ้างเป็นบางที
แต่ไม่มียอมแพ้อย่างแน่นอน

ภาพความหลังทั้งหมดลูกจดจำ
แม่ใช้การกระทำแทนคำสอน
รอยยิ้มและสายตาแม่อาทร
แม้ต้องซ่อนทุกอย่างไว้ข้างใน

ก่อนจะจบจดหมายตอนท้ายหน้า
อยากบอกว่ารักแม่มากแค่ไหน
จะกอดแม่แม้หลับ..ถ้ากลับไป
จะถอดใจวางแนบกราบแทบเท้า

๒ ธันวาคม ๒๕๕๑				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง