23 มีนาคม 2548 17:44 น.

แคนครวญ

วิจิตรวาทะลักษณ์

ณ  ท้องทุ่งบนแดนดินถิ่นอีสาน
ยามตะวันจะผันผ่านลับลานหญ้า
เด็กขี่ควายให้แม่จับกลับจากนา
ตามประสาวิถีชนคนเดินดิน

     เสียงแคนเคล้าคลอผสมลู่ลมพัด
แล้วปลิวปัดมาส่งเสียงสำเนียงศิลป์
ขานขับกล่อมสู่ผองชนให้ยลยิน
ดั่งเพลงพิณจากฟากฟ้าสุราลัย

     หมู่ใบข้าวคราวต้องลมพัดชมชื่น
ก็เริงรื่นร่ายรำระบำใหม่
ดั่งใบข้าวได้ยินแคนแสนสุขใจ
จึงรำร่ายระเริงรื่นในผืนนา

     ณ  ท้องทุ่งบนแดนดินถิ่นอีสาน
เมื่อลูกหลานสู่เมืองไกลไม่เห็นหน้า
เหลือแต่ควายกับยายเฒ่าเฝ้าดูนา
ชะเง้อหาเจ้าลูกหลานหันคืนลม

     เสียงแคนครวญเศร้าผสมลู่ลมพัด
แล้วปลิวปัดส่งสำเนียงเสียงขื่นขม
ดั่งแคนครวญชวนโศรกเศร้าเคล้าอารมณ์
เสีงแคนคมเรียกลูกหลานหันคืนนา

     หมู่ใบข้าวคราวฟังแคนที่แสนเศร้า
ก็เหี่ยวเฉาไม่เหมือนเห็นเช่นก่อนหน้า
ดั่งใบข้าวรอลูกหลานหันกลับนา
มาเป่าแคนขับกล่อมหล้าท้องนาเรา

				
23 มีนาคม 2548 17:29 น.

กำแหงมนุษย์

วิจิตรวาทะลักษณ์

มนุษย์เอ๋ยมนุษย์
อย่าคิดว่าเจ้าเก่งสุดในโลกนี้
อยู่เหนือฟ้ายังมีฟ้าอย่ากล้าดี
ทำอวดเก่งว่าเจ้านี้มีพลัง

     ถึงแม้เจ้าจะบินไปได้ดั่งนก
อยู่นอกโลกยังไปได้ไม่หยุดยั้ง
ถึงจะมีขีปนาวุธสุดกำลัง
ทำลายล้างทั้งโลกได้มนพริบตา

     ถึงจะมีวิทยาการอันล้ำเลิศ
ก่อกำเนิดพันธุกรรมอันล้ำค่า
จะโคลนนิ่งสิ่งใดได้ในพริบตา
หรือตัดต่อยีนส์มาช่างกล้าดี
 
     จงสำนึกตรึกตรองจิตคิดเสียใหม่
เจ้าเกิดมาได้อย่างไรในโลกนี้
ธรรมชาติสร้างเจ้ามาอย่ากล้าดี
ธรรมชาติก็ย่อมมีวันเอาคืน

     ทำลายเลิดทำลายฉันให้มันหมด
ถ้าเหลืออดวันใดจะไม่ฝืน
สักวันหนึ่งจะถึงวันฉันเอาคืน
มนุษย์เอ๋ยจะดาษดื่นลื่นล้มตาย

     จะส่งคลื่นสึนามิที่เกรี้ยวกราด
ให้พายุมาฟันฟาดไม่ขาดหาย
ให้ลาวาทะลุช่องทุกปล่องไฟ
แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนเลื่อนโลกา

     ทำลายล้างพวกมนุษย์สุดกำแหง
ที่หาญกล้ามาทำแกร่งแข่งกับข้า
ให้มอดม้วยดับดิ้นสิ้นชีวา
แล้วสร้างโลกใหม่ขึ้นมาแทนโลกเดิม
				
22 มีนาคม 2548 23:12 น.

กำสรวลอัปสรา

วิจิตรวาทะลักษณ์

ปรางค์มหาเทวาลัยในภาคพื้น
ที่หยัดยืนคืนคู่ฟ้ากล้ากรำฝน
ศิลาเรียงร้อยสลักประจักษ์ชน
ต่างเล่าขานตำนานตนบนแผ่นดิน

     รูปสลักประจักษ์ศิลป์ในถิ่นหล้า
ทรงคุณค่าใช่เพียงเห็นเป็นก้อนหิน
ร้อยเรื่องราวที่เล่าขานผ่านแผ่นดิน
ให้ยลยินถึงเรื่องราวแต่เก่ากาล

     พระนารายณ์อวโลกิเตศวร
ที่แล้วล้วนดั่งเทวามาเสกสรรค์
องค์พระพรมพระศิวะ ณ ปางบรรพ์
ประดิษฐานส่งเสริมศรีพิพัฒน์ชัย

     เหล่านางฟ้าเทพเทวีศรีอัปสร
มาร่ายรำระบำฟ้อนอันอ่อนไหว
อันทรวดทรงองค์พระนางช่างวิลัย
ระบำบรรณเพื่อเทอดไท้ให้เทวา

     ปราสาทหินบนถิ่นไทยได้ประจักษ์
ว่าประเสริฐเลิศล้ำนักในหลักหล้า
ใครหนอใครเป็นผู้สร้างช่างโสภา
ฤาเทพไท้ทิพย์เทวามาร่ายมนต์

     จึ่งงดงามและล้ำเลิศเพริศพื้นภพ
พึงสยบกลบแผ่นพื้นเป็นผืนผล
หรือด้วยแรงแห่งศรัทธามหาชน
จึงก่อผลสร้างมหาเทวาลัย

     โอ้ปรางค์องค์ทรงวิลัยในก่อนเก่า
ต้องโศกเศร้าแสนโศกามาร่ำไห้
เทวสถานอันโสภามาพังไป
ศิลาแลงลงเรียงรายจมในดิน

     เทวรูปพระศิวะพระนารายณ์
เศียรพระพรมก็ล้มหายไปเสียสิ้น
บ้างก็เหลือแต่ฐานเอยเคยโสภิณ
คนต่ำช้าลืมแผ่นดินลักสิ้นไป

     ศิลาเอ๋ยเคยเล่าขานตำนานถิ่น
กลับต้องพังลงยังดินสิ้นความหมาย
รูปสมมุติทวยเทพเอ๋ยเคยอำไพ
กลับกลายไปอยู่ในห้องของคนพาล

     เหล่านางฟ้าเทพเทวีศรีอัปสร
เคยรำฟ้อนกลับก้มหน้ามาโศกศัลย์
โอ้มหาเทวาลัยในปางบรรพ์
เหลือแต่ซากศิลาอันในชั้นดิน

     เคยน้อมนำระบำฟ้อนอันอ่อนหวาน
ต้องร้าวรานรัญจวญใจในแผ่นหิน
มือเคยรำซับน้ำตาเป็นอาจิณ
รอวันรูปจูบฟังดินสิ้นร่างตน

				
20 มีนาคม 2548 23:14 น.

วิมานหมอก

วิจิตรวาทะลักษณ์

วิมานม่านหมอกมัวสลัวสาง
ดั่งเทพไท้ได้เสกสร้างกลางเวหน
นฤมิตรด้วยฤทธามาบันดล
กำเนิดผลทิพย์วิมานอันโสภา

     ละอองหมอกเป็นไออวลชวนเพลินพิศ
ดั่งภูษาอันวิจิตรสถิตย์หล้า
ระย้าย้อยห้อยประดับกับพลับพลา
สะบัดพริ้วละลิ่วมาคราต้องลม

     หมู่ยอดหญ้าโอนอ่อนเอนเป็นเกลียวคลื่น
ลำต้นยืนเอนอ่อนไหวใบผสม
ดั่งนางฟ้าอัปสราสรรค์บันเลงรมย์
นวยนาฏนิยมระบำบรรณอันงดงาม

     เหล่าหรีดริ่งเรไรได้ร่ำร้อง
ก็กึกก้องกังวาลไหลให้เลิศล้ำ
ดั่งทวยเทพบรรเลงศิลป์เพลงพิณงาม
กล่อมชาวฟ้าให้ดื่มด่ำคีตกวี

     วิมานม่านหมอกมัวสลัวสาง
ก็จืดจางเมื่อต้องแสงแห่งสุรีย์ศรี
ทิพย์วิมานอันล้ำฟ้าเลิศธานี
ต้องสุรีย์ก็แตกดับไม่กลับคืน

     ดั่งวิมานอันล้ำเลิศที่เพริศฝัน
สู่คืนวันอันแสนไกลสุดใจฝืน
หากฝันไปไกลเกินตัวเพียงชั่วคืน
วิมานฟ้าจะฟังครืนลื่นลงมา

     จงริเริ่มสร้างวิมานจากปั้นดิน
ก่อรากฐานจากแผ่นหินสู่ถิ่นฟ้า
อาจจะดูว่าต่ำต้อยด้อยราคา
แต่มั่นคงกว่าสร้างมาด้วยหมอกมัว

				
16 มีนาคม 2548 17:13 น.

ยังไม่ถึงเวลาของก้อนเลือด

วิจิตรวาทะลักษณ์

ลูกเอ๋ยลูกรัก
เจ้ามาจากแห่งหนตำบลไหน
จากฟากฟ้าทิพย์วิมานสถานใด
จึงก่อเกิดกำเนิดได้ในครรภ์เรา

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
อายุแม่ยังน้อยนักนะลูกเจ้า
ยังร่ำเรียนอยู่ม.ปลายยังวัยเยาว์
ยังขอเงินตายายเจ้าไว้เล่าเรียน

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
แม่ยังอยากตั้งหน้ามาอ่านเขียน
พ่อของเจ้าก็ยังอยู่ในวัยเรียน
มิพร้อมเพียรมาสู่ขอกับพ่อตา

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
แมไม่อยากให้ตายายได้เสียหน้า
ว่าส่งแม่มาพากเพียรเรียนวิชา
ทำงามหน้ามาตั้งท้องต้องอับอาย

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
แม่ผิดเองที่ห้ามหักใจไม่ได้
อยากลองรักรสสวาทพิลาศใจ
เสพสวรรค์อันวิลัยไม่ระวัง

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
แม่ก็อยากเลี้ยงเจ้าไว้ได้ฝากฝัง
แต่ตอนนี้มันขัดเขินเกินกำลัง
จะเก็บเจ้าไว้ก็ยังนั่งทุกข์ใจ

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
แม่จำเป็นต้องหาญหักเจ้าให้ได้
ให้หมอเถื่อนเขาเชือนเชือดก้อนเลือดไป
อย่าว่าแม่นะดวงใจเพราะจำเป็น

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
ยังไม่ทันจะทายทักให้โลกเห็น
ก็ต้องดับหมองหมางอย่างเลือดเย็น
แม่ขอเป็นผู้รับผิดเตือนติดไป

     ลูกเอ๋ยลูกรัก
เหลือแต่ซากก้อนเลือดเนื้อเป็นเชื้อไข
โลกไม่พร้อมจะมีเจ้าจงเข้าใจ
จงกลับไปที่เก่าที่เจ้ามา


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวิจิตรวาทะลักษณ์
Lovings  วิจิตรวาทะลักษณ์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวิจิตรวาทะลักษณ์