17 มิถุนายน 2551 20:10 น.

ณ ตรงนี้และที่นั้น

ฤทธิ์ ศรีดวง

เพราะเหงื่อนองสองมือใช่หรือไม่
หรือหัวใจถูกถ้อยคำทำร้าย
หรือยืนอยู่หว่างเส้นความเป็นตาย
จึงยอมพ่ายแพ้ลงที่ตรงนั้น

เธอเคยยิ้มแม้ร่างอยู่กลางฝน
เธออดทนเพราะว่าเธอกล้าฝัน
วันนี้เลือนเหมือนทางอยู่กลางควัน
หรือจะหันกลับหลังไปทางเดิม 

ใจไม่แพ้จึงไม่พร้อมจะยอมรับ
เธอมาไกลเกินกลับไปนับเริ่ม
ใจจะโชติโชนเมื่อมีเชื้อเติม
แหละเพิ่มไฟริบหรี่ให้มีแรง

ขอฉุดคนช้ำพ่ายจะได้ไหม
ขอจุดไฟให้ธูปที่วูบแสง
ขอดึงศรถอนลิ่มที่ทิ่มแทง
ให้เธอแกร่งเธอกล้าเธอฝ่าฟัน

หากเธอท้อต่อสู้จงรู้ว่า
ผู้เหนื่อยกว่ายังคงอยู่ตรงนั้น
ตรงกลางดินแตกอ้ากลางตาวัน
เพื่อล้านพันท้องปากผู้ยากไร้

หากศรัทธากล้าก้าวตามเท้าท่าน
พบภัยพาลกี่หนจะทนไหว
เธอเองย่อมหยั่งรู้ว่าผู้ใด
คือผู้อยู่กลางใจ..คือในหลวง

๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑				
8 มิถุนายน 2551 21:28 น.

ฝน

ฤทธิ์ ศรีดวง

ระแหงดินกันดารบนลานร้าว
เมล็ดข้าวหล่นรวงก็ร่วงผล็อย
ลงแทรกกลางวางกองในร่องรอย
แล้วรอคอยฝนหยดอย่างอดทน

คงรอกาลนานวันแล้วขวัญแก้ว
จนลมแผ่วลูบดินแล้วรินฝน
ประสานรอยร้าวแคบอย่างแยบยล
หัวอกคนหม่นขื่นก็ชื่นใจ

อุษาสางจางหายเป็นสายน้ำ
ชื้นรากฉ่ำชุ่มดินแล้วรินไหล
ทะเลนาเต็มน้ำงามกว่าใคร
จงเตรียมไถได้แล้วนะแก้วตา

จนลานดินสิ้นแล้วซึ่งรอยร้าว
เมล็ดข้าวดับดิ้นในดินหนา
เมื่อฝนสองฝนสามเติมน้ำนา
กลับเผยกล้าเขียวเข้มจนเต็มดิน

ใช่เพียงกล้าเบ่งบานบนลานนั้น
แต่พืชพรรณจมมูลเคยสูญสิ้น
ก็ผลิแยกโผล่ยอดให้ยลยิน
มาหอมกลิ่นไอฝนอยู่บนนั้น

ดอกหญ้าเอยเคยหลับก็กลับฟื้น
ต้นไม้ยืนต้นใหญ่ก็ไหวหวั่น
แตกใบอ่อนซ้อนแซงมาแข่งกัน
เป็นภาพฝันยามสางหรืออย่างไร

ผีเสื้อเผยปีกกางเคยพรางเร้น
ตื่นตาเห็นเต็มตาเต็มฟ้าใส
มองพืชผลต้นเดิมที่เริ่มใบ
ดั่งหัวใจดวงเดิมที่เริ่มโต..

๘ มิถุนายน ๒๕๕๑				
26 พฤษภาคม 2551 07:07 น.

ความงาม

ฤทธิ์ ศรีดวง

เป็นความงามหรือเปล่า..อยากกล่าวว่า
เพราะดวงตาคู่นั้นน่าหวั่นไหว
เพราะดวงตาสองสร้างหน้าต่างใจ
อาจทำให้บางคนทุรนร้อน

ฤๅมิใช่สองตาที่กล้าคม 
เป็นเส้นผมนุ่มสวยสลวยอ่อน
เป็นเส้นผมดำเด่นอยู่เป็นลอน
ทำใจคลอนอ่อนไหวดั่งไข้รุม

ฤๅมิใช่ผมงามในความนิ่ม
เป็นรอยยิ้มยามแย้มสองแก้มบุ๋ม
เป็นรอยยิ้มต้องมนต์ต้องจนมุม
ดั่งไฟสุมใจเผาเป็นเถ้าไฟ

ฤๅมิใช่รอยยิ้มที่ริมปาก
เพราะพูดจาหวานมากต่างหากใช่  
เพราะพูดจาแต่สิ่งที่จริงใจ
ที่ทำให้พะวงจนหลงเพ้อ

อาจงดงามทุกอย่างที่อ้างถึง
แต่จับใจสิ่งหนึ่งจนถึงเหม่อ
สิ่งที่งามจนเกิดความเลิศเลอ
สิ่งที่เธองดงาม..คือความดี				
19 พฤษภาคม 2551 19:16 น.

ลูกทุ่ง๔ : คุยกับควาย

ฤทธิ์ ศรีดวง

๑.ข้ามโขดสูงจูงควายสะพายย่าม
เอาควายล่ามผูกขอนแล้วนอนเล่น
แลฝูงควายนอนหมักในปลักเลน
สูบยาเส้นใบจากเพราะอยากยา

ควายตีแปลงเล่นเลนอยู่เป็นเทือก
ข้าปลดเชือกควายเปลี่ยวไปเคี้ยวหญ้า
โน่นทุยเฒ่าเขาเปื่อยสุดเฉือยชา
แต่ควายข้ายังแจ๋วก็แล้วกัน

เลี้ยงด้วยหญ้าริมทางและฟางข้าว
เขามันยาวกำยำและล่ำสัน
เคยก้นขวิดหัวหกตอนตกมัน
ขนาดกั้นคอกมิดขวิดกระจุย

มันแข็งแรงเหลือหลายเหมือนควายป่า
คันไถนาหนักมากลากฉลุย
มันไม่อู้ไม่สะดุดไม่หยุดคุย
ยอดไอ้ทุยเนื้อหอมจอมพลัง

เราทอดหุ่ยคุยขรมตอนลมพัด
หูหางปัดไล่แมลงตอมแผงหลัง
ข้าเล่าเรื่องชีวิตอนิจจัง
มันนอนฟังครุ่นคิดดูผิดควาย

ถามมันว่าเหนื่อยไหมตอนไถหว่าน
มันรำคาญมองข้าทำหน้าส่าย
ไปเล็มหญ้าดีกว่าเฝ้าฟังเจ้านาย
คงเสียดายเวลาฟังข้าโม้.

๒.ตะวันลาข้าเหงานอนเป่าปี่
เมื่อราตรีมาเยือนแสงเดือนโผล่
มองแสงไต้ไกลลิบสิบกิโล
แต่จันทร์โตเต็มฟ้าซิข้ารัก

ลานนวดข้าวคราวเพ็ญเย็นน้ำค้าง
ยอดกองฟางเสียบไม้ไผ่ปลายหัก
เคยปูเสื่อวางหมอนได้ผ่อนพัก
คงนานนักนานปีเธอหนีไป

เคยกำไถกำคราดเคยปาดเหงื่อ
ใช้ชายเสื้อแทนผ้าเช็ดหน้าใส
เคยปลิงเกาะเลาะตลิ่งเคยผิงไฟ
วางลันดักปลาไหลในวันนั้น

เคยเก็บเด็ดเห็ดฟางตอนสร่างฝน
มะขวิดหล่นเฉียดหัวเจ้าตัวสั่น
ขุดหัวแห้วกลางนาหน้าเหมันต์
ยิ่งนอนฝันยิ่งร้าวยิ่งหนาวใจ.....

๓.น้ำค้างคงยังค้างคาใบข้าว
เหมือนน้ำตาของสาวคราวร้องไห้
ว่าเรียนจบจะกลับมาไวไว
มาสร้างความศิวิไลซ์ให้บ้านเรา

น้ำยังคงไหลเลาะกัดเซาะฝั่ง
แต่ความหวังพ่อแม่แกอับเฉา
สายลมพัดผ่านฟางเพียงบางเบา
ส่งข่าวเจ้าไปลับไม่กลับมา				
15 พฤษภาคม 2551 23:52 น.

ความงามของน้ำค้าง

ฤทธิ์ ศรีดวง

ข้าพเจ้าเขียนกลอนขึ้นตอนหนึ่ง
บรรยายถึงความงามของน้ำค้าง
เมื่อลืมตาราตรีฟ้าสีจาง
ก่อนรุ่งสางสุริยาจะมาเยือน

สัมผัสไม้ผลิใบกลางไอหมอก
สัมผัสดอกสีขาวอยู่กราวเกลื่อน
แต่ไอน้ำฉ่ำหาวจากดาวเดือน
กลับลอยเลื่อนหลบร่างอำพรางกาย

มาซุกพื้นชื้นเท้าทุกเช้าย่ำ
ในคืนค่ำพรำเห็นอยู่เป็นสาย
ค่อยกลั่นหยาดรินหยดลงรดทราย
แล้วจางหายคลายชื้นในผืนดิน

แตะละอองต้องน้ำก็ฉ่ำเนื้อ
คือหยดเหงื่อพฤกษาและผาหิน
คือน้ำตาราตรีที่ปรี่ริน
อาจก่อสินธุ์หลอมกายเป็นสายธาร

บ้างแนบเนาเคล้าหยอกกลีบดอกไม้
หยดน้ำใสไหลซ่อนเกสรหวาน
จะปกปิดอนิจจามิช้านาน
คงแหลกลาญเมื่อใกล้ไอสุรีย์

รุ่งอุษาฟ้าสางน้ำค้างเอ๋ย
แห้งระเหยจางหายแฝงกายหนี
เพียงแดดเผาน้ำตาแห่งราตรี
นทีเท่าเม็ดทรายก็วายวาง

ข้าพเจ้าจบกลอนแค่ตอนหนึ่ง
เมื่อเห็นถึงเสื่อมทรามของน้ำค้าง
สิ่งใดที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง
ย่อมอับปางดับขันธ์ในบั้นปลาย..

๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฤทธิ์ ศรีดวง
Lovings  ฤทธิ์ ศรีดวง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฤทธิ์ ศรีดวง